ตอนที่ 14 : Chapter 12 :: ชั้นเรียนเอาตัวรอด I
หนาว
ลมจากช่องแคบๆระหว่างกิ่งไม้ที่กระหวัดรัดเกี่ยวกันเป็นกำแพงหนาเสียดผิวเพียวหนุ่มจนต้องยกแขนกอดตัวเองก่อนจะตัดสินใจใช้เวทย์เพิ่มอุณหภูมิรอบกายเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นหวัดไปเสียก่อนที่ใครบางคนจะกลับมา
แจนิวาลออกมายืนรอเพื่อนสนิทที่อยู่ถัดไปอีกสองห้องนานมากพอจะทำให้แข้งขาเมื่อยล้าจนต้องทรุดลงนั่งพิงประตูห้องสุดทางเดินอันเป็นที่พักของทรานส์หนุ่มเจ้าของร่างแมวป่าสีสนิม
อยากรอสบายๆในห้องนอนอยู่หรอก แต่ก็กลัวจะเผลอหลับ ไม่ก็พลาดจังหวะที่อีกคนกลับมา ดักอยู่ตรงนี้จะได้มองเห็นหากใครผ่านไปผ่านมา ทั้งอาซาเอลที่ก็อดห่วงไม่ได้ และมินาคัสที่หายไปทั้งวันโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับเขาเลย หรือหากมีใครแอบปีนเข้ามาทางหน้าต่าง เพียวหนุ่มก็มั่นใจว่าเขาต้องได้ยินอะไรบ้าง
นั่งเฝ้าหน้าห้องเสียขนาดนี้แล้ว อย่างไรเสียคืนนี้ถ้ามินาคัสกลับห้อง แจนิวาลต้องรู้ตัวแน่นอน
จะว่าไปก็มัวแต่กังวลเรื่องที่อาซาเอลเป็นภาชนะที่สองจนไม่ทันได้คาดคั้นว่าทรานส์ทั้งสองร่วมกันปกปิดเขาเรื่องที่มินาคัสหนีออกไปนอกหอทุกคืนเพราะเหตุใด
หรือมินาคัสเองก็มีอะไรที่บอกใครไม่ได้อยู่เหมือนกัน
ถ้าเป็นแบบเดียวกับอาซาเอล เพียวหนุ่มคงมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่มอีก
ทำยังไงถึงจะปกป้องเพื่อนของเขาจากผู้ล่ามากมายในสถาบันนี้ได้
อย่างอาซาเอล จะไว้วางใจให้คาดิเนียลดูแลได้หรือไม่ แม้แววตาของหมาป่าหนุ่มจะทอดมองอย่างอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นทุกวัน ราวกับมองเห็นสหายร่างบางของเขาเป็นลูกสัตว์ตัวน้อยน่าถนอม แต่ก็มิอาจยืนยันได้ว่าอาซาเอลจะไม่โดนจับกินเข้าสักวัน
เหตุการณ์ในอดีตทำให้แจนิวาลฝังใจว่าทรานส์นั้นเปราะบางเหมือนตุ๊กตาแก้ว ไม่ใช่สิ่งที่เพียวหรือไฮบ์จะนำมาใช้อย่างหยาบโลน กลับกัน พวกเขาเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งกว่าต้องทะนุถนอมดูแล
ทว่าหากพูดออกไปให้อาซาเอลกับมินาคัสได้ยิน คงโดนหาว่าเหยียดกระมัง
สองคนนั้นดูจะเป็นทรานส์ที่ไม่อยากให้ใครมามองว่าบอบบางสักเท่าไร
อันที่จริง ตัวเขาเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนปกป้องใครได้
เพียงแค่อยากจะปกป้องให้ได้เท่านั้นเอง
กึก
เสียงเบาๆเหมือนอะไรขยับทำให้แจนิวาลที่เกือบจะเคลิ้มหลับในสภาพนั่งพิงประตูห้องมินาคัสต้องสะดุ้งสุดตัว หันซ้ายแลขวาไม่พบว่ามีใครอยู่ที่โถงทางเดิน เพียวหนุ่มจึงแนบหูลงกับบานประตูเพื่อฟังเสียงด้านใน
“เฮ้ย!”
ฉับพลันที่บานประตูถูกดึงให้เปิดออก คนที่ทิ้งน้ำหนักเพื่อแอบฟังเสียงด้านในเป็นอันล้มคว่ำลงไปนอนหงายเบิกตาโพลงมองเจ้าของห้องที่งงงวยไม่ต่างกัน
มินาคัสเลิกคิ้วก่อนจะทรุดนั่งลงเหนือหัวเพื่อนตัวเล็ก ก้มลงมองคนที่แข็งทื่อลืมวิธีพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะระบายรอยยิ้มร้ายเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมาดักรอเขาไม่ผิดแน่
กัดไม่ปล่อยจริงๆนั่นล่ะ
“รอนานรึยังล่ะ”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะอย่างคนรู้ทันทำให้เพียวหนุ่มต้องผุดลุกขึ้นนั่งทันที มินาคัสที่มองตามอยู่ได้แต่กลั้นขำกับสีหน้าจริงจังที่อีกฝ่ายปั้นเพื่อกลบเกลื่อนความกระดากอายเพราะเพิ่งจะร่วงตุบลงแทบเท้าเขาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
“หายไปไหนมา”
แจนิวาลกอดอกจ้องหน้าตั้งท่าคาดคั้นผู้ต้องสงสัยเสียจนมินาคัสต้องถอนหายใจยาว
เอาเถิด
ก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าคงต้องปรึกษาอาซาเอลกับแจนิวาลเพื่อหาทางออกของเรื่องที่สุมอกอยู่ในขณะนี้
ไม่อยากดึงแจนิวาลเข้ามาลำบากด้วย ทว่าจากที่เขาและเหล่ากบฏสนทนากันต่ออีกพักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปว่านอกจากเขาจะต้องเร่งหาเขี้ยวโดยเร็วแล้ว ยังต้องกันอาซาเอลออกให้ห่างจากผู้อำนวยการอีกด้วย
แม้อาจารย์ไคมัสจะยื่นข้อเสนอให้ใช้อาซาเอลเป็นเหยื่อล่อเพื่อหาที่ซ่อนของเหล่าภาชนะที่สองที่ผู้อำนวยการเก็บซ่อนไว้ ทว่าก็ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยของเพื่อนสนิทเขาได้ เช่นนั้นอาจารย์ไคมัสจึงโดนอาจารย์แบคอนด่าเสียสาดเสียเทเสียและปัดข้อเสนอนั้นตกไป
เรื่องเขี้ยวที่ต้องหาให้เจอในเวลาอันน้อยนิด มินาคัสไม่หวังว่าเพื่อนสนิททั้งสองจะช่วยอะไรเขาได้ แต่เรื่องปกป้องอาซาเอล มากคนก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้น
ผู้อำนวยการใช้เหล่าภาชนะที่สองเป็นแหล่งสะสมพลังงาน บังคับ ล่อลวง ให้มาเป็นเขี้ยว กดขี่ให้ดูดซับเวทย์ธรรมชาติและส่งมอบพลังเหล่านั้นให้เขา ไม่แปลกใจเลยที่เขาไต่เต้าขึ้นเป็นใหญ่ได้ในเวลาไม่นาน เพียงแค่คิดว่าตึกเรียน ห้องพัก และทุกอย่างในสถาบันแห่งนี้เกิดขึ้นบนซากศพของทรานส์ที่เป็นภาชนะที่สองนับไม่ถ้วน ผู้รักษาสมดุลหนุ่มก็เกือบจะสำรอกออกมาด้วยความรังเกียจ
เขาจะไม่ยอมให้อาซาเอล หรือใครต้องตกตายเพิ่มคราบเลือดให้กับโศกนาฎกรรมครั้งนี้อีกเป็นแน่
แม้จะยังไม่รู้ว่า ต้องไปหาคนที่จะสร้างสมดุลให้คานแห่งความรู้สึกได้จากที่ไหนก็ตาม
มินาคัสหลับตาลงก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเมื่อรู้สึกหนักอึ้งอย่างไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ จนแจนิวาลที่มองอยู่เริ่มจะเลิ่กลั่กด้วยคิดว่าตนกำลังกดดันให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูด
นี่เขาละลาบละล้วงเกินไปงั้นหรือ
จะว่าไป เขาเป็นแค่เพื่อนที่รู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน มีสิทธิ์รู้เรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายได้แค่ไหนกันเชียว
แต่เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดี
ไม่ใช่เพราะความสอดรู้สอดเห็น
แต่เพราะเป็นห่วง
แม้จะไร้ความสามารถ แต่เพียวหนุ่มตั้งใจจะรักษาตุ๊กตาแก้วทั้งสองในมือเขาให้ดีที่สุด ทั้งอาซาเอล ทั้งมินาคัส เหล่าทรานส์ที่เข้ามาผูกพันกับชีวิตเพียวธรรมดาๆเช่นเขา
จะไม่ยอมให้แตกสลายเหมือนเธอคนนั้นเป็นอันขาด
“ไปคุยกันที่ห้องอาซาเอลเถิด ฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกนายสองคนมากมายเหลือเกิน”ว่าพลางเบี่ยงตัวหมายจะเดินไปห้องที่อยู่ติดกัน ทว่ามือนุ่มก็ยื่นมาดึงชายเสื้อเอาไว้เสียก่อน
“อาซาเอลไม่อยู่”
มินาคัสเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ไปหาคาดิเนียล”
ผู้รักษาสมดุลหนุ่มครางในลำคอ จะว่าประหลาดใจก็ไม่เชิง
“หืม อาซาเอลน่ะนะ เป็นฝ่ายไปหาคาดิเนียล”
แจนิวาลพยักหน้ารับคำ ลอบสังเกตสีหน้าของมินาคัสที่มิได้กระวนกระวายอย่างที่เขาคิดไว้
“เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น”มินาคัสเอ่ยติดจะกระเซ้าคนที่เป็นหัวข้อสนทนาทว่าไม่อยู่ให้เย้าแหย่ในขณะนี้
“เกิดขึ้นหลายอย่างเชียวล่ะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
สีหน้าเหนื่อยอ่อนของคนที่ต้องเผชิญเรื่องราวไม่คาดฝันทำให้มินาคัสได้แต่พยักหน้าด้วยใบหน้าที่เริ่มจะจริงจังขึ้นมาแล้ว
ระหว่างที่เขาไม่อยู่ เกิดเหตุการณ์สำคัญอะไรขึ้นงั้นหรือ ทำไมแววตาของแจนิวาลจึงดูวิตกกังวลนัก
“ว่าแต่นายเถอะ ไม่เป็นห่วงอาซาเอลรึไง”แจนิวาลเอ่ยถามอย่างจับผิด และนั่นทำให้มินาคัสพอจะเดาได้ว่าแจนิวาลรู้สิ่งใดมา
“ทำไมต้องห่วงด้วยเล่า เจ้าตัวยุ่งนั่นก็แค่ไปหาคู่ทำรายงานไม่ใช่รึไง”ตั้งใจเบี่ยงประเด็นราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ไม่รู้สักนิดว่าอาซาเอลเป็นทรานส์
นายรู้ใช่มั้ยว่าหมอนั่นเป็นทรานส์
…เหมือนนาย
เสียงที่ดังก้องในหัวด้วยเทเลพาทีจากคนตรงหน้าทำให้มินาคัสระบายรอยยิ้มอ่านยากออกมาจนแจนิวาลที่มองอยู่ถึงกับขนอ่อนลุกชัน
ยิ้มอะไรนั่น น่ากลัวแปลกๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ามีคาดิเนียลอยู่ นั่นคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับอาซาเอลแล้ว”รอยยิ้มประหลาดเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ก็แสนเปล่าเปลี่ยว
เหมือนคนปลงตกในอะไรสักอย่าง
“เชื่อได้แน่นะ”เพียวหนุ่มหวนคิดถึงหมาป่าหนุ่มและเพื่อนสนิทของเขา
บรรยากาศคลุมเครือระหว่างคนสองคน ที่ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าปลอดภัยเลยสักนิด แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าคาดิเนียลแข็งแกร่งมากพอจะปกป้องดูแลอาซาเอล
ถ้าคนๆนั้นคิดจะปกป้อง มิใช่ทำลาย
“อืม ไม่มีอะไรแน่นอนกว่านี้อีกแล้ว สบายใจเถอะนะ”มินาคัสวางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มหวังให้อีกฝ่ายคลายกังวล แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นแววตาวิบวับของคนช่างพูดที่ช่วงนี้ออกจะทำตัวจริงจังอยู่สักหน่อย
“ขยันโปรยเสน่ห์เหลือเกินพ่อคุณ เก็บไว้ใช้กับคนอื่นเถิด เอ้า จะเล่าอะไรก็เล่าในห้องนะ หนาวจะแย่”คำพูดเย้าแหย่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะแหลมสูงทำเอาคน ขยันโปรยเสน่ห์ ได้แต่ยืนค้างปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้ากวนอารมณ์
มินาคัสหลุดขำออกมาเบาๆ
เหลือเกินจริงๆ
ไม่หวั่นไหวไม่ว่า กลับมาตอกกลับกันเสียได้ เห็นเขาเป็นคนเจ้าชู้ขนาดไหนกันหนอ
รู้จักกันไม่เท่าไร
ทำไมรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง
เสียงประตูปิดลงเบาๆตามมาด้วยฝีเท้าของเจ้าของห้องไม่ได้ทำให้แจนิวาลละความสนใจไปจากองค์ประกอบต่างๆภายในห้องของมินาคัส
ชั้นหนังสือ โต๊ะทำงาน เตียงนอน ทั้งหมดนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ที่ติ
เข้ามาเมื่อไรก็เป็นระเบียบเสียจนไม่กล้าจับต้องอะไรสักอย่าง กลัวจะทำให้มันอยู่ผิดที่ผิดทาง นี่ชีวิตเพื่อนเขาเคยสัมผัสคำว่าความสกปรกบ้างไหมนะ
แบบนี้รอยเปื้อนสีจากฝีมือเขาคงสร้างความหงุดหงิดให้ทรานส์หนุ่มไม่น้อย ที่หายไปทั้งวันคงไม่พ้นหาทางลบรอยเปื้อนนั่นแน่ๆ
“เอาล่ะ ก่อนอื่นฉันมีเรื่องที่ต้องถามนายให้ได้อยู่”
เจ้าของห้องชะงักเท้าเมื่อจู่ๆแขกก็หันหลังกลับมาจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ถามอะไรล่ะ”
“นายคือแมวป่าสีสนิมตัวนั้นใช่มั้ย”แจนิวาลถามด้วยสีหน้าที่แสดงชัดว่าสงสัยเสียเต็มประดา ไม่มีการวางท่ากลบเกลื่อนใดๆ
นี่คือความแตกต่างระหว่างอาซาเอลกับแจนิวาล
คนนึงมักแสดงท่าทางกลบเกลื่อนความรู้สึกอยู่เสมอ
อีกคนก็แสนเปิดเผยจนหลายครั้งทำให้ประหลาดใจ
คาดิเนียลอาจมองว่าความซับซ้อนของอาซาเอลนั้นน่าสนใจ แต่สำหรับตัวเขาแล้ว นิสัยเปิดเผยจนเกินไปของแจนิวาลกลับกระตุ้นสัญชาตญาณของเขา ทำเอามินาคัสอดไม่ได้ที่จะเหย่ให้เพียวหนุ่มตอบโต้ในรูปแบบต่างๆอยู่เสมอ
การก่อกวนแจนิวาลเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้เขาลืมเรื่องหนักๆไปได้บ้าง แม้เจ้าตัวจะรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง แต่เรื่องที่เพียวหนุ่มไม่เคยรู้คือตัวเองนั้นมีปฏิกิริยาน่าสนใจเพียงใด
ไม่เช่นนั้นอาซาเอลคงไม่หาเรื่องทะเลาะด้วยแทบทุกวันหรอก
“แมวป่าตัวไหน”มินาคัสเลิกคิ้วขึ้นราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่แจนิวาลถาม แม้ตั้งใจจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างอยู่แล้วก็ตามที แต่ตอนที่แจนิวาลชักสีหน้ายุ่งเหยิงแบบนี้ก็ใช่ว่าจะได้เห็นกันบ่อยๆ
“งั้นก็ถอดเสื้อออก”ว่าพลางรุดเข้าประชิดตั้งท่าจะลอกคราบอีกคนให้เหลือแต่ตัวเปล่าๆ
“เดี๋ยวๆ หยุดก่อน”คนโดนคุกคามไม่ทันตั้งตัวได้แต่ปัดป้องเป็นพัลวันก้าวถอยก็แล้วแต่อีกคนก็ไล่ไม่ห่างจนกระทั่งต้องรวบแขนทั้งสองข้างของเพื่อนไว้นั่นล่ะ เหตุเกือบจะอนาจารครั้งนี้ถึงได้จบลง
“อารมณ์ไหนเนี่ยแจนิวาล อยากเห็นฉันเปลือยขนาดนั้นเชียว”พูดกลั้วหัวเราะแบบที่โหมกระพือไฟโทสะให้คนขี้สงสัยได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะข้อมือถูกพันธนาการอยู่ เชื่อเถิดว่าแจนิวาลคงดีดปากแดงๆนั่นไปสักทีแล้ว
“หยุดโยกโย้แล้วตอบมาเสียที”เพียวหนุ่มเกือบจะกระทืบเท้าราวเด็กเอาแต่ใจอยู่รอมร่อ
“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว อยากให้เปลือยก็จะเปลือยให้ ให้ตายสิแจนิวาล คิดอะไรกับฉันก็บอกมาตรงๆสิ ปากแข็งอยู่ได้”
ตอนนี้แจนิวาลไม่ต่างอะไรกับกองเพลิงที่มีมินาคัสคอยเติมเชื้อไฟ มือที่เป็นอิสระกำแน่นเมื่อได้ยินประโยคของเจ้าของห้อง กระนั้นก็ทำได้เพียงอดทนเอาไว้ก่อนด้วยอีกคนแม้จะพูดจาไม่เข้าหูแต่ก็ยอมรั้งชายเสื้อตัวเองขึ้นแต่โดยดี เสื้อไหมพรมตัวหนาเลิกขึ้นเผยให้เห็นแนวกล้ามเนื้อสวยและผิวขาวเนียนอย่างสุขภาพดี
ทว่าคนมองช่างไร้อารมณ์ร่วมเสียจนมินาคัสแทบกลั้นขำไม่อยู่
ทันทีที่เสื้อหลุดพ้นหัวคนตัวสูง คนตัวเล็กกว่าก็จับไหล่หนาพลิกให้อีกคนหันหลังเพื่อสำรวจแผ่นหลังที่ควรจะมีรอยเปื้อนเป็นปื้นใหญ่สีดำ
ทว่าไม่มี
ลบไปแล้วงั้นรึ
หรือไม่มีมาตั้งแต่ต้น
แจนิวาลจ้องแผ่นหลังนั่นเขม็งราวกับจะเห็นรอยเปื้อนปรากฏออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
“เจออะไรไหม”
“…”
ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้มินาคัสต้องลอบถอนหายใจ ก่อนจะปลดมือนุ่มออกจากไหล่ตน หันไปเผชิญหน้ากับเพียวหนุ่มที่ชักสีหน้ายุ่งเหยิงยิ่งกว่าเก่า
สนุกก็ส่วนสนุก แต่ตอนนี้คงได้เวลาต้องจริงจังกันบ้างแล้ว
“เจอรอยเปื้อนสีฝีมือนายไหม”เสียงทุ้มถามราวปลอบเด็กโยเย และเด็กที่ว่าก็เบิกตาขึ้นทันทีที่จบประโยค ปากสีสดงับลมอยู่สองสามหนก่อนจะโวยวายเสียงดังตามนิสัย
“นี่ใช่นายจริงๆสินะ ใช่จริงๆด้วย แล้วหลบทำไม ทำไมต้องออกไปดึกๆดื่นๆ ถ้าโดนจับได้จะทำยังไง นายเป็นทรานส์นะ อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะได้มั้ย ให้ตายสิ พวกนายแต่ละคนนี่ไม่รู้จักระวังตัวเอาเสียเลย!”
บ่นเสียยาวเหยียดก่อนจะพักหอบหายใจ ตั้งท่าจะบ่นต่อแต่คนที่ยืนมองนิ่งอยู่นานก็ยกมือปรามเสียก่อน
“พอก่อน ถ้าอยากดุทรานส์ที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว ก็รอดุอาซาเอลนู่น”
แจนิวาลเถียงไม่ออก
ยอมรับว่าเครียดสะสมจากเรื่องของอาซาเอลด้วย โชคร้ายที่มินาคัสต้องเป็นผู้รับเคราะห์แทน
“แล้วนายต่างจากอาซาเอลยังไง หาเรื่องใส่ตัวพอกัน”
“ต่างสิ”
“ก็ต่างยังไงล่ะ”
เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอีกหนเพราะคนตัวโตกว่าเอาแต่โยกโย้จนน่าหงุดหงิด
“ต่างตรงที่ฉันเป็นผู้รักษาสมดุล”
ราวกับโดนจับเหวี่ยงด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย
“ถ้าล้อเล่นอยู่ก็หยุดซะมินาคัส ฉันไม่เล่นสนุกด้วยหรอกนะ”เอ่ยเสียงสั่นจนแทบไม่เป็นคำ
“มองตาฉันแล้วคิดเองเถิด ว่าฉันล้อเล่นอยู่หรือไม่”
แววตาจริงจังนั่นราวกับตบหน้าแจนิวาลจนชาวาบ
วิงเวียน คลื่นเหียน ในท้องโหวงจนต้องก้าวถอยหลังปัดป่ายหาที่ยึดจนไปเจอเข้ากับเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ
แจนิวาลลากเก้าอี้ออกมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
ตอนเช้าก็เจอทรานส์ที่เป็นภาชนะที่สอง
ตกดึกก็เจอทรานส์ที่เป็นผู้รักษาสมดุล
ถ้าฝันอยู่ก็ช่วยรีบตื่นทีเถิดแจนิวาล
เพิ่งรู้สึกว่าสมองตัวเองมาถึงขีดจำกัดก็ครั้งนี้เอง
“พร้อมจะฟังเรื่องทุกอย่างหรือยัง”เสียงนุ่มเอ่ยราวกับเพียวหนุ่มมีทางเลือก ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่มีเลย
“เชื่อเถิดว่าฉันเคยอยากรู้เรื่องของพวกนายอย่างถึงที่สุด แต่ตอนนี้ฉันอยากปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรเสียเลย”
ยิ่งเรื่องของผู้รักษาสมดุลตรงหน้านี้
แจนิวาลเกรงว่าหัวใจและสมองของเขาจะรับไม่ไหวจนหยุดทำงานไปเสียสิ้น
ตามหามาเนิ่นนาน
แต่ตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้า
ผู้รักษาสมดุลยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
มากกว่าความอยากรู้ที่ตีตื้นขึ้นมา คือความหวาดหวั่นระคนยินดีที่แทบจะกลั่นเป็นหยดน้ำใส แจนิวาลยกมือปิดหน้าตัวเองเกรงว่าอีกฝ่ายจะเห็นหน่วยตาคลอน้ำ
ควบคุมสติตนเอง
สูดลมหายใจเข้าออก
มือนุ่มลดลงจากใบหน้า เบนสายตาขึ้นสบกับเพื่อนสนิทที่พ่วงสถานะผู้รักษาสมดุล
“พร้อมแล้ว เล่าเลย ขอเนื้อๆ อย่าเยิ่นเย้อ ฉันกลัวหัวใจจะหยุดเต้นไปเสียก่อน”
หน้าซีดๆที่ขัดกับแววตามุ่งมั่นทำเอามินาคัสเกือบจะขำออกมาอีกแล้ว
น่าสนใจจริงๆ
เป็นคนที่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งต่างๆน่าสนใจเหลือเกิน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอในงานเลี้ยงหลังการทดสอบจนกระทั่งตอนนี้ แจนิวาลไม่เคยทำให้มินาคัสเบื่อเลยสักนิด
“ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ ตั้งใจฟัง แต่ห้ามตาย เพราะหลังจากนี้ฉันมีอะไรให้นายช่วยอีกมากมายเหลือเกิน แจนิวาล”
เพียวหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืนก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ
เชื่อเถิดว่าเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ หากเลือกได้อีกหน แจนิวาลคงเลือกไม่รับรู้อะไรเสียเลยดีกว่า…
"ว่าแต่ ช่วยใส่เสื้อก่อนเถอะ เห็นแล้วหนาวแทน"
hf
ดวงไฟเวทย์ดวงเดิมถูกหรี่แสงลงจนแทบดับสนิท เช่นนั้นหน้าที่ให้แสงสลัวยามค่ำคืนจึงตกเป็นของโคมรัตติกาลดวงโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีดำกำมะหยี่ แม้ไม่ได้เปิดหน้าต่างออกดูก็พอจะเดาได้ว่าคืนนี้คงแทบไร้ดาวด้วยแสงของพระจันทร์กลบเสียสิ้น
ความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นในห้องที่เงียบสงัด
ร่างโปร่งบางที่เบียดเข้าหาอ้อมอกอุ่นทำให้เจ้าของห้องรู้ว่าอุณหภูมิภายในห้องคงจะหนาวเกินไปสำหรับคนในอ้อมกอดของเขา
ลำพังตัวเขาเองที่เป็นคนขี้ร้อน ดวงไฟเวทย์ที่ทำหน้าที่ให้แสงสว่างและปรับอุณหภูมิในห้องให้อบอุ่นเพียงดวงเดียวก็เกินพอ ทว่าในยามนี้ไฮบ์หนุ่มเลือกที่จะเพิ่มดวงไฟอุ่นๆอีกหนึ่งดวง ปล่อยให้มันลอยอยู่ไม่ไกลจากเตียงมากนักเพื่อลดความเหน็บหนาวให้คนข้างตัว แม้ตัวเขาเองจะนอนไม่สบายนักก็ตาม
อันที่จริงเขาก็ไม่คิดจะหลับอยู่แล้วในคืนนี้
นอกจากร่างกายนุ่มนิ่มที่ก่อกวนอยู่ชิดอก ก็คงเป็นกลิ่นของจิ้งจอกที่ติดตัวอาซาเอลมากระมัง ที่มันกวนใจเขาเหลือเกิน
ไล่ดูแล้วคาดิเนียลไม่คิดว่าจะมีใครรอบตัวของทรานส์ตัวน้อยที่สืบเชื้อสายจิ้งจอก
แว่วว่าแจนิวาลเป็นเพียว ส่วนมินาคัสก็ไม่ได้มีกลิ่นที่บ่งบอกสายเลือดราวกับปกปิดเอาไว้อย่างดี เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้กลิ่นติดตัวอาซาเอลมาได้
นิสัยชอบแสดงความเป็นเจ้าของโดยการฝากกลิ่นไว้บนตัวของทรานส์นั้นก็คงมีแค่ไฮบ์ที่ทำกัน
งั้นกลิ่นกวนจมูกที่ติดอยู่บนตัวแมวดื้อของเขานี่มาจากไฮบ์คนไหนกัน
กล้าดียังไงถึงทำราวกับอาซาเอลเป็นของตน
ทั้งที่คนๆนี้เป็นของเขา
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก หวังให้กลิ่นประจำตัวของเขากลบกลิ่นบุคคลปริศนาเสียให้หมด
อยากจะจับเจ้าตัวน้อยอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปด้วยซ้ำ
“ทำให้หงุดหงิดอีกแล้วนะแมวดื้อ”ก้มลงกระซิบชิดใบหูอีกคนก่อนจะกดจมูกลงหลังกกหูของคนโดนดุที่ไม่ได้ตื่นมารับรู้อะไรเอาเสียเลย
หลับลึกแบบนี้ก็ดี
ถ้าอาซาเอลรู้ว่าเขาหาเศษหาเลยกับร่างกายผอมบางนี่ก็กลัวใจจะโดนต่อยปากแตกเข้าอีกรอบ
ทำไมไม่คิดในมุมของเขาบ้าง ว่าแค่กอดกับหอมโน่นนิดนี่หน่อยน่ะมันก็ใช้ความอดทนมากโขอยู่แล้ว เพราะใจจริงของเขานั้นอยากทำอะไรมากมายจนบรรยายไม่หมดด้วยซ้ำไป
อืออ
เสียงครางในลำคอของคนในอ้อมกอดทำให้หมาป่าหนุ่มต้องก้มลงมองคนที่หลับสนิทมาตลอดสองชั่วโมง บัดนี้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเริ่มยู่ลงเหมือนตอนที่เจ้าตัวขัดใจอะไรสักอย่าง แขนผอมบางเริ่มปะป่ายไปทั่วอย่างคนละเมอ เสียงงึมงำของอาซาเอลดึงให้คาดิเนียลเอียงหูฟังทว่าก็จับใจความอะไรไม่ได้เลย
ฝันร้ายงั้นรึ
ถ้างั้นก็ควรปลุกใช่ไหม
แต่ถ้าเจ้าตัวน้อยตื่นขึ้นมาแล้วจะขู่ฟ่อใส่เขา ข่วนเสียสักทีแล้วหนีไปหรือเปล่า
ไฮบ์หนุ่มได้แต่ชั่งใจด้วยอยากกอดอีกคนไว้ให้นานกว่านี้ ทว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่เริ่มจะงอแงยกใหญ่ก็ไม่สู้ดีนัก ยิ่งไรผมของอีกคนเริ่มชื้นเหงื่อ ไม่ใช่เพราะดวงไฟเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมา แต่เพราะร่างกายตอบสนองต่อฝันที่คงไม่ดีเท่าใดนักของเจ้าตัว
อ่า แบบนี้คงปล่อยให้ฝันต่อไม่ได้แล้ว
“อาซาเอล”
“อาซาเอลครับ”กระซิบด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมเพราะเกรงอีกคนจะตกใจ นิ้วเรียวของคนตัวโตกว่าเกลี่ยปอยผมของอีกคนให้เปิดหน้าผากด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายจนเปียกชุ่ม คาดิเนียลมองใบหน้าคมคายของทรานส์หนุ่มด้วยความห่วงใยด้วยคิ้วเข้มนั่นยังขมวดเข้าหากันแน่น
“ฝันร้ายหรอครับ ตื่นเร็วคนดี”
แม้คาดิเนียลจะเขี่ยแก้มอีกคนเล่นพร้อมกับพร่ำเรียกชื่อซ้ำๆ ทว่าอาซาเอลก็ไม่มีทีท่าจะตื่น
ไฮบ์หนุ่มละนิ้วเรียวจากแก้มนุ่ม เพ่งมองใบหน้าคมที่แพขนตายาวเริ่มชื้นไปด้วยน้ำตา
ฝันอะไรอยู่กันแน่
“อาซาเอล”
อาซาเอล
อาซาเอล
อัล
‘อัล วันนี้ไปไหนกันดี’เสียงเล็กๆของเด็กน้อยถามขึ้นข้างตัว อาซาเอลหันมองตามเสียงแม้ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายคุยกับใคร ด้วยสรรพที่ใช้ไม่ใช่ชื่อของเขา
ทรานส์หนุ่มแปลกใจเมื่อพบว่าระดับสายตาของเขานั้นสูงพอๆกับอีกคน
ใบหน้ากลมแป้นกับแก้มอมชมพูดูน่ามันเขี้ยวจนอยากยกมือขึ้นหยิกแก้มให้ช้ำ เส้นผมสีอ่อนสะบัดเบาๆตามแรงลมที่พัดมา อาซาเอลเริ่มกวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะพบว่าพวกเขานั่งอยู่บนเนินหญ้าสูง เบื้องหน้าถัดลงไปจนสุดสายตาคือภาพของเมืองที่อาซาเอลเติบโตขึ้นมาไม่ผิดแน่
นั่นหลังคาบ้านของเขา ข้างๆกันคือบ้านของยูมิล…
ทว่า กลับไม่มีบ้านของเพื่อนสนิทอยู่ตรงนั้น
‘อัล มองอะไรอยู่ ตอบผมก่อนสิ’มือกลมป้อมเขย่าแขนเขาเบาๆ เมื่อมองตามอาซาเอลก็ต้องแปลกใจกับขนาดแขนของตัวเองที่เล็กและผอมราวกับแขนเด็ก
เด็กงั้นหรือ
ตอนเขาเด็กๆก็ผอมแกร็นเช่นนี้
‘วันนี้ดีนอยากไปไหนล่ะ พี่คาเดียสไม่อยู่นี่ ไปไกลไม่ได้นะ อัลกลัวหลง’
เสียงที่ดังขึ้นมาจากริมฝีปากของเขา เป็นเสียงของเขาเองไม่ผิดแน่ แต่อาซาเอลกลับควบคุมมันไม่ได้ เสียงของเขาที่เล็กแหลมกว่าที่ควรบ่งบอกว่าตอนนี้อาซาเอลย้อนกลับไปเป็นเด็กผอมแห้งเมื่อหลายปีก่อน
เขาย้อนเวลาจริงงั้นหรือ
หรือกำลังท่องอยู่ในความทรงจำของตนเองกันแน่
ความทรงจำที่แสนบิดเบี้ยวซึ่งมักจะหวนกลับมาเป็นเศษเสี้ยวไม่ประติดประต่อ
ถ้าเป็นเช่นนั้น เด็กตรงหน้านี้เป็นใครกัน
ทำไมจึงหายไปจากความทรงจำของเขา หลายปีมานี้อาซาเอลทยอยจำเรื่องราวต่างๆได้ทีละน้อย แต่มั่นใจว่าไม่มีเจ้าตัวจ้อยอยู่ในภาพความทรงจำใดเลย
ทว่าวันนี้กลับชัดเจน ราวกับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
เด็กน้อยที่ตัวเขาในอดีตเรียกว่า ดีน ขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดว่าจะไปเล่นซนกันที่ใด ก่อนริมฝีปากจะแย้มรอยยิ้มกว้างที่ทำให้แก้มนุ่มเบียดจนตาสวยเล็กยิบหยี
เหมือนใครบางคน
‘ดีนไปบ้านอัลได้มั้ย’
‘ไม่ได้นะ’
แม้จำไม่ได้ว่าเหตุใดจึงปฏิเสธ แต่อาซาเอลก็พอจะรู้เหตุผล
เพราะเขาเป็นทรานส์ ให้ใครรู้ที่อยู่ไม่ได้เด็ดขาด แม่ของเขาเตือนอยู่เสมอ จนกระทั่งมีไฮบ์อย่างยูมิลย้ายบ้านมาอยู่ติดกัน ก็เป็นอันว่าความลับของเขาไม่เป็นความลับอีกต่อไป
‘เพราะอัลเป็นทรานส์หรอ ไม่เป็นไรนะ พี่คาเดียสก็เป็นทรานส์แหละ’เจ้าตัวน้อยลดเสียงลงจนเป็นกระซิบก่อนจะยกมือป้อมขึ้นลูบผมอาซาเอลในวัยเยาว์เบาๆ รอยยิ้มนั้นราวกับเทวดาตัวน้อยจนอาซาเอลคิดว่า การที่เขาเป็นทรานส์ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนัก
เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่ สนิทสนมกันขนาดไหนจึงรู้ความลับของเขาได้
ทำไมเขาจึงลืมเพื่อนคนสำคัญไปเสียสิ้น
‘ดีนจะเป็นทรานส์เหมือนกันมั้ย อัลอยากให้ดีนเป็นทรานส์’แขนเล็กผอมของอาซาเอลยกขึ้นกอดคนตรงหน้าแน่น
โดยทั่วไปเด็กทุกคนจะรู้ว่าตนเป็นเพียว ไฮบ์ หรือทรานส์ ช่วงประมาณไม่เกินสิบขวบ ทว่าเด็กคนนี้ที่ดูน่าจะอายุมากกว่านั้นไปแล้ว กลับยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสิ่งใดงั้นหรือ
‘แม่บอกว่าดีนอาจจะเป็นทรานส์ก็ได้ พี่คาเดียสบอกว่าดีนดุร้ายกว่าพี่คาเดียสซะอีกแล้วก็โดนแม่ตีเพราะพูดไม่ดีกับดีนแหละ’
อาซาเอลในวัยเยาว์ช้อนตาขึ้นมองคนตัวเล็กกว่า ด้วยใบหน้าของทรานส์ตัวน้อยซุกอยู่กับอกคนตัวป้อม
‘แต่ดีนไม่อยากเป็นทรานส์’
‘ทำไมอ่ะ เป็นทรานส์ไม่ดีใช่มั้ย เป็นแบบอัลไม่ดี’อาซาเอลรู้สึกได้ว่าตัวเขากำลังเบะเบ้เกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
‘เปล่านะอัล ดีนไม่ได้หมายความแบบนั้น’อีกคนโบกมือไหวๆหน้าตื่น
‘ก็ดีนไม่อยากเป็นแบบอัล’เอ่ยเสียงสั่นไม่ทันจบประโยคหยดน้ำเม็ดโตก็หยดเผาะลงบนแก้ม
‘แม่บอกว่าดีนเป็นเพียวไม่ได้เพราะแม่กับพ่อเป็นไฮบ์ แต่ดีนเป็นไฮบ์ได้ ไฮบ์ที่ดีจะปกป้องทรานส์’มือป้อมยกขึ้นซับน้ำตาให้คนตัวผอมบาง
‘ดีนอยากปกป้องอัล’
‘ดีนจะเป็นคนที่เท่กว่าพี่คาเดียส แล้วปกป้องอัลเอง’
‘ดีนทำไม่ได้หรอก พี่คาเดียสเท่มากๆ แต่ดีนน่ารัก’ทรานส์ตัวน้อยที่น้ำตาหยุดไหลเปลี่ยนเป็นหัวเราะร่าเมื่อมองคนตรงหน้าที่น่ารักน่าชังแต่กำลังพูดราวกับตนเองเป็นยอดมนุษย์
‘ดีนน่ารักหรอ’คนตัวเล็กกว่าเอียงคออย่างสงสัย ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตัวโต
‘ใช่ ดีนน่ารักมากๆ จนอัลอยากให้ดีนมาเป็นเจ้าสาวของอัลเลย’ว่าพลางยกมือขึ้นบีบแก้มนุ่ม
‘เจ้าสาวหรอ…’อีกคนทำหน้าราวกับกำลังสับสน
‘ใช่แล้ว เจ้าสาว’อาซาเอลหัวใจเต้นรัวเร็วอย่างไร้สาเหตุ ยิ่งตอนที่ตัวเขาในวัยเยาว์เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกคนช้าๆยิ่งอยากจะร้องออกมาดังๆแต่กลับทำไม่ได้
‘อัลจองไว้ก่อนนะ’
สิ่งที่อาซาเอลหวั่นใจเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อตัวเขามอบจุมพิตไร้เดียงสาให้กับคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ความนุ่มหยุ่นและอุ่นร้อนที่สัมผัสโดนอวัยวะเดียวกันโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ แต่กลับทำให้ใจของเขาเต้นโครมคราม
ยิ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าเด็กตรงหน้ากลายเป็นใครบางคน ตัวเขาก็แทบหัวใจหยุดเต้น
“อาซาเอล คุณเป็นไรรึเปล่า”
“จ…เจ้าสาว”
คาดิเนียลขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหัวเราะออกมาจนตาหยี และภาพนั้นก็ราวกับตอกย้ำให้อาซาเอลมั่นใจ
รอยยิ้มแบบนี้
เหมือนเหลือเกิน
“คุณอยากเป็นเจ้าสาวหรอ ได้เลย เดี๋ยวผมเป็นเจ้าบ่าวให้เอง”
ไม่ใช่สิ
ในฝัน…
หรืออาจจะในความทรงจำ
ตัวเขาต่างหากที่เป็นเจ้าบ่าว!
“จองไว้แล้ว”คนที่ยังสับสนระหว่างฝันกับความจริงรำพึงเบาๆจนคนฟังได้แต่เอียงคอสงสัย
“ว่าไงนะครับ”
“อัลจองไว้แล้ว ดีนอย่าขี้โกง”
สิ้นประโยคเบาราวกระซิบนั้นใบหน้าคมคายแต่แสนน่ารักก็เคลื่อนเข้าใกล้อีกคน ก่อนจะประทับจูบเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
ทว่าสำหรับคนที่ไม่รู้อะไรด้วยอย่างคาดิเนียล การกระทำของคนในอ้อมกอดที่จู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาแล้วรุกใส่เขาก่อนก็ทำเอาไปไม่เป็นไปครู่หนึ่ง
ก่อนที่ร่างกายจะตอบสนองอย่างที่ควรจะทำ
ริมฝีปากที่เริ่มร้อนขึ้นตามแรงบดเบียดขบเม้มริมฝีปากบางเบาๆ เปลี่ยนจุมพิตไร้เดียงสาให้ร้อนแรงขึ้นทีละน้อย เช่นเดียวกับมือหนาที่เริ่มไต่ไปตามผิวเนื้อของอีกคนใต้เสื้อตัวใหญ่
อย่าถามว่าสอดมือเข้าไปตอนไหน เพราะแม้แต่คาดิเนียลเองก็แทบไม่รู้ตัว
อาซาเอลที่เริ่มได้สติหลังงุนงงกับความฝันแล้วยังต้องมัวเมากับรสจูบเริ่มขัดขืน
แต่คาดิเนียลที่อดทนมาทั้งคืนคงไม่ยอมหยุดง่ายๆ
เว้นเสียแต่ว่าจะโดนเรียกสติด้วยวิธีเดิม
“โอ้ย! คุณ”
หมัดแมวเสยเข้าเต็มคางแม้ไม่แรงจนเลือดกบปากเหมือนครั้งก่อนแต่ก็มากพอจะเรียกสติได้ดี
“บอกว่าอย่าขี้โกงไง!”ทรานส์หนุ่มแหวลั่นก่อนจะยกมือขึ้นบีบแก้มอีกคนอย่างแรงจนไฮบ์ที่มึนอยู่แล้วงงเป็นไก่ตาแตก
“อะ…อะไรนะ”ถามคนที่ผุดขึ้นนั่งอย่าสับสน ลูบคางตัวเองป้อยๆจนน่าสงสาร แต่อีกคนกลับไม่มีแววเห็นใจเลยสักนิด
ในดวงตาสวยมีเพียงความสับสนเท่านั้น
“คาดิเนียล”เอ่ยเรียกด้วยเสียงเข้มเสียจนเจ้าของชื่อต้องหยัดตัวขึ้นนั่งตาม เพื่อให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“คุณมีชื่อเล่นหรือเปล่า”ยังคงใช้น้ำเสียงนิ่งเรียบดังเดิม จนคาดิเนียลไม่กล้าแม้แต่จะตั้งข้อสงสัยกับคำถามกะทันหันของอีกคน
“มีครับ”
“ชื่ออะไร”
ไฮบ์หนุ่มเกาต้นคอด้วยความสับสน
“ดาเนียล คนในครอบครัวผมเรียกแบบนั้น”
อาซาเอลเงียบไป ครุ่นคิดอย่างหนักจนคิ้วขมวดเป็นปม บรรยากาศตึงเครียดทำให้ไฮบ์หนุ่มได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมไม่กล้าขยับตัวด้วยซ้ำไป
เกือบลืมไปแล้วว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาทั้งสองเพิ่งจะกอดรัดกันไปหมาดๆ
“ให้ตายเถอะ”จู่ๆคนที่กำลังคิดหนักก็โพล่งออกมาพร้อมขยี้ผมตัวเองเสียจนยุ่งเหยิง
“ผมกลับล่ะ”ตามมาด้วยการก้าวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่คาดิเนียลจะเอ่ยห้ามเจ้าตัวยุ่งก็พุ่งไปถึงประตูเสียแล้ว
“ผมไปส่ง”กำลังจะก้าวตามก็ต้องชะงักเสียเกือบจะตกเตียง
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องตามมา นอนลงไปเลยนะ!”
คาดิเนียลมองตามที่คนกระชากประตูแล้ววิ่งออกนอกห้องไปในชั่วพริบตา ไม่มีแม้แต่การหันมาลากันให้เป็นเรื่องเป็นราว
อะไรวะเนี่ย
นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ไฮบ์หนุ่มจะคิดได้
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เขาโดนเจ้าแมวดื้อขโมยจูบก่อนจะวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ
รู้สึกเหมือนความภาคภูมิใจในฐานะนักล่ากำลังถูกท้าทาย แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับดูสับสนมากกว่าจะทำไปเพราะอยากเอาชนะเหมือนครั้งก่อน
เจ้าของห้องนั่งนิ่งเพราะยังประมวลผลไม่เสร็จ ก่อนจะล้มตัวลงนอนตามที่อีกคนสั่ง ลืมตาโพลงมองเพดานอย่างไร้จุดหมาย
และความงุนงงก็คงจะอยู่กับหมาป่าหนุ่มไปจนเช้า
เช่นเดียวกับความสับสนที่ตามติดแมวเจ้าปัญหาไป
hf
นักเรียนที่ระดับความสามารถอยู่ในขั้น Beginner และต่ำกว่าทยอยเดินออกจากห้องเรียนรวมของวิชา Human Type ส่วนใหญ่มีสีหน้าคล้ายได้ปลดภาระหนักบนไหล่โยนทิ้งไปให้ไกลหูไกลตา ด้วยว่าการนำเสนอรายงานของนักเรียนชุดสุดท้ายได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อครู่ หลังจากที่ตารางเรียนของพวกเขาถูกถมทับด้วยวิชา Human Type ติดต่อกันตลอดสัปดาห์ ผลการนำเสนอค่อนข้างดี ไม่มีใครโดนซักเสียจนร้องไห้จ้าหน้าห้องเหมือนที่รุ่นพี่ขู่เอาไว้เสียมากมาย อาจารย์ชาร์ลตั้งใจฟังสิ่งที่ทุกคู่รวบรวมมาและดำเนินการนำเสนอได้เป็นอย่างดี ติดขัดบ้างแต่ให้อภัยกันได้
หลายคู่ทำได้ดีทั้งรูปเล่มและวิธีการนำเสนอที่ตื่นตาตื่นใจ
บ่งบอกว่านักเรียนแต่ละคนใช้เวลาร่วมเดือนในการค้นคว้าข้อมูลต่างๆด้วยความใส่ใจ
เด็กน้อยทั้งหลายเห็นด้วยกับที่อาจารย์เคยบอกไว้ในคาบแรก
หากเลือกทำในสิ่งที่ชอบและสนใจ ย่อมมีกำลังใจแม้มันจะยากลำบาก
และผลตอบรับของความพยายามก็ไม่เคยทรยศใคร
อย่างน้อยก็ในคลาสเรียนของอาจารย์ชาร์ล
ทุกคนได้คะแนนในระดับดีถึงดีมาก และได้ของขวัญเป็นลูกกวาดรสหวานที่ช่วยฟื้นฟูกำลังกายให้หายล้าจากการอดหลับอดนอนด้วยต้องเตรียมนำเสนอกันทั้งคืน
เช่นนั้นจึงไม่แปลกที่นักเรียนส่วนใหญ่จะเดินออกมาด้วยใบหน้าสดใสและเสียงโห่ร้องที่ดังออกมาจากบางกลุ่ม
ท่ามกลางเหล่าเด็กน้อยที่กำลังอิ่มเอมกับอิสรภาพที่ได้รับ มีใครคนนึงเดินออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แม้เพื่อนร่างสูงจะตบบ่าปลอบใจก็ไม่อาจทำให้ปากบางที่คว่ำลงน้อยๆนั้นกลับกลายเป็นรอยยิ้มยียวนอย่างเคย ต่างกันกับใครอีกคนที่เดินอยู่ข้างกัน เจ้าของร่างที่สูงน้อยสุดในกลุ่มกำลังยิ้มกริ่มพออกพอใจเป็นอย่างมาก และนั่นทำให้คนที่หน้าคว่ำอยู่แล้ว คว่ำลงไปอีก
หมอชาร์ลที่เดินปิดท้ายกลุ่มนักเรียนเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อไล่ตามกลุ่มของอาซาเอลให้ทัน เห็นแผ่นหลังของมินาคัสอยู่ไม่ไกล เขาอยากคุยกับเด็กที่ได้คะแนนสูงสุดในการทำรายงานครั้งนี้เสียหน่อย
อาจารย์ร่างสูงวางมือลงเบาๆบนบ่าของเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุด ทำให้ทั้งกลุ่มชะงักเท้าและหันมามองผู้ที่รั้งแจนิวาลไว้
“พวกคุณทำได้ดีมากเลยนะครับคุณแจนิวาล คุณมินาคัส ข้อมูลของคุณน่าสนใจมากเลย หวังว่าเราจะได้คุยกันเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกนะครับ”อาจารย์หนุ่มทำท่าคล้ายตรึกตรองอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงทุ้มและรอยยิ้มกว้าง “เอาเป็นตอนที่พวกคุณไปห้องสมุดของภาควิจัยก็ได้ ผมค่อนข้างสนใจเรื่องของผู้รักษาสมดุลอยู่เหมือนกัน”
มินาคัสสบตาหมอชาร์ลด้วยอาการประเมิน และทันได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ในดวงตากลมโตคู่สวยเข้าพอดี
ชาร์ลรู้ดีว่าเขาเป็นผู้รักษาสมดุล และคงรู้ด้วยว่าแจนิวาลได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาจากตัวเขา
การที่เอ่ยกับแจนิวาลเช่นนี้ก็เพื่อประเมินท่าทีว่ามินาคัสได้เล่าสิ่งใดให้เพียวหนุ่มฟังไปแล้วบ้าง
ทว่าสิ่งที่ผู้รักษาสมดุลหนุ่มเล่าสู่กันกับแจนิวาลนั้นมีเพียงว่าอาจารย์ส่วนหนึ่งในสถาบันแห่งนี้กำลังเคลื่อนไหวภายใต้ชื่อกบฏแห่งเชนโตเออูโนเท่านั้น มิได้เปิดเผยตัวตนของพวกเขาให้แจนิวาลรู้
แม้จะตรวจตราและกางเขตแดนบางๆครอบห้องพักไว้แล้วชั้นหนึ่ง แต่มินาคัสก็ยังอดระแวงไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาบอกต่อแจนิวาลอาจจะหลุดไปถึงหูผู้เป็นใหญ่สูงสุดในสถาบันแห่งนี้ จึงไม่อาจเอ่ยรายชื่อออกมาได้ เกรงจะเกิดอันตรายกับเหล่าคณาจารย์
นอกจากนั้น มินาคัสยังปิดบังบางเรื่องกับแจนิวาลอยู่
ผู้รักษาสมดุลหนุ่มชี้แจงภารกิจของเขา ที่ทำให้ต้องไปเกี่ยวพันกับเหล่ากบฏ รวมถึงภัยคุกคามที่อาจลุกลามมาถึงตัวอาซาเอล ซึ่งก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นเมื่อแจนิวาลรู้อยู่แล้วว่าอาซาเอลเป็นภาชนะที่สอง
ทว่า เขาเลี่ยงที่จะบอกเงื่อนไขในการหยุดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ด้วยตัวเขาจำเป็นต้องพรากชีวิตของเหล่าภาชนะที่สอง ซึ่งจะมีกี่คนนั้นไม่อาจรู้ รวมถึงเงื่อนไขที่เขาต้องมีเขี้ยวเพื่อให้แข็งแกร่งพอจะทำเช่นนั้น
มันอาจหนักหนาเกินกว่าจะให้แจนิวาลมาแบกรับความรู้สึกผิดเหล่านี้ร่วมกับเขา
ผู้รักษาสมดุลอย่างเขาถูกสอนให้เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์เช่นนี้มาบ้าง แต่กับแจนิวาลที่เติบโตมาตามวิถีชีวิตธรรมดานั้น เรื่องนี้อาจเป็นฝันร้ายไปตลอด
กระนั้น เขาก็ยังคงหวัง แม้จะริบหรี่ ว่ามันอาจจะมีทางเลือกอื่น
ทางเลือกที่ทำให้มือเขาเปื้อนเลือดน้อยลงสักหน่อย
ทั้งเลือดของเหล่าภาชนะที่สองผู้โชคร้าย
และเลือดของผู้ที่จะมาเป็นเขี้ยวของเขา
แจนิวาลมองมินาคัสเสียทีหนึ่งก่อนจะตอบรับคำอาจารย์ด้วยเสียงที่แสร้งให้กระตือรือร้นสมกับที่เพิ่งได้รางวัลเป็นสิทธิ์การเข้าใช้ห้องสมุดของภาควิจัยได้ตามต้องการ
แม้ผู้รักษาสมดุลจะอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม
ทว่าการมีแหล่งข้อมูลระดับนั้นไว้ในครอบครองก็เป็นกำไร กว่าเขาจะเรียนจบจากสถาบันแห่งนี้คงได้ใช้ประโยชน์จากรางวัลที่ได้รับอีกมาก ยกเว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สถาบันแห่งนี้ต้องปิดตัวลง
เพียวหนุ่มได้แต่ภาวนาว่าภารกิจของมินาคัสจะจบลงด้วยดี
ดีในแบบที่มีคนต้องสูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“คุณก็ทำได้ดีนะครับอาซาเอล ถ้าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับคู่ของคุณอีกหน่อย ผมคงให้รายงานของคุณเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน”หมอชาร์ลหันไปคุยกับคนที่ยืนเงียบผิดจากปกติด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างพยายามปลอบใจแมวหงอย ก่อนจะเอ่ยถึงอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาราวกับอยากฝากคู่ทำรายงานไปบอกอยู่ในที “เวทย์แสงจำลองภาพของคุณคาดิเนียลก็น่าประทับใจมากทีเดียว”
อาซาเอลพ่นลมหายใจหนัก ด้วยพยายามสลัดความรู้สึกผิดหวังออกจากความคิด
เขาทั้งตั้งใจและทุ่มเทให้กับรายงานครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นการตีแผ่ความเจ็บปวดของภาชนะที่สองให้ประจักษ์ต่อสายตาคนทั่วไป
ทว่าทุกอย่างก็พังทลายด้วยตัวเขาเองที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคาดิเนียล ทำให้การนำเสนอมันดูติดขัดไปเสียหมด
คาดิเนียลเองก็พยายามเต็มที่เหมือนกัน ใช่ว่าอาซาเอลจะไม่รู้
ช่วงนี้เจ้าหมาป่านั่นดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องมาเสียพลังเวทย์จำนวนมากไปกับการสร้างภาพจำลองจากเวทย์แสงตามที่วางแผนกันไว้ ใบหน้าซีดเซียวของไฮบ์หนุ่มหลังนำเสนอเสร็จไม่ได้หลุดรอดสายตาของเขาไป แต่เขาก็ยังทำเพียงโค้งขอบคุณคู่ทำรายงานตามมารยาทเท่านั้น
ไปหาเขาถึงห้อง
เริ่มจูบเขาก่อน
แต่กลับตั้งสติไม่ได้เพราะสับสนว่าเด็กตัวน้อยกับผู้ชายร่างใหญ่นั่นใช่คนๆเดียวกันหรือไม่
ทั้งอาย ทั้งสับสน ปะปนเสียจนไม่รู้จะจัดการยังไง
เป็นแบบนี้ตลอดจนน่ารำคาญ ความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักพวกนี้มันไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย ยิ่งกระทบไปจนถึงเรื่องงานแบบนี้ยิ่งไม่ควร เขาไม่ได้ผิดหวังที่ไม่ได้รับรางวัล ไม่ได้อิจฉาแจนิวาลที่ได้ไป แต่โกรธที่ตัวเองไม่ได้ทำเต็มที่เท่าที่จะทำได้ เพียงเพราะถูกความรู้สึกส่วนตัวรบกวน
ทรานส์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆ หลังจากหันไปขอบคุณอาจารย์ประจำวิชาแล้วขอตัวกลับไปพักที่ห้องพักเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ อาซาเอลไม่รู้ตัวหรอกว่าดวงตาคมของตนเองกำลังมองหาใครบางคนอยู่ตลอดทาง ทว่าก็ไม่พบ
ครั้งนี้แปลกตรงที่อาซาเอลหลบหน้าแต่คาดิเนียลไม่พยายามไล่ตาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ก่อนหน้านี้ยังพอจะเอาเรื่องงานมาเป็นข้ออ้างไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านได้บ้าง แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้คิดนอกจากเรื่องความทรงจำขาดๆเกินๆกับคนที่คล้ายเหลือเกินกับคนในความทรงจำนั้น แต่ก็มิอาจปักใจ ด้วยคนๆนั้นก็ทำราวกับจำกันไม่ได้
หรือที่เข้ามาวุ่นวายอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยทั้งที่ไม่ได้ขอ แต่ก็ขยันทำให้หงุดหงิดนั่นเป็นเพราะจำได้ แต่ขุ่นเคืองที่ตัวเขาเมินเฉย
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรอธิบายกันเสียให้เข้าใจ ว่าอาซาเอลมีความทรงจำที่บิดเบี้ยวเพียงใด ที่ทำราวอีกคนเป็นคนแปลกหน้า ก็เพราะจำไม่ได้จริงๆ
“อาซาเอล เฮ้ ให้ตายสิ ตั้งสติหน่อย”
คนโดนเรียกสติเซถลาถอยหลังเพราะแรงกระตุกที่คอเสื้อ
ถ้าแจนิวาลสูงกว่าเขา คงโดนหิ้วขึ้นจากพื้นเหมือนลูกแมวที่โดนแม่แมวคาบกระเตงไปไหนต่อไหน
อาซาเอลหันมองซ้ายขวาและพบว่าพวกเขาเดินมาถึงชั้นที่พักแล้ว แต่อาซาเอลกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นถัดไปเสียอย่างนั้น
“โทษที”เอ่ยเสียงเบาก่อนจะพยายามจัดคอเสื้อที่ยับยุ่ง
“เสียดายขนาดนั้นเลยหรอที่ไม่ได้ที่หนึ่งของคลาส”แจนิวาลเอ่ยถาม
“ไม่เอาน่าแจนิวาล”มินาคัสปรามคนช่างพูดที่บางครั้งก็พูดอะไรไม่ค่อยรักษาน้ำใจคนฟัง
“เห็นฉันเป็นคนแบบนั้นหรือแจนิวาล จะได้ที่เท่าไรก็ช่างเถิด หากว่าฉันทำเต็มที่แล้วก็ไม่เสียดายอะไรหรอก”อาซาเอลตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเชิงตัดพ้อเสียมากกว่าจะกรุ่นโกรธ
“งั้นเมื่อกี้นายก็ไม่ได้ทำอย่างเต็มที่งั้นรึ”แจนิวาลเลิกคิ้ว รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังจะจี้ถามอีกคนอยู่อย่างนั้น ด้วยอยากรู้ว่าอะไรที่รบกวนใจอาซาเอล
นับจากวันนั้นที่อาซาเอลไม่กลับห้อง เจ้าทรานส์ตัวดีก็ไม่ปริปากเล่าสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะคาดคั้นอย่างไรก็ไม่ได้ผลอย่างทุกที
อาซาเอลหลีกเลี่ยงคาดิเนียลเหมือนอย่างเคย แต่แจนิวาลสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างครั้งนี้กับครั้งก่อนๆ อะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
อยากรู้แต่คนดื้อไม่ยอมเล่า เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์
ทั้งที่เคยบอกไปแล้วว่ามีอะไรให้บอก
น่าโมโหจริงๆ
อาซาเอลถอนหายใจหนักๆไปเสียหนึ่งทีกับคำถามจี้ใจของแจนิวาล
“ฉันไม่มีสมาธิ การอยู่ใกล้ๆคาดิเนียลทำให้ฉันสติแตก”
“ขนาดนั้นเชียว คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ”แจนิวาลหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่เบี่ยงสายตาไปอีกทาง เลี่ยงการสบตากับคนชอบจับผิด ทว่าก็ไปสบเข้ากับสายตาของผู้รักษาสมดุลหนุ่มที่แม้ริมฝีปากจะไม่ยิ้ม แต่กลับยิ้มด้วยตาจนน่าหมั่นไส้
“ไม่ใช่ว่าเสียท่าให้คาดิเนียลไปแล้วหรอกนะ”
อาซาเอลเบิกตาโตหันกลับมามองแจนิวาลอย่างไม่เชื่อหูกับสิ่งที่เพื่อนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน ไหนจะมินาคัสที่หลุดขำพรืดออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“พูดอะไรของนาย อย่างฉันน่ะรึจะเสียท่าให้คาดิเนียล ฉันเนี่ยนะ”อาซาเอลชี้ตัวเองด้วยนิ้วสั่นเทา
“เขาต่างหากที่…!”
ทรานส์หนุ่มแทบจะยกมือตะปบปากตัวเอง หลังจากหลุดคำพูดสองแง่สามง่ามออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
แจนิวาลกับมินาคัสหันมองหน้ากันก่อนจะหันกลับมามองอาซาเอลที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามว่าหมาป่าหนุ่มพลาดเสียอะไรให้เจ้าแมวตรงหน้าก็เป็นอันต้องละสายตาไปมองตามเสียงเรียก
“พวกพี่ๆ มายืนทำอะไรกันตรงนี้เนี่ย”เสียงเล็กสมตัวของเอเดวาทำให้คนอายุมากกว่าทั้งสามได้สติว่ากำลังยืนขวางทางขึ้นลงระหว่างชั้นห้ากับชั้นหกของหอพัก
มินาคัสเป็นฝ่ายถอยหลีกทางให้กลุ่มเพื่อนสนิทของซามูเอล เด็กน้อยที่เคยตามพวกเขาต้อยๆบัดนี้มีกลุ่มเพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เป็นนิจ ซามูเอลและบาจิลเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนปีนี้ ในขณะที่เอเดวา จาฮาฟา และคลินซ์ เข้าเรียนตั้งแต่ปีก่อน
พวกเขาทั้งสามกับเด็กน้อยทั้งห้ามีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันอยู่บ้าง ด้วยซามูเอลก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่
อาซาเอลสบตากับบาจิล ที่มองมาด้วยสายตาแพรวพราวชวนให้ทรานส์หนุ่มขนลุกซู่
บาจิลคือเด็กที่นั่งฟุบหลับแทบตลอดเวลาอยู่ตรงแถวหลังสุดของห้องเรียนวิชาHuman Type
อาซาเอลเห็นเด็กคนนี้ตั้งแต่ชั่วโมงแรก แต่กว่าจะมีโอกาสได้คุยกันก็เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเด็กน้อยเจ้าของร่างผอมบางนั้นมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ ราวกับไม่อยากสุงสิงกับใครก็ตามในโลก
ถ้าไม่ใช่เพราะเอเดวาสังเกตเห็นคนที่หลับจนเลยเวลาเลิกคลาสจึงเข้าไปปลุกแล้วล่ะก็ บาจิลคงไม่ได้มายืนร่วมกลุ่มกับซามูเอลและเด็กคนอื่นอยู่ตรงนี้
แม้ว่าการปลุกของเอเดวาจะเป็นการตะโกนดังๆใส่หูและตักเตือนถึงมารยาทในห้องเรียนไปเสียยกใหญ่ก็ตาม
ทว่าสายตาที่บาจิลมองอาซาเอลทำให้เขาอดคิดไม่ได้
ว่าเด็กนี่ได้ยินหรือเห็นอะไรไปบ้าง ในชั่วโมงแรกของคลาสเรียน
“คุณขอให้ผมเรียกชื่อคุณไปแล้ว แต่คุณกลับไม่ยอมเรียกชื่อผมเลย ขี้โกงนี่”
“ผมชื่ออาซาเอลนะ แต่คุณคงรู้อยู่แล้ว เพราะตอนคุยกับเพื่อน คุณก็พูดชื่อผม แต่พออยู่กันสองคน ทำไมเอาแต่เรียกคุณๆล่ะ”
“ว่าไงครับคุณคาดิเนียล ถ้าอยากคุย ก็เรียกชื่อผมก่อนสิ”
ให้ตายเถิดอาซาเอล ถ้าบาจิลได้ยินจริงๆ จะไม่มองว่าเขาทอดสะพานให้คาดิเนียลหรอกหรือ
เด็กน้อยทั้งห้ามองคนอายุมากกว่าด้วยสายตางุนงง แม้จะเคยชินกับเสียงโหวกเหวกของอาซาเอลกับแจนิวาลที่ปะทะคารมกันอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนอาซาเอลจะลุกลี้ลุกลนกว่าปกติอยู่สักหน่อย
“ไม่มีอะไรหรอกเด็กๆ รีบไปพักผ่อนกันเถอะ เดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”มินาคัสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่เอาไว้กลบเกลื่อนเรื่องต่างๆอยู่เสมอ
“ว่าแต่พวกนายสามคนไม่มีเรียนเหมือนกันรึ ปกติเลิกกันค่ำมืดดึกดื่น”แจนิวาลเอ่ยถามจาฮาฟา เอเดวา และคลินซ์ ซึ่งมีระดับขั้นความสามารถสูงกว่านักเรียนใหม่อย่างพวกเขา ตามคำบอกเล่าของรุ่นพี่ตารางเรียนของระดับกลางๆจะแน่นเสียจนหายใจลำบาก
“วันนี้หมดแล้วครับ ให้พวกเราได้พักบ้างเถอะ ผมน้ำหนักลดไปสองกิโลแล้วตั้งแต่ขึ้นมาอยู่ระดับ Intermediate “จาฮาฟาหนุ่มหน้าหวานกับร่างเจ้าเนื้อเมื่อเทียบกับเพื่อนสนิทอย่างเอเดวาเอ่ยด้วยความขยาดตารางเรียนของตนเอง
“นี่ลดแล้วหรอ”คนตัวเล็กบางสุดในกลุ่มหันไปกัดเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงจงใจเย้าแหย่ ทว่าการปะทะคารมของทั้งคู่ก็ต้องสะดุดเมื่อใครอีกคนที่มักจะเงียบอยู่เสมอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“น่า รัก ดี”
หกชีวิตที่ไม่รวมคนถูกชมซึ่งๆหน้าหันไปมองคลินซ์เป็นสายตาเดียวก่อนจะเบนสายตามามองจาฮาฟาที่กลอกตาราวกับเอือมระอาเต็มที
แต่เชื่อเถิดว่าจาฮาฟาไม่ได้รำคาญคลินซ์อย่างที่แสดงออกเลยสักนิด
“ไปฝึกพูดให้ชัดมาก่อน ค่อยมาชม เข้าใจมั้ย”คนหน้าหวานหันไปลูบหัวคนตัวสูงกว่าอย่างเอ็นดู
เหมือนเจ้าของที่กำลังสั่งสอนลูกหมาของเขาอยู่
สามสหายไม่เคยถามว่าเหตุใดคลินซ์จึงสื่อสารได้ยากลำบาก เพราะเกรงว่าจะไปจี้ปมด้อยของเด็กตัวสูงเข้า หลายครั้งที่ต้องอาศัยล่ามในการแปลภาษา ซึ่งก็มีเพียงจาฮาฟาเท่านั้นที่เข้าใจ
“เอ้อ เอเดวา ซามูเอล ชวนพวกพี่ๆเลยสิ เรื่องนั้นน่ะ”จาฮาฟาเอ่ยอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ พยักเพยิกให้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเปิดบทสนทนา
“เรื่องอะไรกัน”อาซาเอลเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนอกสนใจ
เด็กน้อยหันมองหน้ากันก่อนที่เอเดวาจะใช้ศอกสะกิดให้ซามูเอลเป็นคนพูด
“อาจารย์แบคอนแปะประกาศที่กระดานข่าว ให้ส่งชื่อสมาชิกกลุ่มที่ต้องการลงภาคสนามด้วยกันในภารกิจขุดค้นโลหะตัวนำน่ะครับ พวกเรายังไม่รู้จะไปกับใคร เอ่อ… “ซามูเอลลำบากใจที่จะพูด แต่เมื่อสบตากับเพื่อนๆแล้วเขาก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างอ้อมๆ
“ผม คลินซ์ แล้วก็บาจิล อาจจะไม่ค่อยสะดวกไปกับคนที่ไม่สนิท พวกพี่ คงเข้าใจใช่มั้ยครับ”
อาซาเอลมองเด็กน้อยทั้งสามที่ถูกเอ่ยชื่อ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจ ทว่าก็เป็นเพียงการกลบเกลื่อนความกังวลที่ซุกซ่อนไว้เท่านั้น
เด็กกลุ่มนี้ มีทรานส์ถึงสามคน กับไฮบ์ที่ดูไร้พิษสงอีกสอง ไม่แปลกที่จะหวาดหวั่นต่อโลกภายนอกรวมถึงบุคคลที่จะออกไปร่วมกินร่วมนอนด้วยกันทั้งสัปดาห์
แจนิวาลที่นิ่งฟังอยู่นานก็พอจะเข้าใจปัญหาขึ้นมาบ้าง คนตัวเล็กสุดในสามสหายเหลือบมองมินาคัส
ถ้ารวมกกลุ่มกันจริง จะกลายเป็นกลุ่มที่มีทรานส์ถึงห้าคน และหนึ่งในนั้นยังเป็นภาชนะที่สองอีกด้วย แม้จะมีผู้รักษาสมดุล ก็ใช่ว่าจะวางใจได้
ทว่าจะให้ปล่อยเด็กๆที่มาขอความช่วยเหลือไปก็คงทำไม่ได้เช่นกัน
“นายเห็นว่ายังไง มินาคัส”อาซาเอลเองก็ต้องการความคิดเห็นของมินาคัสเช่นกัน
นอกเหนือจากเรื่องที่คนๆนี้เป็นผู้รักษาสมดุลแล้ว ก็เพราะมินาคัสเป็นคนรอบคอบและใจเย็น มีความเป็นผู้นำและเชื่อถือได้คนหนึ่ง
ผู้รักษาสมดุลหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามข้อมูลเพิ่มเติม
“อาจารย์แบคอนให้ไปกลุ่มละกี่คน”
“ไม่เกินสิบคนครับ”จาฮาฟาเป็นคนตอบคำถาม
เขาเองก็ลำบากใจอยู่เหมือนกันที่เอาภาระมากองให้คนที่ระดับขั้นความสามารถยังไม่เกินระดับ Beginner เสียด้วยซ้ำ แม้ทั้งสามจะอาวุโสกว่าและไว้ใจได้ด้วยคลุกคลีกันมาพักหนึ่ง
แต่มันอาจจะเกินกำลังพวกเขาก็เป็นได้
ไฮบ์ตัวน้อยเกือบจะเอ่ยขัดไปเสียแล้ว ทว่าคนที่นิ่งคิดไปอีกครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ได้สิ เรารวมกลุ่มกัน แต่พี่ขอชวนคนอื่นไปด้วยนะ”
เด็กน้อยทั้งห้าถอนหายใจอย่างโล่งอก เอเดวาและจาฮาฟาระบายร้อยยิ้มกว้างแล้วค้อมหัวขอบคุณคนโตกว่าทั้งสาม
ทว่าอาซาเอลที่เห็นแววไม่น่าไว้วางใจในดวงตาของคนที่แสร้งเป็นเทพบุตรอยู่ตลอดทั้งที่แสนจะเจ้าเล่ห์ก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้
“จะชวนใครรึ”
คำตอบของมินาคัสทำเอาคนถามหายใจสะดุด เมื่อผู้รักษาสมดุลหนุ่มเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังแทบไม่เชื่อหูออกมาหน้าตาเฉย
“คาดิเนียล”
ไม่ใช่แค่อาซาเอลที่เบิกตาโต แต่คนอื่นๆก็เช่นกัน เด็กน้อยทั้งห้าที่รู้ดีกว่าฝูงหมาป่านั้นอันตรายเพียงใดถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืน ในขณะที่แจนิวาลหรี่ตามองมินาคัสอย่างประเมินว่าคนๆนี้กำลังคิดอะไรอยู่
หรือเพราะเรื่องภาชนะที่สองกับผู้อำนวยการ
แม้แต่ผู้รักษาสมดุลอย่างมินาคัสยังไม่มั่นใจว่าจะปกป้องอาซาเอลได้ แล้วไฮบ์ธรรมดาอย่างคาดิเนียลจะช่วยอะไรได้งั้นหรือ
“พวกเรามีปัญหาอะไรหรือเปล่า พี่คิดว่าเค้าไว้ใจได้ และจะช่วยเราได้มากทีเดียว”มินาคัสเอ่ยถามคนเด็กกว่าโดยไม่สนใจท่าทีเหมือนหมีกินผึ้งของอาซาเอล
“พวกผมก็… ถ้าพี่พูดแบบนั้นพวกเราก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”ซามูเอลเอ่ยด้วยรอยยิ้มปั้นยาก
“แต่จะให้คุณคาดิเนียลไปด้วย แล้วฝูงของเขาล่ะครับ”น้ำเสียงเคร่งเครียดของจาฮาฟาดึงรอยยิ้มปลอบประโลมที่ใช้ล่อลวงเหยื่อมามากมายให้ระบายบนริมฝีปากของมินาคัส
แจนิวาลลอบคว่ำปากกับท่าทางเช่นนั้นของเพื่อนสนิท
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่คุยกับคาดิเนียลให้เอง”ว่าพลางวางมือลงบนกลุ่มผมนุ่ม ทว่าก็ต้องเบี่ยงมือออกอย่างเก้อๆเมื่อมองเลยไปสบเข้ากับแววตาวาวโรจน์ของคนตัวสูงสุดในกลุ่มเด็กน้อย
แว่วเสียงอาซาเอลกับแจนิวาลสองคู่กัดที่หันไปหัวเราะคิกคักอย่างสะใจกับสีหน้าที่เจื่อนลงไปวูบหนึ่งของมินาคัส
ช่วงนี้เจอเจ้าที่แรงบ่อยเหลือเกิน
“งั้นฝากด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับพี่ๆ”จาฮาฟาและเด็กๆที่เหลือค้อมหัวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนบทสนทนาจะจบลงเมื่อมินาคัสตัดบทให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันต่อ หลังจากที่เขาตกลงกับคาดิเนียลเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยว เรามีเรื่องต้องคุยกัน”คนที่ฟึดฟัดอยู่นานเอ่ยรั้งเมื่อแจนิวาลและมินาคัสออกเดินไปตามระเบียงทางเดินของชั้นห้า คล้อยหลังเด็กทั้งห้าไปไม่เท่าไร
“ใช่ เรามีเรื่องต้องคุยกัน เพราะงั้น ไปห้องนายกัน”มินาคัสพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำให้อาซาเอลรู้สึกขนลุกซู่ นึกอยากจะเดินหนีทั้งที่เพิ่งรั้งเขาไปเมื่อครู่นี้เอง
“เอ้า ตามมาสิ”แจนิวาลหันมาตะโกนเรียกคนที่ไม่ยอมขยับทั้งที่เมื่อครู่ยังลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข
อาซาเอลเข่นเขี้ยวตามหลังคนที่เดินนำหน้าทั้งสองคน ภาวนาให้ไม่โดนเพื่อนสนิททั้งสองพาไปต้มยำทำแกง
ก็ดูเอาเถิด พอเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้แล้วน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไร
อาซาเอลเดินตามมาห่างๆในขณะที่ปากบางๆก็บ่นอุบอิบไปด้วย แจนิวาลเหลือบมองทรานส์ร่างโปร่งที่กำลังงอแงตามประสาก่อนจะถอนหายใจออกมาทำเอาคนที่เดินอยู่ข้างกันต้องหันมามอง
แจนิวาลและมินาคัสตกลงกันว่าต้องบอกอาซาเอลให้รู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมเพียงใด
ครั้นจะบอกก่อนหน้านี้ อาซาเอลก็เคร่งเครียดกับการเตรียมการนำเสนอ พวกเขาทั้งสองคนที่วิ่งวุ่นพอกัน ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียที
นั่นหมายถึงเพียวหนุ่มต้องบอกเพื่อนสนิทว่าเขารู้เรื่องภาชนะที่สองมานานพอดูแล้ว
ต้องก้าวข้ามเส้นความเกรงใจที่ขีดไว้ด้วยตนเอง
อาซาเอลเองก็เป็นคนคิดมาก ช่างเก็บเสียขนาดนั้น ไม่รู้จะเป็นอย่างไรถ้าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
ถอนหายใจอีกหนจนมินาคัสต้องย่นหัวคิ้ว
แขนยาวเอื้อมมาตรงหน้าจนแจนิวาลผงะถอยหลัง กระนั้นก็ไม่พ้นฝ่ามืออุ่นที่ทาบลงบนแก้มนุ่มทั้งสองข้างแล้วออกแรงกดๆบีบๆจนใบหน้าน่ารักเริ่มบูดเบี้ยว
แจนิวาลขมวดคิ้วแน่น แยกเขี้ยวก่อนจะแหวใส่คนที่กำลังเล่นแก้มของเขาอย่างสนุกมือเสียงดังลั่น
“อำอ้าอะไอเอี้ย อ่อย!!”
“ว่าไงนะ”ถามหน้าตายก่อนจะปล่อยมือออกจากแก้มอีกคน ยืนตีสีหน้าราวไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
เก่งนักเชียวไอ้หน้ากากไม่รู้ไม่ชี้อะไรเนี่ย
“ทำบ้าอะไร”ถามอีกหนด้วยเสียงที่ดังเท่าเดิม
อาซาเอลที่เดินตามหลังมาและเห็นทุกการกระทำยืนเดาะลิ้นอย่างนึกสนุกอยู่ไม่ไกล ทรานส์หนุ่มมองซ้ายมองขวากลัวจะมีใครเปิดประตูออกมาเอ็ด ก็เพื่อนเขาเสียงดังราวฟ้าผ่าเสียขนาดนี้
“อย่าคิดมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”มินาคัสเอ่ยเสียงนุ่มด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างเคย ก่อนจะหันหลังเดินนำไปอย่างเงียบๆ
“นี่ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดใช่มั้ย แล้วตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกนาย ที่ฉันยังไม่รู้หรือเปล่า”แจนิวาลพยายามไม่สนใจน้ำเสียงยียวนของคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แต่ไอ้การบีบเสียงเล็กเสียงน้อยนั่นก็กวนโมโหเขาเหลือเกิน ก่อกวนกันเสร็จก็เดินผิวปากตามมินาคัสไปอีกคน
ทำไมเขาต้องมาเสียพลังงานชีวิต ปวดหัวเพราะคอยห่วงทรานส์พวกนี้ด้วยนะ
ไม่น่ารัก
ไม่น่าห่วงเลยสักนิด
แต่ละคน!
hf
แซนด์วิชสามชิ้นดูจะน้อยเกินไปหน่อยสำหรับมื้อเย็นของเด็กหนุ่มวัยกำลังโต แต่นี่ก็เป็นของไม่กี่อย่างที่พอจะหยิบออกมาจากห้องอาหารได้อย่างไม่เลอะเทอะมากนัก
วันนี้อาซาเอลเลือกจะทานอาหารเย็นในสวนที่ชั้นสี่ของหอพัก เดินวนหาที่เหมาะๆอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจปีนขึ้นมาบนรังนกยักษ์ที่ประจำจนได้ นอกจากห้องเรียนกับห้องพัก ก็คงมีรังนกยักษ์นี่กระมังที่ทรานส์หนุ่มมาหมกตัวอยู่เป็นประจำ แม้จะเคยโดนเจ้าหมาป่าตัวโตรุกล้ำอาณาเขตไปครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นคาดิเนียลก็ไม่เคยขึ้นมาก่อกวนอะไรเขาอีก แม้จะรู้ว่าเขาหลบอยู่ที่นี่ก็ตาม อย่างมากก็นั่งๆนอนๆอยู่ด้านล่าง เอางานมานั่งทำ หรือหาหนังสือมานั่งอ่าน จนทรานส์หนุ่มที่เผลอคิดว่าอีกคนมานั่งเฝ้าเขาได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดที่เหมือนคนหลงตัวเองออกจากสมอง
แต่ให้ตายเถิด
ที่มีออกถมไป ทำไมต้องตรงนี้ ทำไมต้องใต้ต้นไม้ที่เขาอยู่ด้านบนแบบนี้ด้วยเล่า
ซ้ำยังทำตัวกวนประสาทด้วยการส่งจดหมายภูตขึ้นมา ซึ่งข้อความด้านในก็มีแต่เรื่องไร้สาระ อย่างเช่นเสียงหัวเราะของเจ้าตัว หรือคำถามว่าเย็นนี้เขาจะกินอะไร บ้างก็เป็นคำขอให้เขาชะโงกออกไปมอง บอกว่ามีอะไรจะให้ดูบ้างล่ะ บอกว่ามีคนมาถามหาบ้างล่ะ
แต่สิ่งที่อาซาเอลพบก็มีเพียงสายตาและรอยยิ้มที่ทำให้ทรานส์หนุ่มนึกอยากกระโดดลงไปข่วนคนช่างก่อกวนเสียสักที ดวงตาเรียวพราวระยับด้วยอาซาเอลยอมออกมาตามที่ขอ แม้จะด้วยใบหน้าบูดบึ้งเพราะตกหลุมพรางหมาป่าอีกหน แต่คาดิเนียลก็พอใจที่อีกคนไม่เมินเฉยต่อเสียงเรียกของเขา และก่อนที่แมวน้อยจะโวยวาย เขาก็มักจะส่งรอยยิ้มจนตาเป็นขีดไปให้ทันเวลาเสียทุกที
มากกว่าสายตาเจ้าเล่ห์ที่อาจทำให้ใครต่อใครหลอมละลาย
อาซาเอลแพ้รอยยิ้มกว้างแบบนั้นมากกว่า ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้ หรือตอนนี้ ที่รอยยิ้มนั้นทำให้ทรานส์หนุ่มประหวัดถึงเด็กตัวน้อยผมสีอ่อนในความทรงจำที่ยังสับสนของเขา
แม้การกระทำเหล่านั้นจะชวนหงุดหงิดใจ แต่อาซาเอลก็ไม่ได้ไล่ให้อีกคนไปไหนไกล เพราะนั่นก็ออกจะเกินไปหน่อย ใครๆก็มีสิทธิ์ใช้พื้นที่ตรงนี้กันทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม
วันนี้คาดิเนียลไม่ได้อยู่ที่นี่
บนนี้มีแค่อาซาเอล
และถึงเขาจะมองลงไปด้านล่าง ก็จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของคนๆนั้นอยู่ดี
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็น คนส่วนใหญ่รวมตัวกันที่ห้องอาหาร ไม่แปลกที่บริเวณนี้จะเงียบจนได้ยินเสียงกรีดปีกของแมลง อาซาเอลพอใจกับความสงบจนเอนตัวลงซุกกับกองผ้านวมหอมๆที่มีแม่บ้านมาเปลี่ยนให้ทุกวัน เขาต้องการที่เงียบๆไว้คิดอะไรหลายๆอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น วิธีอยู่รอดในสถาบันแห่งนี้
อันที่จริงเขาคิดเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
แต่คงต้องคิดให้ถี่ถ้วนขึ้นอีกหน่อย เมื่อผู้ที่ต้องระวังไม่ใช่เพียงนักเรียนด้วยกัน หากแต่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
และโหดเหี้ยมที่สุด
ทุกอย่างเริ่มน่าหวาดหวั่นเมื่อทันทีที่อาซาเอลก้าวเท้าเข้าห้องของตัวเอง แจนิวาลและมินาคัสก็เริ่มมีท่าทีประหลาด พวกเขาสำรวจทุกซอกมุมราวกับหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะเริ่มใช้อุปกรณ์แปลกๆของแจนิวาลสร้างอาณาเขตเวทมนต์ที่ปิดกั้นพวกเขาทั้งสามออกจากโลกภายนอกชั่วคราว
อาซาเอลรู้สึกสับสนเมื่อรู้กันดีว่าหอพักนักเรียนของสถาบันนี้ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว เหตุใดจึงต้องกางกั้นบาเรียเพิ่มอีก
แจนิวาลอธิบายการทำงานของอุปกรณ์รูปร่างเหมือนตะเกียงเจ้าพายุเก่าๆนั่น ด้วยมันช่วยให้เขตแดนเสถียรและบางเบาจนไม่มีใครจับสังเกตได้ เขาเคยใช้มันในการแอบเข้าไปขโมยอ่านหนังสือผู้ใหญ่ในคลังส่วนตัวของพ่อ มันช่วยพลางตัวได้ดี แต่ไม่ดีพอเมื่อพ่อของเขาบังเอิญอยู่ในนั้น ในวันที่สามที่เด็กน้อยแจนิวาลวัยย่างสิบห้าปีแอบเข้าไปอย่างย่ามใจ
อาซาเอลไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กชายแจนิวาลที่ริอาจอ่านหนังสือผู้ใหญ่เพราะวัยอยากรู้อยากลอง และไม่ได้ถามด้วยว่าในหนังสือพวกนั้นมีอะไรอยู่ เพราะตอนนี้เขาก็เป็นผู้ชายวัยยี่สิบปีที่ผ่านอะไรพวกนี้มาพอตัว
หมายถึงในเชิงทฤษฎีน่ะนะ
บทสนทนากลับมาตึงเครียดอีกครั้งเมื่อมินาคัสเอ่ยอธิบายเสริม ว่าเขาเคยกางอาณาเขตของตนเองไปรอบหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน หากทำแบบนั้นในห้องเดิมอาจเป็นที่ผิดสังเกต จึงต้องย้ายสถานที่มาเป็นห้องของอาซาเอล และให้แจนิวาลเป็นคนกางเขตแดนแทน ทว่าด้วยความสามารถของแจนิวาลนั้นเกรงจะเกิดความผิดพลาดจึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วย
เรื่องใดกันหนอ สำคัญถึงขนาดต้องกางอาณาเขตป้องกันการดักฟังเช่นนี้ ในเมื่อพวกรุ่นพี่ต่างยืนยันหนักหนาว่าไม่มีเวทย์จับภาพจับเสียงใดๆแฝงอยู่ในหอพักแห่งนี้ ไม่มีแม้แต่เวทย์จับกระแสจิตที่เอาไว้ดักฟังยามเมื่อเราใช้เทเลพาที ด้วยสถาบันนั้นไม่อาจล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคลของนักเรียนได้ พื้นที่ภายในหอพักเป็นอิสระต่อการควบคุมของสถาบัน มีเพียงอาจารย์ดูแลหอที่ช่วยดูแลความเรียบร้อยและระเบียบพื้นฐานให้เท่านั้น
ทันทีที่ได้ฟังเรื่องต่างๆจากปากของเพื่อนสนิททั้งสอง อาซาเอลก็ได้คำตอบให้กับข้อสงสัยทั้งปวง ว่าเหตุใดแจนิวาลและมินาคัสจึงเป็นกังวลได้ถึงเพียงนั้น เพราะไม่ว่าหอพักแห่งนี้จะปลอดภัยเพียงใดก็กลายเป็นสถานที่อันตรายราวสมรภูมิที่กำลังเดือดพล่านได้เมื่อคนที่ปองร้ายต่อเราคือเจ้าของพื้นที่ทุกอณูที่เราเหยียบอยู่
อาซาเอลไม่มีเวลาได้ตื่นตระหนกยามเมื่อแจนิวาลบอกว่ารู้เรื่องที่เขาเป็นภาชนะที่สองมาพักใหญ่แล้ว ซ้ำยังไม่มีเวลาพอจะซักเอาคำตอบว่าเรื่องราวของเขากับมินาคัสในวัยเด็กนั้นเป็นมาอย่างไร รู้เพียงว่าพ่อแม่ของเขามิอาจรับมือกับการที่เขาเกิดมาเป็นภาชนะที่สองได้ จึงนำตัวเขาไปหาปู่ของมินาคัสที่เป็นผู้รักษาสมดุลอาวุโสเพื่อให้ช่วยจำกัดความสามารถของภาชนะที่สองเอาไว้ ก่อนที่ตัวเขาจะถูกมันกลืนกินจนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเสียก่อนจะได้เติบโตและเรียนรู้วิธีควบคุมมัน
มินาคัสตั้งใจเล่าเพียงเท่านั้น เขาปิดบังเรื่องที่อาซาเอลเคยถูกวางตัวให้เป็นเขี้ยว ด้วยรู้ดีว่าอาซาเอลคงไม่พอใจเท่าใดนัก กับการถูกบังคับให้เป็นของของใครโดยไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น ซ้ำการตัดสินใจในครั้งนั้นก็เอื้อประโยชน์ให้ผู้รักษาสมดุลอย่างเขาเสียมากกว่า
ให้รู้เพียงว่าพวกเขารู้จักและช่วยเหลือกันมาตั้งแต่เด็กก็พอ
อาซาเอลนั่งนิ่งฟังสิ่งที่มินาคัสเล่าอย่างตั้งใจ ไม่เกิดคำถามอะไรอีกเมื่อมินาคัสมีท่าทีระแวดระวังทุกครั้งที่เอ่ยถึงข้อมูลสำคัญหรือพาดพิงถึงบุคคลอื่น ด้วยการใช้เวทย์สร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างขึ้นมานั้น หมายถึงพลังเวทย์ของเราจะไหลเวียนอยู่ในตัวอาคารนั้นแม้จวบจนตัวอาคารพังทลายเหลือเพียงเศษซากต้นไม้ที่เคยเกี่ยวกระหวัดกันเป็นสิ่งปลูกสร้างทรงวิจิตร พลังเวทย์ของผู้สร้างก็ยังคงอยู่
เช่นนั้นคำกล่าวที่สถาบันอวดอ้างว่ามอบความเป็นส่วนตัวให้นักเรียนอย่างเต็มที่ก็ดูเป็นโฆษณาชวนเชื่อไร้สาระไปทันที เพราะถ้าให้พูดกันจริงๆแล้ว นักเรียนหลายร้อยนั้นก็ราวกับเดินอยู่ในสวนจำลองของผู้อำนวยการไม่มีผิด อย่าว่าแต่ความลับเลย แม้แต่เสียงหายใจของเรา เขาก็อาจจะได้ยิน
แล้วถ้าผู้ที่เป็นดั่งพระเจ้าในสถาบันแห่งนี้กลายเป็นซาตานร้ายอย่างที่มินาคัสเล่าเสียแล้วล่ะก็ ไม่เพียงแต่เขา แต่ภาชนะที่สองที่อาจแฝงกายอยู่ในสถาบันแห่งนี้ทุกคน ก็เหมือนนับวันรอการเป็นเครื่องบูชายัญแก่อำนาจของผู้อำนวยการก็เท่านั้น
พ่อกับแม่คงเจ็บปวดน่าดูหากรู้ว่าการคะยั้นคะยอให้เขาเข้าเรียนแทนที่จะหลบอยู่แต่ในบ้าน เพราะจะได้เรียนรู้การเอาตัวรอดและป้องกันตัวนั้น วันนี้มันกลับกลายเป็นการส่งเขาเข้าปากนักล่าไปเสียได้
แม้รอบกายจะเต็มไปด้วยนักล่ามาตั้งแต่แรก
แต่กับนักล่าคนนี้
เขามองไม่เห็นหนทางใดที่จะหนีพ้นได้
ผู้อำนวยการแข็งแกร่งเกินไป
ถ้าเมื่อใดที่เขารู้ตัวว่ามีภาชนะที่สองวิ่งเล่นอยู่ใต้จมูก วันนั้นคงเป็นจุดจบของชีวิตอาซาเอลอย่างไม่ต้องสงสัย
อาซาเอลถามตัวเองนับพันครั้งว่าเหตุใดผู้คนจึงฝักใฝ่จะกอบโกยผลประโยชน์จากภาชนะที่สองกันนัก
ทั้งพวกนายหน้าที่ลักพาภาชนะที่สองเพื่อขายต่อในตลาดมืด
ทั้งพวกนักวิจัยนอกรีดที่ใช้ภาชนะที่สองราวกับสัตว์ทดลองในห้องแลปคับแคบสกปรก
และท้ายที่สุด
พวกคนที่ลุ่มหลงในพลังอำนาจ หมายใช้ภาชนะที่สองเพิ่มพลังเวทย์ให้ตนเอง
อาซาเอลได้คำตอบทันทีที่ตั้งคำถามนับพันครั้งนั้น
เพราะไม่มีอะไรดับความกระหายในใจมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะเติมเท่าไรก็ไม่เคยเต็ม กระหายในอำนาจ กระหายในการมีตัวตนเป็นที่ยอมรับ การได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดไม่ว่าใครก็ต้องเคยฝันถึงสักครั้งในชีวิต
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
ในยุคแห่งเวทมนต์นี้ แม้จะวาดภาพสวยหรูว่าเราเจริญกว่าบรรพบุรุษที่ก้มหัวให้ระบบทุนนิยม ที่ผู้มีเงินมากเป็นใหญ่ ทว่าพวกเราก็ไม่ได้ต่างอะไร เมื่อผู้มีพลังเวทย์มากกว่าก็เป็นใหญ่เช่นกัน
ไฮบ์และเพียวไม่มีอาการลอสก็จริงอยู่ แต่พลังเวทย์อันเกิดจากพลังชีวิตนั้นต้องใช้อย่างระมัดระวัง ด้วยต่อให้ไม่ต้องคืนสู่ร่างสัตว์แต่อาการเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อใช้พลังเวทย์เกินพอดีก็เป็นสิ่งไม่อาจหลีกหนีพ้น เช่นนั้นไฮบ์และเพียวจึงต้องมีเขี้ยว
ผู้ผูกพันธะสามารถใช้พลังเวทย์ของเขี้ยวได้ ก็เหมือนมีพลังงานสำรองเป็นของตัวเอง จากน้ำหนึ่งบ่อที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ก็เพิ่มเป็นสองบ่อ จะใช้จนพลังเวทย์ของเขี้ยวแห้งขอด ผู้ผูกพันธะก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะคนที่สูญสิ้น คือฝ่ายเขี้ยวเท่านั้น เมื่อเขี้ยวตาย หรือคืนสู่ร่างสัตว์ ผู้ผูกพันธะก็เพียงหาเขี้ยวใหม่
เพียงแค่นั้น…
อย่างที่บอกว่าความกระหายนั้นไร้ที่สิ้นสุด
เช่นนั้นสำหรับบางคน บ่อน้ำสองบ่อจึงไม่พอดับกระหาย
‘ ไฮบ์และเพียวหนึ่งคนจะมีเขี้ยวกี่คนก็ได้ ’
นั่นเป็นคำบอกเล่าในเชิงทฤษฎี
ทว่าในทางปฏิบัติ จำนวนเขี้ยวที่ทำพันธะด้วยได้ก็ขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ของผู้ผูกพันธะเช่นกัน เพราะในยามที่เขี้ยวลอสหรือบาดเจ็บ จำต้องดึงพลังเวทย์ของผู้ผูกพันธะมาบรรเทา
เช่นนั้น คู่ผูกพันธะที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจึงมักจะอยู่ร่วมกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ดูแลกันและกันอย่างเท่าเทียม
ส่วนคนที่มีเขี้ยวมากกว่าหนึ่ง ก็เป็นสิทธิ์ที่กระทำได้เช่นกัน
ทว่า คนที่มีเขี้ยวมากกว่าสามคนขึ้นไป อาซาเอลปักใจว่าคนพวกนั้นมิได้มองเขี้ยวของตนเป็นเพื่อน คู่หู หรืออะไรก็ตามที่มีค่า พวกเขาเห็นเขี้ยวเป็นเครื่องมือ มีไว้เพื่อใช้งาน ต่อให้พลังเวทย์มีไม่พอแจกจ่ายยามเขี้ยวบาดเจ็บก็เพียงปล่อยให้ตาย
กระนั้น อาซาเอลก็ไม่เคยเห็นใครมีเขี้ยวได้เกินห้าคนมาก่อน แม่ของเขาเคยอธิบายไว้ว่าต่อให้ไม่แจกจ่ายพลังเวทย์เพื่อประทังชีวิตเขี้ยว แต่การผูกพันธะทับซ้อนกันหลายๆครั้งก็ทำให้พลังเวทย์ของผู้ผูกพันธะสูญเสียความเสถียรได้ คนเราไม่อาจควบคุมอำนาจที่ล้นมือตนได้นาน
อิซาเบลไม่เคยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ผูกพันธะที่ถูกความโลภครอบงำจนฝืนผูกพันธะเขี้ยวมากเกิน
คุณแม่ยังสวยทำเพียงมอบรอยยิ้มอ่อนโยนและลูบหัวลูกชายทุกครั้งที่อาซาเอลตั้งคำถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนพวกนั้น
มันอาจเลวร้ายเกินกว่าจะเล่า
หรืออาจเพราะไม่เคยมีใครรอดกลับมาเล่า ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อาซาเอลไม่เชื่อว่าไม่เคยมีใครพยายามผูกพันธะกับเขี้ยวนับสิบนับร้อยเพื่อให้ตนครองอำนาจมหาศาล แต่จุดจบของคนพวกนั้นก็คงทุกข์ทรมานไม่มากก็น้อย
ทว่ามันก็ไม่พอชดใช้ต่อสิ่งที่เขี้ยวผู้โชคร้ายต้องเผชิญ
เมื่อการมีเขี้ยวจำนวนมากเป็นไปได้ยาก คนบางกลุ่มจึงเริ่มค้นหาทางอื่นเพื่อให้มีอำนาจในมือมากกว่าใคร
เส้นทางการค้นหาของบางคนมาจบลงที่ ภาชนะที่สอง
ไม่ดีหรอกหรือ หากไม่ต้องมีเขี้ยวจำนวนมาก ก็ใช้เวทย์ได้ไม่จำกัด
พลังเวทย์ที่มนุษย์ทั่วไปใช้ได้จำกัดตามพลังชีวิตของแต่ละคน แม้จะมีพลังเวทย์มากมายมหาศาลล่องลอยอยู่ในอากาศ ในน้ำ ในดิน ในทุกสรรพสิ่งบนโลก แต่เป็นกระแสพลังที่ไม่เข้ากันกับมนุษย์ มันรุนแรงเกินมนุษย์จะรับไหว เช่นนั้นจึงไม่อาจหยิบมาใช้ได้ดั่งใจ
เว้นเสียแต่ผู้ได้รับข้อยกเว้น
ภาชนะที่สอง ในทรานส์ที่ได้รับพรพิเศษ
ติดตัวมาแต่กำเนิด
พวกเขาเหล่านั้นสามารถใช้พลังเวทย์ธรรมชาติได้อย่างอิสระ ปรับกระแสพลังที่รุนแรงให้เข้ากับการไหลของพลังเวทย์ในร่างกายได้ ดึงพลังชีวิตของทุกสรรพสิ่งในโลกมาเป็นของตน โดยแลกกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียตัวตนความเป็นมนุษย์และกลับคืนสู่ธรรมชาติเช่นกัน
เช่นนั้น ไฮบ์และเพียวที่มีเขี้ยวเป็นภาชนะที่สองจะเป็นอย่างไรเล่า
คำตอบคือสามารถใช้ภาชนะที่สองเป็นเครื่องแปลงกระแสพลังงานของโลกมาเป็นพลังเวทย์ของตนได้เท่าที่ต้องการ โดยผลักความเสี่ยงทั้งปวงไว้ที่ตัวภาชนะที่สองเอง
กว่าเขี้ยวผู้โชคร้ายจะกลับกลายเป็นสัตว์และคืนสู่ธรรมชาติ
พลังอำนาจของผู้ผูกพันธะก็ทบเท่าพันทวี
เพียงเขี้ยวคนเดียวที่เป็นภาชนะที่สอง ก็ทำให้ได้มาซึ่งพลังที่ผู้อื่นไม่อาจไขว่คว้า โดยไม่ต้องแลกกับสิ่งใดเลย
อาซาเอลไม่ถือว่าการสูญเสียเขี้ยวของคนพวกนั้นถือเป็นข้อแลกเปลี่ยน เพราะหากเขาใจดำอำมหิตใช้ประโยชน์จากเขี้ยวได้ถึงเพียงนั้น การสูญเสียเขี้ยวไปก็คงไม่กระเทือนจิตใจพวกเขาแม้สักนิด
ทั้งผู้ที่พยายามมีเขี้ยวจำนวนมาก และผู้ที่ตามล่าหาภาชนะที่สอง
ช่างโง่เขลาและมัวเมาในอำนาจ
อาซาเอลคิดเช่นนั้น
ทรานส์หนุ่มเคยคิดว่าสักวันหนึ่งอาจได้รู้ ว่าผู้ที่ฝืนกฎธรรมชาติจะมีจุดจบเช่นไร
ทว่าเขาไม่เคยคิด
ว่าจะมีใครเมามายจนไร้สติถึงขนาดหมายจะใช้ภาชนะที่สองมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจล้นพ้นตัว
คนๆนึงจะต้องการพลังเวทย์มากมายขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน
อาซาเอลพยายามหาเหตุผลของการกระทำให้ผู้อำนวยการ แต่ทว่าเขาไม่อาจหาอะไรที่สำคัญไปกว่าชีวิตของทรานส์เหล่านั้นได้
ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตและอิสระของคนๆหนึ่ง
แต่นี่ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ต้องสังเวย
ไม่ว่าผู้อำนวยการจะมีเหตุผลอะไร อาซาเอลไม่อาจยอมรับได้ และไม่ควรมีใครยอมรับได้ ถ้ามี คนพวกนั้นก็คงไม่ต่างกันกับผู้อำนวยการ
ทรานส์หนุ่มขดตัวจนงอเป็นกุ้งอย่างที่แจนิวาลชอบล้อเลียนเขาอยู่บ่อยๆ อากาศเริ่มเย็นลงเมื่อท้องฟ้าถูกระบายด้วยสีดำสนิท อาซาเอลไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร รู้เพียงว่าเขาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มลับลงตามแนวสันเขา จนมันทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูจางๆเอาไว้ และจางหายไปท่ามกลางความมืดที่โรยตัว
ภาพพระอาทิตย์ตกดินช่วยให้เขากลืนแซนวิชที่ฝืดเฝื่อนลงคอไปได้บ้าง
ไม่ใช่เพราะแม่ครัวประจำหอพักฝีมือตกลงไป แต่เพราะเขาในยามนี้ไม่อยากอาหารเอาเสียเลย
แมวหนุ่มที่ยามนี้ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวหรือความหนาวเหน็บของอากาศก็มิอาจรู้ทิ้งเปลือกตาลง ปล่อยให้แพขนตาแนบลงบนเนื้อแก้มแล้วผ่อนลงหายใจยาวเหยียด
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนี
เพราะตราบใดที่ยังอยู่ในสถาบันแห่งนี้ก็ไม่มีทางหนีพ้น และการพยายามหนีออกไปจากที่นี่ก็มีแต่จะเร่งเวลาให้ผู้อำนวยการเพ่งเล็งมาที่เขาเร็วขึ้นเท่านั้น
แม้มินาคัสจะให้คำมั่นว่าจะปกป้องเขาให้ได้ ซ้ำยังบอกให้เขาขอความช่วยเหลือจากคาดิเนียลโดยให้เหตุผลว่าไฮบ์หมาป่าคนนั้นแข็งแกร่งพอ แต่อาซาเอลก็ยังเคลือบแคลงเหตุผลของมินาคัสอยู่ดี
ไฮบ์ที่แข็งแกร่งมีมากมาย
ทำไมต้องคาดิเนียล
แต่มินาคัสก็คือมินาคัส หากไม่อยากตอบ ต่อให้เขาถามอะไรไปเท่าไร เจ้าหน้าหล่อนั่นก็คงทำเพียงยิ้มเทพบุตรให้และปิดปากเงียบตามเดิม
น่าหงุดหงิด
แต่ไม่ว่ามินาคัสจะมีเหตุผลอะไรที่พยายามดึงคาดิเนียลมาไว้ใกล้ตัวเขา ทรานส์หนุ่มก็ได้ข้อสรุปเป็นของตัวเองแล้วว่า ทางเดียวที่จะรอดจากมรสุมนี้ ไม่ใช่การหวังพึ่งแจนิวาล มินาคัส หรือแม้แต่คาดิเนียล
ตัวเขาเองต้องแข็งแกร่งขึ้น
ไม่ต้องแข็งแกร่งพอจะท้าทายผู้อำนวยการ เพราะนั่นไม่มีวันเกิดขึ้นได้
ขอเพียงมีพลังพอจะเอาตัวรอดและไม่ต้องเป็นภาระของใครก็พอ
เขามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งนั้น
วิธีเอาตัวรอด
อาซาเอลหมายจะเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นให้ได้ก่อนผู้อำนวยการจะหาเขาเจอ
ทรานส์หนุ่มกำมือแน่น เม้มริมฝีปากแล้วพยายามข่มก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมา
จะร้องทำไมนักหนานะอาซาเอล นิสัยขี้แยนี่ทิ้งไว้ที่บ้านไม่ได้หรือไงกัน
ทรานส์หนุ่มนึกหงุดหงิดตัวเอง ทว่าก่อนที่เปลือกตาสีอ่อนจะเปิดขึ้น เจ้าของร่างผอมบางที่นอนขดตัวอยู่ก็ต้องเกร็งร่างเสียจนตัวแข็งทื่อ เมื่อรับรู้ได้ถึงใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามา
คนที่เขาเคยคิดว่าคงไม่รุกล้ำอาณาเขตกันอีก
คนที่มักจะนั่งทำหน้าทะเล้นอยู่ข้างล่าง เมื่อยามที่เขาเก็บตัวอยู่ในรังนกนี้
คนที่ช่วงนี้ดูอ่อนแรงเสียเหลือเกิน ทั้งที่เขาไปก่อวีรกรรมเอาไว้ แต่ก็ไม่ไล่ตามมาก่อกวนเหมือนแต่ก่อน
คนที่เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่า จดจำได้แม้กระทั่งกลิ่นหอมอ่อนเหมือนผ้าที่เพิ่งตากเสร็จใหม่ๆ อันเป็นกลิ่นประจำตัวของคนๆนั้น
คนที่คล้ายกับจะอยู่ในความทรงจำ
คาดิเนียลรู้ดีว่าเขาไม่ควรเข้ามาในรังนกนี้ ในตอนที่มีแมวนอนขดตัวอยู่บนกองผ้านวมหนานุ่ม
หลายครั้งที่ไฮบ์หนุ่มห้ามใจและเดินผ่านเลยไป หรือทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่แทนที่จะปีนขึ้นมาให้แมวดื้อของเขาวุ่นวายใจ
แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้
ตอนนี้ตัวเขาเหนื่อนอ่อนเกินกว่าจะทะเลาะกับตัวเองไหว และต้องการคนตรงหน้าเกินกว่าจะบังคับให้ตัวเองเดินจากไปได้
โชคยังดีที่อาซาเอลหลับอยู่
ไฮบ์หนุ่มคิดเพียงขอกอดร่างบางๆนี่สักนิดแล้วเขาจะจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างโปร่งที่ตนกำลังล้มตัวลงนอนซ้อนหลังนั้นยังไม่หลับอย่างที่คิด แถมยังลมหายใจยังสะดุดตอนที่แขนยาวเอื้อมมากอดเอวแล้วกระชับสองร่างเข้าหากันจนแผ่นหลังแนบอกอุ่น
กลิ่นหอมอ่อนจากเรือนผมสีดำสนิทยังเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด
เขาอยากจะเหย้าแหย่อาซาเอลด้วยเรื่องจุมพิตคืนนั้นอยู่หรอก ติดที่อีกคนทำหน้าราวกับไม่อยากสนทนากับเขาเอาเสียเลย ซ้ำยังทิ้งระยะห่างทุกครั้งที่เจอหน้า และคาดิเนียลเองก็อ่อนเพลียเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียงกับอีกคนไหว
ไม่ว่าอย่างไรคืนนั้นเขาทั้งคู่ก็จูบกันจริง เป็นจูบแบบที่เรียกได้ว่าจูบอย่างเต็มปาก ไม่ใช่โดนแมวเลียเหมือนเมื่อครั้งทำภารกิจแรก
แต่ถ้าอาซาเอลยังไม่อยากพูดถึง
ก็ไม่เป็นไร
ติดแค่เขาอยากให้แมวดื้อเลิกขู่เขาฟ่อๆเสียที เพราะในยามนี้ เขาต้องการอาซาเอลมากเหลือเกิน
เป็นความต้องการที่เกิดจากก้นบึ้งของความรู้สึกโหยหา มิใช่ความต้องการครอบครองเหมือนในคราแรกที่เจอกัน
คาดิเนียลจำได้ดีว่าอ้อมกอดจากแขนผอมแกร็นนั้นอบอุ่นแค่ไหน
เขาเพียงต้องการได้รับมันอีกครั้ง
ไม่สิ
เพียงครั้งเดียวคงไม่พอต่อความโหยหาที่เขามี
แขนหนารัดร่างอีกคนแน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่ม
คนโดนรัดเกือบจะขยับตัวหนี ลังเลว่าจะโวยวายขึ้นมาเสียตอนนี้ดีไหม แต่ถ้าลุกพรวดขึ้นตอนนี้เขาก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง
ที่สำคัญ อาซาเอลไม่อยากเอาแต่หนีคาดิเนียลอีกแล้ว เหม็นเบื่อตัวเองที่เอาแต่หนีเต็มทน
เขาหนีคาดิเนียลมาตั้งแต่ยังไม่พบหน้ากัน
และคาดิเนียลก็ไล่ตามมาตลอด
จนเมื่อเร็วๆนี้ ที่อีกฝ่ายเหมือนจะเหนื่อยเกินกว่าจะตามหลังมา
ไม่รู้ทำไม
แต่อาซาเอลกลัวเหลือเกิน ว่าเมื่อหันหลังกลับไป จะไม่เจอคนๆนี้อีก
เจ้าของร่างผอมบางที่โดนอีกคนรัดเสียแน่นตัดสินใจว่าจะไม่ลุกหนี ไม่โวยวาย แต่อย่างน้อยก็คงต้องบอกให้ไฮบ์หนุ่มรู้ตัวเสียหน่อยว่ากำลังกอดเขาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะบอกให้คาดิเนียลรู้ด้วยว่าคืนนั้นเขาฝันอะไร
อยากถามให้แน่ใจ ว่าเขาทั้งคู่ เคยรู้จักกันหรือไม่เคยกันแน่
ไม่อยากมีอะไรติดค้าง เพราะอาซาเอลไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะผัดวันประกันพรุ่งได้อีกต่อไป
บางที
พรุ่งนี้
เขาอาจโดนผู้อำนวยการหาเจอและต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยให้กับความดำมืดของสถาบันแห่งนี้ก็เป็นได้
เช่นนั้นแล้ว มีอะไรก็ควรสะสางเสียให้เสร็จ
“คา…”
อาซาเอลเม้มปากฉับก่อนที่ชื่อของอีกคนจะหลุดออกจากปาก
เหตุเพราะเจ้าของชื่อกำลังส่งเสียงกรนเบาๆอยู่ถัดจากเขาไปเพียงลมหายใจกั้น
แมวหนุ่มมั่นใจว่าสีหน้าของตัวเองตอนนี้คงเหลอหลาพอดู
อะไรกัน
พอเขารวบรวมความกล้าจะคุยได้ก็มาหลับใส่กันเสียอย่างนั้น!
อาซาเอลเอี้ยวตัวไปมองหน้าคนที่กำลังหลับสนิท
ใบหน้าอ่อนล้านั้นทำให้ทรานส์หนุ่มล้มเลิกความตั้งใจที่จะปลุก
เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ทำไมถึงดูเหนื่อยขนาดนี้
คำถามที่อยากถามแต่ไม่เคยได้ถามสักที ยิ่งเมื่อได้มองหน้าใกล้ๆแบบนี้ก็ยิ่งเป็นห่วง
ห่วงงั้นรึ
ความห่วงหาอาทรที่มีต่อคนตรงหน้าอยู่ในระดับไหนกันล่ะ
คนรู้จัก
เพื่อนร่วมรุ่น
เพื่อนสนิท
หรืออะไรกันแน่
อาซาเอลพลิกตัวหันหน้าเข้าหาคาดิเนียล กระนั้นคนหลับก็ยังเฉย ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่ายังคงอยู่ในห้วงนิทรา นิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยผมออกจากใบหน้าน่ารักขัดกับบรรยากาศรอบตัว
ถ้าตอนตื่นดูไร้พิษภัยเหมือนตอนหลับก็ดีอยู่หรอก
แมวหนุ่มย่นจมูกเมื่อคิดถึงความร้ายกาจของคนที่เขาเคยเรียกว่าหมาบ้าในใจเป็นล้านหน
ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อคิดได้ว่าอีกคนช่วยเหลือเขามานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน
วินาทีเดียวกับที่ลมหายใจของตัวเองเป่ารดผมหน้าของคาดิเนียลจนไหวเบาๆ อาซาเอลยกมือขึ้นปิดจมูกด้วยหน้าตาตื่น ไม่อยากจะนึกภาพว่าถ้าคาดิเนียลลืมตาขึ้นมาตอนนี้อะไรจะเกิดขึ้น
เขาที่นอนจ้องหน้าคาดิเนียลอยู่ คงตัวแข็งทื่อเกินกว่าจะหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้
แต่ไฮบ์หนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกตัวตื่นอย่างที่อาซาเอลหวั่นใจ เปลือกตาสีอ่อนยังหลับสนิทเช่นเดิม
อาซาเอลเพิ่งได้รู้ว่าคาดิเนียลเป็นคนหลับลึกเอาเรื่อง กระนั้นตัวเขาก็ไม่ควรนอนอยู่ตรงนี้รอให้คนขี้เซาตื่นมาเจอ
ทรานส์หนุ่มยกแขนหนาออกจากช่วงเอวตัวเองอย่างเบามือ ก่อนจะกระถดถอยออกจากอกกว้าง จนพ้นรัศมีอ้อมกอดได้อย่างปลอดภัย
อาซาเอลนั่งมองคาดิเนียลอยู่อีกอึดใจแล้วจึงดึงผ้านวมขึ้นห่มให้คนตรงหน้า จุดดวงไฟเวทย์สีเหลืองอ่อนแต่อบอุ่นขึ้นบนปลายนิ้วแล้วปล่อยให้มันลอยอยู่เหนือร่างหนาเพื่อไล่ความหนาว
เม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ ก่อนจะขยับปากอย่างไร้เสียง
หลับฝันดีนะเจ้าหมาบ้า
ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร นึกแล้วก็จั๊กจี้พิกลจนทนมองอีกคนต่อไปไม่ไหว เนื้อแก้มมันพาลจะร้อนๆอย่างไรบอกไม่ถูก
แมวหนุ่มย่องออกจากรังนกด้วยฝีเท้าเบาหวิวสมเผ่าพันธุ์ แต่ยังมิทันที่เท้าจะแตะพื้น ในหัวก็เกิดเสียงหวีดหวิวจนเสียหลักล้มลงดังตุบ โชคดีที่ตกลงมาไม่สูงนัก ร่างกายจึงปวดตุบอยู่ครู่หนึ่งก็จางไป ทว่าเสียงหวีดที่ก้องอยู่ในหูนั้นยังไม่บรรเทา เขาจึงต้องนั่งกุมหัวพิงโคนต้นไม้ใหญ่เอาไว้ก่อน
อะไรกันเนี่ย
เสียงบ้านี่
อะแฮ่ม
เสียงที่ดังก้องในหัวทำเอาอาซาเอลขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า
เทเลพาทีรึ
แต่เขาไม่ได้เปิดรับข้อความจากใคร ทำไมถึงแทรกเข้ามาในหัวเขาได้
นี่เป็นเสียงจากอาจารย์ประจำวิชา How to survive วิชาเฉพาะสำหรับทรานส์เท่านั้น
ไม่ต้องตกใจหากเกิดอาการปวดหัวและชาตามตัวเล็กน้อย มันเป็นผลกระทบจากการที่ผมแทรกแซงระบบประสาทของพวกคุณ ฝืนให้รับเทเลพาที
ผมต้องติดต่อพวกคุณโดยตรง ไม่งั้นคนคงรู้กันทั้งสถาบันว่าพวกคุณเป็นทรานส์
เอาล่ะ สิ่งที่พวกคุณต้องทำคือไปหาเพื่อนที่เป็นทรานส์และคิดว่าไว้ใจได้ จับมือกันไว้ให้มั่น อ่า ไม่ต้องจับก็ได้ เอาที่พวกคุณสบายใจก็แล้วกัน
ช่วยกันตามหาจดหมายภูตรูปกบให้เจอ มอบจุมพิตให้มัน แล้วมันจะพาคุณไปยังห้องเรียน
ระวัง
อย่าให้นักล่าเห็นตอนคุณจุมพิตเจ้าชายกบของคุณ
ห๊ะ
อาซาเอลทำหน้าเหยเกเมื่อสิ้นประโยคสุดท้ายของอาจารย์ประจำวิชา How to survive วิชาลึกลับที่ไม่ปรากฎบนตารางเรียน วิธีแจ้งข่าวและวิธีเข้าเรียนก็ลึกลับพอกัน
จุมพิตเจ้าชายกบเนี่ยนะ
ถึงไม่เตือนก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นหรอกให้ตายเถอะ
ถ้าไม่อยากให้เรื่องที่พวกเขาเป็นทรานส์ถูกเปิดเผย ทำไมไม่ทำให้เรื่องมันง่ายกว่านี้กันเล่า!
ทรานส์หนุ่มขยี้ผมตัวเองอย่างขัดใจ สถาบันนี้มีแต่อาจารย์ประหลาดๆหรือไงกัน
เอาเถิด ถึงจะบ่นไปก็เท่านั้น คำตอบมันก็เห็นๆกันอยู่แล้วว่าไม่มีคนปกติสักคน เด็กหนุ่มหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงและพบว่าอาการปวดหัวหายไปราวกับไม่เคยเกิด
ร่างสูงโปร่งเงยมองรังนกยักษ์อีกครั้ง คาดิเนียลคงหลับสนิทอยู่บนนั้น ส่วนตัวเขาก็คงต้องไปหามินาคัสและเข้าเรียนคลาสเรียนประหลาดนั่นสินะ
How to survive งั้นรึ
ก็หวังว่าวิชานี้จะทำให้เขารอดได้จริงๆก็แล้วกัน
จาฮาฟา = จีฮุน บาจิล = เบจินยอง คลินซ์ = ควานลิน
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ช่วยบริจาครูปน้องๆที่เข้ากับคาแรคเตอร์เหล่านี้หน่อยค้าบ
แปะไว้ใน #เขี้ยวเนียลอง ได้เลย
ในที่สุดก็จะได้เข้าชั้นเรียนเอาตัวรอดซะที หลังจากนี้คงเป็นพาทผจญภัยยาวๆไปอีกหลายตอน
สบายใจเรื่องดราม่าได้พักนึง 55555555555
ปล. นั่นรังนกหรือรังรักอ่ะถามจริง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จูบกันแล้วววววว อ๊ายยยยย .////.
แอบเป็นห่วงอาซาเอลกับสถานการณ์ตอนนี้มากๆเลย ฮืออ แล้วคาดิเนียลช่วงนี้ก็ดูอ่อนล้าด้วย คาดิเนียลจะรู้ไหมว่าเคยเอยกับอาซาเอลตอนเด็ก แงงง
และคู่เอกของเราก็แบบ ละมุนเหลือเกินนนน
แต่งดีมากเลยค่าาา อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลย อินมากจนเก็บมาฝัน รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ :3
แจนนนนน ฮือ ไม่แข็งแกร่งแต่พยายามปกป้องสุดกำลัง ชอบบบบบ
ปวดจุกในอกไปหมดเลย..
แล้วถ้ากระทบจากพลังแล้วทำไมเวทย์ของคาดิเนียลถึงถูกอาซาเอลดึงมาแทนในภาชนะที่สองแงๆ อยากรู้ๆๆ