ตอนที่ 17 : Chapter 15 :: เรือนกระจก
แสงแดดอุ่นๆที่หาได้ยากในยามใกล้เหมันตฤดูส่องผ่านช่องแคบระหว่างกิ่งก้านของไม้ใหญ่ที่เกี่ยวกระหวัดกันเป็นหอพักของนักเรียนแห่งสถาบันเชนโตทำให้การนอนเป็นช่วงเวลาที่แสนสุขยิ่งกว่าเคย คนขี้เซานอนซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนหนาซึ่งดูจะหนาเกินไปสำหรับวันนี้ แขนขายาวเริ่มปะป่ายยืดเหยียดออกมานอกผ้าผืนหนักที่คลุมตัวอยู่
อาซาเอลพลิกตัวอยู่สองสามหนก่อนจะตัดสินใจหยัดตัวขึ้นนั่งแม้หนังตาจะยังหนักจนลืมไม่ขึ้น
ตารางเรียนของเขาเริ่มในช่วงบ่าย ทรานส์หนุ่มจึงสามารถทำตัวขี้เซาได้เท่าที่ต้องการ
เด็กหนุ่มเจ้าของร่างสูงโปร่งเลือกจะละเลยมื้อเช้าด้วยร่างกายที่เมื่อยขบอันเป็นผลกระทบจากชั้นเรียนเอาตัวรอดเมื่อคืนนี้ กระนั้นความหิวก็ปลุกให้เขาตื่นในช่วงสายของวัน เร็วเกินไปสำหรับอาหารเที่ยง แต่ท้องก็ยังร้องประท้วงไม่ยอมหยุด
อาซาเอลหาวหวอด ก่อนจะวางเท้าลงบนพื้นห้องที่ยังชื้นจากน้ำค้าง ฉับพลันขายาวก็กระตุกจากแรงสะดุ้ง ความปวดแล่นปราดจากข้อเท้าจนต้องเบ้หน้า
เช่นเดียวกับที่ข้อมือ ปวดแสบไม่ต่างกัน
ร่องรอยของเชือกเส้นหนาที่บาดผิวขาวจนขึ้นรอยแดงเมื่อคืนนี้กลับกลายเป็นรอยช้ำสีเขียวอมม่วงพาดพันรอบข้อมือและข้อเท้าเป็นภาพที่ไม่น่ามองเท่าใดนัก
ผลพวงจากความดื้อดึงและอำนาจของปีศาจที่ทำให้เขาหวนนึกถึงประสบการณ์เลวร้ายของการทดสอบเข้าเรียนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“คราวนี้คุณจะเปิดอกพูดกับฉันได้รึยัง”
อาซาเอลนึกถึงคำถามของอาจารย์ในโลกเสมือนที่เอ่ยถามเขาด้วยร่างของจิ้งจอกขาวสองหาง ยอมรับว่าผู้มีภาชนะที่สองอย่างเขาลืมหายใจไปชั่วขณะ
ทว่าคีย์ผู้มีภาชนะที่สองเช่นกันก็ควรรู้ ว่าคนเช่นพวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง และสิ่งต้องห้ามที่ควรท่องให้ขึ้นใจ คือห้ามไว้ใจใครที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก
“ใช่ครับ ผมก็มีภาชนะที่สองเหมือนคุณ ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้ว จะมาคาดคั้นจากผมอีกทำไม”
เด็กหนุ่มย่อตัวลงจนระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกับจิ้งจอกที่ตัวใหญ่กว่าปกติอยู่สักหน่อย กระนั้นการยืนค้ำเหนือผู้อาวุโสกว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำ ฉับพลันที่อาซาเอลคิดว่าเห็นรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจระบายอยู่บนใบหน้าแหลมเล็ก ร่างกายของอาจารย์ผู้มากประสบการณ์ก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ คนตัวเล็กกว่าบัดนี้ยืนค้ำอยู่เหนือร่างของคนที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น
อาซาเอลเงยขึ้นสบตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพบกับรอยยิ้มน่าหวาดหวั่นที่เขาเห็นไม่ชัดเมื่อครู่
ตอนนี้มันชัดเจนเต็มสองตาเขา
“สิ่งที่ฉันอยากรู้คือความสามารถในการใช้ภาชนะที่สองของคุณ รวมถึงพลังพื้นฐานในฐานะทรานส์ของคุณด้วย”
“และสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดว่าทรานส์คนนั้นแข็งแกร่งหรือไม่ ก็คือความกระหายในการล่าที่ปะทุออกมายามเมื่อทรานส์คนนั้นอยู่ในร่างลอส”
เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเมื่อฟังมาถึงตรงนี้
สำหรับเหล่าทรานส์ที่ถูกผู้แข็งแกร่งกว่าตามธรรมชาติอย่างไฮบ์และเพียวกดขี่เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์นั้น ร่างลอสเป็นดั่งดาบสองคม ด้านหนึ่งมันคือสัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกัน ยามเมื่อทรานส์จงใจกลับคืนร่างสัตว์โดยมิได้เกิดจากการเหือดแห้งของพลังเวทย์นั้น นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะแข็งแกร่งที่สุด
แม้แต่ในการต่อสู้จริง ก็มีทรานส์จำนวนมากที่ใช้การคืนร่างสัตว์เพื่อสร้างความเหนือกว่าด้านกายภาพและความเร็ว
ในบางคน สามารถใช้พลังเวทย์ได้ดียิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในร่างสัตว์
โดยเฉพาะทรานส์ที่มีภาชนะที่สองผู้ใช้พลังอำนาจจากธรรมชาติรอบกายได้อย่างพวกเขา
ไม่สิ
สำหรับอาซาเอล เขาไม่สามารถใช้ภาชนะที่สองได้ตามใจคิด
กระนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าพลังเวทย์มันเอ่อล้นเพียงใดยามเมื่อเขาคืนร่างสัตว์อย่างสมบูรณ์
เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนั้นมาเนิ่นนานเหลือเกิน เพราะทุกครั้งที่เขาอยู่ในร่างนั้น มักเกิดเหตุการณ์เลวร้ายและการสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักทุกครั้งไป
“ฉันได้ยินมาจากหลายคน ว่าคุณดูเหมือนจะพยายามปิดบังร่างลอสของตัวเอง”
ชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของอาซาเอล บุคคลที่สงสัยและสนใจในร่างลอสของเขาเสียเหลือเกิน
ไคมัส
จะว่าไป คีย์กับไคมัสก็มีบรรยากาศที่คล้ายกันอยู่หลายอย่าง
รวมถึงรอยยิ้มปีศาจแบบนั้นด้วย
“ผมก็เจอหลายคนที่สงสัยในร่างลอสของผม ทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด”
เด็กหนุ่มเงยมองอีกคนก่อนจะระบายรอยยิ้มใสซื่อ พริบตานั้นอาซาเอลค้อมตัวลงเล็กน้อยก่อนจะปรากฏเป็นร่างของแมวน้อยสีดำสนิทมีขนเป็นมันวาวดังที่เคยแสดงให้ใครหลายคนที่เพิ่งพูดถึงไปได้เห็น
แว่วเสียงหัวเราะของคีย์ดังขึ้นเหนือหัว
“นี่เป็นโลกของฉันอาซาเอล โลกของฉันอย่างสมบูรณ์ คุณเข้าใจความหมายของมันหรือไม่”
ทรานส์หนุ่มในร่างของแมวตัวน้อยลอบเม้มปาก
“ยอมรับว่าคุณทำได้ดีในการแปลงกายซ้อนทับร่างสัตว์ ไม่ใช่ทุกคนจะทำเช่นนี้ได้”
“โดยทั่วไปแล้วเราจะมองออกในทันทีว่าร่างที่แสดงให้เห็นนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือสร้างขึ้นจากการฝึกฝน ด้วยสัดส่วนพลังเวทย์ที่ใช้นั้นแตกต่างกัน”
“ของจริง กับ ของปลอม ย่อมมีตำหนิให้จับได้เสมอ”
“งั้นคงแย่ถ้าคุณมองเห็นของจริงเป็นของปลอมไปเสียได้”
ทรานส์หนุ่มหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงในร่างของชายหนุ่มรูปงามคนเดิมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ไม่สื่ออารมณ์ใด
“มาดูกันว่าสิ่งที่คุณฝึกฝนมาจะช่วยคุณได้นานสักแค่ไหนกัน พนันได้เลยว่ากว่าจะทำได้ขนาดนี้คุณคงเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น แต่แย่หน่อยที่มันอาจจะสูญเปล่าต่อหน้าฉัน”
อาซาเอลเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเจอกับรอยยิ้มกว้างแสนร้ายกาจที่ระบายอยู่บนเรียวปากของผู้อาวุโสกว่า
เอาอีกแล้ว
ที่นี่มีแต่คนน่ากลัว
ตัวอันตรายทั้งนั้น!!
วินาทีที่แมวหนุ่มเกือบจะหันหลังวิ่งหนีแม้ไม่รู้จะหนีไปที่ใดได้ เชือกเส้นหนาก็ผุดขึ้นจากพื้นดิน พันเลื้อยรอบข้อเท้าของเขาราวเถาวัลย์พิษ ก่อนจะตรึงแน่นเสียจนปวดแสบ รั้งให้ร่างสูงล้มตึงลงกับพื้น ทั้งเข่าและฝ่ามือที่ใช้ยันไม่ให้ใบหน้าหล่อเหลาฟาดพื้นพลันเจ็บแสบจากแผลถลอก
สูดลมหายใจมิอาจช่วยบรรเทาความเจ็บได้ มิทันจะยกมือขึ้นมามองแผล แขนของเขาก็ถูกรั้งลงกับพื้นดินด้วยเชือกแบบเดียวกับที่ข้อเท้า
ดวงตาสีดำสนิทบัดนี้วาวโรจน์ด้วยความกรุ่นโกรธ
“คุณจะทำอะไรผม”
“อย่างนั้นล่ะ โกรธฉันให้มากขึ้นอีกสิ ร้อนรุ่มด้วยไฟโทสะให้มากกว่านี้อีก”
ถ้อยคำของคีย์รั้งสติให้อาซาเอลรู้ตัว หัวใจของเขาเต้นเร็ว ขมับปวดตุบ โกรธจนร้อนไปทั้งร่างทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องให้โกรธขนาดนั้นเสียหน่อย
“ตอนนี้อากาศที่คุณกำลังหายใจเข้าไป มันจะกระตุ้นให้คุณโกรธ เป็นทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้คุณขาดสติ รวดเร็วกว่าความเศร้าหรือความเจ็บปวด แต่มันยากเพราะเมื่อคนเรารู้ตัวว่ากำลังโกรธ ก็สามารถข่มระงับอารมณ์เหล่านั้นได้”
“แต่ไม่ใช่ในโลกของฉัน เงื่อนไขทุกอย่างฉันเป็นผู้ควบคุม”
“และถ้าฉันบอกให้โกรธ คุณก็ต้องโกรธ”
“พิลึกใช่ไหม”
“นั่นล่ะความสนุกของโลกเสมือนนี่”
ทรานส์หนุ่มขมวดคิ้วแน่น ตบตีกับความคิดตัวเองจนยุ่งเหยิง รู้ตัวว่าโกรธ แต่ยิ่งควบคุมตัวเอง ก็ยิ่งหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำได้
“คุณมันขี้โกงสมเป็นจิ้งจอกจริงๆ”
ถ้อยคำค่อนขอดของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะร่วนจากจิ้งจอกเฒ่า
“โอ้ ไม่หรอก อะไรที่เป็นดั่งใจเกินไปก็น่าเบื่อนะ ฉันมีของขวัญเล็กๆให้กับผู้มาเยือนโลกของฉันเป็นครั้งแรกเสมอ”
“สำหรับคุณ ฉันมีทางรอดให้”
“หากคุณดิ้นรนจนเชือกเส้นนั้นขาดได้ มันจะส่งคุณกลับ แต่ถ้าทำไม่ได้ คุณจะคลุ้มคลั่งจนคืนร่างที่พยายามปกปิดไว้”
“แบบนี้ สนุกกว่าใช่ไหม”
กรรร
เจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลคำรามพร้อมด้วยเขี้ยวแหลมแบบสัตว์ป่าที่โผล่พ้นริมฝีปาก ดวงตาสีดำสนิทกลับกลายเป็นสีเหลืองอำพันขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ผมสงสัยจริงๆ ว่าที่นี่คัดคนจากอะไร มีแต่พวกปีศาจทั้งนั้น”
กัดฟันเอ่ยเสียงเข้ม ข่มความร้อนที่ปะทุขึ้นในอก
“พวกเราเป็นปีศาจ เพราะต้องดูแลเหล่าอสูรน้อยๆอย่างพวกคุณไง”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคีย์เป็นฟืนชั้นดีให้กับไฟโทสะ
มันจะอะไรหนักหนากับตัวตนของเขา
ไม่ว่าจะใครหน้าไหน ก็สอดรู้สอดเห็นไม่ต่างกัน!
“คุณจะสอนผมโดยไม่ต้องรู้ทุกเรื่องไม่ได้หรือไง”
“แล้วคุณจะให้ผมสอนโดยไม่ต้องมีความลับไม่ได้งั้นรึ”
เจ้าของโลกเสมือนเลิกคิ้วถามเด็กน้อยที่ดิ้นรนอยู่กับพื้น เชือกที่รัดมือเท้าตึงด้วยแรงรั้งราวกับเด็กคนนี้จะดึงผืนดินขึ้นมาได้
คนอย่างอาซาเอล
ถ้าไม่ทำให้ไว้ใจจนยอมสลบ
ก็ต้องทำให้รู้สึกแพ้อย่างราบคาบ จึงจะปราบพยศได้
ก่อนจะสอนให้เอาตัวรอด เขาต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือจุดอ่อนที่จะฆ่าเด็กคนนี้ อะไรคือความลับที่ลึกที่สุดในจิตใจของเด็กหนุ่ม
ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ที่ ไม่รู้ว่าภัยร้ายจะมาถึงตัวคนดื้อดึงเมื่อใด เขาจึงจำต้องใช้ไม้แข็ง
ถือว่าเป็นการทดสอบจิตใจของอาซาเอลไปด้วยเลยก็แล้วกัน
เพราะอย่างไรเสีย หลังจากนี้อาซาเอลก็ต้องเจอกับบทเรียนที่ไร้ความปรานีอีกนับไม่ถ้วน
จิ้งจอกเฒ่าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ปรากฏขึ้นรองรับร่างเล็กอย่างพอเหมาะพอดี เท้าคางมองคนที่ดิ้นรนทุรนทุรายจะฝุ่นตลบด้วยสายตาแวววับ
กรรรรรร
“แล้วคุณจะเสียใจ ที่ทำกับผมแบบนี้”
นัยน์ตาคมที่จ้องเขม็งราวกับอยากฉีกร่างของคีย์ออกเป็นชิ้นแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาอย่างสัตว์ตระกูลแมว ข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองอำพัน อีกข้าง เป็นสีฟ้าเข้มที่ทำให้คีย์ต้องหรี่ตามองอย่างสนใจ
นี่คือสิ่งที่เหล่ากบฏบอกแก่เขา
ภาชนะที่สองที่ถูกปิดตายงั้นรึ
อึก
อาซาเอลขบเขี้ยวตนลงบนริมฝีปากบางเรียกเลือดสีสดให้หยดลงตามขอบปาก ความเจ็บช่วยเรียกสติได้ไม่มากนักเมื่อยามนี้หัวใจของเขาเต้นถี่รัว ดวงตามืดมิดด้วยไฟโทสะ
เขาโกรธคีย์
โกรธตัวเอง
โกรธโชคชะตา
ที่ทำให้เขาเกิดมามีภาชนะที่สอง
และได้ครอบครองร่างของสัตว์ที่ถูกจารึกในบันทึกของตระกูลว่าจะทำให้ผู้ผูกพันธะได้รับอำนาจเหลือคณานัป แต่จะนำความวิบัติมาสู่ตระกูลหากตกเป็นเขี้ยวของใคร
ไม่มีใครเคยพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่
แต่ทุกคนที่ตระกูลเขาล้วนเชื่อในคำทำนายที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้
ทั้งพ่อและแม่ของเขากลัวจับใจว่าจะมีใครล่วงรู้ความลับนี้ เพราะเป็นสายพันธุ์ผ่าพงศ์ที่มีภาชนะที่สองนั้นไม่ต่างอะไรกับอัญมณีต้องสาป เป็นที่หมายปองเสียจนนำความวิบัติมาสู่แผ่นดิน
ทรานส์หนุ่มดิ้นรนด้วยแรงเฮือกสุดท้าย กลิ่นคาวของเลือดที่ไหลอาบข้อมือและข้อเท้าจนชุ่มไปทั้งเส้นเชือกยิ่งแร่งสัญชาตญาณดิบในตัวให้ปะทุรุนแรง
คีย์ผุดลุกขึ้นยืนเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังงานที่เอ่อล้นออกมาจากร่างสูงโปร่ง
มันช่างแสนคุ้นเคย
กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร
เสียงคำรามก้องพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่เขย่าโลกของคีย์อย่างน่ากลัว ทว่าเจ้าของกลับเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อสบกับดวงตาของสัตว์ร้ายสีดำที่มีลายคล้ายกุหลาบสีหม่นแต่งแต้มอยู่ตามตัว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์ผ่าพงศ์จากผู้สืบเชื้อสายของแมวใหญ่
เพื่อนของเขาคนหนึ่งก็มีร่างลอสที่น่าเกรงขามเช่นนี้
เห็นแล้วให้หวนคิดถึงคืนวันเก่าๆเสียจริง
สายพันธุ์ผ่าพงศ์ ที่เกิดจากทั้งความผิดพลาดและความสร้างสรรค์ของธรรมชาติ
“โอ้ะโอ จะให้เปรียบคุณกับอะไรดีนะอาซาเอล ตำนานเก่าเก็บของโลกยุคเก่าเคยมีเรื่องของหญิงที่งามล่มเมืองเป็นเหตุแห่งสงครามมากมาย งั้นคุณก็คงเป็นผู้ที่จะล่มเมืองในยุคนี้ได้ด้วยความพิเศษที่ใครๆก็ใฝ่หากระมัง”
ดวงตาของผู้อาวุโสแต่ใบหน้าแสนเยาว์วัยพราวระยับเสียจนอาซาเอลที่อยู่ในร่างสัตว์ใหญ่หอบหายใจแรงได้แต่แยกเขี้ยวใส่อย่างขัดใจ
ไม่คิดว่าความพยายามทั้งชีวิตจะพังครืนลงได้ง่ายๆเช่นนี้
คนตรงหน้าแข็งแกร่งและแสนเจ้าเล่ห์
เป็นครั้งแรกที่เขาเชื่อหมดใจว่าคีย์คือหนึ่งในผู้ก่อตั้งสถาบันที่สามารถเคียงบ่าเคียงใหญ่กับผู้อำนวยการได้จริง…
ทางรอดที่คีย์หยิบยื่นให้ไม่เคยมีอยู่จริง
ยิ่งเขาดิ้นรน
ไฟโทสะยิ่งท่วมท้น
จนสุดท้าย
ก็ควบคุมอะไรไม่ได้เลย
สัตว์ร้ายที่อยู่ตรงหน้าคีย์คือ Jaglion ลูกผสมระหว่างเสือจากัวร์ที่มีเซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติจนเป็นสีดำสนิทกับเจ้าแห่งผืนป่าอย่างสิงโต กลายเป็นเสือที่มีขนเหลือบดำ แต่งแต้มด้วยลายคล้ายดอกกุหลาบสีเข้มที่ราวกับบรรจงวาดด้วยหยดหมึก
เจ้าแมวยักษ์ขนาดตัวเกือบสองเมตรยกขาหน้าที่เกิดบาดแผลฉกรรจ์ขึ้นเลียด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ฉับพลันบาดแผลเหล่านั้นก็เริ่มสมานตัวด้วยอัตราเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยามที่อยู่ในร่างมนุษย์
“สนุกพอหรือยัง ผมเหนื่อยแล้ว”
น้ำเสียงนุ่มที่ติดรำคาญดังจากปากของสัตว์ร้ายตัวโต เรียกร้อยยิ้มของจิ้งจอกเฒ่าได้อีกหน
“คุณก็รู้ว่าความลับของคุณยังไม่หมดแค่นี้”ถ้อยคำราวกับรู้ทันไปเสียทุกเรื่องสร้างความหงุดหงิดใจให้กับอาซาเอลในยามนี้เป็นอย่างมาก รับรู้ได้ว่าบรรยากาศหนักอึ้งที่กดดันให้เขาคลุ้มคลั่งนั่นหายไปแล้ว ทว่าคนตรงหน้าก็กวนอารมณ์ไม่ได้น้อยลงเลย
“เอาล่ะ คราวนี้เรามาลองทำอะไรสักอย่างกับตาข้างนั้นกันไหม”
“คุณเคยได้ยินไหมว่าเสือที่จนตรอกมันทำอะไรได้บ้าง”
ผู้สืบเชื้อสายจากสัตว์ที่อยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อาหารถึงสองชนิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีแววล้อเล่นใด
เขายอมให้คีย์ล้ำเส้นมามากเกินพอแล้ว
ส่วนหนึ่งด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะเขาเป็นนักเรียน จึงต้องทำตามกฏเมื่ออยู่ในชั้นเรียนของอาจารย์ผู้แสนเจ้าเล่ห์
แต่ให้มันน้อยๆหน่อยเถิด
ดวงตาสีฟ้าข้างนี้เป็นยิ่งกว่าความลับของเขา
เพราะความลับคือสิ่งที่เราจงใจปิดบังไว้
ทว่าสิ่งที่เราไม่รู้ที่มาที่ไป ไร้ซึ่งความทรงจำเกี่ยวกับมันนั้น จะเรียกว่าความลับก็เรียกได้ไม่เต็มปาก
และเขาไม่พร้อมให้ใครเหยียบย่างเข้ามาในดินแดนสนธยาที่แม้แต่ตัวเขาเองยังกลัวที่จะก้าวเข้าไป
“งั้นทำไมคุณไม่ลองทำให้ฉันเห็นล่ะ ว่าเสือจนตรอกนั้นทำอะไรได้บ้าง”
ดวงตาสองสีวาวโรจน์ขึ้นอีกครั้งจากคำท้าทาย
อุ้งเท้าหนาที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมออกแรงกระชากขาทั้งสี่ให้หลุดจากพันธนาการ และมันก็เป็นไปอย่างง่ายดายเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
ไม่รู้เพราะอยู่ในร่างสมบูรณ์ หรือเพราะคีย์จงใจปล่อยไป
เมื่อเชือกทั้งสี่หลุดออก แสงสีขาวเรืองรองก็เกิดขึ้นรอบกายของเสือหนุ่ม
อาซาเอลเปลี่ยนสู่ร่างเด็กหนุ่มผอมสูงที่เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่นด้วยรู้ดีว่าอีกไม่กี่วินาทีเขาจะกลับสู่โลกอีกใบ โลกที่คีย์ไม่สามารถตามไปส่งเขาได้
“ไว้เจอกันใหม่นะ ทรานส์ล่มเมือง”
สายพันธุ์ผ่าพงศ์นั้นหาได้ยาก แต่ก็คงมีเพียงพวกนักสะสมที่จะตื่นตาตื่นใจจนเก็บอาการไม่อยู่เมื่อได้พบกับพวกเขาเหล่านั้น
ทว่าร่างของอาซาเอลนั้นต่างออกไป
สายพันธุ์ที่จารึกไว้ในตำนานเรื่องเล่าซึ่งคีย์รู้ดีว่ามันมีเค้าความจริงอยู่มากเพียงใด
เป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นของจริงหรือของปลอมด้วยอยู่ในโลกเสมือนมาเนิ่นนานนี้กลับมาเต้นระรัวอีกหน
อยากจะกลอกตาใส่ชื่อที่อีกฝ่ายถือวิสาสะตั้งให้ ทว่าภาพของคีย์ก็หายไปเสียก่อน ราวกับเขากำลังอ่านนิทานและเพิ่งพลิกหน้าหนังสือเปลี่ยนเป็นอีกฉาก ภาพตรงหน้ากลายเป็นสวนสวยหน้าหอพักที่ๆเขาเกือบลืมไปแล้วว่าแยกกับมินาคัสตรงนี้
พ่นลมหายใจออก
ทั้งที่เพิ่งเปิดเผยร่างที่เก็บงำไว้เกือบชั่วชีวิตต่อหน้าคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ทว่าเขากลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
บางที การเก็บความลับมากมายไว้กับตัว อาจเป็นภาระที่หนักเกินไป
กระนั้น การเปิดเผยความลับยิ่งใหญ่ ก็อาจเป็นการชักนำภัยมาสู่ตัว
ก้อกๆ
“อาซาเอล ตื่นหรือยัง ไปกินข้าวกันเถอะ”
เสียงของเพื่อนสนิทช่างจ้อดึงอาซาเอลออกจากความทรงจำเมื่อคืน เป็นอีกครั้งที่ทรานส์หนุ่มพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเสยผมขึ้นช้าๆเรียกสติตัวเอง
“เดี๋ยวฉันตามไป”
ดูเหมือนท่ามกลางมรสุมชีวิตที่พัดมาไม่หยุดหย่อน เขาก็มีเรื่องดีๆให้ทำอยู่เหมือนกัน
อย่างน้อยก็การทานข้าวมื้อสายกับเพื่อนที่ไว้ใจได้สักคนสองคน…
hf
จากอากาศอบอุ่นในช่วงเช้ากลายเป็นความอบอ้าวในตอนบ่าย ยิ่งต้องมาเบียดกับผู้ชายตัวโตๆอีกนับสิบคนในเรือนกระจกย่อยแคบๆแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงความร้อนที่ปะทุขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นทุกที
แจนิวาลหยีตาก่อนจะยกมือขึ้นป้องใบหน้าจากแสงแดดที่ส่องผ่านกระจกใสลงมา ในขณะที่มินาคัสใช้หลังมือซับเหงื่อตามซอกคอแม้รู้ดีว่ามันไม่ช่วยอะไร ดูได้จากเสื้อเชิ้ตสีขาวที่แนบไปกับแผ่นหลังกว้าง
แม้พวกเขาจะไม่ชอบอากาศอบอ้าวแต่ก็ยังพอจะทนไหว ต่างจากกอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้จะทนได้ถึงเมื่อใด สองสหายถอนหายใจออกมาพร้อมกันเมื่อเสสายตาไปมองคนขี้ร้อนที่ความอดทนใกล้หมดเต็มที
อาซาเอลไวต่อสภาพอากาศ เจ้าแมวหนุ่มไม่สามารถทนต่ออากาศเลวร้ายได้นานไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงถอยห่างจากฝูงชน หนีจากไอร้อนของร่างกายคนอื่นให้มากที่สุด ใบหน้าคมบูดบึ้งแม้ยามสบตากับเพื่อนสนิทที่หันมามองด้วยความเป็นห่วง
เดิมทีอาซาเอลก็ไม่ใคร่จะอารมณ์ดีนักอยู่แล้ว ทั้งเรื่องชั้นเรียนเอาตัวรอดของคีย์ เรื่องที่มินาคัสทิ้งเขาให้เข้าชั้นเรียนตามลำพังโดยไม่บอกอะไรสักคำ แม้ผู้รักษาสมดุลหนุ่มจะแก้ต่างให้ตนเองว่าเขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักได้แต่ทำตามคำสั่งของเทนไฮม์ก็ตามที
แค่ส่งสัญญาณบอกกันสักหน่อยก็น่าจะได้ไม่ใช่รึ
คิดแล้วให้หงุดหงิดจนต้องถลึงตาใส่คนตัวสูงเสียจนคนโดนค้อนเข้าวงโตได้แต่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่กอดอกพิงผนังกระจกพ่นลมหายใจออกอย่างอดทนอดกลั้น
อากาศก็ร้อนจนเหนียวตัวไปหมด อาจารย์ยังจะเข้าสายอีก
ดีอยู่สักหน่อยตรงที่แผลตามข้อมือข้อเท้าของเขาหายไปอย่างรวดเร็วทำให้ไม่ปวดแสบจากพิษเหงื่อมากนัก ทรานส์หนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนที่เห็นว่ารอยเชือกเหลือเพียงริ้วสีแดงจางๆ ด้วยเขาไม่อยากทนต่อสายตาหรือคำถามของใครสักเท่าไร
อาซาเอลปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายของเขารู้สึกสบายขึ้นมากหลังจากได้คืนร่างจริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ราวกับภาระที่กดเก็บเอาไว้ได้ระบายออกไปบ้าง ร่างกายเบาหวิว พลังเวทย์เสถียร จนกระทั่งต้องมาเจออากาศร้อนในห้องกระจกนี่ที่เริ่มจะทำให้พลังเวทย์ของเขาแปรปรวนด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นตามอุณหภูมิ
“ให้ตายสิ ร้อนเป็นบ้า”เสียงใครสักคนในชั้นเรียนสบถออกมาแทนคนที่เหลือ
เมื่อมีใครสักคนเริ่มบ่น คนที่เหลือก็ทยอยเอ่ยปากกันเป็นทอดๆจนกระทั่งห้องกระจกเริ่มจอแจไปด้วยเสียงบ่นอุบของนักเรียน
เมื่ออากาศร้อนรวมตัวกับเสียงดัง ก็บังเกิดเป็นจุดสิ้นสุดของความอดทน
“พอกันที ใครจะรอก็รอ ฉันไม่รอแล้ว”เสียงทุ้มดังก้องขึ้นท่ามกลางผู้คน เด็กหนุ่มตัวหนาแต่ไม่สูงนักเดินแหวกเพื่อนร่วมชั้นออกมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ ด้วยปริมาณคนที่แน่นขนัดทำให้เกิดการกระทบกระแทกกันจนหลายคนชักสีหน้าไล่หลัง
จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งโดนกระแทกล้มลงไปกองที่พื้น ผู้คนจึงเริ่มตีวงด้วยกลัวจะเผลอเหยียบกันเข้า เผยให้เห็นเด็กหนุ่มร่างเล็ก ผอม และใบหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เขาตัวเปียกราวกับคนเพิ่งเดินตากฝน ริมฝีปากบางหอบหายใจขณะยกมือขึ้นกุมศีรษะของตนเองที่หมุนคว้าง
เขาเกือบจะเป็นลมอยู่รอมร่อแล้ว ทำให้ไม่สามารถถอยหลบคนที่เดินดุ่มๆออกมาจึงจบด้วยการโดนชนจนล้มก้นจ้ำเบ้าเช่นนี้
อาซาเอลหรี่ตามองเหตุวุ่นวายตรงหน้า เขาจำได้ว่าคนที่ล้มลงไปนั้นเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเขา
เรื่องคงจะจบอย่างง่ายดายหากคนชนเอ่ยปากขอโทษ และคนล้มไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ารอยถลอกเล็กๆ ทั้งคู่คงจะพากันไปทำแผลและนอนพักที่ห้องพยาบาลจากท่าทางของคนตัวเล็กกว่าที่คล้ายจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
สายตาของคนตัวหนาที่มองเหยียดหาคนบนพื้น ริมฝีปากหนาที่เบ้ออกอย่างไม่ปิดบัง ไหนจะกลุ่มเพื่อนของเขาที่เริ่มมารุมล้อมคนเจ็บ
ทุกอย่างทำให้คิ้วของอาซาเอลเริ่มขมวดเข้าหากัน
“ให้ตายสิ สำออยเสียจริง ลุกขึ้นมาได้แล้วเจ้าทรานส์ขี้โรค”
“เอ้า อย่าเพิ่งลอสไปเสียล่ะ มันน่าสมเพช”
ถ้อยคำเหยียดหยันที่ดังขึ้นรอบตัวทำให้คนที่ถูกปรามาสได้แต่ก้มหน้าลง พยายามใช้แขนที่สั่นน้อยๆดันตัวเองขึ้นจากพื้นแข็งๆ ความแสบจากรอยถลอกทำให้เขาต้องเบ้หน้าและได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่าเขามันอ่อนแออย่างที่ใครๆว่ากัน
“คนอย่างแกผ่านการทดสอบเข้ามาได้ยังไงกันนะ แอบยัดใต้โต๊ะรึไง”
ถ้อยคำรุนแรงนั้นเรียกเสียงฮือจากรอบตัวคนปากเสียได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ดูถูกเพื่อนร่วมชั้น แต่เขากำลังป้ายสีคณาจารย์และสถาบัน รู้กันดีว่าที่นี่ไม่เคยมีใครผ่านเข้ามาด้วยวิธีการเช่นนั้น แม้แต่พวกที่เข้ามาด้วยเหตุผลพิเศษก็ยังต้องมีคุณสมบัติมากพอ
“หยุดนะ”เสียงเบาหวิวจากคนใกล้เป็นลมที่หยัดยืนด้วยแข้งขาสั่นเทาเรียกเสียงหัวเราะจากพวกคนที่อาซาเอลตัดสินใจเรียกว่า พวกปากมอม
“สั่งฉันงั้นรึ”คนตัวหนาที่เป็นต้นเหตุก้าวเข้าไปประชิดร่างผอมบาง
“ลองตอบโต้ดูสิ”เอ่ยหยันอย่างท้าทาย
ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบงัน ร่างเล็กกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด
เขาไม่สามารถใช้พลังเวทย์ได้
ร่างกายเขาอ่อนแอแต่เด็ก
แม้เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้วยสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้ดีจนเซรัลเล็งเห็นและผลักดันให้เขาได้เข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ ทว่าข้อบกพร่องใหญ่ของเขาคือไม่สามารถควบคุมพลังเวทย์ได้
ตั้งแต่ถอดโลหะควบคุมออกไป ร่างกายเขาราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง หากไม่มีโลหะตัวนำฝังอยู่โดยรอบโรงเรียน เขาคงลำบากแม้กระทั่งจะหายใจ ร่างกายขี้โรคของเขาไม่สามารถแบกรับภาระจากการใช้เวทมนต์ได้อย่างคนทั่วไป
โยกิลได้แต่อดทน และรอจนกว่าเขาจะผ่านภารกิจภาคสนามครั้งแรกไปได้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะมีโลหะตัวนำเป็นของตนเอง ความหวังที่จะใช้พลังเวทย์ได้ราวกับแสงสว่างปลายอุโมงค์ แม้จะเป็นอุโมงค์ที่ทอดยาวเหลือเกินก็ตามที
เขากลัว
กลัวว่าตนจะตายในภารกิจ
“มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง!”เสียงทุ้มตวาดใส่คนที่ตวัดสายตามองอย่างแค้นเคือง
เขาดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังคาดโทษเขาไว้ ราวกับมีโอกาสจะได้ชำระคืน
“ฉันจะจำใบหน้านี้เอาไว้ สักวันจะทำให้มันบิดเบี้ยวด้วยความกลัว”เสียงที่ลอดไรฟันออกมานั้นไม่มีแววล้อเล่น มันทำให้เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ไม่มีใครเข้าไปหยุดมันได้ ด้วยกลุ่มเพื่อนของคนตัวหนาที่คุมเชิงอยู่โดยรอบทำให้ยากที่จะห้ามโดยไม่มีการกระทบกระทั่งกับคนพวกนี้
“นี่คิดว่าจะรอดกลับมาจากภารกิจจริงๆงั้นรึ”ชายร่างผอมสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังโยกิลหัวเราะในลำคอ เขาเคยได้ยินคนตัวเล็กคุยกับอาจารย์ว่าจะลองฝึกใช้เวทย์หากได้โลหะตัวนำกลับมา
ฝันลมๆแล้งๆ
“โอ้ ทะเยอทะยานดีนี่ เอางี้สิ พอได้โลหะตัวนำกลับมาก็ทำเป็นปลอกคอเอาไว้สวมเสียเลยเป็นไง เข้ากับแกดีนะ”รอยยิ้มน่ารังเกียจเหยียดขึ้นบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มร่างหนา กับแววตาของทรานส์อ่อนแอที่เบิกกว้างขึ้นด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินถ้อยคำดูถูกถึงเพียงนี้
การสั่งให้ทรานส์ใส่ปลอกคอนั้นแสนหยาบคาย และคนมีอารยะไม่พูดหรือทำกัน
“เกินไปแล้วนะ”
ไม่ใช่เสียงของโยกิลที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจของคนดูที่เริ่มทนไม่ไหวกับปากมอมๆของคนตัวหนา หลายคนเริ่มแผ่ไอเวทย์ที่คุกรุ่นอย่างคนทนไม่ไหว แต่เจ้าของเสียงกลับเป็นเพียวหนุ่มที่ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่คิดปิดบัง
แจนิวาลแหวกเข้าไปประจันหน้ากับคนปากเสีย
ใช่ว่าการผ่านกลุ่มเด็กหนุ่มที่ยืนคุมเชิงอยู่จะทำได้ง่าย แต่ใบหน้าของผู้รักษาสมดุลหนุ่มที่เดินตามเพียวตัวน้อยมานั้นทำให้ใครที่เห็นได้แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
มินาคัสแผ่ไอเวทย์พร้อมด้วยคำสั่งต่อพลังเวทย์รอบตัวให้ยอมจำนนออกมาบางเบา ไม่แปลกที่คนรอบตัวจะยอมถอยออกไป การทำเช่นนี้อาจทำให้ใครสักคนรู้ตัวว่าพลังเวทย์ของตนกำลังโดนแทรกแซง แต่เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งและเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับแจนิวาลที่เดินดุ่มอย่างคนหมดความอดทนจนไม่สนหน้าไหนแล้วนั้น เขาก็คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
“ทำไม นายก็เป็นทรานส์งั้นรึ ทนไม่ไหวที่ทรานส์ด้วยกันถูกด่ารึไง”คนตัวหนายิ้มเยาะใส่เพียวหนุ่ม
“หน้าใหม่นี่ เด็กเพิ่งเข้าปีนี้ล่ะสิ พวกฉันอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว ให้เกียรติรุ่นพี่หน่อยสิ”พูดกลั้วหัวเราะแม้จะกริ่งเกรงสีหน้าของมินาคัสอยู่บ้างแต่ด้วยอีกฝ่ายเป็นเด็กใหม่เขาจึงมั่นใจว่าจะข่มขู่เอาได้
“น่าแปลกนะที่อยู่ที่นี่มาสองปีแล้วแต่ยังต้องเข้าคลาสเริ่มต้นของวิชาสมุนไพร แถมมารยาทยังแย่ราวกับไม่มีใครสั่งสอน ถามจริงๆ นายได้เข้าเรียนบ้างรึเปล่า”
รู้กันดีว่าฝีปากของแจนิวาลนั้นไม่เป็นรองใคร จะพอฟัดพอเหวี่ยงก็มีแต่อาซาเอลเท่านั้น เช่นนั้นถ้อยคำของเพียวหนุ่มที่เอ่ยขึ้นเรียบๆ กลับรุนแรงมากพอจะทำให้ใบหน้าของคนที่อ้างตัวเป็นรุ่นพี่ชาได้ทั้งแถบ
จากความตกใจกลายเป็นความโกรธขึ้ง
“เด็กเวร!”
ร่างหนาถลาเข้าหาเพียวหนุ่ม แจนิวาลคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เขาเตรียมใจจะสวนกลับหากอีกฝ่ายคิดทำร้ายกัน เช่นเดียวกับมินาคัสที่คุมเชิงอยู่ด้านหลัง
ทว่าไม่มีใครเร็วพอ
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มเลือดร้อนตัวหนาปากเสีย
หรือแจนิวาลกับมินาคัส
ไม่มีใครเร็วไปกว่าทรานส์หนุ่มอีกคนที่เดินดุ่มเข้ามาด้านหลังของผู้ก่อเหตุได้ไม่นาน และไม่มีการพูดพร่ำอะไรให้เสียน้ำลาย
อาซาเอลขยะแขยงคนแบบนี้เกินกว่าจะเสวนาด้วย
ตึง!!!
ภาพที่ทุกคนเห็นคือแขนยาวที่เอื้อมมาจากด้านหลังคนปากเสีย คว้าเข้าที่คอเสื้อ กระชากกลับอย่างแรงจนคนที่พุ่งไปข้างหน้าถึงกับเสียหลักหงายหลัง ขายาวเตะเข้าที่ข้อพับเป็นการซ้ำให้อีกคนลงไปนอนกระแทกพื้น ยังมิทันจะได้ร้องโอดโอย ส้นเท้าหนักๆก็กระแทกเข้าที่กลางอกจนเจ็บจุกร้องไม่ออก
ก่อนที่ขายาวจะวาดเสยซ้ำเข้าที่ปลายคาง มินาคัสที่ได้สติก่อนใครก็พุ่งเข้าคว้าแขนลากเพื่อนสนิทออกมาให้ห่างจากผู้ล่าที่กลายเป็นเหยื่อไปแล้วในตอนนี้
แววตาอาซาเอลไม่ได้ล้อเล่น
ทรานส์หนุ่มคิดจะฉีกคนปากเสียออกเป็นชิ้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย
พลังเวทย์ที่พวยพุ่งออกมาน่าหวั่นเกรงเสียจนไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ คนโดนตอกส้นกลางอกพูดไม่ออกได้แต่กุมอกแล้วถดตัวหนีอย่างขวัญเสีย
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป
และอาซาเอลก็น่ากลัวเกินไปสำหรับคนที่เงยมองจากจุดที่ต่ำกว่า สัญชาตญาณเอาตัวรอดของเด็กหนุ่มปากเสียกรีดร้องให้หนี
เพราะเขากำลังโดนล่าจริงๆ
“ท…ทาเลียส ลุกเร็ว”
เป็นครั้งแรกที่อาซาเอลได้ยินชื่อของคนที่ลงไปกองกับพื้นหลังจากเรียกว่าไอ้ปากมอมมาตลอด เพื่อนของเขาวิ่งเข้ามาพยุงทาเลียสขึ้นแม้จะยังหันมองสามสหายตลอดเวลา สายตานั่นทั้งตื่นตระหนกทั้งแค้นเคือง
ทว่าสิ่งที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มเย็นของอาซาเอลที่พาให้ขนคอลุกชัน
“ขอโทษทีนะครับรุ่นพี่ พอดีว่าผมมองไม่เห็น คิดว่าเป็นพวกแมลงสกปรกเสียอีก ในห้องกระจกนี่แมลงเยอะชะมัดเลย”
ถึงฝีปากจะพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ไอ้นิสัยยียวนกวนประสาทนั้นอาซาเอลชนะแจนิวาลขาดลอย
ใบหน้าคมยิ้มกว้างขณะยกมือเกาท้ายทอยราวกับสิ่งที่เกิดนั้นเป็นอุบัติเหตุที่ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
“นี่แก!”เพื่อนของทาเลียสเริ่มล้อมวงเข้ามาใกล้แม้เพื่อนของเขาจะจุกจนพูดอะไรไม่ได้ต้องให้คนหิ้วแขนทั้งสองข้างอยู่ก็ตาม
สามสหายคิดตรงกันแม้จะไม่พูดออกมาว่าถ้ามีใครก้าวเข้ามาอีก พวกเขาจะไม่ไว้หน้ากันอีกต่อไป ทว่าก่อนที่จะเกิดภาพไม่น่ามองขึ้น เสียงก้องของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ทำอะไรกันอยู่ กำลังสนุกเลยสินะ”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะทว่าเย็นเยียบมาพร้อมกับอากาศหนาวเหน็บที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในห้องที่ร้อนดั่งทะเลทรายแห่งนี้
เป็นเขา
ผู้ซึ่งครอบครองความสามารถด้านเวทย์น้ำแข็งที่เลื่องลือแห่งยุค แต่กลับชื่นชอบการปลูกต้นไม้มากกว่าใคร น้อยคนที่จะได้พูดคุยกับเขาหากไม่ใช่นักเรียนในสถาบัน ด้วยนิสัยเก็บตัวจึงมีข่าวลือแปลกๆเกี่ยวกับตัวเขามากมาย
ซีมอส
คนที่แบคอนเตือนอาซาเอลว่าห้ามไปยั่วให้โกรธเป็นอันขาด…
อาซาเอลละสายตาจรกพวกรุ่นพี่ปากมอมไปมองชายหนุ่มร่างเล็กที่เดินเข้ามาท่ามกลางกลุ่มนักเรียนที่เปิดทางให้ อาจารย์ประจำวิชาสมุนไพรผู้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างไปในทางน่าหวาดหวั่นมีเรือนผมสีขาวเหลือบม่วงแปลกตา กับขนาดตัวกะทัดรัดกว่าที่เหล่านักเรียนจินตนาการไว้มาก ดูเหมือนจะตัวเล็กกว่าอาจารย์แบคอนเสียด้วยซ้ำ
กระนั้น ส่วนสูงก็ไม่ได้ทำให้สายตาเย็นชาที่มองตรงมาดูน่าเกรงขามน้อยลงไปสักนิด
ความหนาวเยือกจนขนอ่อนลุกชันเข้าจู่โจมกลุ่มคนมีความผิดติดตัวกะทันหันจนต้องลอบกลืนน้ำลาย มันไม่ใช่เพียงความรู้สึกหนาวจากความน่าหวั่นเกรง แต่เป็นหนาวเหน็บจากอุณหภูมิที่ลดลงจริงๆในทุกๆก้าวที่ซีมอสเดินเข้ามาใกล้
หนึ่งในเพื่อนของทาเลียสสะดุ้งสุดตัวยามที่ซีมอสหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากของอาจารย์ร่างเล็ก มีเพียงสายตาที่สื่อว่าต้องการให้หลีกทาง และก่อนที่ใครจะตั้งคำถามว่าเหตุใดอาจารย์ของพวกเขาจึงนิ่งเงียบแทนที่จะเริ่มตำหนินักเรียนผู้ก่อเหตุวุ่นวาย คำตอบก็ปรากฏอยู่ด้านหลังหนึ่งในตัวต้นเหตุ
ภาพของกระถางต้นไม้ที่แตกเป็นเสี่ยงกับดินที่กระจายออกมาทำเอานักเรียนทุกคนที่เห็นภาพนั้นหายใจสะดุด มือของผู้อาวุโสสูงสุดในเรือนกระจกนี้เอื้อมไปหยิบต้นไม้ขนาดไม่เกินฟุตที่ล้มอยู่บนซากความเสียหายขึ้นมามองด้วยสายตาอ่านยาก
ฉับพลันนักเรียนที่กำลังสูดหายใจเข้าก็เกิดแสบไปทั้งโพรงจมูกด้วยอุณหภูมิอากาศที่ติดลบขึ้นมาวูบหนึ่ง หางตาอาซาเอลเห็นว่าใบของต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆอาจารย์หนุ่มกำลังจับตัวเป็นน้ำแข็ง
ราวกับเห็นอนาคตของตัวเอง เด็กหนุ่มตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ดูเหมือนระหว่างที่วิวาทกันจะมีใครบางคนกระแทกโดนกระถางใบนั้นเข้า
เกือบเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่มีนักเรียนคนใดถูกจับแช่แข็ง อุณหภูมิภายในเรือนกระจกกลับมาเป็นปกติพร้อมกับอาจารย์หนุ่มที่วางซากต้นไม้ลงบนกองดินตามเดิม ต้นทั้งต้นของมันแห้งกรอบต่างจากตอนแรกที่ทุกคนเห็นโดยสิ้นเชิง
“ต้นลูกกวาดเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ค่อนข้างบอบบางและอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะส่วนราก หากรากของมันหลุดออกจากดินเพียงสองนาทีก็จะทำให้ลำต้นแห้งตายและไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก”
น้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังสอนความรู้ตามเนื้อหาในหนังสือพร้อมกับร่างเล็กที่เดินตรงเข้าไปด้านในเรือนกระจกดึงให้นักเรียนทั้งคลาสเดินตามอย่างเงียบๆ
อาซาเอลหันไปสบตากับมินาคัสและแจนิวาล
“เรือนกระจกนี้จะเป็นห้องเรียนวิชาสมุนไพรขั้นต้น ต้นไม้ในนี้เป็นสมุนไพรและพืชขั้นพื้นฐานที่พวกคุณต้องรู้สรรพคุณและวิธีดูแล ถึงแม้จะไม่ใช่พืชหายากราคาสูง แต่ก็ถือเป็นทรัพย์สินของสถาบัน เป็นสมบัติของผม” อาจารย์หนุ่มเว้นช่วงหายใจในขณะที่กวาดสายตามองเหล่านักเรียน ก่อนจะหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มเรือนผมดำสนิทกับรูปร่างสูงโปร่งโดดเด่น รอยยิ้มเยียบเย็นชวนสยองก็วาดขึ้นบนริมฝีปาก “การทำให้เสียหายเป็นสิ่งที่ผมยอมไม่ได้ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในสถาบันก็เป็นสิ่งที่ผมเกลียดมากเช่นกัน”
“เลิกคลาสแล้วไปพบผมที่ห้อง”
ไม่จำเป็นต้องเจาะจงว่าเขาต้องการพบใคร ทั้งชั้นเรียนต่างหันมองกลุ่มนักเรียนเกือบสิบคนที่มีเหตุวิวาทเมื่อครู่ เสียงตอบรับเบาๆจากปากคนทำผิดเรียกรอยยิ้มที่ดูปกติธรรมดากว่าตอนแรกจากอาจารย์ประจำวิชาขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่สีหน้าจะกลับไปราบเรียบตามเดิม บรรยากาศในชั้นเรียนไม่กดดันเหมือนตอนแรก อาจารย์ซีมอสแนะนำตัวเองอีกหนก่อนจะอธิบายว่าวันนี้จะทำการตรวจสภาพต้นไม้ที่แต่ละคนรับผิดชอบดูแลมาตลอดระยะเวลาหลายอาทิตย์ที่ตัวเขาและอาจารย์ยูจีนติดภารกิจสำคัญไม่สามารถเข้าสอนได้
การตรวจต้นไม้ทีละต้น สอบถามทีละคน ให้คะแนนอย่างละเอียดเสร็จสิ้นลงก่อนหมดเวลาตามตารางเรียนไม่มากนัก ทุกกระบวนการใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมง กระนั้นนอกจากเสียงถามและตอบของซีมอสกับนักเรียนแต่ละคนก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นภายในเรือนกระจก
“ผมรอที่ห้อง”
ก่อนออกจากเรือนกระจกนักเรียนทุกคนต้องรดน้ำต้นไม้ของตัวเองตามกิจวัตร บางคนต้องปรับเปลี่ยนสูตรของปุ๋ยและปริมาณน้ำตามคำแนะนำ แม้แต่เหล่านักเรียนที่โดนคาดโทษก็ยังไม่สามารถตามซีมอสออกไปได้ในทันที อาจารย์ร่างเล็กจึงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้สั้นๆแล้วเดินออกจากเรือนกระจกไปก่อน
อาซาเอลกับแจนิวาลถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“แม่งเอ้ย!” เสียงสบถจากหนึ่งในรุ่นพี่ปากมอมเรียกสายตาของสามสหายที่ยังคงขุ่นเคือง เช่นเดียวกับสายตาของคนพวกนั้นที่ไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็ไม่มีใครพุ่งเข้าใส่กันอีกแล้ว
ถึงใจร้อนแต่ก็ไม่ได้ขาดสติกระทั่งหาเรื่องโดนแช่แข็งทั้งเป็น
“ค...คือว่า” เสียงสั่นๆดังขึ้นข้างตัวมินาคัส สามสหายละสายตาจากคู่อริหันมามองคนตัวเล็กและผอมแกร็นที่ยืนก้มหน้าอยู่ใกล้ๆผู้รักษาสมดุลหนุ่ม
เขาคือทรานส์ เหยื่อของเหตุการณ์เมื่อครู่
“ว่าไง” น้ำเสียงนุ่มนวลของอาซาเอลช่วยให้คนที่ยืนกระสับกระส่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตัวสูงกว่า ก่อนจะหลบสายตาอีกหน
“ขอบคุณนะ สำหรับเรื่องเมื่อกี้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อน”ทรานส์ผู้มีร่างกายอ่อนแอรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุของความวุ่นวายแถมยังทำให้เพื่อนร่วมชั้นผู้แสนมีน้ำใจเดือดร้อน ไม่บ่อยนักที่จะมีใครออกมาปกป้องยามเมื่อเขาถูกรังแก สังคมปลาใหญ่กินปลาเล็กเช่นนี้ ถึงจะมีคนไม่พอใจแต่ส่วนใหญ่ก็ทำเพียงยืนมองชะตากรรมของเขาเท่านั้น
“ไม่ต้องขอโทษหรอก พวกเราโดนลงโทษก็เพราะทำอะไรบุ่มบ่าม ใจร้อนไม่คิดหน้าคิดหลัง การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหายังไงก็ต้องมีผลเสียตามมาอยู่แล้ว”น้ำเสียงอ่อนโยนกับรอยยิ้มหล่อเหลาของมินาคัสที่ส่งให้กับทรานส์ร่างเล็ก ช่างขัดแย้งกับใจความประโยคที่ตั้งใจติเตียนเพื่อนสนิทของตนเสียเหลือเกิน
คนบุ่มบ่าม ใจร้อนไม่คิดหน้าคิดหลัง ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ยิ้มแหยก่อนจะพึมพำแก้ตัวอย่างคนดื้อดึงที่ถึงจะรู้ตัวว่าผิดก็ขอให้ได้แก้ต่างให้ตัวเองบ้าง
“ก็มันน่าโมโหนี่ ไอ้…. เอ่อ รุ่นพี่พวกนั้นทำเรื่องน่ารังเกียจใครจะทนไหว”
“แต่นายก็ควรใจเย็นสักหน่อย” แจนิวาลกอดอกเหล่มองทรานส์หนุ่มเลือดร้อนก่อนเอ่ยด้วยประโยคราวสั่งสอนเด็กเล็ก และนั่นทำให้อาซาเอลถลึงตามองเพื่อนรักทันที
“นายเองก็หงุดหงิดเหมือนกันนี่ ถ้าฉันไม่ลงมือ นายก็ไม่อยู่เฉยๆหรอก ตอนออกมาด่าพวกนั้นมือนายกำแน่นจนสั่น ดูยังไงก็พร้อมต่อยหน้าพวกมันแล้วไม่ใช่หรือไง”
“แต่ก็ไม่ได้ต่อยนี่”แจนิวาลไหวไหล่ทำเอาอาซาเอลฟึดฟัดกว่าเก่า
ผิดที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็จริง แต่เขาไม่นึกเสียใจหรอกที่กระทืบทาเลียสไป ถ้ารู้ว่าอย่างไรก็ต้องโดนลงโทษอยู่ดี น่าจะเอาให้สาสมกว่านี้เสียด้วยซ้ำ
ทว่าความคิดนี้คงทำได้แค่คิด หากพูดออกมาไม่พ้นโดนมินาคัสสั่งสอนจนหูชาเป็นแน่
“ว่าแต่นายชื่ออะไร เจ็บตรงไหนรึเปล่า”อาซาเอลไม่อยากต่อปากกับแจนิวาลแล้วจึงหันมาคุยกับอีกคนแทน
“ฉันชื่อโยกิล ไม่เป็นไรหรอก แค่แผลถลอก”เด็กหนุ่มร่างกายผอมบางยกมือที่มีรอยแผลจากการล้มกระแทกพื้นขึ้นมาดู เลือดยังคงไหลซึมออกมาเล็กน้อยทั้งที่แผลขนาดนี้ใช้เวลาไม่นานร่างกายก็ควรรักษาตัวเองเสร็จแล้วแท้ๆ
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะมีปัญหากับพลังเวทย์ไม่ต่างกันกับอาซาเอลเท่าใดนัก ดีไม่ดีอาจจะอาการหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ อย่างไรเสียหลังจากคืนร่างลอสสมบูรณ์ไปครั้งหนึ่งอาซาเอลก็กลับมาแข็งแรงดีแล้ว
อย่างน้อยก็วันนี้ที่รู้สึกว่าพลังเวทย์ของเขาเสถียรดี
อาซาเอลที่รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวดีคว้าข้อมือคนเจ็บขึ้นมาก่อนที่แสงสีอำพันบางเบาจะอาบไล้รอยแผลบนฝ่ามือเล็ก ฉับพลันรอยถลอกทั้งใหญ่และเล็กก็จางหายไปราวไม่เคยเกิด
แจนิวาลเลิกคิ้วมองเพื่อนสนิทเหมือนจะตั้งคำถามว่าการใช้พลังเวทย์พร่ำเพรื่อเช่นนี้ดีแล้วหรือ ทว่าอาซาเอลก็ตอบกลับด้วยสีหน้าราวผู้ชนะที่กำลังถือถ้วยรางวัลในมือ
วันนี้เขาไม่เหมือนทุกวัน นานๆทีจะรู้สึกมีพลังเอ่อล้นก็ขอใช้เสียหน่อยเถิด
มินาคัสที่ลอบมองไอเวทย์รอบตัวอาซาเอลอยู่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพวกมันดูสงบดี ดูเหมือนการปล่อยให้อาซาเอลเข้าชั้นเรียนเอาตัวรอดตามลำพังจะส่งผลดีมากกว่าร้าย
ชักอยากทำความรู้จักกับอาจารย์ประจำวิชาขึ้นมาเสียแล้ว
“ฉันชื่ออาซาเอล นี่แจนิวาล นั่นมินาคัส”อาซาเอลแนะนำตัวเร็วๆ โยกิลพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆสำหรับเวทย์รักษาเมื่อครู่ อดไม่ได้ที่จะมองอาซาเอลอย่างตื้นตันใจ ความอบอุ่นที่ไหลผ่านพลังเวทย์มาทำให้อุ่นในอกอย่างประหลาด
“ไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่พวกเราคงต้องเดินขึ้นลานประหารกันแล้วล่ะ”แจนิวาลพยักเพยิกไปทางกลุ่มรุ่นพี่ที่เดินออกจากเรือนกระจกไปก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนั้นกำลังไปไหน
“เดี๋ยวฉันจะอธิบายกับอาจารย์เอง”โยกิลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
อาซาเอลมองคนตัวเล็กกว่าแล้วได้แต่คิดว่าคนๆนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น เพียงแต่ร่างกายที่อ่อนแอทำให้เขาตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
ว่าแล้วก็อยากหักกระดูกพวกน่ารังเกียจนั่นอีกสักคนละท่อน
เป็นอีกความคิดที่ทรานส์หนุ่มคงไม่กล้าพูดออกมาให้มินาคัสได้ยิน...
hf
“อธิบายมา”
เด็กเกเรทั้งเก้ายืนเรียงหน้ากระดานอยู่ต่อหน้าอาจารย์ประจำวิชาสมุนไพร ห้องพักของเขาอยู่บนชั้นสองของหอพักนักเรียนด้วยซีมอสเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้ดูแลหอพัก ซีมอสก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะในขณะที่เอ่ยปากเปิดโอกาสให้ใครสักคนเล่าเรื่องราวก่อนที่เขาจะเข้าไปเห็นว่าเด็กสองฝ่ายตั้งท่าจะกระโจนเข้าฟัดกันราวกับสัตว์ป่า
“อาซาเอล แจนิวาล มินาคัส พวกเขาเข้ามาช่วยผมครับ”เป็นโยกิลที่เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจน อาซาเอลเห็นคนตัวผอมสะดุ้งเล็กน้อยตอนซีมอสเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ช่วยคุณ จากอะไร”
โยกิลกัดริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าพวกรุ่นพี่ส่งสายตากดดันมาให้คนโดนรังแก
“จากหมาหมู่ครับอาจารย์ หมาหมู่ที่โตแต่ตัว ไม่รู้ถูกเลี้ยงมายังไงถึงได้มีความคิดกับการกระทำแย่ๆ”อาซาเอลเอ่ยเรียบๆราวกับเล่าเรื่องลมฟ้าอากาศ ไม่สนใจสายตาที่จ้องเขม็งมาราวกับจะกิดเลือดกินเนื้อ
“เป็นคำถามที่ดี ผมก็อยากรู้ว่าพวกชอบใช้ความรุนแรงนี่ถูกเลี้ยงกันมายังไง”
ราวกับโดนตบหน้า
อาซาเอลหน้าชาไปทั้งแถบ ปากไวอยากหลอกด่าไอ้พวกรุ่นพี่ ลืมไปว่าตัวเองก็มีชนักติดหลัง
เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมแม้แต่แบคอนถึงได้บอกให้เขาระวังซีมอสเอาไว้ ไม่ใช่แค่บุคลิกหรือพลังเวทย์ ฝีปากของคนๆนี้ยังคมไม่ต่างจากมีดอีกด้วย
“ผมขอรายละเอียด”
ซีมอสกวาดตามองนักเรียนตรงหน้า
โยกิลกัดริมฝีปากอยากจะเล่าแต่การพูดเรื่องราวที่ตนโดนเหยียดหยามออกมานั้นราวกับกำลังโดนทำร้ายอีกหน มินาคัสที่เห็นคนโดนกระทำยืนก้มหน้างุด แถมคนปากไวอีกคนก็ยืนเม้มปากแน่นเพราะยังเจ็บจุกจากการตอกกลับของอาจารย์เมื่อครู่จึงตัดสินใจเอ่ยออกมาเอง
“โยกิลถูกรุ่นพี่ชนจนล้มลงไปครับ ตามปกติควรจะจบเรื่องที่การขอโทษกัน แต่เพราะรุ่นพี่ไม่ขอโทษ แถมยังพูดจาดูถูกที่โยกิลเป็นทรานส์ ก็เลย...”ผู้รักษาสมดุลหนุ่มเว้นจังหวะเพื่อจะหาคำอธิบายที่ดีที่สุด แต่อาซาเอลก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ผมทนฟังไม่ได้ก็เลยใช้ความรุนแรงลงไปครับ ขอโทษครับอาจารย์”
“คนที่คุณควรขอโทษไม่ใช่ผม”คำพูดของซีมอสทำให้อาซาเอลเม้มปากแน่นอีกหน
จะให้เขาขอโทษพวกรุ่นพี่งั้นหรอ
พูดเป็นเล่น!!
ทำไมเขาต้องขอโทษคนน่ารังเกียจพรรค์นั้นด้วย
“ว่าไง ถ้าคุณรู้ว่าตรงหน้าเป็นขยะ คุณจะเดินเข้าไปกลิ้งบนกองขยะหรือไม่ แล้วเหตุใดเมื่อเห็นคนกระทำผิด จึงเอาตัวไปเกลือกกลั้วด้วยการกระทำแบบเดียวกัน ถ้าตอนนั้นขาดสติ ตอนนี้ก็ควรทำตัวให้สมกับการเป็นคนมีการศึกษาด้วยการขอโทษมิใช่หรือ”
อ่า
คราวนี้เป็นทาเลียสและพรรคพวกที่หน้าชา
อาซาเอลเม้มริมฝีปาก ตอนนี้เขารู้สึกราวกับตัวเองกำลังส่งกลิ่นเหม็นเน่าเพราะเพิ่งเอาตัวลงไปคลุกกับกองขยะมาหมาดๆ
“รุ่นพี่ ขอโทษที่กระทืบรุ่นพี่นะครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่เขาไม่อยากเป็นขยะไปด้วยอีกคน สัญญากับตัวเองเลยว่าคราวหน้าคงต้องหาวิธีจัดการกับคนพวกนี้ แบบคนมีการศึกษา
“เด็กเวร”เสียงที่พึมพำออกมาจากปากทาเลียสไม่อาจหลุดรอดหูของซีมอสไปได้ พวกอาซาเอลเป็นเด็กใหม่เขาจึงไม่รู้อะไรมากนัก แต่กับพวกทาเลียสที่อยู่ที่นี่มาหลายปี วีรกรรมของเด็กกลุ่มนี้ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ไม่เห็น หากยังก่อปัญหาอีกไม่นานคงโดนเชิญออกจากสถาบัน แม้พ่อแม่ของทาเลียสจะเป็นพ่อค้าใหญ่มีอิทธิพลในเมือง แต่คณาจารย์ในเชนโตก็ไม่มีใครเกรงกลัวอำนาจอิทธิพล ที่อันธพาลเหล่านี้ยังอยู่ในสถาบันได้ก็ด้วยความเชื่อว่าเด็กพวกนี้จะพัฒนาตัวขึ้นมาบ้าง
ทว่าโอกาสมีให้กับคนที่เห็นค่า
“คุณทาเลียส คุณมีอะไรจะพูดรึเปล่า ผมว่าไม่ใช่แค่พวกคุณที่ควรได้รับคำขอโทษ”
ทาเลียสเงยมองอาจารย์ก่อนจะเบือนหน้าหนี ดูไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
“ไม่มีงั้นหรือ”
“ไม่มีครับ ในเมื่อตรงหน้าเป็นขยะ ผมก็ไม่อยากยุ่งกับพวกขยะ”คนตัวหนาปรายสายตามองโยกิลก่อนจะเหยียดริมฝีปากอย่างรังเกียจ
ซีมอสพยักหน้ารับ
“พวกคุณออกไปได้”
ทาเลียสเหยียดยิ้มเมื่อซีมอสโบกมือให้ตนและเพื่อนออกจากห้อง ซ้ำยังหันมายิ้มเยาะใส่โยกิลและสามสหายอย่างคนเหนือกว่า
ซีมอสก็เท่านี้เองหรอกรึ อย่างไรเสียก็คงรู้สินะว่าพ่อของเขาเป็นใคร
“เก็บของให้เรียบร้อย ไม่เกินเที่ยงของวันพรุ่งนี้จะมีคนพาคุณออกนอกเขตแดนของสถาบัน”
ซีมอสเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้ดูแลหอพักและยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการควบคุมความประพฤตินักเรียน แม้ไม่มีสิทธิ์ขาดในการเชิญนักเรียนออก แต่เขามั่นใจว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของพวกทาเลียสรวมถึงเหตุการณ์ครั้งนี้และความคิดเห็นของเขามีผลมากพอจะทำให้คณะกรรมการลงชื่ออนุมัติให้เชิญเด็กกลุ่มนี้ออกไปจากสถาบัน
“หมายความว่าไง!”เด็กหนุ่มตัวหนากระแทกเสียงใส่อาจารย์ตรงหน้าอย่างลืมตัว
ไม่ต้องเอ่ยให้มากความ ไอเย็นที่แผ่พุ่งออกมาเรียกสติให้เด็กนิสัยเสีย
“ไม่เข้าใจหรือ อ่า หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผมก็ไม่แปลกใจสักเท่าไรที่คุณจะเข้าใจอะไรยาก พัฒนาการด้านสมองเป็นเรื่องที่หลากหลายจริงๆ เอาล่ะ ฟังให้ดี ผมจะยื่นเรื่องขออนุมัติให้เชิญคุณออก” อาจารย์หนุ่มเหยียดยิ้มผิดธรรมชาติ เอ่ยเนิบช้าราวกับกำลังพูดกับเด็กอ่อนที่ยังจับใจความอะไรได้ลำบาก “คราวนี้คงเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“ผม...ผมไม่ยอม”ทาเลียสยังคงเอ่ยเสียงแข็งแม้จะหนาวเยือกไปทั้งตัว
“ผมไม่ได้ถามความคิดเห็นคุณ เมื่อครู่ผมถามว่าคุณมีอะไรจะพูดหรือไม่ คุณบอกเองว่าไม่มี ตอนนี้ผมไม่อยากฟัง คุณก็ไม่มีสิทธิ์พูดแล้ว เชิญ”ถ้อยคำเย็นชากับสายตาที่ดุร้ายขึ้นมาวูบหนึ่งทำเอาเด็กหนุ่มอวดดีพูดไม่ออก ทาเลียสทำได้เพียงสบถถ้อยคำหยาบคายออกมาแล้วเดินออกจากห้องของอาจารย์ไปอย่างโกรธขึ้ง ตามด้วยเหล่าลูกสมุนที่เดินตามออกไปด้วยใบหน้าซีดเผือด
หากแม้แต่ทาเลียสยังโดนไล่ออก พวกเขาเองก็ย่อมหนีไม่พ้น พวกเขาติดตามทาเลียสเพราะคิดว่าจะไม่มีใครกล้าแตะ ไม่คิดว่าเรื่องจะมาถึงจุดนี้
เลือกนายผิด ชีวิตย่อมมีจุดจบที่ไม่น่าพิสมัย พวกเขาต้องเจอกับบทเรียนราคาแพงเสียแล้ว
“โยกิล พวกเขาเคยปฏิบัติเช่นนี้กับคุณมาก่อนหรือไม่”อาจารย์ร่างเล็กเอ่ยถามเหยื่อ ทรานส์ตัวน้อยกัดริมฝีปากก่อนจะตอบเสียเบา “เคยครับ”
“มีพยานหรือไม่” อีกครั้งที่โยกิลตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยภาพที่เคยถูกรังแกนับครั้งไม่ถ้วนย้อนกลับมา “มีครับ”
“ผมขอพบพวกเขาหน่อย จะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาเป็นพยาน บอกพวกเขาว่าไม่ต้องกลัว หากเกิดอะไรขึ้นผมรับผิดชอบเอง”ซีมอสเอ่ยกับนักเรียนตัวน้อย ก่อนจะบอกให้โยกิลออกไปก่อน
เขาต้องการรวบรวมหลักฐานให้มากที่สุด การเชิญนักเรียนที่ยังไม่จบหลักสูตรออกจากสถาบันถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าสถาบันแห่งนี้เป็นสถานที่บ่มเพาะทั้งความแข็งแกร่งและจิตสำนึก
การล่าก็มีกฏของมัน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า ที่นี่ตัดสินกันด้วยความแข็งแกร่งอย่างยุติธรรม ถ้าจะไล่ล่าก็ต้องเคารพเหยื่อ การดูถูกชีวิตของใครไม่ว่าจะเป็นทรานส์หรือไม่ เขาไม่ยินยอม
หากทาเลียสรู้ว่าโยกิลเป็นทรานส์แล้วไล่ล่าเพื่อให้เป็นเขี้ยว เขาไม่มีสิทธิห้ามเพราะเป็นวงจรตามธรรมชาติ แต่การที่เอาเรื่องนี้มากดขี่อีกฝ่าย ราวกับขย้ำเล่นแต่ไม่กัดกิน ถือเป็นสิ่งน่ารังเกียจ
โยกิลเดินออกไปแล้ว
เหลือเพียงสามสหายกับอาจารย์ประจำวิชาสมุนไพร
“สำหรับพวกคุณ ผมจะคาดโทษไว้ก่อน ต่อให้ทำไปด้วยเหตุผลอะไร แต่การใช้ความรุนแรงก็ถือเป็นความผิด พวกคุณเลือกวิธีแก้ปัญหาผิด เข้าใจรึเปล่า”
“เข้าใจครับ”
ซีมอสถอนหายใจ เด็กหนุ่มวัยกำลังโตก็แบบนี้ เลือดร้อนกันเสียเหลือเกิน
มันน่าจับแช่แข็งสักวันสองวันให้รู้จักใจเย็นกันขึ้นมาเสียบ้าง
“สำหรับเรื่องความรุนแรง ผมจะลงโทษให้พวกคุณบำเพ็ญประโยชน์”อาจารย์หนุ่มลุกจากเก้าอี้ไปค้นอะไรสักอย่างในกล่องไม้ที่มุมห้องพลางเอ่ยกับเด็กน้อยทั้งสามไปด้วย “เรือนกระจกที่ใช้สอนพวกคุณเริ่มแออัดแล้ว ผมอยากย้ายต้นไม้บางต้นออก คิดเอาไว้ว่าจะย้ายไปที่โรงเรือนที่สาม แต่มันถูกทิ้งร้างมาสักพักจนตอนนี้สภาพดูไม่ได้”
อาซาเอลสบตากับสหายทั้งสอง พอจะเดาออกแล้วว่าพวกเขาต้องบำเพ็ญประโยชน์อะไร
“พวกคุณช่วยกันทำความสะอาดให้เรียบร้อยภายในสองอาทิตย์”พูดจบก็ยื่นกุญแจโรงเรือนให้กับมินาคัสที่ดูเชื่อถือได้ที่สุดในกลุ่ม
“อ้อ อีกอย่าง”
ยังจะมีอีกหรือ!
“แคนดี้”
แคนดี้?
อาซาเอลเลิกคิ้วอย่างสงสัยไม่ต่างอะไรกับแจนิวาลและมินาคัส แต่ก่อนจะได้เอ่ยถาม สัตว์ตัวจ้อยก็คลานออกมาจากฮูดเสื้อคลุมตัวยาวของอาจารย์
มันเป็นสัตว์ฟันแทะตัวอ้วนกลมสีขาวสะอาด หางยาวและดวงตากลมโตน่ารักน่าชัง
เจ้าตัวน้อยคลานขึ้นมาเกาะบนไหล่ของซีมอส
“ชูการ์ไกรเดอร์หรอครับ”แจนิวาลที่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งถามออกมาอย่างใคร่รู้
ซีมอสมองนักเรียนผู้รอบรู้ด้วยสายตาชื่นชม
“ถูกต้อง แคนดี้เป็นสัตว์พิทักษ์ของผม”
สัตว์พิทักษ์
สัตว์พิทักษ์ ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่หมายถึงสัตว์ที่ถูกทำพันธะสัญญา แตกต่างจากเขี้ยวด้วยไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนพลังเวทย์ และไม่ได้มีการผูกมัดลึกซึ้ง ลักษณะพิเศษของสัตว์พิทักษ์คือเป็นสัตว์ที่มีพลังเวทย์ในตัวและสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ทั่วไป ในสัตว์ชนิดเดียวกันหนึ่งร้อยตัวจะมีตัวที่สามารถทำพันธะสัญญาผู้พิทักษ์ได้เพียงหนึ่งตัวเท่านั้น พวกมันสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ และใช้เวทย์บางประเภทได้
โดยทั่วไปเหมาะกับการใช้ในงานสอดแนม แฝงตัว และเป็นสายลับ
อย่างไรเสียทรานส์ที่แปลงกายเป็นสัตว์เล็กก็ยังมีปริมาณพลังเวทย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป ต่อให้เก็บซ่อนเก่งเพียงใดก็อาจถูกตรวจจับได้หากไม่ระวัง แต่สัตว์พิทักษ์นั้นพื้นฐานเป็นสัตว์ป่า การตรวจจับทำได้ยากกว่ามาก สัตว์พิทักษ์ที่ถูกฝึกอย่างดีเป็นหน่วยสอดแนมที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นก็ยังมีผู้ที่ใช้ประโยชน์จากสัตว์พิทักษ์ในรูปแบบอื่นอีกมาก ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและความสามารถของสัตว์แต่ละชนิด
อาซาเอลอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อจินตนาการว่าชูการ์ไกรเดอร์สีขาวราวหิมะตัวนี้อาจมีบทบาทสำคัญในภารกิจของเหล่าการ์เดี้ยน
“ต้นไม้ที่พวกคุณทำกระถางแตกเรียกว่าต้นลูกกวาด มันเป็นต้นไม้ที่ออกผลมามีปริมาณน้ำตาลสูงจนรสชาติหวานคล้ายกับลูกกวาดก็เลยได้ชื่อนั้นมา ที่สำคัญ ผลของต้นลูกกวาดเป็นอาหารหลักของชูการ์ไกรเดอร์”
เด็กหนุ่มทั้งสามตั้งใจฟังอย่างใคร่รู้
“พูดง่ายๆก็คือพวกคุณเพิ่งทุบครัวของแคนดี้ทิ้ง”
ถ้ามองไม่ผิดอาซาเอลคิดว่าเจ้าแคนดี้เพิ่งค้อนใส่พวกเขาเข้าวงโต
“เรื่องโรงเรือนเป็นการลงโทษจากผม แต่การลงโทษจากแคนดี้ก็คือ พวกคุณต้องปลูกต้นลูกกวาดให้เธอใหม่”
ซีมอสใช้นิ้วเกาคางแคนดี้อย่างหยอกล้อ เจ้าตัวหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู
“ยากหน่อยเพราะเจ้าหญิงของผมค่อนข้างเลือกกิน”
เจ้าหญิงของผม?
อาซาเอลพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงสีหน้าประหลาดต่ออาจารย์ผู้แสนเย็นชากับมนุษย์แต่อ่อนโยนต่อพืชและสัตว์
“หนังสือเกี่ยวกับการปลูกต้นลูกกวาดหาได้ในเขตทั่วไปของห้องสมุด เพราะเป็นการลงโทษ เธอเลยไม่อนุญาตให้ผมสอนพวกคุณ หากแคนดี้ไม่พอใจ พวกคุณจะได้รับบทลงโทษใหม่ที่รุนแรงกว่านี้”
อีกครั้งที่อาซาเอลรู้สึกได้ว่ากำลังโดนเจ้าสัตว์ตัวกลมจิกตาใส่
ความโกรธของเจ้าหญิงตัวอ้วนกลมช่างน่ากลัว
สามสหายที่ได้รับบทลงโทษ อย่างสาสม เลือกที่จะเดินขึ้นไปยังห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลการปลูกต้นลูกกวาด การทำความสะอาดปล่อยให้เป็นเรื่องของวันข้างหน้าเนื่องจากกว่าจะออกจากห้องของซีมอสได้พระอาทิตย์ก็ตกดินไปพักใหญ่แล้ว
ได้ยินว่าซนจนโดนลงโทษ ดื้อจริงๆเลยนะคุณ
อาซาเอลชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าห้องสมุด ทรานส์หนุ่มหันซ้ายหันขวากวาดตามองรอบตัวจนมินาคัสเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย แจนิวาลเดินนำเข้าไปก่อนแล้วจึงไม่ทันเห็นความผิดปกติของเพื่อนสนิท
หาอะไรครับแมวดื้อ
แมวดื้อ?
ขอทีเถอะไอ้หมาบ้า หยุดส่งเสียงในหัวเขาด้วยสรรพนามราวกับเอ็นดูเขาเสียนักหนาแบบนั้นได้แล้ว
อาซาเอลคิดแต่ไม่ได้ตอบกลับเสียงทุ้มที่ดังขึ้นในหัว ทรานส์หนุ่มเดินนำมินาคัสเข้าห้องสมุดโดยไม่ได้บอกอะไรกับผู้รักษาสมดุลย์หนุ่ม
อาจเพราะเขากำลังเหม่อเลยปล่อยให้อีกฝ่ายเทเลพาธีได้ง่ายๆ ดูเหมือนคาดิเนียลจะแอบมองเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งอีกแล้ว
โรคจิตรึไง
อยากจะบ่นใส่ไฮบ์ถ้ำมอง แต่สิ่งที่อยากบ่นมากกว่าคือการใช้พลังเวทย์สิ้นเปลืองทั้งที่ตัวเองก็ดูอ่อนแอจะแย่
ถ้าอยากคุยแค่เดินเข้ามาคุยมันยากนักรึไง
แต่จะให้ตอบกลับไปแบบนี้มันก็ดู...
เปิดโอกาสมากไปสักหน่อย
ยุ่ง
หนึ่งคำสั้นง่ายที่ตอบกลับแฝงน้ำเสียงหงุดหงิดไว้อย่างเคย ถ้าให้เดา คนโดนด่าก็คงไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาว ดีไม่ดีคงกำลังหัวเราะจนตาเป็นขีดอยู่เป็นแน่
อาซาเอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามแจนิวาลที่หอบหนังสือหลายเล่มมาวางไว้บนโต๊ะ ดูเหมือนเพียวหนุ่มจะคุ้นเคยกับห้องสมุดนี้เป็นอย่างมาก เพียงครู่เดียวก็หาหนังสือเกี่ยวกับต้นลูกกวาดมาได้เสียขนาดนี้
โดนลงโทษหนักหรือเปล่า
สนใจเรื่องตัวเองเถอะ คนที่ดื้อน่ะมันคุณ
แทนที่จะบอกให้ ดูแลตัวเองดีๆ คนปากแข็งอย่างอาซาเอลกลับเลือกใช้ประโยคไม่น่าฟังตอบกลับน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยอย่างไม่คิดปิดบังของไฮบ์หมาป่าไปเสียอย่างนั้น
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป
อาซาเอลก้มหน้าอ่านหนังสือแม้เนื้อหาจะไม่เข้าหัวสักนิดเพราะไม่อยากถูกเพื่อนสนิททั้งสองจับผิด
ผมไม่ได้ดื้อเสียหน่อย
แม้จะแสร้งทำเป็นตั้งอกตั้งใจหาข้อมูลแต่ก็อดกลอกตาใส่คำแก้ตัวของอีกฝ่ายไม่ได้
หน้าซีดตัวซูบจนจะเป็นไก่ต้มแทนหมาป่าอยู่แล้วยังจะเถียง
ภาพของอีกฝ่ายที่มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องเขาเมื่อคืนฉายชัดอยู่ในหัว ยิ่งสัมผัสของร่างกายที่เบียดชิดตอนเจ้าหมาบ้าดึงเขาเข้าไปกอดทำให้รู้ว่าคาดิเนียลสูญเสียกล้ามเนื้อไปแค่ไหน
...เทียบกับตอนที่กอดกันครั้งแรกน่ะนะ
เอาแต่บ่นคนอื่น ผมว่า คุณนั่นแหละ...
ทรานส์หนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น ข้อความที่ส่งไปไม่จบประโยคถูกตอบกลับมาด้วยเสียงครางในลำคอย่างสงสัย
หมาดื้อ
อาซาเอลปิดรับพลังเวทย์ที่พยายามเข้ามาในหัวทันทีที่ส่งข้อความสุดท้ายไป
เจ้าของใบหน้าคมคายที่บัดนี้แดงเรื่อจนปิดไม่มิดฟุบหน้าลงกับหนังสือ กระนั้นก็ไม่สามารถซ่อนใบหูแดงก่ำเอาไว้ได้
“แอบใช้เทเลพาธีอีกแล้วรึ ระวังเถิดจะโดนดักฟังเข้าสักวัน”
ถ้อยคำเหน็บแนมของแจนิวาลไม่ได้ทำให้อาซาเอลเงยหน้าขึ้นจากท่อนแขนของตัวเอง จะให้เงยได้อย่างไรในเมื่อใบหน้ายังมีไอร้อนแผ่ออกมาเช่นนี้
ให้ตายเถิด
คาดิเนียลเรียกเขาด้วยสรรพนามน่าอายเช่นนั้นบ่อยๆได้ยังไงกัน นี่แค่ลองเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามคล้ายกันเพียงครั้งแรกก็อายแทบมุดแผ่นดินหนีแล้ว!!
“หยุดทุบโต๊ะเดี๋ยวนี้นะอาซาเอล!”แจนิวาลดุเสียงหนักมองซ้ายมองขวาขอโทษคนอื่นที่หันมามองอย่างไม่พอใจเพราะเสียงทุบโต๊ะของอาซาเอล
ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะเสียสติไปแล้ว
คงไม่มีคนเพิ่งถูกลงโทษคนไหนดูมีความสุขได้เท่าไอ้ทรานส์สติแตกคนนี้อีกแล้วกระมัง!!
******
ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ
แต่ว่า... กลับมาแล้วค่าาาาาาาาาาา
ยังมีใครอ่านอยู่มั้ยนะ...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สู้ๆนะไรท์
คิดถึงไรต์นะคะ555555 สู้ๆค่ะ
เอ็นดูอาซาเอล555555555