ตอนที่ 11 : Chapter 9 :: รายงาน
สามวัน
เหล่านักเรียนใหม่ทั้งสี่สิบกว่าชีวิตเหยียบย่างเข้ามาในสถาบันอันดับหนึ่งด้านเวทมนต์ศาสตร์และการใช้ชีวิตได้สามวันแล้ว เป็นสามวันที่ปกติธรรมดากว่าที่อาซาเอลคาดคิดเอาไว้มาก การเรียนการสอนส่วนใหญ่เป็นภาคบรรยายและเป็นไปอย่างเรียบง่าย แม้เนื้อหาในแต่ละวิชาจะน่าสนใจเสียจนอาซาเอลแทบจะรับความรู้ใหม่ปริมาณมหาศาลไว้ไม่ไหว หากแต่เหตุการณ์น่ากลัวต่างๆที่ทรานส์หนุ่มวิตกว่าจะเกิดก็ไม่มีสิ่งใดเกิดแม้แต่อย่างเดียว
ไม่มีใครสงสัยว่าเขาเป็นทรานส์
ไม่มีการล่าเขี้ยวแบบที่คิดไว้
เพียว ไฮบ์ และทรานส์ใช้ชีวิตกลมกลืนกันเสียจนอาซาเอลกลัวว่าตัวเองจะเฉื่อยชากับการระวังภัย
แม้แต่คาดิเนียลและกลุ่มเพื่อนชวนขนคอลุกชันในวันนั้น ช่วงสองสามวันมานี้ก็แทบไม่ได้เจอหน้าหรือสนทนากันเลย รายงานของอาจารย์ชาร์ลก็เลยยังไปไม่ถึงไหน แม้จะโล่งอกที่ไม่โดนตามตื๊อทวงบุญคุณเรื่องพลังเวทย์ หากแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นคลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่หรือไม่
ทุกอย่างสงบเงียบเกินไปจนเกิดตะกอนความสับสนขึ้นภายใน
และแล้ววันที่สี่ของความธรรมดาก็กำลังจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นสามวันที่ผ่านมา
“ฉันจะไปห้องน้ำเสียหน่อย พวกนายจะรอหรือจะนำไปก่อน”เสียงแจนิวาลปลุกคนที่จมอยู่กับภวังค์ความคิดให้เงยหน้าขึ้นจากทางเดินมามองเพื่อนสนิท อาซาเอลเพิ่งรู้ตัวว่าตนเดินก้มหน้างุดกอดหนังสือวิชาควบคุมสัตว์เวทย์ที่เซรัลเป็นอาจารย์ประจำวิชาไว้แนบอก เดินต้อยๆตามกลุ่มเพื่อนมาไกลจนเปลี่ยนตึก หากแต่บทสนทนาของเหล่าสหายมิได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะมัวแต่ครุ่นคิดว่าตนเองวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆมากเกินไปหรือไม่
แจนิวาลสบตาเพื่อนตัวสูงแต่ผอมบาง แววตานิ่งสนิทคล้ายปลาตายนั่นทำให้คนตัวเล็กอึดอัดอยู่ไม่น้อย วันนี้ทั้งวันอาซาเอลเงียบผิดปกติ ทว่าคนช่างพูดอยู่ตลอดเวลาก็ไม่กล้าเอ่ยถามเพราะกลัวฤทธิ์ปากกรรไกรของคนตัวบาง ได้แต่เฝ้าสังเกตและเป็นห่วงอยู่ห่างๆ ดูเหมือนมินาคัสก็รับรู้ความผิดแปลกนี้เช่นกันจึงได้ลอบมองผู้ถือสิทธิ์ครอบครองกลุ่มดาวสามดวงอยู่บ่อยครั้ง
นี่ถ้าซามูเอลอยู่ด้วยก็คงดี เพราะไม่ว่าเด็กน้อยจะเอ่ยถามอะไรอาซาเอลก็มักจะตอบอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ ไม่ก็เลี่ยงอย่างนุ่มนวล ไม่เคยสักครั้งที่จะจิกกัดดังที่ทำกับเขา ติดก็เสียแต่เจ้าของเส้นผมสีทองซีดนั้นหนีไปลงวิชาเลือกเดียวกับเอเดวา วันนี้ทั้งวันจึงยังไม่ได้พบหน้ากันเลย
ส่งสัญญาณให้มินาคัสเอ่ยถามก็แล้ว แต่ร่างสูงนั้นแสนจะซื่อบื้อ… หมายถึงความรู้สึกช้าและเข้าใจอะไรยาก จึงไม่เข้าใจว่าอาการบุ้ยใบ้ของเพียวหนุ่มนั้นหมายถึงสิ่งใด
หรือจะเอ่ยปากถามด้วยตัวเอง
จะไม่ดูละลาบละล้วงเกินไปรึ บางทีอาซาเอลอาจจะแค่พักผ่อนน้อยด้วยภาระงานที่ประดังเข้ามาตั้งแต่อาทิตย์แรกของการเรียนก็เป็นได้
เอาเป็นว่า เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน
“จะไปก่อนหรือรอฉันเข้าห้องน้ำ”คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มลอบถอนหายใจก่อนจะเอ่ยย้ำคำถามเมื่อรออยู่นานก็ไม่มีใครให้คำตอบ คนหนึ่งยืนนิ่งงันเหมือนถูกสาป อีกคนก็เอาแต่จ้องคนถูกสาปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ไม่รู้ว่าอาการปวดมวนในท้องนี่เพราะธรรมชาติของร่างกายหรือเพราะสถานการณ์ชวนหงุดหงิดตอนนี้กันแน่
ทรานส์หนุ่มใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อประมวลว่า จะไปก่อน นั้นหมายถึงไปที่ไหน เพราะเขาเดินตามเพื่อนทั้งสองมาด้วยสติที่ไม่สมบูรณ์นักจึงลืมไปแล้วว่ามุ่งหน้าไปที่ใด และก่อนที่สมองจะประมวลผลสิ่งใดได้อาซาเอลก็พบว่ามินาคัสนั้นชิงตอบคำถามไปเสียก่อน
“พวกเราไปรอที่เรือนกระจกเลยแล้วกัน เสร็จแล้วก็ตามมาล่ะ”
แจนิวาลเดินหายเข้าไปในฝูงชนของกลุ่มคนที่เพิ่งเลิกเรียนวิชาบ่าย เหลือเพียงมินาคัสและอาซาเอลที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะถอนหายใจออกมาเสียเฮือกใหญ่แล้ววางมือหนาลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทไม่ต่างจากของตน หากแต่เส้นผมของอาซาเอลนั้นนุ่มมือชวนสัมผัสกว่ามาก
“วางเสียบ้างเถอะ ถือเอาไว้ทั้งหมดก็มีแต่จะล้า”ถ้อยคำปลอบโยนที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังส่งให้คนที่มีเรื่องราวมากมายให้ขบคิดช้อนสายตาขึ้นมอง
“นายอ่านใจคนได้งั้นรึ”ดวงตาสีรัตติกาลที่เคยทอประกายราวรวบรวมดาวทั้งท้องฟ้าเอาไว้บัดนี้วูบไหวด้วยความรู้สึกที่ไม่มั่นคงของเจ้าตัว
“ฉันอ่านใจคนไม่ได้ แต่มองเห็นความไม่มั่นคงของพลังเวทย์รอบตัวนาย ราวกับเด็กเล็กๆที่ต้องอาศัยโลหะเก็บกักพลังเวทย์เพื่อควบคุมกระแสปั่นป่วน หากเป็นเช่นนี้ นายจะลำบากนะอาซาเอล”ไม่เพียงก้มลงกระซิบชิดริมหู หากแต่เจ้าของใบหน้าเทพบุตรยังส่งนิ้วเรียวลากผ่านกรอบหน้าของทรานส์หนุ่ม หากคนที่ผ่านไปมาหยุดมองสักนิดคงเห็นเป็นภาพชวนใจสั่น หากแต่อาซาเอลรู้ดีว่าปลายนิ้วนั้นไม่ได้สัมผัสผิวเขาแม้แต่น้อย
มินาคัสกำลังสัมผัสพลังเวทย์ที่ปั่นป่วนอยู่รอบตัวเขาด้วยจิตใจไม่มั่นคงจนไม่อาจควบคุมกระแสพลังงานไว้ได้
ไม่ใช่ทุกคนที่ มองเห็น หรือ สัมผัส พลังเวทย์ได้
ให้พูดตามความเป็นจริงก็คือไม่มีคนปกติที่ไหนทำได้
หากแต่คนตรงหน้านี้ไม่ได้มีแววว่ากำลังหยอกล้อหรือโกหกแต่อย่างใด
อาซาเอลสบตาคมของคนที่ก้มลงมาใกล้จนลมหายใจรดอยู่บนปลายจมูก เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างต้องการคำตอบให้ข้อสงสัยในใจ
มินาคัสเป็นใคร…
มีคนอยู่ไม่กี่แบบที่มีความสามารถนี้ และไม่ว่าจะเป็นแบบใดในรายการที่อาซาเอลรู้จัก คนเหล่านั้นล้วนไม่ใช่คนธรรมดา
ที่สำคัญ
คนเหล่านั้นรู้แน่ ว่าทรานส์หนุ่มปกปิดสิ่งใดอยู่
“ถ้านายพูดจริง เราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาว”เสียงกระซิบลอดไรฟันนั้นเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีใครที่ยืนอยู่ในระยะห่างไปไม่กี่ก้าว และมองการกระทำทุกอย่างของทั้งสองมาก่อนนานแล้ว
“จะคุยอะไรก็ไว้ในที่ลับตากว่านี้ไม่ดีกว่ารึ”
เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นหู ตามมาด้วยใบหน้าคุ้นตาเมื่ออาซาเอลหันควับไปมองตามเสียงจนน่ากลัวว่าคอจะเคล็ด สีหน้าเรียบเฉยนั้นปลายสายตาไปมองมินาคัสวูบหนึ่งก่อนจะกลับมาวางสายตาไว้ที่ทรานส์หนุ่มซึ่งตกอยู่ในอาการอ้าปากพะงาบงับอากาศคล้ายจะพูดแต่พูดไม่ออก
สุดท้ายก็เปร่งเสียงออกมาเป็นคำสั้นๆได้เพียงสองพยางค์
“ยู..มิล”
“คิดว่าจะลืมกันไปแล้วเสียอีก”
รอยยิ้มกว้างระบายขึ้นบนใบหน้าของคนที่ถูกเรียกว่ายูมิล ชายผู้เป็นเจ้าของกลุ่มผมสีแดงและส่วนสูงไล่เลี่ยกับมินาคัส สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมานั้นทำเอาคนที่เพิ่งโดนสายตาคมๆกรีดผิวเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนคิดว่าตัวเองอาจตาฝาด จนกระทั่งคนที่เคยยืนอยู่ติดกันโถมตัวเข้ากอดคนมาใหม่เสียเต็มแรง ก่อนที่ยูมิลจะเผยรอยยิ้มเยาะมาทางเขานั่นล่ะ มินาคัสจึงมั่นใจว่าสายตาเขายังปกติดี และออกจะดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ลืมหรอก ไอ้จิ้งจอกโสโครก”
“ก็ดี ไอ้แมวสกปรก”
สรรพนามราวคนเกลียดกันออกมาจากปากของคนสองคนที่ยิ้มกว้างและโอบกอดกันแนบแน่น คนตัวสูงกว่าออกแรงโยกคนตัวสูงแต่แสนจะผอมบางไปมาเหมือนของเล่น กระนั้นอาซาเอลก็ยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างที่มินาคัสไม่เคยเห็นมาก่อน
“สารภาพมาว่านายเกเรไม่มาเรียนใช่มั้ย ทำไมฉันไม่เคยเจอนายสักครั้ง”อาซาเอลผละตัวออกจากเจ้าจิ้งจอกโสโครก หรือก็คือเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของเขา เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเคยมีตั้งแต่จำความได้ คนตรงหน้าคือเพื่อนที่เขาเคยเล่าให้แจนิวาลฟังเมื่อครั้งที่ทรานส์หนุ่มมองหาใครบางคนในห้องอาหารของหอพัก
ยูมิลเป็นไฮบ์ตระกูลจิ้งจอกที่อายุเท่ากับอาซาเอล หากแต่เข้าเรียนที่นี่ก่อนเขาถึงสองปี เป็นสองปีที่แมวหนุ่มดูซึมลงไปถนัดตาจนมารดาถึงกับเอ่ยเย้าว่ามีแมวที่ไหนนั่งเหงาเพราะหมาไม่อยู่ ซ้ำหมาจิ้งจอกที่ว่ายังเป็นไฮบ์ ตัวอันตรายสำหรับทรานส์อย่างเขาเสียอีก
นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาซาเอลรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้แบคอนที่เป็นไฮบ์ตระกูลจิ้งจอกเช่นกัน
ก็คงมีแต่เขากระมัง ที่เป็นแมวแท้ๆแต่กลับสนิทใจกับหมาจิ้งจอกมากกว่าแมวด้วยกันด้วยซ้ำไป
ให้ตายเถอะ
ดูเหมือนชีวิตเขาจะต้องวนเวียนพัวพันอยู่กับเหล่าคนที่มีสายเลือดของสุนัขอยู่เรื่อยเลย
ทั้งที่เป็นแมวแท้ๆ
“เจอกันก็ใส่ร้ายกันเลยรึเจ้าแมวมอมแมม ฉันเพิ่งกลับจากลงพื้นที่ เหนื่อยแทบแย่นะรู้ไหม”ยูมิลคีบสองนิ้วลงบนแก้มของอาซาเอลก่อนจะดึงจนเนื้อนุ่มยืดติดมือ ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนกัดมือขาดไปแล้ว แต่นี่เป็นยูมิล อาซาเอลจึงตอบสนองด้วยการทำแบบเดียวกันกับแก้มของเพื่อนสมัยเด็ก
“เป็นเด็กดีก็ดีแล้วเจ้าจิ้งจอกตัวเหม็น”
ภาพของการพบกันแสนน่าประทับใจระหว่างเพื่อนวัยเด็กคงจะดำเนินต่อไปไร้ที่สิ้นสุดหากไม่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของใครบางคนที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำ
“นี่ฉันพลาดอะไรไปงั้นรึ”
แจนิวาลยืนมองอาซาเอลกับบุคคลแปลกหน้าที่กำลังหยอกล้อกันถึงเนื้อถึงตัวอย่างที่สุด ส่วนมินาคัสก็ยืนทำหน้านิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์อยู่ใกล้ๆ ถัดไปมีบุคคลไม่คุ้นหน้าอีกสองคนที่ยืนเหมือนรอจังหวะจะพูดอะไรแต่ไม่กล้าแทรกเข้าไปในบรรยากาศหวานเลี่ยนของคนสองคน
เอาล่ะ
คราวหน้าจะอดทนไม่ไปห้องน้ำก็แล้วกัน ถ้ากลับมาแล้วตามใครไม่ทันแบบนี้
“แจนิวาล มินาคัส นี่ยูมิล สัตว์เลี้ยงของฉันเอง”
ยูมิลที่ฉีกยิ้มกว้างรับการแนะนำของอาซาเอลถึงกับหุบยิ้มฉับก่อนจะผลักหัวเจ้านายกิตติมศักดิ์ของตัวเองแรงๆไปเสียหนึ่งที อาซาเอลหัวเราะชอบใจเสียจนแจนิวาลที่นึกห่วงมาทั้งวันถึงกับเลิกคิ้วสูงแล้วหันไปสบตากับมินาคัสที่ทำเพียงไหวไหล่กลับมา
“เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจว่าฉันเป็นเขี้ยวของนายกันพอดี”
“ไม่เอาด้วยหรอก มีเขี้ยวแบบนายน่ะ”อาซาเอลทำหน้าแหยจนน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตายูมิล
เจ้าของเส้นผมสีแดงเข้มละสายตาจากเพื่อนสมัยเด็กจอมทะเล้น ก่อนจะกวักมือเรียกคนสองคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลให้ขยับเข้ามาใกล้วงสนทนา อาซาเอลมองตามการกระทำของเพื่อนและพบว่าคนที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นชายหนุ่มสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งมีเส้นผมสีน้ำตาลแดง ขนาดตัวใกล้เคียงกับแจนิวาล ใบหน้าได้รูปนั้นติดจะง่วงงุนอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนที่แนะนำตัวว่าตนเองชื่อ เซออล อีกคนมีใบหน้าเรียว ผมสีดำ และสูงพอๆกันกับอาซาเอล รอยยิ้มสดใสขณะแนะนำตัวว่าชื่อ ดีไฮด์ นั้นส่งให้เขาดูดีมากทีเดียว
อาซาเอลมองหนุ่มน้อยทั้งสองสลับกับใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็ก ก่อนรอยยิ้มที่ยูมิลเรียกมันว่ายิ้มปีศาจจะระบายขึ้นบนริมฝีปากบางของแมวหนุ่ม
“สองคนเลยรึยูมิล”
ถ้อยคำที่สื่อความให้รู้กันเพียงสองคนนั้นเรียกสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากยูมิลได้เป็นอย่างดี
“เดี๋ยวนะ…”อาซาเอลหุบยิ้มฉับก่อนจะพิจารณาเพื่อนใหม่ทั้งสองอีกครั้งแล้วตวัดสายตาไปหาคนผมแดงอย่างรวดเร็ว ยูมิลหลบสายตาอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ และนั่นทำให้สีหน้าของอาซาเอลเรียบตึงขึ้นกว่าเก่า
“ไอ้จิ้งจอกโสโครกนี่ ทำอะไรอยู่รู้ตัวรึเปล่า”เสียงเรียบของอาซาเอลดึงให้ยูมิลถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียจนแจนิวาลที่ยืนอยู่ไม่ไกลเผลอสะดุ้งตาม
“ไว้ค่อยคุยกันนะ”
“หวังว่าจะมีคำอธิบายดีๆนะยูมิล”
ไม่บ่อยนักที่อาซาเอลจะเรียกชื่อตัวของเพื่อนสนิท เพราะส่วนใหญ่ก็เรียกกันด้วยฉายาจำพวกจิ้งจอกโสโครก จิ้งจอกตัวเหม็น จิ้งจอกบลาบลาบลา ตามแต่เจ้าตัวแสบจะสรรหามาเรียกได้ ดังนั้นการที่ทรานส์หนุ่มกดเสียงต่ำเรียกชื่อกันตรงๆเช่นนี้จึงทำให้เหงื่อซึมขมับเจ้าจิ้งจอกอยู่ไม่น้อย
“อ่า งั้นวันนี้ฉันขอตัวก่อนนะ ต้องไปคุยงานกับอาจารย์ต่อ”ยูมิลยกมือลูบหลังคอที่ดูเหมือนจะเย็นวาบอยู่ไม่น้อยจากสายตาของเพื่อนข้างบ้าน ไม่เคยดีใจที่มีนัดคุยงานกับอาจารย์ขนาดนี้มาก่อน อย่างน้อยก็ใช้เป็นข้ออ้างปลีกตัวออกไปได้ แล้วหลังจากนี้คงต้องหลบหน้าไอ้แมวมอมแมมนี่สักพัก
“ฉันเองก็ต้องไปดูแลสมุนไพรตามเวรเหมือนกัน เอาไว้ค่อยคุยกัน ห้องฉันอยู่ปีกตะวันออก”
“ฉันก็อยู่ปีกตะวันออก เดี๋ยวจะไปหาแล้วกัน ไปนะ”ยูมิลบอกลาอาซาเอลก่อนจะหันมาค้อมหัวลาอย่างมีมารยาทให้แจนิวาลและมินาคัสที่อยู่ถัดมา เช่นเดียวกับอาซาเอลที่โบกมือลาเพื่อนข้างบ้านรวมถึงเพื่อนของเพื่อนอีกสองคน
หนึ่งในนั้น หรือทั้งคู่ อาจได้เป็นเขี้ยวของยูมิล
ไม่ว่าทางใดก็ดูเป็นเส้นทางที่ไม่สวยงามเอาเสียเลย
“สรุปว่า เราไปเรือนกระจกกันได้หรือยัง”แจนิวาลเอ่ยทำลายความเงียบที่โรยตัวลงทันทีที่คล้อยหลังยูมิลไป อาซาเอลกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง ซ้ำยังพ่วงมาด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปมใหญ่
“ไปเถอะ”มินาคัสแตะแผ่นหลังของทรานส์หนุ่มเบาๆให้ออกเดิน ในขณะที่แจนิวาลเลือกจะเดินรั้งท้าย
ให้ตายเถอะ
ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ
อาซาเอลเหมือนห้องที่มีประตูไร้ที่สิ้นสุด เมื่อเปิดประตูบานหนึ่ง ก็จะเจออีกบาน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ใช่ว่าเหนื่อยจะทำความเข้าใจนะ หากแต่สิ่งที่เพื่อนรู้สึกคือห่วงใยเสียมากกว่า
อะไรทำให้คนๆหนึ่งหลบอยู่หลังประตูแห่งความลับนับร้อยหรืออาจจะนับพันบานเช่นนี้
แล้วจะมีใครสักคนไหม ที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปถึงประตูบานสุดท้าย…
hf
หลังมื้ออาหารค่ำ
เป็นอีกครั้งที่อาซาเอลขอแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน หากแต่ครั้งนี้ไม่มีใครซักถามหรือคิดจะตามมา ด้วยเข้าใจว่าร่างสูงคงต้องการเวลาในการขบคิดเรื่องต่างๆตามลำพัง หากเมื่อใดที่อาซาเอลพร้อมจะเล่า ก็มีคนพร้อมจะฟังอยู่เสมอ แม้แต่แจนิวาลก็เลือกที่จะอดทนรอ เขามั่นใจว่าอาซาเอลเป็นเพื่อนที่มีค่าพอให้อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นเพื่อแลกกับความไว้ใจ
เจ้าของกลุ่มดาวสามดวงพาตัวเองมายังชั้นสี่ของหอพักอันเป็นที่ตั้งของสวนประจำหอ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวสีขาวสะอาดที่ตั้งอยู่กลางลาน พื้นเก้าอี้ชื้นด้วยน้ำค้างยามค่ำ ผิวเหล็กเย็นจัดจนบาดผิว กระนั้นก็ไม่ทำให้คนที่นั่งห่อไหล่อยู่ลุกไปไหน ค่ำคืนนี้ดูเหมือนดาวบนฟ้าจะยังส่องแสงสกาวตามปกติ หากแต่กลุ่มดาวสามดวงบนแก้มของทรานส์หนุ่มดูจะหม่นแสงลงเล็กน้อยยามเมื่อเจ้าของมันมีใบหน้าอมทุกข์เช่นนี้
ทำไมเขาถึงยึดติดกับการล่าเขี้ยวจนทุกข์ทรมานขนาดนี้กันนะ
ใครจะเป็นเขี้ยวของใคร ใครจะเจ็บปวดเพราะใคร
ไม่ต้องสนใจได้หรือไม่
หรือแม้แต่ ใครจะล่าเขาเพื่อบังคับเป็นเขี้ยว ก็ปล่อยไปตามโชคชะตา ไม่ได้หรือ
คำตอบคือ ไม่ได้
เพราะทุกครั้งที่หลับตา
ภาพของใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ฝ่ามือเย็นเฉียบและเหี่ยวย่นเพราะร่างกายแทบไม่เหลือสารอาหารใดแต่ก็ยังพยายามยกมือขึ้นแตะแก้มของเขากับเสียงแหบแห้งที่กระซิบบอกถ้อยคำเป็นครั้งสุดท้าย ร้อยเรียงเป็นประโยคที่ทำให้เขาไม่อาจลืม
ภาชนะที่สองคือบาปที่เราไม่ได้ก่อ เขี้ยวคือคำสาปที่เราไม่ยินยอม
กระนั้น เราก็ยังเป็นผู้ได้รับโทษทัณฑ์ แม้ความตายอย่างสมเกียรติก็มิอาจร้องขอ
อาซาเอลเอ๋ย นั่นคือชะตากรรมของเรา ที่ฉันวิงวอนให้เธอรอดพ้นจากมัน
ใช่
ผมก็วิงวอนเช่นกัน
ขออย่าได้มีใครต้องพบชะตากรรมเช่นนั้นอีกเลย
อาซาเอลเงยหน้าขึ้นหลับตารับไอน้ำค้าง พิงศีรษะกับพนักเก้าอี้เหล็ก ไม่รู้ว่าความชื้นที่เกาะตามแนวแพขนนี้เพราะอากาศยามค่ำหรือเพราะน้ำตากันแน่
“ฉันว่าฉันเตือนนายแล้วนะอาซาเอล นายต้องควบคุมความรู้สึกให้ดีกว่านี้ ไม่งั้นพลังเวทย์ของนายจะเหือดหายไปหมด”
น้ำหนักที่ทิ้งลงด้านข้างทำให้เก้าอี้เหล็กส่งเสียงเอี้ยดอ้าดเบาๆ อาซาเอลปรือตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อมองแขกไม่ได้รับเชิญ ดูเหมือนทรานส์หนุ่มจะเข้าใจผิดไปหน่อยที่คิดว่าไม่มีใครตามมาเพราะรู้ว่าเขาต้องการเวลาส่วนตัว
พ่อเทพบุตรของใครหลายคนกำลังทำหน้ายิ้มราวไม่ทุกข์ร้อนที่รบกวนเวลาส่วนตัวของเขา ซ้ำยังเอนหลังพิงพนักทิ้งช่วงขาวยาวเหยียดไปข้างหน้าไม่ต่างอะไรกับที่อาซาเอลทำอยู่
“มินาคัส”
“หืม”
อาซาเอลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งหลังจากคนถูกเรียกครางรับในลำคอ ดวงตาทรงเสน่ห์ของคนตัวสูงกว่าเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้ายามราตรีที่เมฆหมอกเริ่มเคลื่อนตัวบดบังแสงระยับของหมู่ดาว
นายรู้อยู่แล้วสินะว่าฉันเป็นทรานส์
ทรานส์หนุ่มเลือกจะใช้เทเลพาทีด้วยกลัวสิ่งที่เป็นความลับจะรั่วไหล
แค่ตอนนี้ก็มีคนรู้เรื่องของเขามากเกินพอแล้ว
มินาคัสไม่ตอบสิ่งใด ไม่ว่าจะทางจิตหรือคำพูด ร่างสูงทำเพียงยิ้มรับ ซึ่งนั่นมากพอให้อาซาเอลผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง มิอาจทำตัวสบายๆได้อีกต่อไป
“นายรู้เรื่องอื่นๆด้วยรึเปล่า”
“นายอาจจะลืม แต่เราเคยเจอกันมาก่อน”เสียงนุ่มเอ่ยออกมาเนิบช้าอย่างคนขี้เกียจ มินาคัสปิดเปลือกตาลง ทำราวไม่รับรู้ว่าคนข้างๆกำลังร้อนรนเพียงใด
“เมื่อไร”เอ่ยถามเสียงเครียด พอๆกับคิ้วที่เริ่มผูกเป็นปมใหญ่
“สิบแปดปีก่อน และอีกครั้ง เมื่อสี่ปีก่อน”
เสียงเนิบนาบที่ตอบกลับมาส่งให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันหนักกว่าเก่า อาซาเอลพยายามอย่างหนักที่จะค้นหาใบหน้าราวเทพสลักนี้ในความทรงจำที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง
“ขอโทษ ฉัน…จำไม่ได้”
“ไม่แปลกหรอก ความทรงจำของนายมีปัญหา เพิ่งจะมาเข้าที่เข้าทางก็สองสามปีหลังนี่เองใช่ไหมล่ะ”
มินาคัสลืมตาขึ้นก่อนจะเลื่อนสายตามามองคนที่ทำสีหน้ากังวลเสียจนน่าสงสาร ยิ่งเมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำที่สื่อความว่ารู้เรื่องราวต่างๆมากกว่าที่ควรยิ่งทำให้ใบหน้าได้รูปนั้นบิดเบี้ยว แววตาสั่นไหว ดูไปแล้วไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่อยู่ต่อหน้าสิ่งแปลกปลอม
ใช่แล้ว
สำหรับโลกใบนี้
เขาเป็นหนึ่งในสิ่งแปลกปลอม ที่คงอยู่เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป
“นี่นาย”แมวน้อยที่กำลังแตกตื่นเอ่ยเสียงสั่นเครือ กระนั้นสิ่งที่ได้กลับมาก็เป็นเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนกับน้ำเสียงปลอบประโลมเพียงเท่านั้น
“ไม่ต้องกลัวหรอกอาซาเอล ไม่ต้องกลัวฉันหรอก”
ฝ่ามือหนาลูบปลอบอยู่บนแผ่นหลังแคบ หากแต่อาซาเอลรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่การสัมผัสธรรมดา กระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขากำลังตอบรับต่อสัมผัสนั้น
“มินาคัส นายจะทำอะไร”
“ทำอะไรน่ะรึ… ทำให้เด็กโยเยสงบจิตสงบใจลงสักหน่อยกระมัง”
“…”
มินาคัสกดท้ายทอยเด็กโยเยให้ซบลงบนแผ่นอกกว้าง ลูบหัว และตบหลังเบาๆราวกับกล่อมเด็กทารก อาซาเอลมีสิทธิ์ขัดขืน หากแต่เขาไม่อยากทำแบบนั้น กลิ่นหอมเย็นจากแผงอกเพื่อนสนิทร่วมกับความสามารถที่มีผลต่อพลังเวทย์ของเขากำลังล่อลวงให้ทรานส์หนุ่มทิ้งน้ำหนักลงพักพิงคนตรงหน้า พลังเวทย์ที่เคยตื่นตัวและกระจัดกระจายกำลังสงบลง ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอย่างที่อาซาเอลไม่เคยรู้สึกตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในสถาบันแห่งนี้
ความรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่น ราวกับจมอยู่บนเตียงในห้องนอนที่บ้านของตนเอง กลิ่นหมอนใบเก่า ผ้าห่มผืนเก่า สัมผัสของผืนเตียง
ทุกอย่างช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
“เอาล่ะ หลับเสียหน่อยเถอะนะ ให้ร่างกาย และจิตใจได้พักบ้าง”
“นาย..เป็น…”
“ชู่”
เสียงอู้อี้ที่ดังอยู่ชิดอกถูกขัดด้วยเสียงลมหายใจเบาๆกับแรงตบปุๆบนหลัง
“นอนพักเสียเถิด อาซาเอล เสียงกรีดร้องของพลังเวทย์ในตัวนายมันทำให้ฉันไม่มีสมาธิทำงานนะ”
มินาคัสเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ความเงียบ ลมหายใจของอาซาเอลสม่ำเสมอ มือเรียวกำชายเสื้อมินาคัสแน่นเสียจนยับยู่ยี่ แต่เพียงไม่กี่วินาทีก็เริ่มคลายออก เช่นเดียวกับริมฝีปากบางของคนที่ทำตัวต่างหมอนซึ่งค่อยๆคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจางๆ
“รีบๆรู้ตัวกันเสียที ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
เสียงนุ่มรำพึงเบาๆราวเอ่ยกับลมกับฟ้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อคิดขึ้นได้ว่าตนเริ่มจะก้าวก่ายชะตาของคนอื่นมากเกินไป
ก็ทนมองได้ที่ไหนกัน
ตัวก็แค่นี้ แต่ต้องแบกรับอะไรตั้งมากมาย
“อ่า ขอโทษนะอาซาเอล ฉันมีสิทธิ์เพียงเฝ้าดู มิอาจเปลี่ยนกระแสใดๆของโชคชะตาใครได้”
“เว้นเสียแต่ว่า นายจะมาเป็นของฉัน”
“แต่แบบนั้น คงไม่ดีหรอก”
ร่างสูงหลับตาลงอีกครั้งในขณะที่มือหนายังคงทำหน้าที่ตบลงเบาๆบนแผ่นหลังของทรานส์หนุ่ม พลังเวทย์ที่เคยสับสนอลหม่านบัดนี้นิ่งสงบราวผิวน้ำในทะเลสาบ หากแต่มินาคัสรู้ดี ว่าใต้ผิวน้ำราบเรียบนี้ กระแสปั่นป่วนกำลังก่อตัวขึ้นทีละน้อย ตราบใดที่ส่วนเกินยังคงอยู่ อาซาเอลก็ต้องเผชิญกับความไม่คงที่ของอารมณ์และพลังเวทย์ไปจนกว่าร่างกายและจิตใจจะแตกสลายนั่นล่ะ
ถึงได้บอกว่ารีบรู้ตัวกันเสียทีเถิด อยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้วแท้ๆ
hf
เส้นผมสีดำสนิทกระดกไม่เป็นทรงอยู่บนหมอนใบโต เจ้าของห้องนอนปีกตะวันออกบนชั้นห้าของหอพักซุกตัวในผ้าห่มผืนหนา งอตัวเสียเกือบจะเป็นก้อนกลมด้วยไอเย็นที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท อาซาเอลพยายามซ่อนจมูกรั้นที่เย็นเฉียบด้วยต้องลมหนาวไว้ใต้ผ้าห่ม
เช้าวันนี้ยังคงเหน็บหนาวสมกับเป็นช่วงกลางของฤดูใบไม้ร่วง ทรานส์หนุ่มยินดีที่เขารู้สึกตัวตื่นเมื่อสิบนาทีก่อนและพบว่าวันนี้เป็นวันหยุด ตารางเรียนที่เขาได้รับหลังข้ามสะพานหินอ่อนถูกแปะไว้ที่บานประตูตามคำแนะนำของเอเดวา เจ้าของเส้นผมสีเงินอธิบายว่ากระดาษแผ่นนี้ไม่ได้มีไว้เดินถือไปมา แต่มีไว้ติดตามผนังห้อง พลังเวทย์ของผู้ดูแลหอพักที่ไหลเวียนอยู่ทั่วตึกนั้นจะทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนและแสดงตารางเรียนในแต่ละสัปดาห์ของนักเรียนแต่ละคน หากไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ข่าวสารของรายวิชาต่างๆจะแสดงอยู่บนตารางเรียนนี้ด้วย หน้าที่ของนักเรียนคือต้องจดจำตารางเรียนและตึกเรียนในแต่ละวันให้ได้ก่อนก้าวออกจากห้องนอน
อาซาเอลเพิ่งรู้ไม่นานนี้ว่าแต่ละสัปดาห์วิชาเรียนอาจแตกต่างกัน
สัปดาห์หน้าตารางเรียนจะเป็นอย่างไรนั้น นักเรียนใหม่อย่างเขาก็ยังเดาไม่ได้ ด้วยวันนี้เป็นวันเสาร์ และตารางเรียนของเขาว่างเปล่า
หากแต่ความคิดที่อยากซุกตัวด้วยความเกียจคร้านอยู่บนเตียงอุ่นๆจนกว่าแสงแดดจะแทนที่ความเหน็บหนาวของไอหมอกก็ต้องเป็นอันพับเก็บไปเมื่อสมองเริ่มประมวลผลเรื่องราวได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
แมวหนุ่มเด้งตัวขึ้นจากผืนเตียง นั่งหัวตรงฟ้าด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บิดเบี้ยวเสียจนถ้าแจนิวาลเห็นคงจะค่อนขอดว่าเขาทำหน้าเหมือนคนท้องผูกดังที่กัดเขาไปแล้วรอบนึงเมื่อเช้าวาน
ดูเหมือนตัวเขาจะหลับสนิทเสียจนลืมไปแล้วว่าเมื่อวานตัวเองอมทุกข์เพียงใด
ที่สำคัญคือเขานึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตนเองกลับมานอนบนเตียงได้อย่างไร ในเมื่อภาพและเสียงสุดท้ายคือเขาซบอยู่บนอกของเพื่อนสนิทอย่างมินาคัสในสวนชั้นสี่
แต่ที่เขาจำได้ดี คือตัวตนของมินาคัส ที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
ดันมาบังคับกันให้หลับเสียได้
เจ้าผู้รักษาสมดุลขี้โกงนั่น
รู้ทุกอย่างมาตั้งแต่แรกแต่ก็ตีหน้าซื่อใส่กันมาตลอด มันน่ากัดให้ได้เลือดเสียสักแผลสองแผล
ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่อาซาเอลอยากทำร้ายร่างกายพ่อเทพบุตรทั้งกายและใจอย่างมินาคัส หากแต่ตอนนี้ทรานส์หนุ่มรู้แล้วว่ารู้หน้าไม่รู้ใจนั้นเป็นอย่างไร เห็นซื่อๆไม่คิดว่าจะเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนั้น
นั่งเข่นเขี้ยวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เอาเถอะ
แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง หากตัวเขาเป็นมินาคัสแล้วก็คงไม่แสดงให้ใครเห็นง่ายๆว่าตนเองเป็นใครหรือมีความสามารถอะไร
สิ่งที่อาซาเอลเคลือบแคลงจนมิอาจสลัดสงสัยไปได้ คือคนพิเศษเช่นนั้นจำเป็นต้องเข้าเรียนในสถาบันเวทมนต์ทั่วไปอย่างนี้ด้วยหรือ แม้จะเป็นเชนโตเออูโนอันแสนเลื่องชื่อ หากแต่มินาคัสควรจะอยู่ในที่ที่เฉพาะเจาะจงกับตัวเขามากกว่านี้
ถ้าจำไม่ผิด ตำนานเล่าขาน ว่าผู้รักษาสมดุลจะอาศัยอยู่ในดินแดนลับแล ที่แห่งนั้นมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นชีพจรแห่งโลก เหล่าผู้มีสายเลือดพิเศษจะถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อทำหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หนังสือเกี่ยวกับผู้รักษาสมดุลทุกเล่มที่อาซาเอลเคยอ่านมิได้ระบุเจาะจงว่าพวกเขามีหน้าที่ใด หากแต่การยกย่องบุคคลเหล่านั้นเสียจนเกือบเป็นสมมติเทพก็ทำให้เดาได้ว่าคงเป็นหน้าที่สำคัญ
หลายคนคิดว่าตำนานก็คือตำนาน
หากแต่ทรานส์เช่นเขาเติบโตมากับเรื่องเล่ามากมายในห้องหนังสือของบิดา และตระหนักดีว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงการมีอยู่นั้นใช่ว่าจะไม่มีจริง เมื่อรู้ว่าเพื่อนมีความสามารถใด กอปรกับคำพูดของมินาคัส ก็เป็นอันสรุปได้ว่า เพื่อนของเขาคงเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว
เช่นนั้นแล้ว มินาคัสมาทำอะไรที่สถาบันแห่งนี้…
ก้อกๆ
คนที่ตั้งท่าจะเทเลพาทีไปถามเสียให้รู้แล้วรู้รอดถึงกับสะดุ้งตัวโยนเมื่อเสียงเคาะประตูหนักๆดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ใครกันมาเช้าเสียขนาดนี้
หรือเจ้าผู้รักษาสมดุลตัวดีนั่นจะรู้ตัวว่าเขากำลังค่อนขอดในใจอยู่
รู้เพียงว่าผู้รักษาสมดุลสามารถมองเห็นพลังเวทย์ได้ชัดเจน มองเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าการใช้ความรู้สึกหรือสัญชาตญาณเช่นคนทั่วไป รวมถึงสามารถสัมผัสและควบคุมพลังเวทย์ของคนอื่นได้ ควบคุมได้เพียงใดนั้นอาซาเอลไม่อาจเดา หากแต่ที่มินาคัสบังคับให้เขาเข้าสู่ภวังค์ฝันได้นั้นก็ทำเอาหวั่นเกรงพลังนั้นอยู่มิใช่น้อย
นับประสาอะไรกับการอ่านใจอ่านความคิด บางทีนะบางที มินาคัสอาจจะรับรู้ความสงสัยทั้งหมดเลยมาหาเขาเพื่อตอบคำถามด้วยตัวเองก็เป็นได้
ก่อนอื่นเลย
มินาคัสพาเขามาส่งที่เตียงด้วยวิธีการใด
ภาพที่ชัดที่สุดเท่าที่นึกออกคือตัวเขาถูกแบกขึ้นหลังเพื่อนสนิทมา เพราะด้วยรูปร่างที่ใกล้เคียงกัน อาซาเอลไม่คาดหวังให้ตนถูกอุ้มมาในท่าอุ้มเจ้าสาว กระนั้น จินตนาการล้ำเหลือของทรานส์หนุ่มก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามินาคัสอาจมีพลังส่งเขาถึงเตียงได้อย่างง่ายดาย เฉกเช่นที่อาจารย์ซาฮาลส่งนักเรียนมาจากหน้าห้องเรียนเมื่อวันก่อน
“เอ๊ะ”
ภาพจินตนาการในหัวหายวับไปราวไม่เคยเกิด แทนที่ด้วยความตระหนกสับสนก่อนจะประมวลผลออกมาเป็นเสียงครางอย่างแปลกใจและสีหน้าเหยเกที่ทำเอาคนมองต้องเลิกคิ้วก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ต้อนรับแขกด้วยสีหน้าแบบนั้นหรือคุณ”
อาซาเอลควบคุมสีหน้าตนเองให้เป็นปกติ กระนั้นมันก็กลับบึ้งตึงแทน ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับการรับแขกอยู่ดีนั่นล่ะ
“แล้วนี่…”เสียงทุ้มลากยาวขณะที่แขกผู้มาเยือนมองเจ้าของห้องตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ก่อนจะแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มาให้ผมเห็นในสภาพแบบนี้จะดีหรอครับอาซาเอล”
สภาพแบบนี้ ที่ว่าทำเอาอาซาเอลก้มมองตัวเองในทันที แล้วคำถามที่มีต่อมินาคัสก็เพิ่มขึ้นอีกข้อ
นี่พ่อเทพบุตรของใครต่อใครเปลี่ยนชุดให้เขางั้นรึ แทนที่ชุดไปรเวทที่ใส่ไปเรียนด้วยชุดนอนผ้าเนื้อบางแขนยาวขายาวที่ก็ดูสุภาพดี ไม่มีอะไรให้ร่างสูงตรงหน้าทำสายตากรุ้มกริ่มใส่เขาได้ หากไม่ใช่เพราะกระดุมเจ้ากรรมดันหลุดจากรังดุมถึงสามเม็ด
สามเม็ดเชียว
เปิดมาแทบจะถึงท้องอยู่แล้ว!
ควรโทษใครกัน ระหว่างคนที่สวมชุดนี้ให้ หรือตัวเขาที่อาจจะดิ้นจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าใครเป็นคนผิด หากแต่วินาทีนี้สิ่งที่อาซาเอลทำมีเพียงสิ่งเดียว
ปัง!
ปิดประตูใส่หน้าแขกผู้มาเยือนยามเช้าตรู่เสียงดังสะท้อนไปทั้งชั้นห้าของหอพักนักเรียน
ใครจะมาเห็นสภาพนี้ก็ได้
แต่ต้องไม่ใช่คาดิเนียล
เจ้าหมาบ้านั่นมองเขาราวกับเห็นเนื้อชิ้นโตไปเสียได้
แต่งตัวเรียบร้อยแล้วลงไปเจอกันที่ห้องอาหารนะครับ ทานอาหารเช้าแล้วเราไปทำรายงานกัน
เทเลพาทีที่ส่งมาแจ้งจุดประสงค์ไม่ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวได้เท่าเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังมาจากอีกด้านของประตู อาซาเอลทึ้งผมตัวเองระบายความรู้สึกในใจ
ต้อนรับเช้าวันหยุดด้วยเรื่องแบบนี้งั้นรึ
น่าชื่นใจเสียจริงอาซาเอลเอ๋ย
ทรานส์หนุ่มคำรามในลำคออย่างหงุดหงิดโชคชะตาก่อนจะลงน้ำหนักเท้าปึงปังเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการสภาพตัวเอง ไม่มีการตอบกลับใดๆให้กับคนหน้าห้อง กระนั้นคาดิเนียลที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆจากคนในห้องก็ได้แต่ขำออกมาอีกชุดใหญ่ก่อนจะเดินฮัมเพลงลงบันไดไปยังห้องอาหารตามที่นัดคนขี้หงุดหงิดไว้
แมวนี่มันแมวจริงๆ
ไม่ได้เจอหน้าเสียหลายวัน ได้มาเห็นภาพเช่นนี้ก็ถือว่าหายเหนื่อยไปหน่อยล่ะ
hf
อาซาเอลมองเห็นชัดเจนว่าคู่ทำรายงานของเขานั้นจับจองโต๊ะไหนไว้ หากแต่ร่างสูงโปร่งก็ยังจงใจไปทิ้งตัวลงนั่งโต๊ะที่อยู่ไกลกันสุดกู่ ทรานส์หนุ่มมั่นใจว่าคาดิเนียลจะไม่เดินมาลากเขาไปแน่นอน เพราะเขาได้เตรียมปราการป้องกันมาแล้วเป็นอย่างดี
แจนิวาลตกเป็นเครื่องมือในเช้าวันนี้เพราะบังเอิญเดินมายืมหมึกเติมปากกาถูกจังหวะพอดิบพอดีจึงโดนอาซาเอลคว้าตัวมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารเช้าทั้งที่เพียวหนุ่มยังอยู่ในชุดนอน อย่างน้อยก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้ว คนไม่คิดมากจึงไม่ปฏิเสธที่จะลงมาทานมื้อเช้าเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
ทั้งคู่ไม่ลืมเคาะประตูเรียกมินาคัส หากแต่ไร้การตอบกลับจึงสรุปความเอาว่าเพื่อนร่างสูงยังไม่ตื่นนอน แม้อาซาเอลจะอยากเจอหน้ามินาคัสเพื่อสาดทุกคำถามใส่เพียงใด หากแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะไม่อยากให้ความลับของตนเองและเพื่อนต้องรั่วไหลไปถึงหูแจนิวาล
ใช่ว่าไม่ไว้ใจ
หากแต่ขอเวลาสักหน่อย คนที่อาจตกใจจนสิ้นสตินั้นไม่ใช่พวกเขาแต่เป็นเพียวหนุ่มเสียมากกว่า จู่ๆก็มีเพื่อนเป็นผู้รักษาสมดุลกับทรานส์ผิดปกติอีกคน
“กินแค่นั้นจะพอหรือ เอ้า ฉันตักมาเผื่อ กินเยอะๆหน่อยเถิดกลัวลมพัดแล้วจะปลิวหายไปให้ลำบากเพื่อนฝูงต้องตามเก็บกลับมา”ว่าพลางวางจานใส่ไข่คน แฮมและนานาเมนูอาหารเช้าที่ตักจนพูนจานลงตรงหน้าคนผอมบางที่ดูท่าจะบางลงเรื่อยๆจนคนปากไม่ตรงกับใจอดห่วงไม่ได้ กระนั้นแจนิวาลกับอาซาเอลก็เป็นคู่กัดเกินกว่าจะเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
อาซาเอลเงยหน้าจากจานพาสต้า ยิ้มที่คล้ายการยิงฟันมากกว่าให้คนที่เลื่อนเก้าอี้ลงนั่งตรงข้ามกัน แจนิวาลเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วถึงกับอยากยกจานที่ตักมากลับไปเก็บ ถ้ามีหมาแมวผ่านมาก็อยากเทให้พวกมันกินไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยิ่งตอนได้ยินประโยคกวนหูที่เอ่ยตามมาด้วยแล้ว แจนิวาลก็ตัดสินใจลากจานใบโตกลับเข้าหาตัวเอง
“กินเยอะขนาดนี้ฉันก็ตัวกลมเหมือนนายกันพอดี เดินทีพื้นจะทรุด”
“พูดจาแบบนี้ อยากย้ายไปนั่งโต๊ะทางโน้นไหมล่ะ หรือจะให้ฉันลุกไปนั่งโต๊ะอื่น คงมีคนอยากนั่งแทนที่ฉันจะแย่แล้ว”แจนิวาลพูดด้วยรอยยิ้มรู้ทันที่ทำให้อาซาเอลหน้าตึง ก้มหน้าลงม้วนเส้นพาสต้าเข้าปากอย่างหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้
ก็คาดิเนียลเล่นจ้องมาอย่างไม่คิดปิดบังสายตาสักนิด
แถมเพื่อนร่วมโต๊ะของเจ้าหมาป่านั่นก็พากันซุบซิบตลอดเลย นี่คิดจะให้เขาไปนั่งร่วมวงกับฝูงหมาป่าแบบนั้นจริงๆรึ
“ถามจริงๆเถอะอาซาเอล”
คนโดนตั้งคำถามถอนหายใจพร้อมกลอกตาให้รู้ว่าละเหี่ยใจเพียงใดกับคำถามที่กำลังจะตามมา ก็เจ้าเพื่อนขี้สงสัยตรงหน้าถามเขาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนทุกครั้งที่คาดิเนียลเฉียดเข้าใกล้รัศมีสายตาของแจนิวาล
“นายไปรู้จักคาดิเนียลได้ยังไงกัน”
“เพิ่งมารู้จักกันที่สถาบันนี่แหละ บอกไปตั้งหลายหนแล้ว”
แจนิวาลใช้ส้อมจิ้มแฮมแผ่นหนาเข้าปาก อาศัยจังหวะนั้นเหลือบมองไปที่โต๊ะของฝูงหมาป่าอีกหน ใครๆก็รู้ว่าห้าชีวิตที่ล้อมรอบโต๊ะกลมกันอยู่นั้นสืบเชื้อสายจากเผ่าพันธุ์ใด เพราะยิ่งหมาป่ารวมฝูงกันมากเท่าไร กลิ่นสาบนักล่าก็ยิ่งฟุ้งกระจายเท่านั้น
ดูเอาเถิด กี่คนที่เลี้ยวเข้ามาในห้องอาหารฝั่งปีกตะวันออกแล้วก็ได้แต่กลับหลังหันออกไปเงียบๆ เปลี่ยนทิศทางเป็นห้องอาหารปีกตะวันตกแทน หากไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นเป็นทรานส์ ก็อาจเพราะเกรงจะละเลยอาหารเช้าเพราะมัวแต่มองตามเหล่าคนทั้งห้า
ใบหน้าได้รูปและเสน่ห์เหลือร้ายอันเกิดจากรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากแต่ละคนนั้นอาจทำให้ใครหลายคนลืมรสชาติของอาหารบนจานไปเลย
“คาดิเนียลดูสนใจนายมากนะ เพราะอะไรกันล่ะ”
เสียงเรียบนิ่งที่มีไม่บ่อยนักจากแจนิวาลทำให้มือบางชะงักจากการม้วนเส้น เหลือบมองสีหน้าเพื่อนสนิทที่ยังคงเรียบเฉย แก้มอูมๆนั่นเต็มไปด้วยอาหาร สายตาของเพียวหนุ่มยังคงจดจ้องอยู่กับอาหารเช้า กระนั้น อาซาเอลก็สัมผัสได้ว่าแจนิวาลกำลังขบคิดหาคำตอบอยู่
หรืออันที่จริง อาจจะมีคำตอบในใจแล้ว แค่รอการยืนยัน
“ไม่มีอะไรหรอก เขาเป็นคู่ทำรายงานของฉัน ก็คงมองเพราะจะเร่งให้ฉันกินเสร็จเร็วๆจะได้ทำงานเสียที”
“ถ้าแค่นั้นก็ดี แต่ถ้ามีอะไรมากกว่านั้นก็รีบบอก คนพวกนั้นน่ะไม่ธรรมดาหรอกนะ เตือนไว้ในฐานะคนที่ติดตามข่าวซุบซิบคนดังมาตลอดชีวิต”
อาซาเอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
อยากรู้อยู่หรอกว่าแจนิวาลมีข้อมูลอะไร จะได้เก็บไว้ตั้งรับคนที่ประกาศตั้งแต่วันแรกว่าอยากได้เขาเป็นเขี้ยว แม้จะบอกว่าพูดเล่น แต่ถ้าไม่มีไฟก็คงไม่เกิดควัน ลึกๆแล้วคาดิเนียลคิดอะไร ใช่ว่าอาซาเอลจะไม่รู้
เพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดผลักให้เราต้องแข็งแกร่งขึ้น กระหายในการยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร เหตุและผลที่กดสัญชาตญาณเหล่านั้นไว้ก็ไม่รู้จะขาดผึงเข้าวันไหน
“ไม่ธรรมดายังไง”
“อันตราย”แจนิวาลลดเสียงลงอีก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อให้สิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปนี้ได้ยินกันเพียงสองคน
“มีคนเป็นเหยื่อพวกนั้นมากมาย”
“เขี้ยวรึ”อาซาเอลถามเสียงเบาพอกัน
“ฮื่อ คำว่าเหยื่อไม่ได้หมายถึงเขี้ยวเท่านั้นเสียหน่อย”แจนิวาลถอนหายใจพลางส่ายหน้า
“งั้น… เหยื่ออะไร พวกนั้นทำร้ายร่างกายคนอื่นรึ!”ท้ายประโยคคนตกใจเผลอออกเสียงดังเกินไปหน่อยจนแจนิวาลต้องส่งฝ่ามือมาตะปบริมฝีปากบางไว้ สายตาล่อกแล่กมองซ้ายขวาเสียจนเป็นพิรุธทั้งเพียวทั้งทรานส์
แน่นอนว่าฝูงหมาป่าได้ยินเข้าแล้ว และกำลังแสยะยิ้มอย่างนึกสนุก
“ไม่ใช่! หมายถึงเหยื่อบนเตียงน่ะ!”แจนิวาลกระซิบหากแต่ลงน้ำหนักเสียงย้ำชัด อาซาเอลที่ถูกปิดปากอยู่เบิกตากว้างเมื่อเข้าใจความหมาย
นี่ข่าวซุบซิบคนดังเขาลงอะไรให้ประชาชนอ่านกัน!
เฮือก
ไม่เพียงอาซาเอลที่สะดุ้งสุดตัวด้วยความรู้สึกคุกคามที่คืบคลานเข้ามาใกล้ แม้แต่แจนิวาลก็เผลอปล่อยมือจากใบหน้าเพื่อนแล้วมองเลยไปด้านหลังอาซาเอลด้วยสีหน้าหวาดวิตก เสียงกลืนน้ำลายของเพียวหนุ่มดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาทของทรานส์ตระกูลแมว
ไม่กล้าหันหลังไปมองเลย ให้ตายสิ
“พวกเราน่ะล่าเหยื่อเก่งเสมอนั่นแหละครับ ไม่เกี่ยงสถานที่หรอก ยินดีที่ได้รู้จักนะอาซาเอล ผมฮาบัสเป็นเพื่อนของคาดิเนียล”
อาซาเอลเงยมองเจ้าของมือที่ส่งมา หนึ่งในฝูงหมาป่ายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น คนที่เหลือก็ยืนอยู่รอบโต๊ะเขาเช่นกัน ยกเว้นคาดิเนียล อาซาเอลตวัดสายตาคมกริบไปมองคู่ทำรายงานของตนที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ที่โต๊ะเดิม
จะข่มขวัญกันหรือไงถึงให้เพื่อนมาล้อมโต๊ะเขาแบบนี้
แล้วตัวเองก็นั่งทำตัวเป็นผู้ชมเชียวนะ
“ยินดีที่ได้รู้จัก”ร่างบางยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะส่งมือไปจับกับคนที่เข้ามาทักทาย
ฮาบัสมีรูปร่างสูงโปร่ง สูงมากเสียจนอาซาเอลที่ไม่ใช่คนตัวเล็กยังต้องเงยหน้าเพื่อสบตา ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดรับกับดวงตาเรียวชั้นเดียวได้เป็นอย่างดี
“พวกเราได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลย ผมอัย นี่อูจิส ส่วนนี่…”
“ซากาน”
อาซาเอลมองตามมือของคนตัวเล็กสุดในกลุ่มที่ผายไปทางสมาชิกฝูงแต่ละคน คนที่แนะนำตัวว่าชื่ออัยส่งยิ้มเป็นมิตรให้ในขณะที่อูจิสวางสีหน้าเรียบเฉย ผิวคร้ามแดดของเขาดูโดดเด่นเมื่อรวมอยู่ในกลุ่มของคนผิวขาว กระนั้นสายตาของอาซาเอลก็มาหยุดอยู่ที่คนสุดท้ายซึ่งแทรกเสียงทุ้มขึ้นมาแนะนำตัวเอง
เขาคือคนที่อยู่ข้างๆคาดิเนียลมาตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารค่ำหลังการทดสอบ และเป็นคนเดียวกับที่ลากอาซาเอลออกมาจากภาวะวิกฤตในภารกิจแรก
“ยินดีที่ได้รู้จัก อ่า นี่แจนิวาล”อาซาเอลที่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรหันไปแนะนำแจนิวาลที่ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆก่อนจะไล่จับมือกับเพื่อนใหม่ทั้งสี่คน ส่งยิ้มทักทายสดใสตามประสาคนอัธยาศัยดี
“พวกเรามีตารางเรียนช่วงเช้าเลยต้องขอตัวไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้คุยกันมากกว่านี้ ยังไงรบกวนช่วยดูแลคาดิเนียลด้วยนะครับ เจ้านั่นไม่ได้เรื่องได้ราวหรอกเรื่องงานเอกสาร”อัยเอ่ยด้วยโทนเสียงน่าฟัง รอยยิ้มเป็นมิตรยังคงระบายบนใบหน้าจนขัดแย้งกับความรู้สึกคุกคามที่อาซาเอลเคยได้สัมผัสเมื่อไม่นานมานี้
มีเรียนในเช้าวันเสาร์งั้นรึ
ดูไปแล้ว ยกเว้นซากาน คนที่เหลือไม่ใช่นักเรียนใหม่ อาซาเอลจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือแผนที่จะปล่อยคาดิเนียลไว้กับเขาตามลำพังกันแน่
“ผมคงทำอะไรได้ไม่มากหรอกครับ”อาซาเอลเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย รอยยิ้มทางการที่มองอย่างไรก็ไม่จริงใจถูกส่งไปอย่างเสียมิได้ เพราะสายตาของทรานส์หนุ่มยังส่งไปกรีดผิวไฮบ์ตัวโตที่นั่งผิวปากอยู่อีกฟากของห้อง
ดูเอาเถิด คนแบบนั้นมีอะไรให้น่าห่วงกัน
ฝูงหมาป่าเดินออกจากห้องอาหารไปแล้ว บรรยากาศในห้องจึงผ่อนคลายลงมากโข ดูได้จากปริมาณนักเรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่างจากก่อนหน้านี้
ทว่า รอบตัวของคาดิเนียลก็ยังไม่มีใครเฉียดใกล้อยู่ดี
“อยากให้ฉันเรียกมินาคัสไปหาข้อมูลทำรายงานด้วยไหม”เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นจากแจนิวาลที่เพิ่งจัดการของหวานเสร็จ เรียกให้คนที่ฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะขยับขึ้นวางคางบนโต๊ะไม้เนื้อดี สีหน้าเหยเกนั่นทำเอาคนตั้งคำถามหยั่งเชิงหลุดหัวเราะพรืด
“ไหนบอกไม่มีอะไรไง”
“ฉันแค่ไม่ถูกชะตา”เหลือบสายตาพอให้รู้กันว่าหมายถึงใคร
“แต่เขาดูถูกชะตากับนายนะ”แจนิวาลยังคงจี้ใจดำเพื่อนไม่เลิก นี่อาจเป็นจุดอ่อนแรกของอาซาเอลที่แจนิวาลค้นพบ จะให้ปล่อยไปง่ายๆคงไม่ได้หรอก
“พอเถอะ”
“ไปรอที่ห้องสมุด ฉันอาบน้ำแล้วจะพามินาคัสตามไป”แจนิวาลเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เห็นคนที่กองอยู่บนโต๊ะเหมือนก้อนอะไรสักอย่างแล้วอยากใช้นิ้วคีบขึ้นมาให้นั่งหัวตรงฟ้าดีๆ
“ฉันไปรอนายอาบน้ำก็ได้นะ”
“ถามคู่ทำรายงานของนายก่อนเถิดอาซาเอล อีกไม่นานคงลุกมาลากคอนายแล้ว”
อาซาเอลไม่ได้หันมองตามการบุ้ยใบ้ของเพื่อนสนิท เพราะรู้ดีว่าคนที่ถูกปล่อยให้นั่งรอนานนับชั่วโมงเพราะอาซาเอลทำใจไม่ได้เสียทีนั้นคงกำลังหงุดหงิดอยู่พอตัว
เหตุผลที่ต้องทำใจอยู่นานนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เจอกันครั้งล่าสุดเขาเพิ่งฝากรอยเขี้ยวไว้บนข้อมืออีกฝ่าย แถมการสนทนากันครั้งสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่เขาขโมยพลังเวทย์ของคาดิเนียลมาหน้าตาเฉย
แค่นั้นเอง
hf
ความเงียบภายในห้องสมุดกว้างขวางที่ประกอบไปด้วยตู้หนังสือสูงใหญ่นับร้อยตู้เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบนั้นเงียบสงัดมากพอให้ทรานส์หนุ่มผู้กำลังเดินเลือกหนังสืออย่างไม่รีบร้อนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง จึงไม่แปลกนักที่อาซาเอลจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของคนตัวใหญ่ซึ่งกำลังร่นระยะห่างเข้ามาใกล้ หากแต่เจ้าของร่างสูงโปร่งก็ตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้เขาจะไม่เดินหนีไปไหนอีก
กระนั้น อาซาเอลก็ไม่ได้เตรียมใจรับลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดหลังคอเช่นนี้
“คุณมีเรื่องที่สนใจเป็นพิเศษหรือเปล่า”
เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง พร้อมกับท่อนแขนหนาที่เอื้อมมาเพื่อหยิบหนังสือบนชั้นตรงหน้าของทรานส์หนุ่ม ดูไปแล้วเหมือนอาซาเอลโดนกักอยู่ระหว่างชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน กับกำแพงร่างกายกำยำของคาดิเนียลที่ยืนประกบอยู่ด้านหลัง
ระหว่างทางเดินมายังชั้นสามอาซาเอลสับขาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย กระนั้นคาดิเนียลก็ยินยอมเดินตามมาเงียบๆ เมื่อถึงห้องสมุดที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนทั้งที่ควรจะเต็มไปด้วยนักเรียนในคลาสของอาจารย์ชาร์ล อาซาเอลไม่เสียเวลาหาคำตอบว่าเพื่อนร่วมคลาสไปหาข้อมูลจากที่ไหน แต่เขาเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการเดินลัดเลาะไปมาระหว่างชั้นหนังสือมากมาย
เพื่อหาหนังสืออ้างอิงก็ส่วนหนึ่ง
แต่เพื่อหลบหน้าคาดิเนียลเป็นส่วนใหญ่
“ห่างหน่อย ร้อน”
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากคนถูกสั่งให้ถอยออกไป อาซาเอลหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือเรื่องเล่าและตำนานมาอีกสามเล่ม ซึ่งหนึ่งในสามเล่มนั้นเขาเคยอ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในห้องหนังสือของบิดา อีกสองเล่มนั้นแปลกตาแต่น่าสนใจมากทีเดียว ทว่าความหนาของหนังสือเหล่านั้นก็ทำเอาแขนบางๆสั่นระริก ก่อนน้ำหนักที่กดลงจะหายไปเพราะใครอีกคนยกตำราทั้งหมดไปอย่างง่ายดาย
ไม่รอฟังคำค้าน ร่างสูงเดินนำไปวางหนังสือสามเล่มลงบนโต๊ะที่มีหนังสือเล่มอื่นซึ่งอาซาเอลเลือกไว้วางรวมกันอยู่
มองด้วยตาแล้วคาดิเนียลอยากฟุบหลับไปเสียเลย ความหนาของหนังสือพวกนี้คงเป็นหมอนได้อย่างดี
“ตกลงเรากำลังจะทำรายงานเรื่องอะไรครับคุณ เดินเลือกหนังสือไม่พูดไม่จา หงุดหงิดอะไรแต่เช้าหรอ”
อาซาเอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดมันในขณะที่คาดิเนียลนั่งลงตรงข้ามกันแล้วนั่งเท้าคางมองหน้าเขาแทนที่จะเปิดหนังสือเพื่อหาข้อมูลทำรายงาน อาซาเอลถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ปิดหนังสือที่เขาเพิ่งกวาดสายตาคร่าวๆว่าใช้อ้างอิงได้หรือไม่
ถ้าถามว่าหงุดหงิดอะไร ก็คงหงุดหงิดไปเสียทุกเรื่องนั่นล่ะ มีเรื่องให้คิดมากเกิน และการล้อเลียนสภาพหลังตื่นนอนของไฮบ์หนุ่มก็เป็นการตัดฟางเส้นสุดท้ายของความอดทน เลยต้องมารองรับอารมณ์ขุ่นมัวของเขาแบบนี้
อาซาเอลจัดการอารมณ์ของตัวเองก่อนจะเลื่อนหนังสือตรงหน้าไปให้คนที่นั่งเท้าคางอยู่ คาดิเนียลเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะกวาดสายตาอ่านหน้าปก
“ภาชนะที่สอง…งั้นรึ”เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักด้วยตัวหนังสือเหล่านั้นเป็นภาษาโบราณของประเทศเล็กๆแต่อุดมสมบูรณ์ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปที่ใหญ่ที่สุดก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกครั้งใหญ่ทำให้ทวีปเคลื่อนตัวเข้ามาติดกันกลายเป็นแผ่นดินเดียว
“เคยได้ยินเรื่องทรานส์ที่มีภาชนะที่สองไหม”อาซาเอลเอ่ยถามด้วยเสียงที่ข่มไม่ให้สั่นพร่า
บอกตัวเองซ้ำๆว่าเขากำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำรายงานกับคาดิเนียล มิใช่การเปิดเผยความลับใดให้อีกฝ่ายรับรู้
ถามตัวเองเป็นรอบที่เท่าไรไม่อาจนับว่าเสี่ยงเกินไปไหมที่เลือกหัวข้อนี้ แต่ถ้าต้องการทำงานหวังผลคะแนนดีเยี่ยมแล้วคงไม่มีเรื่องใดที่อาซาเอลจะรู้รายละเอียดดีไปกว่าเรื่องนี้แล้วจริงๆ
“ไม่เคยหรอก ตระกูลของผมไม่ค่อยมีทรานส์ปรากฏ”
คาดิเนียลเงียบไปครู่หนึ่งหลังตอบคำถาม ด้วยประหวัดถึงพี่ชายตนซึ่งเป็นทรานส์คนแรกในรอบหลายสิบปีที่เกิดขึ้นในสายตระกูลของเขา กระนั้นพี่ชายก็ไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองมากนัก ตัวเขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับทรานส์มากนักหรอก รู้เท่าที่ควรรู้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการล่าและจุดอ่อนเสียมากกว่า…
“งั้นรึ”
อาซาเอลเอ่ยคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่าสนทนากับอีกฝ่าย ภาวนาให้คาดิเนียลพูดความจริง เพราะอย่างน้อยก็เป็นการยืนยันว่าที่ไฮบ์หนุ่มก่อกวนเขาอยู่ทุกวี่วันนั้นไม่ใช่เพราะรู้อะไรที่ไม่ควรรู้
“ลองอ่านความหมายของภาชนะที่สองดูสักเล่มสิ เลือกเล่มที่คุณคิดว่าจะอ่านแล้วเข้าใจน่ะ”
อาซาเอลมองมือหนาที่จับหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า แต่ก็ยังไม่เปิดเล่มไหนออกอ่าน
“คุณอ่านหนังสือไม่ออกรึไงคาดิเนียล”
คนโดนปรามาสหัวเราะพรืดแทนที่จะกรุ่นโกรธ
“ผมอ่านได้ทั้งหมดนั่นแหละครับ แต่ไม่รู้ว่าจะอ่านเล่มไหนที่ทำให้ผมเข้าใจ”
อาซาเอลเลิกคิ้วมองคนที่ยังคงเลือกหนังสือต่อไป ก่อนจะหลุดขำออกมาเพราะอดไม่ได้ที่จะขบขันกับสีหน้ายุ่งเหยิงของคนที่ดูก็รู้ว่าไม่ชอบอ่านหนังสือ
“เล่มนี้ก็ได้ครับ บางดี คุณคงมีกำลังใจอ่าน”
คาดิเนียลรับหนังสือเล่มที่บางที่สุดไปถือพร้อมด้วยรอยยิ้มจนตาเป็นขีด อาซาเอลได้แต่ถามตัวเองอีกครั้งว่ากำลังคุยกับคนสองบุคลิกหรืออย่างไร บางครั้งก็น่ากลัว บางครั้งก็น่าร…
ให้ตายสิอาซาเอล หยุดความคิดอยู่ตรงนั้นที
ภาชนะที่สองถูกนำมาใช้ให้ความหมายบุคคลที่ใช้พลังเวทย์ได้สองแบบ
โดยทั่วไปมนุษย์จะใช้พลังเวทย์อันเป็นผลผลิตจากพลังงานชีวิตของตนเอง เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าภาชนะต้น ร่างกายเป็นที่กักเก็บพลังเวทย์ เมื่อนำมาใช้ย่อมบั่นทอนพลังชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทำได้เพียงลดทอนผลกระทบด้วยการใช้โลหะตัวนำ
ทว่า มีคนบางกลุ่มที่สามารถใช้พลังเวทย์จากแหล่งอื่นได้ เรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า ผู้มีภาชนะที่สอง ตามคำบอกเล่า พบผู้มีภาชนะที่สองในเผ่าพันธุ์ของทรานส์เท่านั้น ไม่เคยมีบันทึกว่าพบเพียวหรือไฮบ์ที่มีคุณสมบัตินี้
ตั้งสมมติฐานว่าเพราะทรานส์มีสายเลือดที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด มีสัญชาตญาณที่เข้มข้นกว่ามนุษย์ประเภทอื่น
ด้วยภาชนะที่สองนั้นใช้กักเก็บพลังเวทย์จากธรรมชาติ ที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจแตะต้อง
มิใช่เพียงกักเก็บ หากผ่านการฝึกฝน ทรานส์เหล่านั้นสามารถใช้พลังเวทย์จากทุกสรรพสิ่งในโลกได้อย่างอิสระ โดยแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อการกลับคืนสู่ร่างสัตว์ เนื่องเพราะการดึงพลังเวทย์จากธรรมชาตินั้นคือการพาตนเข้าใกล้ชิดต้นกำเนิดของสายเลือดสัตว์ป่า
ตามตำนานกล่าวขาน ว่าทรานส์ผู้มีภาชนะที่สองนั้นเป็นลักษณะพิเศษที่แฝงอยู่ในรหัสพันธุกรรม สืบจากอดีตกาลที่มนุษย์สามารถใช้เวทมนต์ได้อย่างอิสระ
บ้างเทิดทูนให้เกียรติเทียบทวยเทพ
บ้างเหยียดหยันว่าเป็นกบฏที่ขัดต่อเจตนาของพระเจ้า ราวผู้หลบหนีโทษทัณฑ์
กระนั้น ช่วงเวลาหนึ่งในยุคแห่งความมืดมิด ทรานส์ที่มีภาชนะที่สองเริ่มถูกล่า และค้าเยี่ยงทาส ใช้แทนหม้อแปลงพลังงาน ก่อนปล่อยให้ตาย หรือกลายร่างคืนสู่สัตว์ป่า
เช่นนั้น จึงว่ากันว่า ทรานส์ผู้มีภาชนะที่สองได้สาบสูญจนหมดสิ้นไปตั้งแต่ปลายยุคมืดนั้นแล้ว
คาดิเนียลปิดหนังสือลง จ้องมองปกหนังสือสีแดงเลือดนกอย่างเหม่อลอยก่อนจะไล้ปลายนิ้วเรียวไปบนตัวหนังสือสีทองบนหน้าปก
“พวกเขา…”
“น่าสงสาร”
อาซาเอลเหยียดยิ้มหยันที่คาดิเนียลไม่ทันได้เห็นตอนเงยหน้าขึ้นสบตากับทรานส์หนุ่ม
“คุณไม่คิดว่ามันเป็นของขวัญรึ ใช้พลังเวทย์จากสิ่งใด หรือใครก็ได้เชียวนะ”
บางทีนะบางที
เขาควรจะรู้เรื่องของทรานส์ให้มากกว่านี้
เรื่องราวที่เป็นมุมมองของผู้ถูกล่า
คาดิเนียลคิดขณะใคร่ครวญว่าควรตอบคำถามของอาซาเอลอย่างไรดี
“ผมว่ามันไม่ต่างกับคำสาป”
“คนอื่นต่างหากที่ทำให้มันกลายเป็นคำสาป”
อาซาเอลเอ่ยรอดไรฟันด้วยพยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่าง ทรานส์หนุ่มเลี่ยงที่จะสบตากับไฮบ์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“มันเป็นโศกนาฏกรรม กระนั้นก็ไม่มีใครสนใจหรอก ไม่ว่าเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง หากเกิดกับทรานส์ ไม่นานคนก็จะลืมเลือน”
หลับตาลงเพื่อข่มความร้อนผ่าวเมื่อภาพเดิมวนซ้ำในมโนสำนึก มือเรียวกำแน่นอย่างไม่รู้ตัวจนสั่นระริกไปทั้งแขน
“อาซาเอล”
เจ้าของชื่อสะดุ้งจากภวังค์ด้วยสัมผัสอุ่นที่กระชับบนมือกร้านแต่บางแสนบางจนเห็นข้อนิ้วซีดขาวยามเมื่อเจ้าตัวออกแรงจิกปลายเล็บลงบนฝ่ามือตนเองเช่นนี้ อาซาเอลเพิ่งรู้ตัวว่าเขาใช้น้ำเสียงสั่นพร่าเพียงใดตัดพ้อโชคชะตาก็ตอนที่เห็นสายตาอ่อนโยนจากดวงตาเรียวที่ทอดมองมา แรงบีบกระชับขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะระบายขึ้นบนริมฝีปากส่งให้แก้มดันดวงตาจนยิบหยี
“ผมเป็นไฮบ์ จะไม่พูดหรอกว่าเข้าใจความเจ็บปวดของทรานส์ แต่ถ้าเลือกได้ ผมจะเป็นไฮบ์ที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับทรานส์คนไหน”
ถ้าเลือกได้ ถ้าหากเลือกได้น่ะอาซาเอล ทว่า บางครั้งเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกเช่นกัน
ถ้อยคำเหล่านั้นคือสิ่งที่ไฮบ์หนุ่มไม่ได้เอ่ยออกไป
ยิ่งเห็นดวงตาฉ่ำน้ำนั้นมีประกายวูบไหว ซ้ำมือบางยังสั่นระริกแต่ไม่หนีไปไหนอยู่ภายใต้การกอบกุมของเขาเช่นนี้ คาดิเนียลยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรพูดสิ่งใดออกไปอีก
ไฮบ์เช่นเขา ไม่ควรพูดสิ่งใดมากไปกว่านี้แล้ว
“ที่วันนี้ห้องสมุดเงียบเหงาผิดปกติอาจเพราะมีคนมาสร้างโลกส่วนตัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้กระมัง นายคิดงั้นไหมมินาคัส”
บรรยากาศที่อวลไปด้วยความอบอุ่นระคนกับความกระอักกระอ่วนระหว่างทรานส์ซึ่งได้รับบาดแผลที่ไม่มีวันหาย กับไฮบ์ที่มีตราบาปจากอดีตคอยทิ่มแทงอยู่ในห้วงมโนสำนึกถูกทำลายลงด้วยเสียงเย้าอย่างมีเลศนัยของเพียวหนุ่ม
มินาคัสทำเพียงมองมือของทรานส์ตัวน้อยภายใต้การกอบกุมของไฮบ์หนุ่มด้วยสายตาไม่สื่อความใด กระนั้นอาซาเอลก็อาศัยจังหวะที่คาดิเนียลหันไปสนใจคนมาใหม่ลอบขยับมือออก
เขาไม่ได้เสียมารยาทมากพอจะสะบัดมือของคนที่ช่วยปลอบโยนในยามที่ตนเสียขวัญเพราะความทรงจำเก่าๆ
คาดิเนียลจะมีจุดประสงค์ใดนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ความอบอุ่นของฝ่ามือหนาและสายตาจริงจังที่มองมา อาซาเอลไม่อาจปฏิเสธว่ามันเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
“นั่งด้วยกันสิ”อาซาเอลเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวให้เพื่อนตัวเล็กทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะปรายสายตาไปมองมินาคัสที่ยังคงใบหน้าเรียบเฉย
อาซาเอลสนใจผู้มาใหม่เกินกว่าจะทันสังเกตเห็นดวงตาเรียวรีที่ฉายประกายขุ่นมัวขึ้นครู่หนึ่งยามเมื่อคาดิเนียลรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหอกข้างแคร่กับแมวดื้อของเขา
“นอนหลับสบายดีไหมมินาคัส”อาซาเอลระบายยิ้มหวานขณะถามไถ่เพื่อนสนิท มองผ่านๆก็คล้ายบทสนทนาทั่วไปหากไม่ได้มาพร้อมสายตาวามวาวที่จิกมองใส่ผู้รักษาสมดุลรูปงาม
“สบายมากเลย นายล่ะ หลับสบายดีหรือเปล่า”คนถูกตั้งคำถามหันไปทักทายคู่ทำรายงานของทรานส์ขี้สงสัย ก่อนจะหันมาตอบคำถามด้วยอาการที่อาซาเอลเรียกมันว่า หน้าซื่อตาใส ขณะเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งฝั่งเดียวกับคาดิเนียล ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเสียจนอาซาเอลอยากกระชากคอแล้วสาดคำถามมากมายใส่เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ดีมากเชียวล่ะ แต่ตอนตื่นมาไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
แว่วเสียงคาดิเนียลหัวเราะในลำคอ ในขณะที่มินาคัสเสมองไปทางอื่นเลี่ยงจะสบเข้ากับดวงตากลมของคนที่จ้องเขาเขม็ง
แจนิวาลสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เขาพลาดไป หากแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ด้วยมีใครอีกคนที่ดึงดูดความสนใจเขาได้มากกว่า ร่างเล็กหันไปทักทายกับไฮบ์หนุ่มด้วยท่าทางที่พยายามให้เป็นปกติ ไม่แสดงความตื่นเต้นออกนอกหน้าเกินไปนัก
แต่เชื่อเถอะว่าเสียงเขาน่ะสั่นไม่หยุด
นี่คาดิเนียลเชียวนะ ใครจะคิดว่าคนธรรมดาแบบเขาจะได้นั่งร่วมโต๊ะกับคนดัง
อาซาเอลลอบมองแจนิวาลที่กำลังพบปะคนดังจนไม่ได้สนใจตน ในขณะที่คาดิเนียลก็ระบายยิ้มการค้าเสียจนไม่ได้มองมาทางนี้ ช่างเป็นจังหวะเหมาะสมควรที่จะรีดเอาคำตอบจากผู้รักษาสมดุลหน้าซื่อ
นายเปลี่ยนชุดให้ฉันรึมินาคัส
เปล่า นายเปลี่ยนของนายเอง
โกหก ฉันหลับตั้งแต่ในสวน
ฉันเป็นใคร แค่ทำให้นายที่หลับอยู่ขยับทำโน่นนี่เหมือนหุ่นเชิดน่ะไม่ยากหรอก
อาซาเอลคลายปมตรงหัวคิ้ว
สบายใจไปเปราะหนึ่ง
หากแต่ความสบายใจนั้นเป็นของอาซาเอลเพียงคนเดียว สำหรับมินาคัสแล้วเป็นภาระหนักหนา ทั้งที่ต้องคอยปั้นหน้าให้เรียบเฉย และต้องโกหกคำโต
“แอบคุยอะไรกันผ่านเทเลพาทีก็ระวังหน่อย ไม่ใช่แค่ห้องเรียนหรอกนะที่มีระบบดักจับกระแสจิต”
ทรานส์หนุ่มสะดุ้งไปวูบหนึ่ง พอให้แจนิวาลได้หัวเราะในลำคอที่จับพิรุธเพื่อนได้สำเร็จ และมากพอให้คาดิเนียลเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ฉันขอไปเดินหาหนังสือก่อนนะ”
หนึ่งทรานส์ หนึ่งไฮบ์ และหนึ่งเพียว มองตามคนที่ลุกเดินหายเข้าไปท่ามกลางชั้นหนังสือด้วยสายตาแตกต่างกัน
มินาคัสสัมผัสได้ถึงแววตาใคร่รู้ของแจนิวาล และสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนักของคาดิเนียล หากแต่สายตาที่ทำให้เขาเหงื่อซึมแผ่นหลังคงไม่พ้นตาใสๆของคนที่เชื่อคำเขาหมดใจ
ไม่มีกฏข้อห้ามใดระบุว่าผู้รักษาสมดุลต้องพูดแต่ความจริงเท่านั้น หากแต่มินาคัสไม่ใช่พวกชอบโป้ปด ยกเว้นว่ามันจะช่วยให้เอาตัวรอดจากฤทธิ์เดชของแมวอารมณ์ร้ายบางตัว
เป็นผู้รักษาสมดุลใช่ว่าจะมีพลังอำนาจพิเศษอะไรมากมาย แตกต่างจากใครๆด้วยเป็นสายเลือดที่ได้รับเลือกให้ใกล้ชิดกับพลังเวทย์ธรรมชาติ หากคนทั่วไปสัมผัสพลังเวทย์ในลักษณะพลังงาน สำหรับเขาก็เพียงแต่เปลี่ยนพลังงานเป็นอะไรที่คล้ายสิ่งมีชีวิต สามารถสื่อสาร จับต้อง ขอร้องให้เป็นไปดั่งใจได้ในบางโอกาส หากแต่มิอาจออกคำสั่งหรือใช้ประโยชน์ใด
สิทธิ์การใช้ประโยชน์จากพลังเวทย์ธรรมชาตินั้นเป็นของภาชนะที่สองเท่านั้น…
หากเปรียบพลังเวทย์ทั่วโลกเป็นระบบระบบหนึ่ง ผู้รักษาสมดุลก็มีหน้าที่ตามชื่อที่ใช้กล่าวขาน คือคอยหาจุดบกพร่องหรือสิ่งผิดปกติ แล้วจัดการหาสาเหตุ แก้ไขซ่อมแซม
จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ก็ต่อเมื่อสภาลงมติว่าเหตุการณ์นั้นมีอันตรายต่อความสมดุลของโลก
หากเป็นปัญหาอื่นใด แม้อยากช่วยแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปเกินกว่าความสามารถของคนธรรมดาคนหนึ่ง
กฎเหล็กที่ต้องรักษา คือห้ามใช้พลังของผู้รักษาสมดุลแก้ไขปัญหาส่วนตัว
โชคดีอยู่หน่อยที่ตัวเขาเป็นผู้รักษาสมดุลที่ได้รับความรักจากเหล่าพลังเวทย์อยู่ไม่น้อย จึงพอจะเกลี้ยกล่อมให้ทำตามคำขอได้อยู่บ้าง
อย่างการทำให้พลังเวทย์ของอาซาเอลเข้าสู่ช่วงพักเพื่อให้เจ้าของร่างหลับนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ได้ทำให้เหล่าพลังงานว้าวุ่นเหล่านั้นกระโตกกระตากจนเขาต้องถูกลงทัณฑ์จากสภา แต่จะให้สั่งร่างที่ไร้สติขยับตัวทำสิ่งใดตามใจนึกนั้น…
ก็แค่คำโกหกเพื่อเอาตัวรอด
ภาพร่างกายขาวเนียนบอบบางของเพื่อนสนิทยังติดตาอยู่จนไม่กล้ามองใบหน้าคมนั่นตรงๆด้วยซ้ำไป
ไม่คิดว่าการที่อาซาเอลเข้าใจแบบผิดๆเช่นเดียวกับใครหลายๆคน ว่าผู้รักษาสมดุลเป็นผู้วิเศษนั้นจะช่วยให้การโกหกของเขาดูแนบเนียนเสียเหลือเกิน
ภาวนาว่าอาซาเอลจะไม่เกิดสนใจรายละเอียดของผู้รักษาสมดุลขึ้นมาก็แล้วกัน
“แล้วนายไม่ไปเลือกหนังสือรึ แจนิวาล เกลียดห้องสมุดก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถิด จะเอาเปรียบมินาคัสแบบนี้ไม่ได้”
เมื่อร่างสูงของผู้รักษาสมดุลพ้นจากกรอบสายตา อาซาเอลก็หันมาดุคนข้างๆเสียงเข้ม แจนิวาลชะงักมือที่เปิดหนังสืออ้างอิงเรื่องภาชนะที่สองก่อนจะเงยมาสบตาคมของเพื่อนสนิท ในขณะที่คาดิเนียลรีบเปิดหนังสือเล่มอื่นๆเพื่อทำความเข้าใจหัวข้อรายงานของตนให้มากขึ้น หวั่นเหลือเกินว่าเจ้าแมวดื้อจะคิดว่าเขาเอาเปรียบ
“ใครบอกกันว่าฉันเกลียดห้องสมุด”แจนิวาลเลิกคิ้วสูง ทำสีหน้าประหลาดใจจนอาซาเอลเริ่มไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเข้าใจมาตลอด
“ก็วันแรกที่รุ่นพี่พาชมห้องสมุด นายทำหน้าเหมือนจะขาดอากาศตาย”
สิ้นคำอธิบาย แจนิวาลก็หัวเราะลั่นจนอาซาเอลต้องรีบตะปบปิดปาก แม้จะไร้แววบุคคลอื่น แต่ห้องสมุดก็คือห้องสมุด การส่งเสียงรบกวนนั้นไม่ใช่เรื่องสมควรกระทำ
“ฉันแค่… อืม จะใช้คำว่าอะไรดีนะ นายเคยกินอะไรบ่อยๆเป็นเวลานานๆ จนเวลาเห็นก็รู้สึกแขยงไหม แต่ไม่ได้เกลียดน่ะ”แจนิวาลดึงมือบางออกจากปากก่อนพยายามอธิบายสีหน้าในวันนั้น
“จะบอกว่านายเข้าห้องสมุดบ่อยจนเอียนรึ”ทรานส์หนุ่มเอ่ยพร้อมแสดงสีหน้าราวกับแจนิวาลกำลังบอกว่าพรุ่งนี้หิมะจะตก ทั้งที่ตอนนี้เป็นกลางฤดูใบไม้ร่วง
“บอกให้เอาบุญนะอาซาเอล บ้านฉันเป็นเจ้าของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ฉันโตมากับหนังสือมากกว่าคนด้วยกันเสียอีก”
อาซาเอลเบิกตาโตไม่พอ ยังยกมือขึ้นปิดปาก ประหลาดใจก็ส่วนหนึ่ง แต่ตั้งใจแสดงสีหน้าเกินจริงยั่วโมโหเพื่อนเป็นเหตุผลหลัก ยิ่งแจนิวาลแยกเขี้ยวใส่ มืออีกข้างก็ยกขึ้นทาบอก ส่ายหน้าไปมาไม่หยุด
แน่นอนว่าท่าทางขี้เล่นเช่นนั้นเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาของหมาป่าหนุ่มแล้วเรียบร้อย
ทั้งที่เวลาอยู่กับเขาเอาแต่ทำหน้าเป็นแมวดื้อ ไม่คิดว่าจะซนได้ถึงขนาดนี้
เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวนักเชียว
ไม่ใช่เพียงคาดิเนียลที่คันไม้คันมือกับสีหน้าท่าทางของอาซาเอล เพราะแจนิวาลคันมือเสียจนฟาดผลั่วะเข้าที่ไหล่บางแล้วเรียบร้อย
เด็กซนหัวเราะแบบไร้เสียงแต่แสดงออกทางสีหน้าจนตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว เย้าแหย่แจนิวาลอีกพักใหญ่จนคนตัวเล็กกว่าตัดสินใจหนีไปหาหนังสืออ่าน แม้ว่าเพียวหนุ่มจะหาข้อมูลทำรายงานของตนไว้เพียงพอแล้วก็ตาม
อาซาเอลลืมไปแล้วหรือไงว่าที่เขามาก็เพราะจะช่วยเป็นไม้กันหมาให้ ก่อกวนกันเช่นนี้มันน่าปล่อยให้โดนหมาป่ารังแกเสียให้เข็ด
แมวขี้แกล้งหัวเราะพอใจในผลงานที่ก่อกวนแจนิวาลได้สำเร็จ ก่อนจะหันมาหากองงานที่ค้างอยู่ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเกร็งกระตุกก่อนจะหุบฉับลงเมื่อเห็นดวงตาเรียวรีตรงหน้าทอประกายหวานเสียจนต้องเบือนหลบ
ทั้งที่ไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูด
ทั้งที่ไม่ได้เทเลพาที
หากแต่สายตาของคาดิเนียลก็เอ่ยคำหนึ่งได้ชัดเหลือเกิน
“ตกลง เราจะทำรายงานเรื่องภาชนะที่สองกัน ใช่มั้ย”
คนเสนอหัวข้อเองเอ่ยตะกุกตะกัก หาจุดวางสายตาลำบากเหลือเกินเมื่อต้องคอยหลบสายตาคมๆที่ยังจ้องไม่หยุด แม้จะแกล้งทำเสียงแข็งเป็นการเป็นงาน แต่ก็ไม่อาจซ่อนใบหูแดงก่ำได้
“ใช่”เสียงทุ้มต่ำตอบเนิบๆ ราวกับเย้ยหยันอาการลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย
อาซาเอลเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเขาพลาดครั้งใหญ่แค่ไหนที่แกล้งจนแจนิวาลลุกหนีไป
“ทำงานสิ นั่งมองหน้าผมทำไม”
เมื่อจนตรอก แมวน้อยก็หันมาขู่ฟ่ออย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
“นี่ รู้อะไรไหม”
“ก่อนเริ่มทำงาน คุณต้องเริ่มจากหยุดเขินก่อน”
“เพราะตอนนี้คุณน่ารักมาก ผมไม่มีสมาธิเลย อาซาเอล”
เชื่อเถอะว่าอาซาเอลอยากตีอกชกตัวเองเหลือเกินที่วันก่อนไปบังคับให้คาดิเนียลเรียกชื่อเขา เพราะทุกครั้งที่เสียงทุ้มต่ำติดแตกพร่าตามธรรมชาติของเด็กหนุ่มเอ่ยชื่อเขาขึ้นมา มันทำให้อะไรบางอย่างในอกทำงานผิดปกติ
“เงียบเถอะ”
อีกครั้งที่คาดิเนียลโดนแมวขู่ แต่หมาป่าอย่างเขาก็มิได้เกรงกลัวเลยสักนิด
“อาซาเอล”
เจ้าของชื่อยังเอาแต่ง่วนอยู่กับการจดสรุปข้อความสำคัญจากหนังสือบนโต๊ะ แม้จะรับรู้ได้ว่าอีกคนขยับลุกขึ้นเท้ามือกับโต๊ะไม้ที่ส่งเสียงเอี้ยดอ้าดยามเมื่อคนตัวสูงอาศัยช่วงตัวยาวชะโงกหน้ามาใกล้กว่าที่ควร หรืออาจเป็นเพราะรู้ดีว่าหากเงยหน้าขึ้นตอนนี้ ปลายจมูกคงอยู่ห่างจากปลายจมูกอีกคนไม่กี่คืบ เช่นนั้นการก้มหน้าก้มตาเอาไว้คงปลอดภัยกว่า
“คาดิเนียล”เสียงที่กดต่ำกว่าปกติเอ่ยเรียกชื่ออีกคนจนเจ้าของชื่อที่ตั้งใจจะหยอกล้อให้แมวดื้อเขินกว่าที่เป็นต้องชะงักค้าง
รอดูท่าทีว่าเขาเผลอเหยียบกับระเบิดเข้าอีกหรือไม่
เข้าใกล้มากไปทีไร เป็นได้เจ็บตัวทุกที
“นั่งลงแล้วช่วยผมทำงานเสียที”เสียงถอนหายใจที่ตามหลังประโยคมาติดๆนั่นทำให้คาดิเนียลเบาใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธขึ้ง
หากแต่กำลังระอากับความขี้แกล้งของเขาเสียมากกว่า
แววตานึกสนุกแปรเปลี่ยนเป็นความละมุนละไม ยามเมื่อรู้ตัวว่าตนได้มองใบหน้าเนียนที่ประดับไว้ด้วยกลุ่มดาวสามดวงใกล้เพียงใด หลายวินาทีที่คาดิเนียลทิ้งสายตามองสำรวจเครื่องหน้างดงามของคนที่เขามั่นใจว่าตนกำลังหลงใหลด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
ดวงตาคมที่หลุบต่ำจดจ้องอยู่กับหนังสือนั้น ไม่กี่นาทีก่อนเพิ่งจะฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำและอาบไปด้วยความทุกข์ทรมานที่เขาไม่อาจเข้าใจ
“เชื่อเถอะอาซาเอล ผมจะช่วยคุณเอง คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับอะไรไว้คนเดียวหรอก”
“…มันก็แน่อยู่แล้ว ในเมื่อนี่เป็นงานคู่ พูดอะไรไร้สาระเสียจริง”
คาดิเนียลหัวเราะเบาๆก่อนจะถอยกลับมานั่งที่ของตนแล้วลงมือทำรายงานตามที่อีกคนสั่งเสียงแข็ง
เอาเถิดอาซาเอล คำพูดนั้นจะแกล้งบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ตามแต่ใจ หากแต่คุณซ่อนมือสั่นๆที่เขียนอักษรไม่เป็นตัวนั่นไว้ไม่ได้หรอก
ผมรู้ดี ว่าคุณเข้าใจสิ่งที่ผมบอก
แต่คุณยังไม่เข้าใจหรอก ว่าผมจริงจังกับคำพูดของตัวเองเพียงใด
คาดิเนียลลอบขำตัวเองในใจที่ไม่เคยเข็ดขยาดกับการลองดีกับกับระเบิด อาซาเอลเป็นยิ่งกว่าแมวดื้อที่เขาเดาอารมณ์ไม่ออก กระนั้นไฮบ์หนุ่มก็ไม่ลังเลที่จะแตะผะแผ่วลงบนหลังมือบางจนเห็นข้อนิ้วชัดเจน เผลอใช้นิ้วโป้งไล้ตามข้อกระดูกโปนจนกระทั่งแมวน้อยเริ่มกระตุกมือหนีจึงยอมหยุดแต่โดยดี แล้วเปลี่ยนเป็นเกี่ยวปลายนิ้วเรียวไว้หลวมๆ
ท่ามกลางความเงียบของห้องสมุด ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าอ่านหนังสืออ้างอิงเล่มโต มือข้างหนึ่งถือดินสอและจดทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็น ในขณะที่มืออีกข้างของอาซาเอล ถูกคู่ทำรายงานจองจำไว้ด้วยปลายนิ้วที่เกี่ยวกัน ราวกับแค่บังเอิญวางมือไว้ตรงนี้เท่านั้น
ช่างเป็นกรงขังที่เปราะบางแต่มิอาจขัดขืน
“ดูเหมือนเราควรย้ายขึ้นไปทำงานบนห้องจริงๆนั่นล่ะ ว่ามั้ยมินาคัส”
อีกครั้งที่การหาลูกคู่ของแจนิวาลไม่เป็นผลสำเร็จเมื่อมินาคัสทำเพียงไหวไหล่แล้วกลับมานั่งลงข้างคาดิเนียล ทิ้งให้คู่ทำรายงานของตนยืนแยกเขี้ยวใส่คุณชายสะอาดที่ไม่เคยจะรับมุกอะไรจากเขาสักอย่าง คิดแล้วก็หงุดหงิดจนต้องเดินปึงปังมานั่งลงข้างอาซาเอลที่ยังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ
โดยไม่ขยับปลายนิ้วออกห่างปลายนิ้วใครอีกคน
แจนิวาลกลอกตาหนีบรรยากาศอ่อนหวานจนมาสบเข้ากับตาสวยของคนฝั่งตรงข้าม มินาคัสเลิกคิ้วคล้ายจะถามว่ามองหน้ากันด้วยเหตุใด
หากแต่ริมฝีปากที่เผลอเม้มแน่นก็ต้องคลายออก เพื่อตอบคำถามของอาซาเอลที่ทำลายความเงียบขึ้นมา เช่นเดียวกับสายตาอ่านยากที่ผละจากใบหน้ามินาคัสไปมองอาซาเอลแทน
“พวกนายทำรายงานเรื่องอะไรรึ”
“ผู้รักษาสมดุล”
อาซาเอลเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ หันมองแจนิวาลที่เป็นผู้ตอบคำถาม ก่อนจะหันไปมองมินาคัสที่ยิ้มบางๆรออยู่
“บอกทีว่าใครเลือกหัวข้อนี้”อาซาเอลหรี่ตามองผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้รักษาสมดุลดีที่สุด
“แจนิวาล เขาบอกว่าสนใจเรื่องนี้อยู่”มินาคัสบุ้ยใบ้ไปทางเพียวหนุ่ม
“อืม สนใจอยู่”
เสียงตอบเรียบๆหากแต่มีบางอย่างที่สะกิดให้มินาคัสและอาซาเอลมองหน้ากันอย่างสื่อความ ก่อนจะหันไปมองแจนิวาลที่ก้มหน้าลงอ่านหนังสือที่หยิบมา
แจนิวาลนั้นพูดแทบทุกอย่างที่คิด
แต่เมื่อใดที่เลือกจะเงียบ ก็ช่างอ่านยากกว่าหนังสือเล่มใดในโลก
กลับมาแล้วค่าาาา
100% ซะที ยาวมากอีกเช่นเคย ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะคะ
ตอนแต่งคาดิเนียลเกี่ยวปลายนิ้วอาซาเอลนี่นึกถึงน้องหมาที่บ้านเลยค่ะ
เวลาแมวเรียกร้องความสนใจจะปีนขึ้นมานอนบนตัก แบบต้องสนใจนางตอนนั้นเลย
แต่เวลาหมาเรียกร้องความสนใจ เขาจะแค่มานอนข้างๆ ให้มีสักอวัยวะแตะเจ้าของก็ยังดี
อาซาเอลกับคาดิเนียลคือคุณองคุณแดนที่เรามองผ่านฟิลเตอร์น้องแมวน้องหมาที่บ้านอ่ะ 55555
ปล. ลงอิมเมจของฝูงหมาป่าให้ครบแล้วค่า ทายถูกกันทุกคนมั้ยเอ่ย?
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แบบว่านะ เรากรี๊ดแก๊งฝูงหมาป่ามากค่ะ มันเป็นดีต่อใจ ถ้าไม่ว่าอะไรขอจองฮาบัส อูจีส กับซากานได้ไหมคะ แงงงงง เป็นชอบเป็นแพ้ ผู้ชายในฝันชัดๆ ดูแบดบอยพอตัวเลยพ่อหนุ่มพวกนี้ นายคาดิเนียลก็ให้เป็นของเจ้าแมวไป ที่เหลือเราขอเองค่ะ55555 เอาล่ะ นี่ว่าที่แจนิวาลบอกว่าสนใจเรื่องผู้นักษาสมดุลอยู่น่าจะมีนัยแฝงอยู่รึเปล่า แบบว่ากำลังสนใจตัวมินาคัสที่เป็นผู้รักษาสมดุลอยู่ด้วยอะไรงี้ มันต้องมีอะไรซักอย่างแหละที่ทำให้เอะใจขึ้นมาแล้วเริ่มจับสังเกตุเพื่อนสนิทตัวเอง
มินาคัสแบบละมุนมากกก เป็นหอกข้างแคร่ที่ควรระแวงจริงๆนั่นแหละเนอะคาดิเนียลเนอะ อดีตของอาซาเอลน้อยจะเป็นยังไงหนอ น้องถึงขนาดลืมไป ส่วนแจนิวาลนี้จะใช่อย่างที่คิดไหมน๊าาา ที่ว่าสนใจผู้รักษาสมดุลเนี่ย.. จริงรึป่าววว
ฮืออออ.. บ้าไปแล้วอ่ะ อ่านไปก็ยิ้มไป
ที้งอาซาเอลแล้วก็มินาคัสต่างคนต่างพิเศษกันทั้งคู่สินะรู้แล้วว่าอาซาเอลเป็นทรานส์ที่มีความสามารถในการใช้เวทย์จากภาชนะที่สอง แต่ร่างที่แท้จริงของเจ้าแมวนั้นคืออะไรอ่ะ แล้วคาดิเนียลเกี่ยสข้องกับอาซาเอลยังไงกันแน่ มินาคัสดูเหมือนจะรู้อะไรที่เราไม่รู้เยอะเลยง่ะแง้ๆ สงสัยๆ
ฉากเกี่ยวมือนี่โคตรเขินเลยค่ะ ละมุนละไม งื้อออออ