คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ~ แหวน - - - - เรื่องในใจ ~
ตื่นเช้าขึ้นในอาทิตย์ใหม่ ซึ่งวันนี้น้องชายสุดที่รักทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน และเฝ้าบ้านไปในตัวด้วย ส่วนเราก็แจ้นมาเข้าห้องทดลองของวิชาเคมี อาจารย์ก็สอนไปดี แต่นักเรียนนี่สิวุ่นวายกับการผสมสารและจดสูตรเคมีการอย่างเมามัน เราไม่อวดหรอกนะว่าเราทำได้ดีแค่ไหน แต่อยากให้รู้เป็นทุนเอาไว้ว่าชีวิตเรารอดเพราะเป็นการทำงานกลุ่มนี่แหละ พี่ทิกับป๋ากุ่มน่ะเป็นเซียนฝ่ายเคมีก็ชอบคิดค้น และหาสูตรกับทฤษฏีเพิ่มเติม ส่วนเราเป็นศิษย์เอกของพวกปรสิต หน้าที่ของเราก็แค่จับสารนั้นสารนี้ผสมกันให้วุ่น แต่คนสังเกตและสรุปเห็นจะเป็นแต่นายอิงค์นั่นแหละ มะหมี่หลงใหลกับการทดลองมากกว่านั่งเรียนหลับๆ ตื่นๆ ในห้องเรียนด้วยนะ อิอิ และพอดีกับยัยอ๋มเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่ช่วยงานอิงค์อย่างเต็มที่ (เห็นม๊ะว่าทำงานกันเป็นกระบวนการอย่างรู้หน้าที่อย่างดี) หลังจากที่เสร็จสิ้นชั่วโมงการทดลอง การสรุปผลและนำเสนอการทดลองในชั้นเรียนแล้ว ก๊วนซ่าเดิม (ที่มีหญิงสาวสวยนางเดียวในวง) ก็พากันไปปักหลักที่โรงอาหาร มีไอ้รบ คุณชาย พี่ทิ ป๋ากุ่ม นายอิงค์ (ยังอุตส่าห์ติดสอยห้อยตามมากะเขาด้วยนะ) ตอนที่นั่งกินและกัดกันอยู่ดีๆ ก็มีบุคคลหน้าแปลกเข้ามาในวงตั้ง 3 คน
“หวัดดีครับ หมี่” ผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาที่เราพอจะเดาได้ว่าคุ้นๆ ทักขึ้น
“มาเรียนด้วยเหรอครับ วันนี้” อันนี้เป็นเสียงของผู้ชายอีกคนหนึ่งคล้ายๆ ว่าไม่ค่อยมีแววฉลาดสักเท่าไหร่อีกคนหนึ่งค่ะ
“...” ส่วนคนนี้มองหน้าอย่างเดียวค่ะ เหมือนกับเป็นสารเคมีที่ช้าต่อการทำปฏิกิริยา แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ที่มะหมี่จำได้ทันทีว่าเป็นนายกฤชที่อยู่ในวันนัดบอดนั้นด้วย
“อ้าว เฮ้ย ...หวัดดีๆๆ วันนี้มีเรียนกันเหรอ?” สาวนางเดียวเอะอะโวยวายกับคนร่วมวงที่มาใหม่ส่วนไอ้พวกที่นั่งอยู่ก่อนก็มองมายังเรากับคำถามร้อยประการ
“เปล่าครับ พวกเรามาส่งรายงานอาจารย์น่ะ เลยแวะมากินข้าวแถวๆ นี้ หมี่สบายดีมั้ย?” คนแรกที่ทักเราก่อนยังคงเป็นคนนำบทสนทนา
“ฮะ สบายดีค่ะ พวกนายล่ะ”
“สบายดีครับ ไว้ว่างๆ จะโทรมาหาได้ไหมครับ” พูดมาอย่างนี้ มะหมี่เริ่มรู้แกวว่ากำลังถูกบอกให้ซื้อขนมจีบของอีตาคนนี้แล้วสิ (แต่ที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดก็คือคุณชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา และบรรดาฝูงเพื่อนที่เตรียมพร้อมจะหลุดคำว่า “อย่างไอ้หมี่ก็มีคนจีบโว้ย” นี่แหละ)
“อ่ะค่ะ แต่เราไม่รู้นะว่าจะว่างรับสายตอนไหนมั่ง” ไม่มีคำพูดไหนที่จะตอบแทนให้ดีกว่านี้แล้วสิ
“เฮ้ย ไปเหอะว่ะ” เหมือนกับฟ้ามาโปรดให้เราไม่ต้องอยู่ในสภาวะอึดอัด และที่ทำให้เราแสนเคืองคือทำไมต้องเป็นนายงั่งกฤชนั้นด้วย นี่ก็เท่ากับว่าเราติดหนี้โดยไม่ได้ตั้งใจนายคนนี้กลายๆ อ่ะดิ
“ผมไปก่อนนะครับ แล้วจะโทรหานะคะ” ขนแขนเราพร้อมใจกันลุกขึ้นเป็นแนวเดียวกันเลยนิ ไม่เคยได้ยินประโยคที่เราจะเป็นเจ้าของเหมือนอย่างนี้มาก่อน เสียวค่ะ
“บาย” เราพูดออกไปโดยเร็วแบบไม่ต้องคิดเลย
“บายครับ แล้วเจอกัน” ผู้ชายทั้งสองคนพูดพร้อมกัน นายกฤชก็เป็นคนเงียบเหมือนเดิมแค่ชำเลืองมายังเราด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็เดินนำเพื่อนของตัวเองทั้งสองคนออกไป
ในเวลานั้นเองที่ทั้งกลุ่มก็เงียบสงบ . . . . (แง๊ ไอ้เจ้าพวกนี้มันกำลังรอเวลาที่จะลงมือเชือดเราอ่ะดิ) มีแค่เสียงช้อนกระทบกับจานข้าว และเพื่อนต่างคนก็กินกันแบบเงียบๆ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเราเลยสักคนเดียว ยกเว้นนายอิงค์ที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างกวนบาทา ส่วนเราก็ทำได้แค่ทะลึ่งตาใส่
“เฮ้ย อย่าเงียบแบบนี้ดิ รู้สึกว่ามันผิดปกตินะ” คนที่ใจร้อนทนไม่ไหวคงไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากเราเองค่ะ
“เอ่อ พวกนาย ..... มัยเงียบกันจังเลย ข้าวที่นายกินกันไปทำให้ปากชาขนาดพูดก็ไม่ได้เหรอ?” ไม่ตรงก็ต้องใช้มุกตื้นๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าไม่คิดจะพูดกันแหละ
“....” เงียบ เงียบ เงียบ จนเราจะเริ่มปิ๊ดใส่ไอ้พวกบ้านี่แล้วนะ
“พี่ทิ ป๋ากุ่ม ไอ้รบ นายชาย เป็นไรกันวะ?”
“ให้เวลาคนอื่นบ้างสิ ยัยลูกหมี คนมันชา คนมันช็อคเพราะไม่คิดว่าอัศจรรย์ในโลกนี้จะมีจริงอ่ะดิ” ปากกวนๆ หกหาวของนายอิงค์ขยับหาเสี้ยนใหญ่
“นี่นาย ไม่ช่วยกันแล้วยังจะถมอีกนะ หุบปากดีๆ ของนายไปเลย ฟังไม่ได้ว่ะ” โวยคืน
“อ่ะค่ะ ... บาย” ไอ้รบเลียนเสียงขึ้นมาอย่างขำๆ หน้าแดงๆ ส่วนพี่ทิเหรอ น่าแหกอกให้ตายคาที่ เพราะเล่นทำเป็นคำพูดบาดใจจะล้มลงไปชักดิ้นชักงอให้ได้
“ว่างๆ ผมโทรหาได้ไหมครับ ผมจะโทรมานะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” รายนี้เป็นป๋ากุ่ม แค่สิ้นเสียงป๋ากุ่มเท่านั้นแหละทั้งวงก็ฮาแตกชนิดไม่อายคนรอบข้าง แต่คนที่หัวเราะเยอะที่สุดเห็นจะเป็นคุณชาย ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบที่ทำให้หัวเราะงอหงายได้ซะขนาดนั้น
“เฮ้ยๆๆ พอได้หละ จะเลียนเสียงกันอีกนานป่ะ?” คนที่ถูกแซวกำลังหน้าแดงเพราะโกรธหละ
“แกชอบไอ้พวกนั้นหรือวะ ปกติแกออกจะโวยวายไล่ตะเพิดไปแล้วนี่ไอ้หมี่” รบเจียระไนความห่ามของเราอีกหละ
“บ้าดิ ใครจะไปชอบได้วะ รู้จักชื่อทั้งหมดก็ไม่ พวกนั้นเป็นเพื่อนของน้องชายเราหรอกน่ะ ถึงไม่กล้าเบ่งใส่” จริงๆ แล้วเราเกร็งกับคนที่ชื่อกฤชมากกว่า ไอ้ความเงียบของนายนั่นและเหมือนมีอะไรในความคิดตลอดนี่แหละ ทำให้เราไม่กล้าโวยวายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่รู้สิ แค่เห็นแววตาเหมือนจะถูกดูถูกว่าไม่ใช่หญิงเต็มร้อยๆ อะไรเทือกนั้นก็รู้สึกเจ็บใจ ยิ่งมีคนดูถูกเรา เราก็ยิ่งอยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเป็นหญิงเต็มร้อยโว้ย
“เอ้าเหรอ นู๋หมี่มีน้องชายวัยนี้เหรอ?” นี่คือไอ้พวกล้าหลังที่ได้ยินแค่ชื่ออึนจูน้องชายเรา แต่ไม่เคยจำหรือไม่รู้กันเองว่าเรามีน้องฝาแฝดด้วย
“ใช่ ลูกหมีมีน้องชายฝาแฝด ชื่ออึนจู” คราวนี้เรียกสายตาทุกคู่ให้จ้องอยู่ที่นายอิงค์ได้
“เฮ้ย มัยไอ้อิงค์รู้วะ” ป๋ากุ่มคนที่ชอบทำตัวเป็นคนรู้ดีทุกอย่างเคืองขึ้นมาหน่อยๆ ที่ตัวเองพลาดข่าวสำคัญ
“ก็เราไป ....อุบ” อย่าสงสัยไปไกล เราถีบนายอิงค์ด้วยพลังหญิงเหล็กให้ออกจากการเผากันซึ่งๆหน้า
“นายอิงค์กับน้องชายเราเจอกันเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา” เราขอเป็นคนขยายความเองโว้ย ไม่อยากสาวความให้พวกมันรู้ว่าเราไปงานนัดบอดมาไม่อย่างนั้นแล้วเราจะถูกแซวไม่รู้จบว่าหาแฟนไม่ได้จนต้องไปงานนัดบอด ที่สำคัญคุณชายก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน (อันนี้พลาดไม่ได้ค่ะ ต้องระวังเป็นที่หนึ่ง)
“ลูกหมี เธอรุนแรงไปแล้วนะ” เสียงคาดโทษจากนายคนที่ล้มกลิ้งไปเอ้งเม้งอยู่บนพื้น โวยวายที่ชุดนักศึกษาเปื้อนฝุ่น ส่วนเราก็ได้แต่กางลิ้นแผล็บๆ สมน้ำหน้าใส่ ด้วยความทะเล้นพร้อมเอามือฉีกริมปากแล้วแลบลิ้นใส่นายอิงค์ คุณชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เห็นแหวนหายนะที่สวมอยู่บนนิ้วของเรา
“มะหมี่ใส่แหวนด้วยเหรอ” ปฏิกิริยาไวฉับพลัน เราลดเอามือลงจากสายตาของคนอื่นๆ ทันที
“เอ่อ ใช่ ... เราใส่แหวน ไม่เห็นแปลกนี่”
“ไหน เฮ้ย ใส่ไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายโว้ยพวกเรา” ไอ้รบแตะอั๋งเรา มันดึงมือเราไปดูเฉยเลย แต่ที่ทำให้เราอยากระเบิดหัวมันทิ้งคงจะเป็นไอ้คำวิจารณ์ของมันนี่แหละ
“เหมือนเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ไหนเลยว่ะ” ป๋ากุ่มอรัมภบท
“เฮ้ย ไม่ต้องมั่วกันไปไกลหรอก เราเจอแหวนวงนี้ พอใส่เล่นมันก็ดันถอดไม่ออก เลยใส่มันไว้อย่างนี้แหละ” กลายมาเป็นบทสารภาพต่อหน้าสาธารณชน และเราเองบังคับสายตาของเราเองให้ออกจากหน้าของคุณชายไม่ได้ เพราะไม่อยากให้ความฝันนั้นเป็นความจริง เราก็อยากพิสูจน์ว่านายนี่จะเชื่อกับคำพูดของเราหรือเปล่า
“ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย ใครๆ ก็ใส่แหวนนิ้วนางข้างซ้ายกันได้ทั้งนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องมีคนพิเศษนี่” อิงค์ต่อชะตาให้ แม้คำพูดของเขาจะเป็นสิ่งที่สะท้อนความรู้สึกบางส่วนที่เกิดขึ้นนานมาแล้วก็ตาม
“เอ่อ ว่ะ ข้อนิ้วไอ้หมี่มันใหญ่ไปเลยดันแหวนออกมาไม่ได้ ฮ่าๆๆ ยายนี่ได้ชื่อว่าซุ่มซ่ามจริงๆ ด้วยว่ะ” ไอ้รบไม่คิดอะไรเยอะ (ตามปริมาณรอยหยักในสมองที่มันมีอยู่) ส่วนคนตรงหน้าก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรให้เห็น เราก็เลยแอบโล่งใจ แม้ว่าไม่ได้หลงรักเทิดทูนนายคนนี้จนมากมาย แต่ในความเป็นตัวเราลึกๆ ก็แคร์นายนี้ไม่น้อยเลย
“เข้าเรียนกันเหอะว่ะ น้องหมี่หน้าเหลือแค่ไม่กี่นิ้ว พวกนายก็รุมกันอยู่ได้” พี่ทิที่น่ารักก็ยังคงปกป้องเหมือนพี่ชายตามเคย ดังนั้นพวกเราเลยเก็บจานชาม และแก้วน้ำไปเก็บไว้ตรงส่วนเก็บภาชนะแล้วพากันเดินออกไป
“หมายความว่าไง แหวนวงนั้นเป็นของนายไม่ใช่เหรอ?”
“นายรู้ได้ยังไง อาจจะมีวงที่เหมือนกันก็ได้นี่หน่า”
“แต่ลายสลักบนแหวนเป็นรอยสักเดียวกันที่ข้อเท้าของนาย อีกอย่างแหวนวงนั้นนายเคยใส่เป็นจี้ห้อยคอมานาน ตอนนี้ไปอยู่ไหนซะล่ะ ไม่น่าสงสัยไปหน่อยเหรอที่อยู่ๆ แหวนกลับมาอยู่ที่มะหมี่ แถมนายยังรู้เรื่องของยายนี่ดีกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่ม ทำตัวมีความลับกันอีกต่างหาก” คนพูดตั้งข้อสังเกตได้ดีสมกับที่เรียนในคณะวิทยาศาสตร์ สายตาก็ไม่หลุดจากการจับจ้องมองหน้าอิงค์อย่างค้นคว้า
“หึงอะไรหรือเปล่า? ผมไม่มีอะไรกับยายลูกหมีนั่นแน่นอน และมันก็ขึ้นอยู่กับนายว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม” จบคำอิงค์ก็เดินแยกออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไร ส่วนเรา (ยัยมะหมี่แสนซ่า) เป็นตัวหลักที่ถูกพูดถึงกลับไม่รู้ได้เลยถึงสิ่งที่คนสองคนนี้คุยกัน
“อิงค์หายไปไหนซะล่ะ เราต้องมีคู่แสดงละครด้วยสิ” มะหมี่บ่นเป็นลูกหมีกินรังผึ้งหึ่งๆ
“โทรตามดูดิ” ไอ้รบเสนอ
“ปิดมือถือว่ะ” พี่ทิบอก
“หมี่บอกอาจารย์ไปสิ นู๋ไม่มีคู่หรอกค่ะชีวิตนี้ ฮ่าๆๆ” คำพูดให้สยดสยองอย่างนี้มีแค่ป๋ากุ่มเท่านั้นแหละ
“ไม่ได้เชียวน๊า เราต้องเอาคะแนนนี่ เสียเวลาชะมัดเลย อีตาคนนี้นี่นะ สามวันดีสี่วันไข้จริงๆ”
“สลับคู่กับเราก็ได้นะหมี่ กว่าถึงรอบไอ้ชายมันก็พรุ่งนี้อ่ะ” ไอ้รบเสนอ
“ไม่ได้ซ้อมอ่ะดิ แถมให้มองหน้านายเราก็สมองตันพอดี” แค่อยากล้อเล่นแกล้งนายรบให้น้อยใจเล่นแค่นั้นเอง
“เออว่ะ . . . . . เราไม่ใช่เจ้าชายที่หล่อเอาการเหมือนไอ้อิงค์ แต่คารมเราเหลือร้ายนะจ๊ะ น้องหมี่จ๋า” มันก็ใช่ว่าจะรู้ตัวที่ถูกแขวะซึ่งๆ หน้าแบบนั้น แถมยังเถมากอดเราอีก จึงโดนกระบวนท่าการถีบความทะลึ่งของมันให้กระจัดกระจาย
“ก็คารมคุณเธอไงคะ ทำให้เราโง่ไปในบัดนั้นน่ะ นายทึ่ม!” สงครามน้ำลายระหว่างเพื่อนขาเดียวกันดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าจะหาทางออกได้จนแล้วจนรอดก็ต้องรอ ส่วนเราหรือด่านายนั่นไว้เป็นกองภูเขาบังอาจทำให้เราเป็นคนที่ต้องรอเก้อแถมมีหมายเลขศูนย์ติดหน้าผากเพราะงานยังไม่สำเร็จ
“นายอิงค์นะ เราจะจัดการนายให้ได้เลยคอยดู เละชนิดปลาป่นเรียกปู่เลยนะคอยดู” (โมโหจนท่องประโยคนี้ขึ้นใจแทนบทในภาษาปะกิตที่ต้องแสดงซะอีก ฮ่าๆๆๆ) ตกเย็นต่างคนต่างแยกย้ายไป ส่วนในความคิดของเรารู้สึกว่าชายแปลกไป (ไม่รู้ว่ากังวลมากเกินไปหรือเปล่า) ทั้งที่ปกติความเถื่อนของตาชายจะออกมาเพ่นพ่านให้ไอ้รบได้ออกแรง แต่วันนี้กลับกลายเป็นมะหมี่ขึ้นสังเวียนเพื่อสังหารความปากมากของนายรบซะแทน แถมยังไม่สิ้นคาบสุดท้ายสักเท่าไหร่ คุณชายก็ออกจากห้องเรียนไปเฉยเลย
ในวันนั้นเราก็กลับบ้านด้วยความขุ่นๆ มัวๆ ในใจ ยังดีหน่อยที่ไม่มีการเครื่องจับตรวจอารมณ์โกรธขณะขับรถ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเราคงจะถูกปรับจนหมดตัวแน่เลย (ค่าที่วัดอารมณ์ปิ๊ดของเรามีเยอะเกินพิกัดน่ะสิ) แต่เราก็ดับอารมณ์เย็นได้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและไอครีมเต็มถ้วยจากน้องชายของเรา เฮ้อ ชีวิตวันนี้มีความสุขตบท้ายก็พอแล้ว โดยที่เราไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกในวันหน้า
“ฮัลโหล หวัดดีครับ” เสียงปลายสายแว่วมาไอ้ตอนที่นางหมี่หลับใหลเป็นเจ้าหญิงไปแล้วด้วยซ้ำ
“ดีค่ะ ใครเหรอ?” ถามไปทั้งสะลึมสะลือ
“อิงค์”
“หา ... นายนี่นะโทรหาเรา ไงหายหัวไปไหนมาทั้งบ่ายนายทำเราซวยไปด้วย” ความง่วงงุนหายไปในทันที
“มีธุระ โทษทีไม่ได้บอกเธอก่อน แต่เธอก็ไม่เห็นต้องรอเรานี่ยัยลูกหมีหน้าโง่” น่าน .. หลอกด่ากันงี้เลยเหรอ
“เออ เรามันโง่เองแหละที่ได้นายมาเป็นคู่ทำงานด้วยการนี่ งั้นจะโทรมาด่าเราแค่นี้ใช่ป่ะจะได้วางสาย” ต่อมหาเรื่องคนให้หัวระเบิดเริ่มเข้าที่เข้าทางหละ
“เปล่า ลูกหมีใจเย็นหน่อยดิ เรามีเรื่องอยากถามก็เท่านั้นเอง”
“แต่เราไม่มีอารมณ์จะตอบว่ะ” ตั้งใจแค่จะแกล้งเล่นหรอกนะ
“แน่ใจเหรอ? ถ้าไม่อยากคุยเราก็ไม่ถามหละ ไปนะ” ไม่ใช่แค่คำพูดนะมาทั้งการกระทำเลย มะหมี่นั่งงงอยู่บนที่นอนพร้อมๆ กับเสียงสายตัดไป
“อะไรของมันวะเนี่ย” ด้วยความที่เรารักเพื่อนและอยากรู้ในสิ่งที่เพื่อนจะถามเลยทำให้ต่อมสมองส่วนที่โง่ที่สุดของเรากดเรียกสายที่เพิ่งวางไปทันที
“เฮ้ย ถามมาดิ ที่นายยากถามน่ะ” อย่าไปใช้มารยาทกับใครเขาแบบนี้นะคะ ยกเว้นแค่กับอีตานี้คนเดียวที่มะหมี่เห็นว่าสมควรทำ
“ยกโทษให้เรายัง?” แล้วปลายสายก็เงียบไป ยิ่งทำให้ไอ้หมี่นิ่งเงียบแบบงงๆ ไปพักหนึ่งเหมือนกัน
“ว่าไง ยกโทษได้เราได้ป่ะ?” คนถามเริ่มจะหงุดหงิดแล้วสิ
“เออดิ ไม่ยกโทษให้นายแล้วเราจะโทรกลับมาทำไมวะ แค่นี้เร๊อะที่นายอยากถามเรา” ปากก็ว่าอิงค์ไป แต่จริงๆ แล้วเรากำลังยิ้มและขำที่มันทำตัวน่ารักกับเรานี่แหละ
“เปล่า ยังมีอีกเรื่อง แค่อยากให้แน่ใจว่าเธอไม่อคติกับเรา”
“เรื่องไรล่ะคะ อย่าให้รอนานดิ ไม่ตื่นเต้น” ประสาคนปากเสีย
“ลูกหมีชอบไอ้ชายมันเหรอ?” คำถามนี้ช็อคไปนานเลย
“ไปเอามาจากไหน?” ขอเช็คแหล่งที่มาและที่ไปก่อนนะ
“เราสังเกตเห็น แค่เมื่อตอนกลางวันเรื่องแหวนเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ที่ไอ้ชายมันทักและรู้เรื่องแหวนน่ะ”
“เหรอ? คนอื่นจะรู้ป่ะ?” วัวสันหลังหวะจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ
“ไม่มั๊ง เธอชอบมันจริงๆ เหรอ?”
“ใช่ ก็ไม่เชิงขนาดนั้นหรอก แต่เราก็แคร์เค้ามากจริงๆ น่ะแหละ”
“เฮ้อ ...” เสียงถอนหายใจอย่างหนักใจของปลายสาย
“ทำไมเหรอ? มันแย่เหรอที่เราไปชอบเค้าน่ะ ช้านก็เป็นผู้หญิงนะเว้ย”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น เราจะไม่บอกอะไรจนกว่าตัวเธอจะค้นพบเอง แต่เราอยากเตือนเธอให้รักษาหัวใจตัวเองดีๆ ระวังไอ้ชายมันหน่อยนะ เขาอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เธอเห็นตอนนี้ก็ได้ คำว่าเพื่อนคงจะดีที่สุดสำหรับเธอกับชายมัน”
“นายรู้จักเค้าดีแค่ไหนกัน?” ถามเพราะไม่อยากเชื่ออะไรง่ายๆ
“ดีสิ มากด้วย เราเป็นเพื่อนกับชายมาตั้งแต่ตอนม.ปลายแล้ว จำรดากับนิลได้ไหม นั่นก็เป็นเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันกับเรา พวกนั้นก็รู้จักชายเหมือนกัน” ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย
“ทำไมนายมาเตือนเราล่ะ”
“เพื่อนกันไง เราเคยมีอดีตของเพื่อนเราที่เจ็บปวด เราไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ แต่เธอเป็นคนเลือกเราบอกไว้ก็เท่านั้น”
“ถ้าเราจะถามนายกลับบ้างจะได้ไหม?” เริ่มคุยกันเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย
“อะไร?”
“นายมีอดีตอะไรกับพี่ศิ คนที่เราเจอกันในมหาลัยน่ะ”
“พี่ศิเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของเรา เราชอบพี่ศิช่วงที่พี่ศิทำงานกับพี่อิฐ แหวนวงที่เธอใส่อยู่ก็เป็นแหวนที่เราตั้งใจจะให้กับพี่ศิ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด ...... ... ... .. พี่ศิกลายมาเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของเราไปแล้ว”
“เหรอ เราเสียใจด้วยนะอิงค์ เราไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องลึกซึ้งระหว่างนาย พี่ศิกับแหวนวงนี้ เราขอโทษนะ”
“ช่างเถอะ แหวนวงนั้นเธอถอดมันออกมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราให้เธอ ถึงไงเราก็ไม่อยากเก็บมันไว้หรอก”
“ขอบใจนะ ว่าแต่ว่าพรุ่งนี้นายจะไปเรียนหรือเปล่า?”
“ฮ่าๆๆ ก็ไปสิยายบ้า บอกแล้วว่าเรามีธุระ เราถึงโดดเรียนน่ะวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นเจ้าชายให้ยัยลูกหมีโหดแน่นอน” พ้นโหมดของการเป็นเพื่อนที่ห่วงใยกันก็กลับมาสู่โหมดของความป่วนไม่รู้จบหละ
“ว่าแต่ว่าเธอน่ะ โหดชะมัด เราเกือบเดินไม่ได้แน่ะ” ปลายสายยังหาเรื่องให้เราอาละวาดอยู่ซะอย่างนั้น
“ได้พรุ่งนี้จะช่วยนวดให้นะ อีกข้างหนึ่งไงยังไม่เป๋ก็จะให้เป๋นะ จะได้เสมอกันเนาะ” เสียงเหี้ยมไล่ตามสัญญาณโทรศัพท์
“ฮ่าๆๆ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะยัยหมีน้อย หลับฝันดีครับ”
“ย่ะ นายเหมือนกันนั่นแหละ” ในที่สุดสายก็ตัดไป ยายหมี่ก็ยิ้มกว้าง อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่ได้คุย เหมือนว่าเราต่างจะเปิดใจมากขึ้นในความเป็นเพื่อน (มีมิตรก็ดีกว่ามีศัตรูไม่ใช่เหรอ?) แต่ย้อนกลับมาคิดถึงคำเตือนของอิงค์ก็พาลทำให้สับสนพอควร ไม่รู้มาก่อนว่ามีเรื่องอะไรในอดีตเกิดขึ้นกับคนทั้งสองคน แต่ก็นะไม่มีอะไรที่เราจะคิดจนไม่นอนหรอก ... การนอนสำคัญสุดกับเราแล้วในเวลานี้
ความคิดเห็น