ตอนที่ 16 : Chapter 14 :: ชั้นเรียนเอาตัวรอด III
“โอ้ะโอ เจอใครเข้าล่ะเนี่ย นายเป็นใครกันนะเจ้าแมวน้อย~”
ยังไม่ทันที่มินาคัสจะได้เดินไปไหน เพียงแค่หันหลังกลับหมายจะเดินเข้าไปในอาคารเท่านั้น เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นเหนือหัวก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้รักษาสมดุลหนุ่มจนเกือบจะสบถออกมา แมวป่าเงยมองต้นเสียงด้วยแววตาสั่นไหว ม่านตาเบิกกว้างด้วยแสงที่มีน้อยนิด แต่ก็มากพอจะทำให้เห็นรอยยิ้มน่าหวาดหวั่นที่ระบายบนริมฝีปากของฮาบัสในยามนี้
“หยิ่งนะเรา ไม่ตอบซะด้วย”ไฮบ์หนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะย่อตัวลงมองแมวป่าใกล้ๆ เจ้าตัวน้อยถอยหลังไปสองก้าวอย่างระวังตัว
ฟู่~
แมวป่าขู่ฟ่อเมื่อฮาบัสเอื้อมมือเข้าใกล้ แววตาวาวโรจน์อย่างสัตว์ป่าทำเอาไฮบ์หนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มร้ายกาจ
“ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นแมวจริงๆหรือกำลังแสดง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน นายก็หนีไม่รอดหรอก มาด้วยกันซะดีๆ”พูดจบก็คว้าเข้าหลังคอจนอีกฝ่ายมิอาจขัดขืน ทำได้เพียงเกร็งจนตัวงอตามสัญชาตญาณ มินาคัสอยากดิ้นรนให้พ้นพันธนาการแต่ดูเหมือนฮาบัสจะเชี่ยวชาญกับการจัดการกับแมวอยู่พอตัว เพราะวิธีการจับของเขาไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเพียงแต่ทำให้ไร้ทางขัดขืนเท่านั้น
ไฮบ์หนุ่มหยัดตัวยืนขึ้นพร้อมชูสัตว์ตัวจ้อยในกำมือขึ้นในระดับสายตา กวาดตามองอย่างประเมิน ส่งไอเวทย์จางๆเข้าสำรวจ หากเป็นทรานส์ทั่วไปคงโดนจับได้ด้วยพลังเวทย์ที่หลุดรอดออกมาตามธรรมชาติ ทว่ามินาคัสเป็นผู้รักษาสมดุล การควบคุมพลังเวทย์หรือแม้แต่การเลียนแบบสัตว์ป่าจึงทำได้แนบเนียนกว่า เช่นนั้นพลังเวทย์ที่แตะต้องตัวเขาอย่างคุกคามในเวลานี้จึงไม่อาจตรวจสอบตัวตนของเขาได้ตามที่ฮาบัสต้องการ
ทว่าการตรวจสอบของฮาบัสยังไม่จบลงเท่านั้น
ไฮบ์หนุ่มยื่นจมูกเข้าใกล้ สูดหายใจฟุดฟิดอยู่หลายหน นี่อาจเป็นพฤติกรรมพื้นฐานของพวกหมาป่าหรือสัตว์วงศ์สุนัขอื่นๆเวลาอยากสำรวจอะไรสักอย่าง แต่สำหรับมินาคัสแล้วมันค่อนข้างหยาบคายทีเดียว จนเผลอคิดไม่ได้ว่าในวันที่เขาลอสอยู่ริมทะเลสาบน่าจะดีหากได้ฝากรอยแผลไว้ที่ตัวคนๆนี้บ้าง และหากฮาบัสเข้ามาใกล้กว่านี้ ความคิดของผู้รักษาสมดุลหนุ่มคงไปไกลถึงขั้นว่า ทำไมวันนั้นเจ้าเด็กนี่ไม่โดนเขาฉีกกระชากร่างไปเสียเลย
โชคยังดีที่ฮาบัสถอยใบหน้าออกไปก่อนจะข้ามเส้นอันตรายที่มินาคัสขีดไว้
“นี่เป็นแมวป่าธรรมดาๆหรอกรึ”หรี่ตามองอย่างจับผิด แม้ไม่ปักใจเชื่อ แต่สิ่งที่สัมผัสได้ก็ฟ้องว่าเจ้าสีสนิมในมือนี้เป็นเพียงสัตว์ป่าที่ไร้พลังเวทย์
ซึ่งมินาคัสลืมคิดไป ว่าบนดินแดนที่เป็นแอ่งพลังงานอย่างสถาบันเชนโตแห่งนี้นั้น ไม่มีสัตว์ตัวใดไร้พลังเวทย์
แม้แต่สัตว์ป่าทั่วไปก็ดูดซับพลังเวทย์ได้ด้วยพลังงานที่เอ่อล้นจากทุกอณูในอากาศและผืนดิน การกลายพันธุ์เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพื้นที่เกือบสีแดงแห่งนี้
ทันทีที่ผู้รักษาสมดุลหนุ่มนึกขึ้นได้ เหงื่อกาฬก็พาลจะซึมไปทั้งร่างด้วยความกังวล
หากฮาบัสจับสังเกตเรื่องนี้ได้ เขาคงเจอกับวิกฤตเข้าแล้ว
เพียงแค่จดหมายภูตรูปเหยี่ยวแตะตัว ตัวตนทรานส์ของเขาจะถูกเปิดเผย แม้ไม่เกี่ยวข้องกับความลับการเป็นผู้รักษาสมดุล แต่การโดนไฮบ์จับได้ว่าเป็นทรานส์ย่อมหมายถึงความสงบสุขที่อันตรธานไปพร้อมกับความปลอดภัยในชีวิต
ยิ่งถ้าเป็นพวกหมาป่าด้วยแล้ว
เขาไม่อยากเสี่ยงกับความกระหายในการล่าของคนพวกนี้
“หากนายเป็นทรานส์ ก็คงเป็นทรานส์ที่มีความสามารถสูงน่าดู จึงซ่อนพลังเวทย์ได้แนบเนียนเพียงนี้”แววกระหายในดวงตาเรียวชวนขนอ่อนลุกชันจนสมองมินาคัสเร่งหาทางหนีจนหัวปั่น กระทั่งประโยคถัดไปดังขึ้น ผู้รักษาสมดุลหนุ่มก็เกือบถอนหายใจด้วยความโล่งอกหากแต่หยุดไว้ได้ทันด้วยคงไม่มีแมวตัวใดถอนหายใจเช่นนั้น “น่าเสียดายที่เหยี่ยวของฉันถูกใช้ไปแล้ว”
“งั้นฉันจะเอานายไปฝากเพื่อนของฉันก็แล้วกัน คาดิเนียลคงเหนื่อยเกินกว่าจะออกล่าในคืนนี้”
สิ้นประโยคที่ทำให้มินาคัสอยากกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอดไปฮาบัสก็เดินตรงเข้าหอพักด้วยท่าทางอารมณ์ดี ขัดกับอารมณ์ของสัตว์แปลงในมือเขาเหลือเกิน
ผู้รักษาสมดุลหนุ่มสบถในใจเป็นพันหน ก่อนจะจบลงด้วยการถอนหายใจในความคิดอย่างปลดปลง
เอาเถิด อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด
ได้แต่หวังว่าฮาบัสจะปล่อยเขาไว้กับคาดิเนียลตามลำพัง เพราะการถูกคาดิเนียลรู้ตัวตนก็ไม่ได้ย่ำแย่สักเท่าไร อย่างไรเสียคนๆนั้นก็คงไม่หันคมเขี้ยวเข้าใส่เขา ด้วยความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ใครคนอื่นแล้ว
hf
ไฮบ์หนุ่มร่างสูงโปร่งก้าวขายาวๆไปตามทางเดินภายในหอพัก ไม่กี่อึดใจเขาก็มาถึงหน้าห้องของเพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งผู้นำที่ฮาบัสยินดีมอบชีวิตให้ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธคำว่าจ่าฝูง แต่คาดิเนียลเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น
ไม่ได้ด้อยไปกว่าคาเดฮัสพี่ชายของเขาเลยสักนิด
หากคาดิเนียลอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม การจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลคงทำได้ไม่ยาก ทว่าอุบัติเหตุในวัยเด็กพรากพลังเวทย์ของเขาไปครึ่งหนึ่ง
ครึ่งชีวิต ที่มิอาจรู้ว่าอยู่ที่ใด ทำให้จ่าฝูงของเขาอ่อนแอ และเปราะบางขึ้นอีกโขยามเมื่อใกล้วันพระจันทร์สีเลือด
วันที่หมาป่าทุกตัวแข็งแกร่ง
ทว่าคาดิเนียลกลับอ่อนแอลง ราวกับเป็นการคัดสรรของธรรมชาติที่กำจัดสิ่งของมีรอยตำหนิ
สำหรับฮาบัส คาดิเนียลมิใช่อะไรที่ใช้การไม่ได้ เพียงแต่รอคอยเวลาที่จะกลับมาแข็งแกร่งเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว หน้าที่ของพวกเขาจึงต้องปกป้องจนกว่าจ่าฝูงจะคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์พร้อมในสักวันหนึ่ง
“เฮ้ นายอยู่ในนั้นหรือเปล่า”เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมมือที่เคาะลงบนบานประตูหลายหน
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อไร้เสียงตอบกลับ
สภาพย่ำแย่ปานนั้นจะออกไปเดินเตร่ที่ไหนได้
“ทำอะไรน่ะ”
ฮาบัสหันมองตามเสียงก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังเดินมาตามโถงทางเดินด้วยสีหน้าอิดโรย คาดิเนียลหยุดอยู่ห่างจากคนตัวสูงกว่าไม่กี่ก้าวก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตในมือเพื่อนสนิท
“ของฝาก”รอยยิ้มที่ระบายบนริมฝีปากฮาบัสทำเอาคนถูกเรียกว่าของฝากหน้าตึงขึ้นชั่วขณะ
“ทรานส์รึ”คาดิเนียลถามขณะยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ สูดจมูกฟุดฟิดแบบเดียวกับฮาบัสเคยทำ
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้กลิ่นอะไรเลย แต่ก็น่าสงสัย”ฮาบัสไหวไหล่
“แต่ฉันได้กลิ่นคุ้นๆอยู่นะ”หมาป่าจ่าฝูงหรี่ตามองแมวป่า ก่อนจะกระตุกยิ้มที่ทำให้มินาคัสรู้ชะตากรรมตัวเอง
โดนจับได้เสียแล้ว…
เมื่อครู่คาดิเนียลถูกเทเลพาธีที่แทรกเข้ามาในหัวปลุกจนตื่น และพบว่าแมวที่เคยอยู่ในอ้อมกอดหายไปเสียแล้ว ไฮบ์หนุ่มผู้อ่อนเพลียนอนต่อจนพอใจก่อนจะตัดสินใจปีนลงจากรังนกยักษ์ได้เพียงครู่ คาดิเนียลก็เจอกับซากานและอูจีส หลังฟังเพื่อนสนิทที่เป็นทรานส์หนึ่งเดียวในฝูงบ่นกระปอดกระแปดจนเกือบหลับไปอีกหน ก็พอรู้มาบ้างว่าภารกิจของทรานส์คืออะไร และมีเพียงทรานส์ระดับต่ำๆเท่านั้นที่เข้าร่วม
เช่นนั้นแล้ว ในกลุ่มนักเรียนใหม่กับทรานส์ที่มีความสามารถไม่เกินระดับ Intermediate จะมีสักกี่คนที่ซ่อนเร้นพลังเวทย์ได้หมดจดถึงเพียงนี้
เท่าที่คาดิเนียลรู้จักก็มีอยู่ไม่มากนัก และท่ามกลางคนเหล่านั้น ก็มีใครคนหนึ่งโดดเด่นเหลือเกินเรื่องการทำตัวลึกลับจนแทบไม่รู้ข้อมูลใดๆ
ไฮบ์หนุ่มมั่นใจว่าแมวป่าตรงหน้าเป็นคนๆนั้นไม่ผิดแน่ ไม่ใช่เพราะสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์หรือตำหนิใดๆจากเจ้าตัว
ทว่าเป็นกลิ่นไอคุ้นจมูกที่ไม่ว่าจะจางเพียงใดหมาป่าหนุ่มก็จำได้ทันที
กลิ่นของอาซาเอล
“นายรู้งั้นรึ”ฮาบัสเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ก็คงงั้น”คาดิเนียลตอบแบบขอไปที ก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้ฮาบัสงุนงงเข้าไปใหญ่ “ปล่อยไปเถิด ฉันไม่อยากโดนแมวโกรธอีก”
แมว ที่หมายถึงแมวอีกตัว ซึ่งคงไม่ชอบใจนักหากรู้ว่าพวกเขารังแกเพื่อนสนิท
“นี่คืออาซาเอลหรอ”ฮาบัสเบิกตาโตก่อนจะยกมินาคัสขึ้นมามองใกล้ๆอีกหน ทำราวกับจะมองออกว่าหน้าตาตอนเป็นร่างมนุษย์เป็นอย่างไร
คาดิเนียลหัวเราะลั่นก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ฮาบัสปล่อยเหยื่อไปเสีย แม้ไม่เข้าใจเท่าใดนักหากแต่ฮาบัสก็ทำตามที่เพื่อนบอก ทันทีที่หลุดจากพันธนาการ มินาคัสก็กระโดดถอยห่างจากไฮบ์ทั้งสองก่อนจะออกตัววิ่งให้พ้นรัศมีการล่าอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ยังทันได้ยินบทสนทนาที่ก้องมาตามโถงทางเดิน
“แบบนี้นายจะทำภารกิจไม่เสร็จเอานา”เสียงฮาบัสเอ่ยอย่างกังวล
“ไม่เป็นไร ฉันได้ชื่อของจัสตินมาแล้ว”คาดิเนียลเอ่ยพลางชูกระดาษรูปเหยี่ยวในมือขึ้น
“งั้นหมอนั่นก็อยู่ในร่างสัตว์น่ะสิ มันไม่มีผลอะไรกับนายรึ”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้มันอาจจะแย่จนไม่อาจแย่ลงไปอีกได้แล้วกระมัง ฉันถึงไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง”เสียงหัวเราะของคาดิเนียลขมขื่นจนแม้แต่มินาคัสที่วิ่งห่างออกมามากแล้วยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดนั้น
เป็นความสิ้นหวังที่เจ้าตัวคงพยายามกลบเกลื่อนแล้ว ทว่าไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
ใกล้แตกสลายกันเข้าไปทุกทีแล้ว
ไม่ว่าจะฝ่ายใด
ใกล้ถึงขีดจำกัดเข้าไปทุกที
“ถ้ารู้ตัวว่าอาการแย่ก็เลิกหายไปไหนคนเดียวไม่บอกไม่กล่าวสักที คนทางนี้ดมกลิ่นตามจนปวดจมูกไปหมดแล้ว”
ฮาบัสย่นจมูกฟุดฟิดประกอบคำพูดและท่าทางแบบนั้นทำให้คาดิเนียลที่กำลังเปิดประตูห้องตัวเองได้แต่ยิ้มขำกับความขี้เล่นของเพื่อนสนิท
คาดิเนียลรู้ดีว่านั่นก็แค่ถ้อยคำประชดประชัน ด้วยฮาบัสเป็นไฮบ์ แม้จะมีเชื้อสายสุนัขแต่จมูกก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนทั่วไปสักเท่าไร ถ้าเป็นอูจีสพูดประโยคนี้คงจะน่าเชื่อถือขึ้นมาหน่อย กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ใช้การดมกลิ่นติดตามตัวใครเป็นปกติ เว้นเสียแต่ว่ากลิ่นนั้นจะน่าสนใจและติดตรึงอยู่ในฆานประสาท
“ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ใช่ว่าฉันจะล้มพับลงไปง่ายๆเสียเมื่อไร”ฮาบัสมองคนไม่เจียมสังขารด้วยสายตาระอาเต็มทน
ใช่ว่าเขาไม่รู้ ช่วงนี้จ่าฝูงจอมดื้อดึงมักหายไปไหนเป็นประจำ แต่ก็คัดค้านอะไรไม่ได้ เพราะดูเหมือนคาดิเนียลจะเป็นห่วงเป็นใยความปลอดภัยของอาซาเอลมากกว่าอาการของตัวเองเสียอีก
ฮาบัสมิอาจเข้าใจว่าคาดิเนียลจะห่วงอะไรถึงเพียงนั้น ยอมรับว่าอาซาเอลก็ดูจะมีพลังเวทย์แข็งแกร่งอยู่พอตัว เป็นที่หมายปองของรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นหลายๆคนที่เริ่มระแคะระคายว่าเด็กหนุ่มร่างโปร่งเจ้าของผมสีดำสนิทนั้นน่าจะเป็นทรานส์ แต่ทั้งหมดนั่นมันน่าห่วงมากกว่าตนเองที่พลังเวทย์จะเหือดแห้งลงไปตอนไหนก็มิอาจรู้เชียวหรือ
อาซาเอลเองก็ระวังตัวถึงปานนั้น ซ้ำยังมีมินาคัสและแจนิวาลที่ปกป้องสหายราวไข่ในหิน ไม่รู้จ่าฝูงของเขาไปถูกตาต้องใจเข้าขนาดไหน ถึงได้ตามแผ่ไอเวทย์ข่มขู่ทุกคนที่จ้องอาซาเอลตาเป็นมันเสียจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เคยได้ยินซากานบ่นอยู่เหมือนกันว่าเพื่อนเขานั้นอาการหนักเต็มทีกับโรคติดแมว เพิ่งจะเข้าใจก็คราวนี้
“อวดดีไปเถิด ไอ้ล้มไปเองน่ะไม่น่าห่วง กลัวแต่จะมีใครมาทุบแล้วลากไปเชือดเสียมากกว่า”
ฮาบัสถอนหายใจหนักขณะเดินตามหลังเจ้าของห้องเข้ามาด้านใน เสียงประตูปิดไล่หลังยังไม่ดังเท่าเสียงถอนหายใจของเขาเลยกระมัง
“ตราบใดที่พระจันทร์ยังไม่กลายเป็นสีแดง ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง”
“ห่วงไว้หน่อยเถิดคาดิเนียล เราไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไร ถ้ามันมาถึง แม้แต่ฉันเองก็อาจจะพุ่งเข้าขย้ำคอนายเสียเองก็เป็นได้”น้ำเสียงของฮาบัสบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใดและนั่นทำให้คนที่ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างยียวน
“มีอะไรขุ่นเคืองกันขนาดนั้นเชียวรึ”
“ก็คิดว่าพอจะมีอยู่”ฮาบัสทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามเตียง
“อย่ามาขู่กันแบบนี้สิ น่ากลัวนะนั่น”แม้เอ่ยกลั้วหัวเราะแต่คาดิเนียลรู้ดี ว่าบทสนทนานี้จริงจังเพียงใด
คาดิเนียลยิ้มกว้างจนฮาบัสได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับหน้ายิ้มๆของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า หรืออะไรก็ตามแต่ คาดิเนียลมักปกปิดทุกอย่างนั่นด้วยรอยยิ้มแบบนี้เสมอ ทำราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไรเอาเสียเลย
ทั้งที่ลางมรณะกำลังคืบคลานเข้ามาแท้ๆ
พระจันทร์สีเลือด
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในรอบปี ใช้เรียกค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงถูกระบายด้วยสีแดงฉานดั่งสีโลหิต เป็นปรากฏการณ์ที่มิอาจทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นในเดือนใด บ้างเกิดในคืนเดือนเพ็ญท่ามกลางฤดูร้อนที่แสนอบอ้าว บ้างเกิดในคืนอันแสนเหน็บหนาวของเหมันตฤดู หรือท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ไม่ว่าฤดูกาลใด แสงสีแดงฉานนั้นจะฉายชัดในดวงตาของเหล่ามนุษย์ที่สืบเชื้อสายของหมาป่า
ราวกับเป็นคำสาปสายเลือด เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดกับสายพันธุ์อื่นแบบเฉพาะเจาะจง
แม้มิอาจทำนาย หากแต่มีสัญญาณเตือน
ความกระหายที่เริ่มปะทุจากภายใน พลังเวทย์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างกะทันหัน บ่งบอกให้เหล่าลูกหลานหมาป่าเตรียมตัวสำหรับคืนสำคัญที่สัญชาตญาณแห่งการล่าจะถูกปลุกขึ้นมาจนสิ้นไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจหรือศีลธรรมอันใดก็ยากจะหยุดยั้งความมืดในจิตใจที่ก่อเกิดเป็นตัวตนเข้าครอบงำหมาป่าทุกตน ไม่ว่าจะไฮบ์หรือทรานส์
สำหรับเหล่าหมาป่าแล้ว ในยามที่พระจันทร์เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เลือดจะเดือดพล่าน สัณชาตญาณตื่นขึ้นถึงขีดสุด แข็งแกร่งขึ้นในชั่วข้ามคืนทั้งพละกำลังและพลังเวทย์ กระนั้นดวงตากลับมืดบอดด้วยความต้องการจากเบื้องลึก กระหายการล่าและฆ่า แม้แต่ประกายไฟแห่งความขุ่นเคืองเพียงน้อยนิดก็โหมกลายเป็นเพลิงที่ผลาญได้ทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเพื่อน คนรัก หรือครอบครัว
ทำลายสิ้นด้วยน้ำมือตัวเอง
ที่กล่าวขานกันว่า พระจันทร์สีเลือด มิใช่เพียงเพราะสีของดวงจันทร์ในค่ำคืนนั้น แต่เพราะโลหิตที่อาบไปทั่วทุกหนแห่งที่หมาป่าเหยียบย่างเข้าไปเสียมากกว่า
“คนเรามันก็ไม่ถูกใจกันไปทั้งหมดหรอก ไม่งั้นจะมีคนตายเป็นเบือทุกคืนจันทร์สีเลือดรึ”ฮาบัสเอนหลังลงนอน เหม่อมองเพดานราวกับนึกภาพเหตุการณ์อะไรบางอย่าง “ก็โดนคนใกล้ตัวฆ่ากันทั้งนั้น”
จากแววตาแล้วคงเป็นภาพที่ไม่น่านึกถึงสักเท่าไร
“เพราะแบบนั้น นายน่าจะห่วงตัวเองเสียบ้าง ที่นี่ไม่ได้อันตรายแค่กับฉันหรอกนะ”คาดิเนียลเอนตัวลงนอนเช่นกัน ทว่าสายตายังจับจ้องอยู่ที่เพื่อนสนิท ก่อนจะเอ่ยประโยคเย้าแหย่เพื่อดึงอีกฝ่ายออกจากภวังค์ความคิดที่คงไม่น่าภิรมย์สักเท่าไร “คนปากร้ายอย่างนายน่าจะมีศัตรูมากกว่าฉันเป็นไหนๆ”
“โถ พ่อคนดี พ่อคนไม่มีศัตรู”เสียงทุ้มต่ำถูกบีบเป็นเสียงเล็กเสียงน้อยจิกกัดเจ้าของห้อง
แม้จะเป็นคนดี ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเกลียดขี้หน้า
คาดิเนียลถูกหมายหัวตั้งแต่เกิดมาเป็นไฮบ์ที่มีพลังแข็งแกร่ง ด้วยนั่นทำให้บัลลังก์ของใครบางคนสั่นคลอน
เราถูกมองเป็นฝูงย่อยที่พร้อมก่อกบฏ
แม้ไม่แสดงออก แต่ภายในใจลูกฝูงของคาเดฮัสคงไม่ใคร่พอใจคาดิเนียลนักหรอก สำหรับพวกนั้นแล้ว จ่าฝูงของฮาบัสไม่ต่างอะไรกับหอกข้างแคร่ ติดก็เพียงว่าคาเดฮัสรักคาดิเนียลเกินกว่าจะมองน้องเป็นศัตรู เช่นนั้นคืนจันทร์สีเลือดคงเป็นข้ออ้างชั้นดีในการสังหารหนามบนเส้นทางของคนที่พวกมันสนับสนุน แน่นอนว่าพวกเขาที่เป็นลูกฝูงของคาดิเนียล ก็เป็นเป้าหมายที่ควรกำจัดด้วยเช่นกัน
ปีก่อนพวกฮาบัสอยู่อย่างสงบสุขก็เพราะคาดิเนียลยังไม่เข้าเรียน แต่มาปีนี้ แม้พยายามอยู่อย่างเงียบๆแต่ดูเหมือนคลื่นใต้น้ำจะไหลแรงขึ้นทุกที ราวกับทุกฝ่ายบีบให้เกิดสงคราม
สงครามระหว่างพี่น้อง
เขาและคาเดฮัส
แม้ไม่เคยต้องการแย่งชิงตำแหน่งของพี่ชาย แต่คาดิเนียลต้องการพลังเพื่อปกป้องคนของตนจากอันตรายที่มิอาจเลี่ยง ผู้สนับสนุนคาเดฮัสมีมากเกินไป ไม่แปลกที่จะมีพวกชอบแหกกฎทำอะไรตามอำเภอใจแฝงตัวอยู่
“ฉันพูดจริงๆนะฮาบัส ปกป้องตัวเอง เพราะฉันมิอาจทำอะไรเพื่อพวกนายได้เลย”น้ำเสียงจริงจังทำให้ฮาบัสต้องหันไปมองสีหน้าของผู้พูด ทว่าคาดิเนียลหลับตาลงด้วยใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงออก
คาดิเนียลไม่เคยยอมรับตำแหน่งจ่าฝูง แต่เขารู้ดีว่าเพื่อนทุกคนคิดกับเขาอย่างไรจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในสถานการณ์ที่ต้องอยู่ร่วมกับฝูงอื่นเช่นนี้ มันควรจะเป็นหน้าที่ของจ่าฝูงในการปกป้องลูกฝูง หรืออย่างน้อย ก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ต้องปกป้องเพื่อน
ทว่าเขามิอาจทำได้ ด้วยข้อบกพร่องที่มี ในขณะที่หมาป่าทุกตัวแข็งแกร่งขึ้น เขากลับอ่อนแอลง ร่างกายต้องการรีดเค้นพลังเวทย์ทั้งหมด หากแต่เขามีให้เพียงครึ่งเดียว
มันจึงกลายเป็นความทรมานแสนสาหัสจนความตายอาจจะเจ็บปวดน้อยกว่า
จำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาร้องขอความตายเสมอในคืนจันทร์สีเลือด กระนั้นมันก็ไม่เคยเกิดขึ้น
เขาถูกขังเอาไว้ในห้องนอน นั่งร้องไห้ทุรนทุรายอยู่บนเตียง โดยมีใครบางคนที่จะตื่นขึ้นในคืนจันทร์สีเลือดเท่านั้นอยู่ในกรงอีกฝากหนึ่งของห้อง ขู่คำรามราวกับสาปแช่งที่เขายึดเอาชีวิตอีกฝ่ายมา เด็กตัวน้อยตัวสั่นเทา และจดจำสายตานั้นได้ไม่มีวันลืม
หลายปีผ่านไปที่ต้องเจอกับเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ จากความหวาดกลัวกลายเป็นรู้สึกผิด และสงสารจับใจ
ผู้เคราะห์ร้ายที่โดนพรากชีวิตปกติธรรมดาไปเพื่อต่อชีวิตให้กับเขา
เขี้ยวของเขา
คนรักของเพื่อน
บาป…ที่จะติดตัวเขาไปจนตาย
“จำไม่ได้สักนิดว่าพวกเราเคยร้องขอให้นายทำอะไรให้”เสียงจากหน้าประตูทำให้คนในห้องต้องลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองผู้บุกรุกที่เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขอ
ซากานเดินนำเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างทุกที เดินเข้าไปเบียดฮาบัสที่นั่งอยู่บนโซฟาจนคนตัวสูงกว่าต้องยอมลงมานั่งบนพื้น ตามมาด้วยเจ้าของเสียงเมื่อครู่ อัยที่มีสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดก้าวยาวๆมานั่งลงข้างๆคาดิเนียลบนเตียง ตามด้วยอูจีสที่ลากเก้าอี้ไม้จากโต๊ะอ่านหนังสือมานั่งถัดไปจากซากาน
“หงุดหงิดอะไรมา ถึงมาลงที่เพื่อนอย่างนี้เล่า”คาดิเนียลกระเซ้าคนข้างตัวที่ตีสีหน้าไม่รับแขกมาแต่ไกล แต่กลับได้รับคำตอบจากคนบนเก้าอี้ไม้แทน
“พาลน่ะสิ”
คำตอบนั้นทำให้อัยถลึงตาใส่คนตอบ
“หาไฮซันไม่เจองั้นรึ”ฮาบัสเอ่ยถามขณะมองอัยและอูจีสสลับกันไปมา
“ฉันบอกไปแล้วว่าหมอนั่นทำภารกิจสำเร็จไปแล้ว แต่มีบางคนไม่เชื่อ”อูจีสปรายตามองบางคนที่ว่าด้วยสายตากวนประสาท
“ทำภารกิจเสร็จก็ต้องกลับห้องไม่ใช่รึ แต่ห้องหมอนั่นเงียบกริบ”คำพูดใส่อารมณ์ของอัยบ่งบอกว่าอูจีสไม่ได้อธิบายรายละเอียดของภารกิจทรานส์ให้เพื่อนฟัง
จงใจปิดบังเพื่อให้อีกฝ่ายร้อนใจนั่นแหละ
คาดิเนียลหรี่ตามองอูจีสและได้รับรอยยิ้มจนเห็นเขี้ยวที่มุมปากกลับมา
“อาจจะหลับไปแล้วก็ได้ ทำใจเย็นๆไว้ก่อนเถิด”เจ้าของห้องเอ่ยพร้อมลูบหลังเพื่อนที่กำลังหายใจฮึดฮัด “แล้วนี่นายได้ชื่อทรานส์มาหรือยัง” เอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนประเด็น และคำตอบที่ได้คือการพยักหน้าส่งๆของอัย
“งั้นก็ดี”
“ว่าแต่พวกนายเถอะ เมื่อครู่คุยอะไรกันอยู่”คนถามมองฮาบัสกับคาดิเนียลสลับกัน ก่อนจะกอดอกเตรียมออกคำสั่งอย่างทุกที “เลิกห่วงอะไรไม่เข้าท่าแล้วหาทางรับมือกับจัสตินจะดีกว่านะนายน้อย”
คาดิเนียลถอนหายใจกับถ้อยคำประชดประชันที่มาพร้อมสรรพนามบาดหู
เกลียดคำนี้พอๆกับคำว่าจ่าฝูง และอัยก็ถนัดนักกับการทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจด้วยคำพูด
“กลัวอะไร แค่มีซากานอยู่ด้วยหมอนั่นก็เลิกสนใจฉันไปเอง”เอ่ยพร้อมปรายตามองคนบนโซฟาที่กระตุกยิ้มให้อย่างขอไปที
“งั้นก็เอาเวลาไปคิดว่าจะทำยังไงถ้ามีพวกบ้าเลือดหลุดเข้าไปในห้องนั้นได้”อัยเอ่ยขณะขยับตัวเปลี่ยนเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ทำตัวตามสบายราวกับเป็นห้องของตัวเอง
“เรื่องนั้นก็ไม่ต้องห่วง เพราะพวกนายคงไม่ปล่อยให้ใครรอดเข้าไปหรอก จริงไหม”เอ่ยด้วยรอยยิ้มจนตาปิด จนฮาบัสที่มองอยู่ได้แต่กลอกตา
“เพิ่งบอกว่าห่วงพวกฉันไปหมาดๆ กะจะใช้งานเต็มที่เลยไม่ใช่รึไง”
คาดิเนียลหัวเราะให้กับคำพูดประชดประชันของคนตัวสูงที่สุดในห้อง
“คงไม่มีใครที่ทำให้พวกนายถึงขนาดตึงมือหรอกกระมัง คนที่มาก็มีแต่พวกปลายแถวอยากสร้างผลงานก็เท่านั้น”เจ้าของห้องไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนักขณะเสกดวงไฟเวทย์ขึ้นมาอีกสองดวงด้วยจำนวนคนในห้องที่เพิ่มขึ้นและอากาศที่เริ่มหนาวเหน็บขึ้นไปทุกที และนั่นทำให้เขาโดนอัยฟาดเข้าให้แรงๆเสียหนึ่งทีจนดวงไฟเวทย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จดีดับวูบไป
แม้ช่วงนี้จะถูกกำชับหนักหนาให้รักษาพลังเวทย์เอาไว้ แต่ดูเหมือนคาดิเนียลจะมือเติบกับการใช้พลังเวทย์จนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
ดวงไฟสีขาวนวลที่ถูกจุดขึ้นจากปลายนิ้วของอัยช่วยทำให้ห้องอบอุ่นขึ้นได้มากโข มันดึงดูดสายตาของคนในห้องที่ไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ใด
“แต่ถ้ามีใครที่แข็งแกร่งโผล่มา ก็จงปกป้องตัวเอง”น้ำเสียงจริงจังที่หลุดออกจากปากคนหน้ายิ้มถูกตอบกลับด้วยความเงียบ
“ห้ามตาย นี่เป็นคำสั่ง จากจ่าฝูงของพวกนาย”
“พูดขนาดนี้ต่อให้ตายก็คงต้องหนียมทูตกลับมาแล้วกระมัง”
ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะจากคำพูดของฮาบัส ทว่าก็ต้องเงียบลงอีกครั้งเพราะเสียงเคาะประตูและเสียงเรียกที่ทำให้คาดิเนียลต้องปรายตามองฮาบัสแม้อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ดูเหมือนของฝากจากฮาบัสจะกลับมาล้างแค้นเสียกระมัง
“เข้ามา”
สิ้นคำเอ่ยอนุญาตประตูก็เปิดออกพร้อมร่างสูงที่ก้าวเข้ามา มินาคัสชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อพบว่าสมาชิกในห้องมีมากกว่าที่คิดไว้ แม้สัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่หลากหลายแต่ก็ไม่คิดว่าจะอยู่กับครบเช่นนี้
“มีธุระอะไรงั้นรึ”เจ้าของห้องเอ่ยถาม
“ฉันมีธุระกับนาย”คำพูดที่เฉพาะเจาะจงเจ้าของห้องจนคนที่เหลือรู้สึกเป็นส่วนเกินขึ้นมาทันทีนั้นทำให้คาดิเนียลได้แต่เอียงคอสงสัย
คิดว่ามาหาฮาบัสเสียอีก
“เรื่องอะไรกัน พวกฉันก็อยากฟังด้วยนะเนี่ย”อัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสร้งไม่เข้าใจความนัยของมินาคัส
“เรื่องอาซาเอล”
น้ำเสียงเรียบๆกับรอยยิ้มบนริมฝีปากบางนั่นบ่งบอกว่าถือไพ่เหนือกว่าเสียจนคนในห้องอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่เพียงชื่อใครคนนั้นหลุดออกมาก็เป็นอันรู้กันโดยเจ้าของห้องไม่ต้องเอ่ยปาก เหล่าหมาป่าลุกเดินออกจากห้องไปทีละคนโดยมีมินาคัสที่เปิดทางให้ด้วยรอยยิ้มที่แจนิวาลและอาซาเอลมักจะเรียกมันว่ารอยยิ้มของเทพบุตรจอมปลอม
“มีเพื่อนติดแมวก็งี้แหละนะ”ฮาบัสที่เดินออกไปเป็นคนสุดท้ายเอ่ยลอยๆก่อนพ้นกรอบประตู และนั่นทำให้มินาคัสตวัดสายตากลับมามองเจ้าของห้อง
“พวกนั้นรู้งั้นรึว่าอาซาเอลเป็นทรานส์”เอ่ยถามทันทีที่ประตูปิดลง
“ก็ไม่เห็นต้องปิดบัง”คาดิเนียลเอ่ยเรียบๆก่อนจะเชิญให้แขกนั่งลงที่โซฟา
“แปลกใจจริงๆที่คุณมาอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องทำภารกิจแล้วรึ”
ถามด้วยรอยยิ้มทั้งที่ตาไม่ยิ้มตาม
พูดตามตรงว่าไม่ถูกชะตากับคนตรงหน้าสักเท่าไร แม้จะโล่งใจที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นทรานส์จึงมิอาจทำให้อาซาเอลเป็นเขี้ยวได้ แต่การที่มินาคัสอยู่ใกล้อาซาเอลเสมอก็เป็นภาพที่ขัดใจคาดิเนียลไม่น้อย
“ภารกิจอะไรกัน”
ตอบด้วยรอยยิ้มจอมปลอมให้สมกับรอยยิ้มเสแสร้งของอีกฝ่าย
ใช่ว่าไม่รู้ตัวเรื่องโดนจับได้ แต่ตราบใดที่ไม่ยอมรับ สิ่งที่คาดิเนียลมั่นใจก็จะกลายเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ คุณมีธุระอะไรกับผมงั้นรึ”รอยยิ้มบนริมฝีปากหายไป แทนที่ด้วยแววตาจริงจัง จะให้กวนประสาทกันทั้งคืนก็ย่อมได้ แต่หัวข้อสนทนาที่มินาคัสบอกมาทำให้เขาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
การที่มินาคัสทิ้งภารกิจมาเช่นนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ฝ่ายคนที่ยอมทิ้งภารกิจด้วยคิดว่าได้โอกาสเหมาะที่จะคุยกับคาดิเนียลเสียให้เรียบร้อยเอนตัวพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆราวกับกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ทว่าคำที่ออกจากปากแขกผู้มาเยือนนั้นสร้างความประหลาดใจให้เจ้าของห้องได้อีกหน
“ภารกิจภาคสนามที่กำลังจะเกิดขึ้น คุณต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกับผม”
“ทำไมผมต้องทิ้งเพื่อนไปอยู่กับคุณ”คาดิเนียลเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าที่เริ่มจะก่อกวนอารมณ์คู่สนทนา
เขาไม่ชอบท่าทีหยิ่งยโสนั่นเอาเสียเลย
ออกคำสั่งราวกับอยู่เหนือกว่า
น่าหงุดหงิดจริงๆ
“ไม่ใช่อยู่กับผม”เว้นจังหวะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายกลั้นหายใจรอคำตอบ “แต่อยู่กับอาซาเอล”
คาดิเนียลเงียบไปตามคาด
ไฮบ์หนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่มินาคัสเสนอ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร่างโปร่งตรงหน้านี้ขัดขวางเขาอยู่ในที แม้ไม่แสดงออกแต่ก็กันท่าเขาจากอาซาเอลอยู่บ่อยครั้ง แล้วเหตุใดจึงยื่นข้อเสนอให้เขาได้ใกล้ชิดเพื่อนสนิทตน
“บอกตามตรงว่าอาซาเอลตกอยู่ในอันตราย ผมต้องการคนช่วยปกป้องเขา ใครก็ได้ที่แข็งแกร่งพอ”มินาคัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง และคำว่าอันตรายที่มาพร้อมชื่อของอาซาเอลทำให้คาดิเนียลแน่นในอกอย่างประหลาด
“แต่ถ้าหากคุณไม่สนใจ ก็ไม่เป็นไร ผมจะไปหาคนอื่นแทน”สิ้นประโยคก็หยัดตัวขึ้นยืน คล้ายจะออกจากห้องทันทีถ้าหากอีกฝ่ายยังเงียบอยู่
“ถ้าอยากให้ผมร่วมมือ ก็อธิบายมา ใครหรืออะไร ที่ปองร้ายอาซาเอล”
ขนอ่อนทั่วร่างแทบจะลุกชันเมื่อมินาคัสสบสายตาแข็งกร้าวของไฮบ์หนุ่ม
ราวกับว่าเขาพร้อมทำลายสิ้นซึ่งใครหรืออะไรก็ตามที่หมายทำร้ายอาซาเอล
นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากมินาคัสตกอยู่ในสถานการณ์นี้เมื่อสักสี่ห้าปีก่อนจะรู้สึกริษยาเพียงใด ที่คาดิเนียลทำราวกับอาซาเอลเป็นสมบัติของตน และไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาแตะต้อง
ทว่าในยามนี้ ท่าทีของไฮบ์หนุ่มกลับทำให้เขาโล่งอกอย่างประหลาด เพราะไม่ว่าอย่างไร หากคาดิเนียลยังอยู่ อาซาเอลจะปลอดภัย
hf
มินาคัส
ไอ้เทพบุตรจอมปลอม!!
เสียงก่นด่าในใจเป็นพันครั้งยังไม่ทำให้อาซาเอลใจเย็นลง ทรานส์หนุ่มกำหมัดแน่นทุบพื้นที่ตนทรุดนั่งอยู่เป็นการระบายอารมณ์ เกลียดการโดนหลอกเช่นนี้เป็นที่สุด จะไม่มาด้วยกันก็บอกดีๆสิ มาหนีไปแบบนี้มันน่าหงุดหงิดเกินไป
แต่ถ้ามินาคัสบอกตั้งแต่ต้นว่าจะไม่มาด้วย เขาก็คงทิ้งคลาสนี้ไปแล้ว ใครจะอยากเข้าคลาสน่าสงสัยพรรค์นี้ตามลำพังกัน
“ดูเหมือนคุณจะไม่เต็มใจเข้าเรียนสักเท่าไรเลยนะ”เสียงนุ่มติดแหลมที่เคยได้ยินในเทเลพาธีทำให้คนที่นั่งฮึดฮัดอยู่กับพื้นต้องดีดตัวขึ้นยืนอย่างระแวง สายตาคมจ้องตอบอาจารย์ร่างเล็กที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างไม่เป็นมิตรจนผู้อวุโสกว่าหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางนั้น
ไม่บอกยังรู้เลยว่าเด็กคนนี้สืบเชื้อสายใด
“คุณเป็นอาจารย์ประจำวิชานี้งั้นหรือ”อาซาเอลเอ่ยถาม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระเสียเหลือเกิน ในห้องสีขาวสะอาดจนแทบมองไม่ออกว่ารอยเชื่อมของผนัง เพดาน และพื้นห้องอยู่ตรงไหนนั้นมีเพียงเขาและชายตรงหน้า ถ้าคนๆนี้ไม่ใช่อาจารย์เจ้าของวิชาแล้วจะเป็นใครได้อีก
“ไม่ต้องรู้สึกว่าคำถามของตัวเองแสนจะงี่เง่าหรอกนะ เพราะคนอื่นๆกว่าร้อยละ 80 ก็เอ่ยถามแบบเดียวกับคุณเป็นสิ่งแรกกันทั้งนั้น”เจ้าของมิติพื้นที่ไหวไหล่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ฉับพลันเก้าอี้ไม้เรียบๆตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นรองรับร่างของอาจารย์ประจำวิชาอย่างพอดิบพอดี
“เรียกฉันว่าคีย์”อาจารย์ร่างเล็กเอ่ยต่อ ก่อนจะผายมือให้อาซาเอลนั่งลงท่ามกลางความว่างเปล่า กระนั้นนักเรียนร่างสูงก็ยอมย่อตัวลงนั่งในอากาศตามคำสั่ง ทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นรองรับร่างของเขากลับกลายเป็นโขดหินเย็นชื้น ชั่วพริบตาห้องทั้งห้องก็เปลี่ยนเป็นป่าดิบชื้นที่แว่วเสียงน้ำตกอยู่ไม่ไกล
ทรานส์หนุ่มเบิกตากว้างกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คาดคิด
มิติพื้นที่ที่เปลี่ยนได้อย่างฉับพลันเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงห้องทดสอบภาคปฏิบัติ และนั่นทำให้ขนคอลุกชันอย่างห้ามไม่ได้
ดวงตาคมกวาดมองไปโดยรอบ จมูกเชิดรั้นสูดกลิ่นของผืนดินและความชื้น
สมจริงเสียยิ่งกว่าการทดสอบปฏิบัติเสียอีก ราวกับเขาหลุดออกมาอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่ง หากมีสัตว์สักตัวเดินผ่านหน้าเขาไปตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก และทันทีที่คิดเช่นนั้น หางตาของเขาก็มองเห็นสัตว์ตัวโตสีดำสนิทที่กระโดดผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางพุ่มไม้ที่สูงท่วมหัว
อาซาเอลสะดุ้งสุดตัว หันตามการเคลื่อนไหวเพียงชั่วพริบตานั้นด้วยนัยต์ตาเบิกกว้าง ก่อนจะหันกลับมามองคนที่นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิมด้วยความตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด
“คุณบอกให้เรียกคุณว่าคีย์ ราวกับนั่นไม่ใช่ชื่อจริงของคุณ”ร่างสูงเอ่ยขึ้นหลังจากหลุดจากความสับสนและหาเสียงตัวเองเจอ การแนะนำตัวของอาจารย์หนุ่มค่อนข้างประหลาด เขาไม่ได้บอกตรงๆว่าตนชื่ออะไร ราวกับชื่อที่บอกมาเป็นฉายาหรืออะไรสักอย่างทำนองนั้น
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันหลงลืมชื่อจริงของตัวเองไปแล้ว จำได้เพียงชื่อนี้”อาจารย์ร่างเล็กตอบด้วยท่าทีสบายๆแม้การหลงลืมชื่อของตนเองจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากสำหรับอาซาเอลก็ตามที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนอีกฝ่ายขำออกมาเบาๆอีกหน
“ฉันเป็นหนึ่งในห้าของผู้ก่อตั้งโรงเรียนเชนโตเออูโน”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้อาซาเอลหูอื้อตาลายไปได้ด้วยความมึนงง ตามความเข้าใจของเขาผู้ก่อตั้งโรงเรียนมีเพียงสองคนคือผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการคนปัจจุบัน ถ้าสิ่งที่คีย์พูดเป็นความจริง แล้วอีกสองคนที่เหลือคือใคร
“ไม่ต้องแปลกใจที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของฉัน”อาจารย์หนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์จนยากจะเชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนเอ่ยอย่างไม่ยี่หระกับสายตาเคลือบแคลงของเด็กหนุ่ม
“ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างมิติพื้นที่และมิติเวลา การสร้างและปรับเปลี่ยนมันเป็นหน้าที่ของฉัน ส่วนการคงรูปและรักษาพวกมันเป็นหน้าที่ของยูโนดิซัส หมอนั่นถนัดนักเรื่องใช้พลังเวทย์อย่างสิ้นเปลือง”
การเรียกชื่อตัวของผู้อำนวยการด้วยน้ำเสียงสบายๆซ้ำยังจิกกัดอยู่ในทีนั้นทำให้อาซาเอลขนลุกขึ้นมาทันที ราวกับพวกเขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน
ถ้าเช่นนั้น อาซาเอลควรจะระวังภัยคนตรงหน้าด้วยหรือไม่
“ทว่าฉันหลงใหลในการท่องไปในมิติเสมือนเหล่านี้มากเกินไป จนกระทั่งหลงอยู่ในมิติที่ตัวเองสร้างขึ้น”ถ้อยคำกลั้วหัวเราะทั้งที่เรื่องราวที่เล่าแสนหดหู่นั้นทำให้อาซาเอลขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เคยได้ยินเหมือนกันว่ามีคนหลงอยู่ในวังวนมิติที่ตัวเองสร้างจนไม่อาจออกไปได้ ตัวตนบนโลกจริงถูกลบ เหลือเพียงตัวตนในโลกเสมือนเท่านั้น
ไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนแบบนั้นเข้าจริงๆ
“น่าตลกใช่มั้ยที่จนตอนนี้ก็ยังออกไปไม่ได้”อีกฝ่ายเลิกคิ้วถาม
“คุณคิดว่าเป็นเรื่องตลกงั้นหรือ”อาซาเอลถามกลับ
“มันเป็นตลกร้าย”คีย์ตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม น้ำเสียงทะเล้นอย่างที่เขาสัมผัสได้จากเทเลพาธี
“หากฉันไม่หลงอยู่ที่นี่อาจจะต้องพบเจอความเจ็บปวดแสนสาหัสไปแล้วก็ได้”เสียงอาจารย์หนุ่มเบาลงจนราวกับเสียงกระซิบ
“การติดอยู่ในนี้ก็ไม่ได้แย่นักหรอก ฉันจะยังคงความเยาว์วัยไปได้ตราบนานเท่านาน และมีชีวิตอยู่ได้ตราบเท่าที่ข่ายเวทมนตร์หลักของโรงเรียนยังไม่ถูกทำลาย ซึ่งนั่นอาจเหมือนถึงชั่วนิรันดร์”อาจารย์หนุ่มยิ้มกว้างและอาซาเอลสัมผัสได้ว่าเขาคิดตามที่พูดจริงๆ
“ในนี้จะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ตามจินตนาการของฉัน และบางครั้งก็เปลี่ยนไปตามความรู้สึกนึกคิดของคนที่เข้ามา”
ทันทีที่อาจารย์หนุ่มสะบัดปลายนิ้ว รอบตัวอาซาเอลก็พลันเปลี่ยนเป็นภาพใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทะเลทรายกว้างสุดสายตา ทุ่งน้ำแข็ง หรือแม้แต่บ้านแสนอบอุ่นหลังหนึ่ง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเวิ้งกว้างสีดำสนิทราวกับไร้ที่สิ้นสุด และกลุ่มเมฆหมอกแปลกตาที่ส่องประกายในความมืด มันคือสิ่งที่เรียกว่า อวกาศ
เพียงเด็กน้อยกระพริบตาอีกหน เขาก็กลับมาอยู่บนโขดหินก้อนเดิม กับรอยยิ้มเอ็นดูบนริมฝีปากของคนตรงหน้าที่ทอดมองเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งซึ่งบัดนี้ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“อยากอยู่ที่นี่กับฉันรึเปล่า”
ราวกับเป็นถ้อยคำดึงสติของอาซาเอล
ทรานส์หนุ่มสะบัดหน้าพรืดจนผมแทบไม่เป็นทรงและนั่นทำให้คีย์ขำออกมายกใหญ่
ไม่ว่าจะงดงามเพียงใดแต่ที่นี่ไม่ใช่ของจริง ไม่มีคนที่รัก ไม่มีคนที่เกลียด ไม่มีอะไรเลย
“เหตุผลหลักที่ฉันยังคงได้รับหน้าที่ดูแลนักเรียนที่เป็นทรานส์ ไม่ใช่เพราะฉันเชี่ยวชาญการสร้างมิติเหล่านี้ แต่เพราะฉันก็เป็นทรานส์เช่นกัน จริงๆแล้วพวกนั้นควรจะปลดประจำการณ์ฉันไปสักที ใช้งานกันมาหลายสิบปีแล้วไม่เห็นอกเห็นใจกันบ้างเลย”คีย์ถอนหายใจอย่างไม่จริงจังนัก เพราะหากเขาไม่ได้รับมอบหมายให้สอนวิชานี้ ก็คงแทบไม่ได้เจอใครเลย การท่องไปในจินตนาการของตนเองมาหลายสิบปีนั้นเพียงพอแล้วสำหรับเขา ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาสนุกคือการได้พบเจอนักเรียนใหม่ๆทุกปีมากกว่า
“เอาล่ะ ฉันเล่าเรื่องของฉันไปหมดแล้ว ถึงคราวคุณเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง”อาจารย์หนุ่มผายมือเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้พูดบ้าง
อาซาเอลกลอกตาอย่างใช้ความคิด
“ผมชื่ออาซาเอล เป็นทรานส์ประเภทแมว ปีนี้อายุยี่สิบพอดี”เด็กหนุ่มตอบด้วยท่าทีที่ดูสบายขึ้นกว่าตอนแรก ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่งแล้วตัดจบด้วยประโยคที่ทำให้คีย์เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “นอกนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ”
“คุณควรบอกด้วยว่าเป็นพวกขี้ระแวงแบบสุดกู่”คีย์กระเซ้าคนที่บอกข้อมูลส่วนตัวเพียงน้อยนิดกับคนแปลกหน้า
“ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงถามอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วเริ่มเรียนทันที”อาจารย์หนุ่มหยัดตัวยืนขึ้นเต็มความสูง “แต่กับคุณ ฉันต้องการรู้ทุกเรื่อง”
ทรานส์หนุ่มมีแววตาแข็งกร้าวขึ้นทันที
หรือนี่จะเป็นกับดักของผู้อำนวยการที่ต้องการล้วงความลับของเขา เช่นนั้นเหตุใดมินาคัสจึงทิ้งเขาไว้ตามลำพัง
“หน้าที่ฉันคือปกป้องทรานส์ และปกป้องโรงเรียนนี้คุณอาซาเอล”เป็นครั้งแรกที่คีย์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังนับตั้งแต่พบหน้ากัน
“ฉันจำเป็นต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างของนักเรียนเพื่อทำให้เขาพัฒนาได้สูงสุดตามศักยภาพที่มี ต้องรู้ แม้แต่สิ่งที่เจ้าตัวไม่รู้”ดวงตาเรียวที่มองลึกเข้ามาในดวงตาของเขาทำให้อาซาเอลรู้สึกเหมือนกำลังโดนขุดลึกลงไปในเบื้องลึกของจิตใจจนต้องหลบสายตา
“สิ่งที่ฉันรู้ตอนนี้คือ คุณกลัว กลัวว่าฉันจะเป็นพวกเดียวกับยูโนดิซัส”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง และนั่นทำให้อาจารย์ร่างเล็กกลับมายิ้มอีกหน
“ถึงฉันจะเป็นเพื่อนกับเขามานาน แต่เพราะพลังของเขารบกวนมิติของฉัน เช่นนั้นเราจึงไม่ได้พบหน้ากันนานแสนนานแล้ว การคุยกันผ่านเทเลพาธีไม่ได้ทำให้ฉันรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปแค่ไหน ยังเป็นคนเดิมที่ทำทุกอย่างเพื่อโรงเรียนและนักเรียนอยู่หรือไม่”
“สิ่งที่ฉันได้ยินมาคือเขากลับกลายเป็นใครอีกคน ที่เป็นภัยร้ายต่อนักเรียน โรงเรียน หรือแม้แต่โลกใบนั้น โลกที่ฉันไม่อาจกลับไปได้อีก แม้ฉันไม่ปักใจเชื่อว่าจะมีอะไรเปลี่ยนเขาได้ถึงเพียงนั้น”ท้ายประโยคเบาลงแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่ชัดเจนขึ้น “แต่เชื่อเถิดคุณอาซาเอล หากเขาเป็นภัยต่อเชนโตเออูโน ต่อทรานส์แม้แต่คนเดียวบนโลกใบนี้ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อหยุดเขา”
“และสิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้คือช่วยให้คุณแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเอาตัวรอดจากยูโนดิซัส หรือใครก็ตามที่คิดใช้ประโยชน์จากคุณ”
อาซาเอลมองคนตรงหน้า จ้องลึกเข้าไปในดวงตาอย่างที่อีกฝ่ายทำ และสัมผัสได้ถึงความจริงใจอย่างท่วมท้นจากคนที่ดูอย่างไรก็เจ้าเล่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย
“ฉันยังไม่ได้บอกคุณอีกสองเรื่อง”
“เรื่องแรก ฉันเป็นหนึ่งในพันธมิตรของเหล่ากบฏแห่งเชนโต ตราบเท่าที่ยูโนดิซัสเป็นภัยร้ายจริง”
สิ่งที่มินาคัสเล่าย้อนกลับมาในระบบนึกคิดของอาซาเอลอีกครั้ง หากเป็นจริง เขาก็รู้เหตุผลที่มินาคัสทิ้งเขาไว้ตามลำพังแล้วในตอนนี้
“อีกเรื่อง”
“คือฉันเป็นทรานส์ที่มีภาชนะที่สอง”
“เหมือนคุณ”
“คราวนี้คุณจะเปิดอกพูดกับฉันได้รึยัง”
ร่างของจิ้งจอกสีขาวนวลที่มีสองหางตรงหน้าทำให้อาซาเอลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิต ที่เขาได้เผชิญหน้ากับคนที่เป็นแบบเดียวกับตน
ภาชนะที่สอง
ที่ยังมีชีวิตอยู่
แม้มีชีวิตอยู่เพียงในโลกเสมือนแห่งนี้ก็ตาม
hf
เจ้าของห้องนอนลืมตามองเพดานทว่าความสนใจไม่ได้จดจ่ออยู่ตรงนั้น คาดิเนียลนอนคิดเกี่ยวกับสิ่งที่มินาคัสพูดมานานหลายนาทีหลังจากส่งแขกออกจากห้องไป
อาซาเอลเป็นภาชนะที่สอง
นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากไปกว่าสนใจในตัวอาซาเอลมากขึ้น ไม่ว่าไฮบ์คนใดก็คงคิดไม่ต่างจากเขา
ในขณะเดียวกันก็เป็นห่วงแมวดื้อมากขึ้นไปอีก
อย่างที่บอก
ไม่ว่าใครก็คงปิดความกระหายไว้ไม่มิดเมื่อพบเหยื่อที่คู่ควรแก่การล่า แล้วจะมีอีกกี่คนที่จ้องอาซาเอลตาเป็นมันแบบที่คาดิเนียลไม่ชอบใจทุกครั้งที่เห็น แค่ทุกวันนี้ก็มีมากจนน่าหงุดหงิดอยู่แล้ว
ประเด็นนั้นหลุดออกจากระบบความคิดทันทีเมื่อมินาคัสเอ่ยถึงคนที่เขาไม่คิดว่าจะอยู่ในบทสนทนานี้ได้
ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายร้องขอให้เขากางอาณาเขตเวทมนตร์ก่อนเริ่มบทสนทนา
คนที่ไม่คิดว่าจะเข้ามาร่วมในการล่ากลับหมายตาแมวของเขา
ยูโนดิซัส
บุคคลที่พ่อของเขาออกปากชื่นชมอยู่เสมอ
ไม่คิดว่าจะมีเบื้องหลังเช่นนี้
เปิดโรงเรียนเพื่อล่อลวงนักเรียนที่น่าสนใจงั้นหรือ หรือเพียงมักมากในอำนาจจึงหมายปองทรานส์ที่แข็งแกร่งไว้ในครอบครอง
มินาคัสไม่ได้เอ่ยถึงเหล่ากบฏหรือแม้แต่การที่ตนเป็นผู้รักษาสมดุล เขาบอกเพียงว่าอาซาเอลตกอยู่ในอันตรายด้วยผู้อำนวยการของสถาบันนั้นสนใจทรานส์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ เหล่าทรานส์ที่มีภาชนะที่สองหายสาบสูญจากหน้าประวัติศาสตร์ของสถาบันมามากมาย แต่กลับไม่มีใครทันสังเกตหรือนึกสงสัย เหล่านี้เป็นคำบอกเล่าจากอาจารย์ซาฮาล กระนั้นมินาคัสก็ไม่ได้บอกที่มาของเรื่องเล่า บอกเพียงเขาได้ฟังมาอีกต่อหนึ่งและคิดว่ามีมูลจึงอยากปกป้องอาซาเอลจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ตราบเท่าที่อาซาเอลยังอยู่ภายใต้อำนาจของยูโนดิซัส
คาดิเนียลกวาดสายตามองรอบตัวและนึกหงุดหงิดที่ทุกกระเบียดนิ้วรอบตัวเขาเกิดจากคนที่มีเบื้องหลังดำมืดเช่นนั้น
ใช่ว่าเขาขาวสะอาดจนมีสิทธิ์เหยียดหยันความชั่วของผู้อื่น ทว่าการกระทำของยูโนดิซัสนั้นน่ารังเกียจเกินไป
นักรบที่แท้จริงคือผู้ที่ฟาดฟันกับผู้ที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด ใช้อำนาจเพื่อปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า มิใช่เหยียบย่างลงบนซากศพของผู้ไร้ทางสู้เพื่อขึ้นสู่เป้าหมาย
เขารับไม่ได้กับผู้นำเช่นนั้น
ตระกูลของเขาไม่เคยสั่งสอนให้จ่าฝูงทำสิ่งสกปรกเช่นนั้นมาก่อน
เราปกครอง แต่ไม่เคยคิดทำลายคนในปกครองของเรา
แล้วยูโนดิซัสเป็นอาจารย์ประเภทไหนถึงได้ล่อลวงลูกศิษย์ของตน
ทุเรศสิ้นดี
คาดิเนียลคำรามในลำคอก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง ส่งเทเลพาทีเรียกรวมเหล่าหมาป่าที่เพิ่งแยกย้ายกันกลับที่พักได้ไม่นาน
มินาคัสบอกให้เขาพาเพื่อนไปร่วมกลุ่มกับอาซาเอลได้คนหนึ่ง หากต้องการ ทว่าห้ามเล่าอะไรให้คนอื่นฟัง แม้ไฮบ์หนุ่มจะยืนยันหนักแน่นว่าฝูงของเขาไว้ใจได้ แต่มินาคัสกลับสวนด้วยคำที่ทำให้เขาสะอึก
‘คุณคิดว่าคนอย่างอาซาเอลจะรู้สึกอย่างไรหากมีใครรู้ความลับของเขามากไปกว่านี้’
ใบหน้าของอาซาเอลที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ยามเอ่ยถึงภาชนะที่สองในห้องสมุดวนกลับมาอีกหน บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมน้ำเสียงและแววตาของแมวน้อยจึงรวดร้าวทรมานได้ถึงปานนั้น การถูกใครสักคนพบจุดอ่อนที่พยายามซุกซ่อนไว้คงเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีเกินรับได้สำหรับคนอย่างอาซาเอล
ทว่าในสถาการณ์ที่อีกฝ่ายเป็นบุคคลแข็งแกร่งเช่นนี้ คาดิเนียลย่อมต้องการคนที่ไว้ใจได้ไว้ข้างกาย หากทำได้ก็อยากยกกันไปทั้งฝูง ให้รู้กันไปว่าฝูงของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครที่ไหน แต่การทำเช่นนั้นคงทำให้เกิดข้อสงสัยในตัวอาซาเอลหรือคนอื่นๆในกลุ่มมากขึ้นไปอีก
ใครก็ตามที่ฝูงหมาป่าออกมาปกป้องย่อมตามมาด้วยข่าวลือต่างๆนานาอย่างไม่ต้องสงสัย
เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียเปล่าๆ
“มันจะไม่เกินไปหน่อยรึไงพ่อคุณ นึกจะไล่ก็ไล่ พอจะใช้ก็เรียก”เสียงค่อนขอดดังมาจากคนแรกที่เปิดประตูเข้ามา เจ้าของร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะยกเท้าเกยโต๊ะด้านหน้าราวกับเป็นห้องของตัวเอง
“อัยล่ะ”เจ้าของห้องเอ่ยถามหลังจากประตูปิดลงแต่ไม่เห็นวี่แววของเพื่อนอีกคน
“ไฮซันกลับมาแล้ว อัยบอกว่าอีกเดี๋ยวจะตามมา”เป็นซากานที่เอ่ยตอบขณะยืนกอดอกพิงผนังห้อง ใบหน้าคมบุ้ยใบ้ให้คาดิเนียลมองอูจีสที่ชักสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“มองอะไรกัน”คนโดนจ้องเลิกคิ้วด้วยท่าทางไม่ใคร่พอใจนัก เขากำลังหงุดหงิดกับท่าทางของอัยตอนที่เปิดประตูออกมาบอกให้พวกเขาทั้งสามล่วงหน้าไปก่อน ด้วยกำลังลงโทษกระต่ายซนอยู่
ให้ตายสิ
อยากฉีกเนื้อสดๆระบายอารมณ์ชะมัด
“ตกลงว่ามีอะไร เรียกมาดึกๆดื่นๆ เกิดอะไรขึ้นระหว่างนายกับมินาคัสงั้นรึ”ซากานเอ่ยถามเพื่อเข้าบทสนทนาที่ทำให้พวกเขาต้องมารวมกันที่ห้องคาดิเนียลอีกครั้งหลังแยกย้ายกันไปนอนแล้ว
“เขามาหานายทำไมน่ะ ทำตัวลึกลับจนน่าสงสัย”ฮาบัสลดเท้าลงจากโต๊ะ เอ่ยถามด้วยท่าทางจริงจังแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“เรื่องอาซาเอล”ไฮบ์หนุ่มเจ้าของห้องทรุดนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าท่าทางที่เห็นได้ชัดว่ากำลังเคร่งเครียดเพียงใด และท่าทางแบบนั้นของผู้นำก็ทำให้ซากานเลิกคิ้วอย่างสงสัย พอเป็นเรื่องของทรานส์คนนั้นทีไร จ่าฝูงของเขาเป็นอันอยู่ไม่สุขทุกครั้ง
มันก็ดีหากสิ่งที่กำลังก่อตัวเป็นความรัก
แต่ถ้าไม่ใช่
เขาก็อดสงสารอาซาเอลไม่ได้ หากต้องเผชิญหน้ากับความกระหายของคาดิเนียลโดยปราศจากความรู้สึกลึกซึ้งใด
ก่อนบทสนทนาจะเริ่ม สมาชิกในห้องนอนสีเข้มก็ต้องหันมองไปยังประตูที่เปิดออกเป็นสายตาเดียว อัยเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ที่มันกว้างขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของอูจีส
กระนั้นก็มีสิ่งอื่นที่ดึงความสนใจของอัยได้ดีกว่าการกวนอารมณ์ทรานส์หนุ่ม
“มีเรื่องสำคัญอะไรกัน ถึงขั้นต้องกางเขตแดนเลยรึ”คำพูดของอัยทำให้คนทั้งสามที่มาถึงก่อนรู้ตัวว่าตนอยู่ภายใต้เขตแดนของคาดิเนียล อาจเพราะคุ้นเคยกับพลังของเพื่อนเป็นอย่างดีจึงไม่ทันสังเกตว่ามีอาณาเขตกั้นห้องนี้กับภายนอก
ในสภาพแบบนี้ ทำไมถึงกล้ากางเขตแดน
ฮาบัสขมวดคิ้วมองเจ้าของห้องที่ทำอะไรไม่เจียมสังขารอย่างที่เขาออกปากบ่นจนเบื่อ
“อย่าบอกนะว่าจะทำอะไรพิเรนทร์อีก”อัยหันมาจับผิดเจ้าของห้องที่นั่งตีสีหน้าเครียดจนไม่เหมือนคนกำลังเล่นสนุกสักเท่าไร
สำหรับฝูงหมาป่าผู้ไม่เกรงกลัวกฏอย่างพวกเขาแล้วการกางเขตแดนเพื่อแอบใช้เวทย์บทที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้นั้นเกิดขึ้นเป็นประจำ บางครั้งก็ด้วยเรื่องภายในตระกูล แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเล่นสนุกเสียมากกว่า
น่าแปลกที่จนป่านนี้ยังไม่มีใครมาตรวจสอบ ทั้งที่พี่ชายของคาดิเนียลเคยเตือนไว้ว่าคนที่กางเขตแดนส่วนตัวภายในโรงเรียนบ่อยๆจะโดนพวกอาจารย์เพ่งเล็ง
“นั่งลงเสียอัย”คำสั่งเสียงเข้มแบบที่คาดิเนียลใช้ไม่บ่อยนักด้วยพวกเขาเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่นายกับบ่าว คาดิเนียลมักพูดเสมอว่าสิ่งที่ออกจากปากเขาเป็นคำขอ ไม่ใช่คำสั่ง ทว่าครั้งนี้มันมีบรรยากาศแบบที่ทำให้อัยแทบทรุดนั่งลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัว
ไฮบ์ผู้สืบเชื้อสายหมาป่าไคโยตี้นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดชนิดหนึ่งยอมสยบให้กับหมาป่าสีเทาที่แข็งแกร่งกว่า อัยก้าวขาเร็วๆไปนั่งลงข้างฮาบัสก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนอย่างขอคำอธิบายว่าอะไรทำให้คาดิเนียลตึงเครียดถึงเพียงนั้น ทว่าฮาบัสทำเพียงไหวไหล่ด้วยไม่รู้อะไรพอๆกัน
“ภารกิจภาคสนามของวิชาเล่นแร่ ฉันจะไปกับกลุ่มของอาซาเอล”เสียงทุ้มเอ่ยบอกสิ่งที่ทำให้คนที่เหลือแสดงสีหน้าสับสนกว่าเก่า
“เพื่ออะไร”ฮาบัสเอ่ยถามสิ่งที่ทุกคนสงสัย
“ดูแลอาซาเอล”
“มันจะเกินไปหน่อยไหมเพื่อน ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วยซ้ำ ไปตามติดเขาแจเดี๋ยวก็โดนด่าเปิดเปิงกลับมาหรอก”ฮาบัสขยี้ปมของคาดิเนียลด้วยใบหน้ากวนอารมณ์
“อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้ขัดข้องหรอกนะ เพราะภารกิจมันหลังคืนจันทร์สีเลือด ถึงตอนนั้นนายก็คงปกติดีแล้ว จะทำอะไรก็เรื่องของนายเถิด เพียงแต่จะไม่บอกอะไรมากกว่านี้เลยรึ นายไม่ใช่คนที่จะทิ้งฝูงเพียงเพราะอยากอยู่ใกล้ๆแมวหรอกจริงมั้ย”อัยเอ่ยประโยคที่มีนัยแฝงจิกกัดคาดิเนียลอยู่ในที
“คนที่เลือกกระต่ายก่อนเพื่อนมีสิทธิ์ถามอะไรแบบนั้นด้วยรึ”ไฮบ์หนุ่มเจ้าของห้องเผยรอยยิ้มร้ายที่ได้ตอกกลับเพื่อนสนิท จงใจก่อกวนเพื่อเบี่ยงประเด็นไปเสีย เขาไม่อยากโกหกฝูง แต่ก็บอกอะไรไม่ได้มากนัก
“ถ้าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ ก็ไปทำ แต่มีข้อแม้ว่าฉันจะตามไปด้วย ถึงนายจะปกติดี แต่ด้านนอกนั่นก็อันตราย”ซากานเอ่ยเรียบๆหลังสังเกตได้ว่าคาดิเนียลลำบากใจที่จะเล่า กระนั้นเพื่อนตัวโตก็ยังดื้อดึงด้วยการปฏิเสธข้อแม้ของเขาในทันที
“นายต้องเป็นคนดูแลฝูงแทนฉัน”
“ฉันมีหน้าที่ดูแลนายเป็นหลักนะ เผื่อจะลืมไปแล้วว่าพ่อนายสั่งไว้ยังไง”ซากานโต้กลับทันทีเช่นกัน
“พ่อฉันบอกให้อยู่ใกล้ฝูงเข้าไว้ ไม่ได้บอกให้ตัวติดกับนายเสียหน่อยซากาน”คาดิเนียลยังคงเล่นลิ้นด้วยใบหน้าระรื่นขัดกับท่าทางเมื่อแรกเริ่มบทสนทนา
“เฮ้”
ดูเหมือนซากานใกล้ถึงขีดจำกัด
และนั่นทำให้ผู้นำช่างแกล้งยกมือสองข้างขอยอมแพ้
“ฉันจะให้อูจีสไปกับฉันด้วย กลุ่มนั้นมีทรานส์อยู่หลายคน การให้ไฮบ์จากฝูงหมาป่าเข้าไปถึงสองคนคงทำให้กระอักกระอ่วนน่าดู”
“ก็เลยเพิ่มทรานส์อีกคนงั้นรึ จะไม่เป็นกลุ่มที่ดูอ่อนแอไปหน่อยหรือคาดิเนียล”เป็นอีกครั้งที่อัยก่อสงครามระหว่างเขากับทรานส์เพียงหนึ่งเดียวของกลุ่ม เห็นทีไฟแห่งความโกรธที่อูจีสออกไปกับไฮซันเมื่อหัวค่ำคงไม่ดับลงง่ายๆเป็นแน่
เช่นนี้คงได้ฟัดกันเองระหว่างคืนจันทร์สีเลือดกระมัง
“ไฮบ์อย่างนายก็ตายด้วยคมเขี้ยวฉันมามากแล้วนะอัย”เสียงที่ลอดไรฟันออกมาบ่งบอกว่าอูจีสไม่ได้พูดเล่น
เส้นทางที่พวกเขาเติบโตมานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สีแดงที่เห็นจนชินตาล้วนแต่เป็นสีของโลหิตเสียมากกว่า เช่นนั้น มือพวกเขาก็ล้วนเปื้อนเลือดไม่ต่างกันสักเท่าไร
“เห็นทีนายคงต้องเตรียมคนอื่นสำรองไว้แล้วล่ะคาดิเนียล ในสองคนนี้อาจมีคนตายในคืนจันทร์สีเลือด”ฮาบัสมองอัยและอูจีสสลับกันด้วยสีหน้าที่แสร้งว่าหวาดกลัว
“บอกไว้แล้วนะว่าห้ามตาย ทั้งจากคนอื่น และพวกเดียวกันเอง ฉันก็มีแค่พวกนาย ยังจะฟัดกันเองอีกรึ”คาดิเนียลเอ่ยกลั้วหัวเราะทั้งที่กำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตาย
“พวกเราไม่รีบฆ่ากันหรอก อยู่กัดกันไปทั้งชีวิตคงสนุกกว่า”อัยเอ่ยขณะเผยรอยยิ้มร้ายกาจ
“ใครจะอยู่กับนายไปทั้งชีวิตกัน ขนลุก”ทรานส์หนุ่มสะบัดตัวอย่างมีจริตเสียจนอัยแทบพุ่งเข้าใส่คนกวนประสาท ดีที่ฮาบัสกดร่างเพื่อนตัวเล็กให้นั่งนิ่งๆกับโซฟาได้ทัน
“หมดเรื่องแค่นี้รึ พวกฉันจะได้แยกไปนอน”เป็นอีกครั้งที่ซากานเป็นผู้เอ่ยตัดบท
“พรุ่งนี้ฉันจะขาดเรียนวิชาสมุนไพร ฝากรดน้ำต้นไม้ให้ด้วยล่ะ”คาดิเนียลยิ้มให้กับหน้าตึงๆของซากานจนตาหยี
“ลำบากเพื่อนฝูงจริงๆ”คนช่างบ่นทำสีหน้าระอาแบบไม่จริงจังเท่าใดนักด้วยรู้ว่าคาดิเนียลต้องพักผ่อนให้เพียงพอในช่วงนี้
“เอ้า แยกย้ายกันนอนจริงๆเสียที พรุ่งนี้ฉันขาดวิชาสัตว์วิเศษนะอัย ฝากให้อาหารลูน่าหน่อยนะ”ฮาบัสเอ่ยรัวเร็วก่อนจะวิ่งพรวดออกจากห้องไป ทิ้งให้อัยตะโกนไล่หลังเสียจนคาดิเนียลกับอูจีสหลุดขำเสียงดังลั่น
“ฉันจะเอาหน่อของว่านแอมาริลลิสให้ลูกสุดที่รักของนายกินเป็นอาหารเช้า!”
hf
“ทำอะไรของคุณ”
อาซาเอลที่เพิ่งออกมาจากมิติของคีย์นั้นเหนื่อยเสียจนขยับตัวแทบไม่ได้ กระนั้นก็มิอาจข่มตาหลับด้วยกลิ่นไอของไฮบ์ที่เขารู้ดีว่าเป็นใครวนเวียนอยู่แถวหน้าห้องมาได้พักใหญ่แล้ว
ไม่คุกคาม
แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่สงบเอาเสียเลย
คาดิเนียลยิ้มแหย ยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อเจอเข้ากับสายตาไม่เป็นมิตรของเจ้าของห้อง
เขาอดห่วงไม่ได้
เหตุผลมีเพียงแค่นั้นก็พาเขาเดินมาจนถึงห้องอาซาเอลแล้ว รู้ว่าเจ้าของห้องคงเพิ่งกลับจากภารกิจ ซ้ำยังไม่มีธุระอะไรจะคุย คนตัวโตจึงทำเพียงเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู ใครผ่านมาเห็นคงต้องขมวดคิ้วมองอย่างสงสัยกับท่าทางแบบนั้นของไฮบ์หนุ่ม
แม้แต่เจ้าตัวยังหัวเสียกับสิ่งที่ทำอยู่เลยพับผ่าสิ
ลำพังปกติก็แทบไม่อยากให้ห่างสายตาอยู่แล้ว พอได้รู้ว่าเจ้าของกลุ่มดาวสามดวงกำลังเผชิญอะไรเขาก็อยากอยู่ใกล้อาซาเอลยิ่งกว่าเก่า
ไม่อยากให้ใครมาแตะต้องจนกลุ่มดาวของเขาหม่นแสงลง
นับวันยิ่งอาการหนักขึ้นทุกที
“ผม แค่แวะมาดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า”
ช่างเป็นเหตุผลที่ไร้สาระเสียเหลือเกิน
มันฟังไม่ขึ้นขนาดไหนก็ดูเอาจากสีหน้าของคนที่กอดอกมองมาอย่างเหยียดๆนั่นเถิด
ราวกับจะถามว่า พูดอะไรของคุณ ละเมอหรือไง
ไม่ต้องเทเลพาทีหรืออ่านใจก็ยังเดาสีหน้านั้นออก
เลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมานับจากวันที่จูบกัน แล้วจู่ๆมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องเขา ซ้ำยังพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียอีก
เจ้าของห้องไม่ไล่ตะเพิดก็ดีเท่าไรแล้ว
“ให้ตายสิ”สบถกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจสบตาแมวดื้อตรงๆ
อาซาเอลสะดุ้งแต่ต้องเก็บอาการ จู่ๆมองตากันนิ่งเสียขนาดนั้นจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร
ภาพของคนตรงหน้าเมื่อคืนก่อน กับเมื่อตอนหัวค่ำวนกลับมาจนแก้มพาลจะร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ
แค่เข้าชั้นเรียนของคีย์ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว หัวใจเจ้ากรรมยังจะมาทำงานหนักอะไรตอนนี้อีก
“อาซาเอล”
“ห้ะ”
เผลอตอบออกไปด้วยอีกฝ่ายเรียกชื่อตอนกำลังคิดอะไรอย่างอื่นอยู่
คาดิเนียลมองแววตาสั่นๆของลูกแมวที่คงกำลังงุนงงกับท่าทางของเขาแล้วก็ได้แต่หลุดขำออกมาจนเจ้าของห้องขมวดคิ้วฉับ ดึงสีหน้าไม่พอใจตามเคย
“จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะทำแบบที่คุณเคยทำ”
แววตาของคาดิเนียลแพรวพราวเสียจนอาซาเอลขนอ่อนลุกชัน สัญญาณเตือนภัยในหัวร้องลั่นบอกให้ปิดประตูกระแทกหน้าหมาป่าหนุ่มไปเสียก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
“ทำอะไร”ถามด้วยน้ำเสียงสั่นอย่างปิดไม่มิด
“แบบนี้”
ไม่ทันจบประโยค
อาซาเอลรู้เพราะเสียงสุดท้ายจากปากของคาดิเนียลนั้นอยู่ใกล้ใบหูเขาเหลือเกิน มันชัดเจนพอๆกับลมหายใจที่รินรดใบหู และความอบอุ่มที่โอบรอบตัวเขาจนจมอกอุ่น
กอด
เขากำลังโดนหมาป่าบ้านี่กอด
จู่ๆก็กอด!
เกือบจะผลักออกสุดแรง ทว่าประโยคที่คาดิเนียลเอ่ยชิดริมหูนั้นหยุดทุกการกระทำของอาซาเอลเอาไว้
“ที่คุณได้ยินมา การกอดมันมีสรรพคุณอะไรอีกไหม”
“สำหรับผม กอดนี้หมายถึง ผมจะปกป้องคุณไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
อาซาเอลนิ่งงัน
ทั้งเข้าใจ และไม่เข้าใจสิ่งที่คาดิเนียลพูด
ทั้งอุ่นใจ และหวาดหวั่นไปพร้อมๆกัน
สัมผัสสุดท้ายคือมือใหญ่ที่ขยี้เบาๆลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทกับรอยยิ้มจนตาปิดแบบที่เห็นได้เป็นประจำ ก่อนที่คาดิเนียลจะเดินจากไป หายไปทางระเบียงฝั่งตะวันตก
กระนั้น อาซาเอลก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ตัวแข็งทื่อ
ก่อนจะร้องออกมาลั่นทางเดิน
“โว้ยยยยยยยย!!”
มันเกินจะเก็บเอาไว้แล้ว กับความว้าวุ่นที่ปะทุอยู่ในอกนี้
ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว กับอาการผีเข้าผีออกของคาดิเนียล และหัวใจตัวเองที่เต้นตามอีกคนไม่หยุดหย่อน
“เป็นอะไรน่ะอาซาเอล!!”แจนิวาลที่อยู่ข้างห้องเปิดประตูออกมาหน้าตาตื่นด้วยเสียงของเพื่อนสนิทที่ร้องลั่นยามวิกาล
“ไม่รู้!! ไม่รู้แล้ว!!”
ตะโกนใส่เพื่อนก่อนจะปิดประตูดังสนั่นแล้วเทร่างลงเตียงนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา คำรามในลำคออยู่อีกหลายหนก่อนที่ความเหนื่อยจะทำให้ทรานส์หนุ่มผลอยหลับไปพร้อมกับคิ้วที่ยังขมวดปม
ทิ้งไว้เพียงเพียวที่มองประตูห้องของสหายด้วยสายตาสับสน
บางทีเขาอาจต้องศึกษาเรื่องของทรานส์ตระกูลแมวเพิ่มสักหน่อยว่ามีช่วงคลุ้มคลั่งหรือไม่ เพราะดูเหมือนอาซาเอลจะไม่อยู่ในอาการปกติสักเท่าไร อาจเป็นผลจากภาชนะที่สอง หรือไม่ก็เพราะสมองของเพื่อนเขามีปัญหา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ก็สงสารคาดิเนียลที่มีเรื่องมากมานแต่ก็พูดอะไรออกไปไม่ได้สักอย่าง
คุณจ่าฝูงจะติดแมวมากไปแล้วน้าา สุดแสนจะเขิน-///-
//มีความสงสารแจนิวาล งงไปเลย55555