คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เจ้าแม่ประจำวงเว้ย
หวัดดีค่ะ อยากแนะนำให้รู้จักกับใครคนหนึ่งก่อนที่จะเริ่มเรื่องนะคะ ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นเลย ตัวเรานี่เองแหละ หะๆๆ. . . เราชื่อมะหมี่ พ่วงด้วยน้องชายแฝดสุดที่รักของเรา อึนจู แฮะๆ เราเป็นพี่นายนี่เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง ทฤษฏีที่เล่ากันมานานกว่าตำนานว่ากันว่า แฝดมักมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว เราก็เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลยและแถมให้ด้วยความต่างเพศของเราทั้งคู่ยิ่งทำให้ดับเบิ้ลแตกต่าง แต่รู้มั้ยคะว่า เราทั้งคู่รักกันมากๆ ขาดกันไม่ได้หรอกค่ะ เอาเป็นว่าเล่าความแตกต่างของเราทั้งคู่ให้ฟังกันก่อนหละกัน อึนจู (ไปก๊อปชื่อดาราในหนังมาเพราะแม่คลั่งจัด) เป็นผู้ชายอายุ 19 ที่เรียนเก่งด้วยความขยันอย่างจริงจัง ในสายตาของเรา เราคิดว่าน้องเราเป็นอัจฉริยะนะ เขามั่นคงในเรื่องอารมณ์และเข้มแข็งยิ่งกว่าพี่สาวเค้าซะอีก บอกตรงๆ เราภาคภูมิในตัวน้องชายเรามากๆ แต่เสียอยู่หน่อยเดียว ทำไมมีแต่หญิงเปรี้ยวจี๊ดจัดจ้านมาหลงใหลน้องชายของเราน่ะดิ แม้ว่าน้องเราเค้าจะไม่เล่นด้วย (แต่ก็ยังเป็นมิตรที่ดีให้กะคนอื่นไปซะอย่างนั้น) แต่พี่สาวอย่างเราไม่ชอบผู้หญิงประเภทนั้นเอาซะเลย ทำไมน่ะเหรอ ก็มาดูตัวเราดิ ทั้งดุ ทั้งห้าว ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ถนัดหาเรื่องคนอื่นๆ ไอ้เรื่องการเรียนก็อยู่ในระดับดี (มีน้องอัจฉริยะไง ช่วยกันทำมาหากิน ไม่งั้นพี่สาวเสียหน้าแย่) อ้อ . . . ที่เจ็บใจสุดๆ ก็คือไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงกะเค้าซะเท่าไหร่ (เข้ากับผู้ชายมันง่ายกว่านั้นอ่ะดิ) แล้วที่ถูกล้อ ถูกแซวบ่อยสุด ก็ความไม่เข้าขากันระหว่างหน้าตาที่ออกแนวหวาน (กำหนดไม่ได้อ่ะ อึนจูก็หน้าหวานพอๆ กันแหละกับพี่สาวมันน่ะ) กับกิริยามารยาทแบบเกิร์ลฟรี (ปราศจากความเป็นผู้หญิง - - - - - - ผู้เขียนแปลเอง)
เมื่อสี่เดือนที่แล้วมีเพื่อนใหม่ย้ายเข้ามาในมหาวิทยาลัยเรา นายคนนี้ก็นิสัยเหี้ยมพอใช้ แต่รู้ม๊ะที่เราหมั่นไส้นายนี่มากสุดๆ คงจะเป็นหน้าตารู้ทันชาวบ้าน แม้จะออกแนวหล่อแต่ไม่มีสัมมาคารวะกับรุ่นเก๋าถิ่นอย่างพวกเรา เพราะงี้แหละ เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันซะเท่าไหร่ เรื่องมันจะไม่เร้าใจนะ ถ้าไม่บอกให้รู้ว่าเราต้องเจอหน้านายนี่บ่อยสุด ไม่ว่ากลุ่มไหน ทำอะไร นายอิงค์นี่แหละทำให้ชีวิตเรามีรสชาติในบางวัน แต่บางวันก็เหมือนจะสำเร็จโทษมันซะให้เข็ด โทษฐานที่กวนประสาทไม่รู้จบ นอกจากนั้นเราก็มีเพื่อนชายๆ ขึ้นชื่ออย่าง ไอ้รบ พี่ทิ กุ่ม และคุณชาย (คนนี้น่ะเราปลื้มเล็กๆ กะเรื่องหน้าตา ความสูง นิสัยป่าเถื่อนหน่อยๆ แต่เป็นคนที่เข้าใจเราที่สุด)
“อิงค์ นี่แหวนอะไรของนาย?” เสียงเราเองแหละ ก็เราเห็นแหวนเรือนทองคำขาวมีเม็ดทับทิมสีฟ้าสวยมากๆ
“แหวนที่เราจะมอบให้กับเจ้าหญิงเราน่ะสิ .....” หน้าแดงๆ สัญลักษณ์ความเขินบนหน้านายนี่ก็ดูดีว่ะ จะเสียก็ตรงที่ว่าเรากำลังหัวเราะอ้าปากค้างเลย
“พล่ามบ้าอะไรของนาย ทำตัวเป็นเจ้าชายเล่นหนังสมัยรุ่นทวดไปได้ อยากแต่งงานจัดเลยรึไง ปีหนึ่งเองนะเนี่ย ฮ่าๆๆ”
“ลูกหมี เธอดูถูกเรา เราขอให้เธอเป็นยายทอมน่าเกลียดไม่มีแฟน จนกว่าเราจะถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วของเธอให้” หน้าตานายอิงค์เปลี่ยนเป็นเหมือนพ่อมดร้ายที่เราเคยเห็นการ์ตูนในทีวี ไม่ใช่แค่นั้นนะ แหวนที่เห็นว่าสวยงามทีแรกก็กลายเป็นแหวนเงินธรรมดาที่มีสลักสีดำคล้ายรอยสักที่ข้อเท้านายนั่น แต่ที่ให้แย่มันสวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเรา พยายามถอดมันออกเท่าไรก็ไม่ออก หนำซ้ำมันปวดแสบปวดร้อนไปซะหมด
อ๊ะ ใครยืนอยู่ตรงนั้น เฮ้ย นั่นมันคุณชายนี่ “ชาย ชาย นายช่วยเราหน่อย ถอดแหวนวงนี้ให้หน่อยสิ”
“มะหมี่ เธอมีเจ้าของแล้วนี่ เราเสียใจจริงๆ เราชอบเธอมากนะ ทำไมเธอไม่บอกเรา เมื่อเธอมีคนพิเศษแล้ว เราอยู่ใกล้เธอไม่ได้แล้ว” ชายเดินห่างออกไป เฮ้ยมาดูก่อนดิ แหวนอัปลักษณ์อย่างนี้มันจะมาจากคนที่รักเราได้ไงกัน คุณชายกลับมาก่อนสิ จำได้ว่าเราเป็นคนร้องไห้อย่างหนัก
“อึนจู ช่วยเราหน่อยสิ อึนจูนายอยู่ที่ไหน นายช่วยเราได้ทุกครั้งเลย นายต้องช่วยเรานะ” ที่พึ่งแหล่งสุดท้ายของเรา
“หมี่ อึนจูช่วยหมี่ไม่ได้หรอก หมี่ต้องแต่งงานกับพ่อมดอิงค์ถึงจะลบคำสาปได้”
“ไม่นะ เราเกลียดมัน เราเกลียดมัน อย่านะ อย่าให้เราต้องแต่งงานกับพ่อมดอิงค์เลย ม่ายยยย . . . . . . .”
“ฮ่าๆๆ ใครบอกว่าเราอยากแต่งงานกับเจ้า . .... .. ลูกหมี เป็นลูกน้องรับใช้เราสิ แล้วเราจะถอดแหวนวงนี้ออกให้ ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ
.” แล้วเสียงหัวเราะแหลมดังกรอกหูทั้งสองข้างของเราไม่รู้จบ
“ม่ายยยยยยยยย ม่ายยยยยเอา ไปให้พ้นไอ้อิงค์บ้า ม่ายยยยยยยยยยยย...”
โครม . . . . . . .เพดานสีฟ้าบางๆ ประกอบกับแสงสีทองอ่อนผ่านผ้าม่านเข้ามาปรากฏให้เห็นแก่ตาทั้งคู่ ขาข้างหนึ่งของมะหมี่แขวนไว้บนเตียงส่วนที่เหลือของร่างกายรวบเอาผ้าห่มหมอนลงมากองอยู่ข้างล่าง ให้ตายเหอะ มะหมี่ฝันเอาเรอะ
“เสียงอะไรน่ะหมี่ ... หมี่ตื่นยัง?” อึนจูอยู่นอกห้องคงจะได้ยินเสียงเลยมาเคาะห้อง
“โอ๊ย เจ็บหัวจี๊ดๆ เลยว่ะ ตกอีท่าไหนวะเนี่ย ... ไม่มีอะไรอึนจู . .. เราเพิ่งตื่นเดี๋ยวจะออกไปกินข้าว” พูดกับตัวเองในขั้นแรก แล้วถึงตะโกนส่งเสียงให้คนอื่นได้ในขั้นที่สอง แสดงว่ายังปกติดีใช่ไหมเนี่ย
“ตื่นสายนะเรา รีบเข้าล่ะ ผมจะต้องรีบเข้าคาบเรียน” เสียงเท้าย่ำหนักๆ ห่างออกไป มะหมี่ลุกขึ้นไปจัดการตัวเองให้พร้อมไปเรียนทันที
“เมื่อคืนพ่อกับแม่โทรมา” คำบอกเล่าจากน้องชายสุดที่รักบนโต๊ะอาหาร
“อ๊ะ พ่ออยู่กับแม่เหรอ แล้วโทรมาไม?” ฮ่ำๆๆ อิอิ ฝีมือน้องนายทำอาหารเช้านี่นะอร่อยไม่เลิก
“โทรมารายงานว่ายังไม่รู้กำหนดกลับ หุ้นส่วนไม่ยอมปล่อยตัวให้มา คุณแม่ก็เลยบินไปเยี่ยม แต่แม่จะแวะมาเยี่ยมพวกเราอยู่นะ”
“โห ก็ดีดิ เราจะได้มีพี่สาวให้ดี๊ใส่ ให้ดีหน่อยแม่พาไปนวดตัว ขัดผิวอีกสิ โห สวรรค์ ...” เชื่อไหมล่ะว่าเราเพ้อไปยกใหญ่ ส่วนน้องชายคนเดียวของเราทำหน้าเหมือนปวดอึซะ คงจะรับไม่ได้สินะที่พี่ไม่หญิงของมันจะทำตัวเป็นสาวกับเขาสักหนนึง
“อ่ะๆๆ ... .. .. กินเสร็จหรือยังนายอึนจู แค่แกล้งทำเป็นผู้หญิงหน่อยก็ทำเป็นรับไม่ได้เชียวนะนายเนี่ย”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เพียงแต่ผมจะรับมือกับหมี่ที่แปลงเป็นสภาพเป็นเจ้ของผมไปอีกคนยังไงต่างหาก”
“ไม่ลองเรียกหมี่ว่าเจ้ ก่อนเหรอ ซ้อมไงจะได้ไม่เขิน ฮ่าๆๆ”
“เจ้ เวลาหัวเราะอ้าปากกว้างแล้วน่าเกลียดที่สุดในโลกเลยรู้ป่ะ” น่านะคะ คำพูดของน้องชายสุดที่รักขณะที่ยืนพิงอ่างล้างจานแถมมีท่ากอดอกที่คิดว่าเท่ห์สุดฤทธิ์ของตัวเองพร้อมกับยิ้มยิงฟันตาหยีน่ารักเหลือร้าย ไอ้เราก็ล้างจานครากๆ มือไม่ว่างหรอกเลยส่งสายตาฉิ่งไปแทน ก่อนจะวิ่งไล่เตะไอ้น้องรักซะรอบห้อง ก่อนที่จะไปเรียนกัน โดยที่เราลืมความฝันต๊องๆ อันนั้นไปสนิทเลย
“เย็นนี้ผมไม่ว่างนะ หมี่แวะไปกินข้าวกับเพื่อนก็ได้ ผมคงกลับดึกหน่อย” กำลังมองๆ ท้องถนนที่คึกครื้นด้วยรถเต็มถนนไปหมด แหมนะค่าน้ำมันขึ้นซะไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ยังมีรถเต็มท้องถนน
“เอ้า .. ออกเดทกะสาวแหง๋ๆ นานๆ ทีนายจะกลับบ้านดึกนะเนี่ย” ได้ทีขอแซวสักหน่อยเถอะน้องรัก
“ว่าไปนั่น เป็นจริงก็ดีสิครับผมขายออกก่อนหมี่ ว่าแต่ตัวเองแหละจะเหงาเอาน๊าถ้าไม่มีผม” ยังมีการเลิกคิ้วส่งเป็นคำท้ามากรายๆ ไอ้น้องแสบ
“อ้อเหรอ??? ลองดูสิ ถ้านายทิ้งให้พี่นายอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวอย่างที่ว่าหละก็ เราจะตามรังควานนายกะหวานใจไม่ให้รู้จบ ฮึ่มๆๆ” ขู่เข้าไปยัยหมี่เอ้ย ถึงวันนั้นก็ไม่รู้จะมีปัญญาไปทำลายความสุขของน้องหรือเปล่า
“ว่าแต่ว่าจะไปไหนล่ะ นายนี่ฉลาดเกินไปแล้วนะ ชอบเปลี่ยนหัวข้ออยู่เรื่อย”
“ผมลงเรียนติวเพิ่มวิชาเอกไว้กับอาจารย์น่ะ วันนี้คงไปติวกันบ้านอาจารย์ แล้วเจอกันครับพี่สาวสุดที่รัก” คุณน้องกอดหลวมๆ ก่อนที่จะลงรถไปตรงหน้าตึกคณะ วันนี้อึนจูให้เอารถไปใช้เพราะตัวเค้าเองจะไปกับเพื่อน
หลังจากที่จอดรถเสร็จเราก็เดินไปยังโต๊ะนั่งใต้ตึกคณะตามปกติที่พวกเราสุมหัวกัน แต่แปลกแฮะวันนี้ยังไม่หัวใครโผล่มาให้สุม มะหมี่มาเช้ากว่าชาวบ้านเค้าค่ะ ว่าไปก็นั่งดูรายงานกลุ่มที่ต้องแก้ไปพลางๆ
“ตุ๊บ” เป้สะพายสีส้มแสบตกลงมากลางโต๊ะ จะมีใครซะได้นอกจากนายเด็กใหม่ล้ำถิ่น
“เฮ้ย .. . .. .. . . ลูกหมี ไมวันนี้มาเร็วจริง” จบคำถามนายนั่นก็นั่งลงข้างๆ แบบไม่ต้องให้คนนั่งอยู่ก่อนเชื้อเชิญ
“แล้วไง จะออกจากบ้านมาเร็วหน่อยไม่ได้รึไง” หน้าตูมๆ ชนิดกินหมีได้ทั้งตัวเริ่มทำงานหละ
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกคร๊าบบบ แปลกใจว่า . . . . .” คำที่เหลือก็กลืนหายไปเพราะสีหน้าอึ้งๆ ของนายอิงค์ เราสงสัยก็เลยมองตามสายตาคู่นั้นกะมันด้วย
“ใครเหรอ?” เราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแหละอยู่ในชุดสุภาพสีชมพู ดูๆ แล้วอายุไม่น่าเกิน 25 หน้าใสน่ารักเชียว
“...” ไม่มีคำตอบจากปากนายอิงค์ ไอ้เราก็ยิ่งข้องใจไปหนัก หันมามองหน้านายนี่อีกทีก็ยังอยู่ในอาการอึ้งเหมือนเดิม
“เฮ้ย ... หน้าอย่างนายนี่รู้จักกับคนสวยแบบนั้นด้วยเหรอ บอกเราให้หายงงหน่อยดิ”
“พี่ศิ. . . .” คำเบาๆ ครางออกมาจากปากนายนั่น เมื่อสาวสวยคนนั้นหันมาสบตาพวกเรา แล้วเธอก็เดินเข้ามาหาใกล้ๆ
“หา ชื่อไรนะ?” ก็มันได้ยินไม่ชัดนี่หว่า เลยถามอีกที
“หวัดดีอิงค์ ไม่เจอกันนานนะจ๊ะ” สาวสวยคนนี้ยิ้มให้อย่างน่ารัก โอ้ย คนกวนโอ๊ยไม่เลือกอย่างนายอิงค์เนี่ยมีคนรู้จักที่น่ารักขนาดนี้เชียวเหรอ
“หวะ.. หวัดดีครับ พี่ศิ” ติดอ่างไปเลยเพื่อนแสบของเรา
“พี่ขอนั่งด้วยแป๊ปนึงได้ไหม” พี่ศิที่นายนั่นเรียกมองมาที่เราด้วย แหมคนอะไรยิ้มสวยชะมัด นายอิงค์ก็ท่าจอด ฮ่าๆๆ คงเขินจัดชนิดที่ว่าพยักหน้ารับอย่างเดียว หง๋อเป็นลูกแมวเชื่องเลยอ่ะ
“ไม่รู้นะเนี่ยว่าอิงค์เรียนที่นี่ มหาวิทยาลัยที่นี่ดีจัง บรรยากาศดีด้วย อ้อ ... ชื่ออะไรคะ?” อืมเป็นกันเองดีด้วยนะเนี่ย (แค่คิดในใจหรอก กำลังเก็บข้อมูลอย่างรวดเร็ว)
“ชื่อมะหมี่ค่ะ เป็นเพื่อนทำรายงานกลุ่มเดียวกับอิงค์” เราต้องแนะนำตัวเองออกไปซะเอง แต่ในเวลานั้นเองเหลือบไปเห็นแหวนวงเดียวกับที่เห็นในความฝัน แต่ที่ต่างออกไปคงจะเป็นเม็ดเพชรขนาดกะทัดรัดแต่มีความงดงามที่ฝังอยู่บนตัวเรือนแหวน
“เรียกพี่ว่าพี่ศิล่ะกัน . . . ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฟันเรียงกันเป็นแถวสวยยิ้มให้อย่างกว้างกับเพื่อนใหม่อย่างเรา
“พี่มาติดต่ออะไรกับทางมหาวิทยาลัยหรือเปล่าคะ?” คนปากมากเลยเปิดฉากคุยไปซะอย่างนั้น เพราะคนรู้จักเค้าอย่างจริงจังกับนั่งหน้าหล่อเงียบไปไม่ยอมพูดจา
“อ๋อ จ๊ะ พี่มากับแฟนพี่จ๊ะ พอดีมีเพื่อนมาติดต่อเรื่องปริญญาเอกที่นี่เลยนัดเจอกัน ตอนนี้แฟนพี่เค้าไปส่งเพื่อนน่ะ พี่เลยแวะมาเดินเล่น อ่ะ ... เสียงโทรศัพท์เข้า คงจะเป็นคุณอิฐพี่ไปก่อนนะจ๊ะ พี่ไปก่อนนะอิงค์ไว้เจอกันจ๊ะ”พี่สาวคนสวยรีบแจ้นออกไปทันที เพื่อนอีกคนของเราก็นั่งปิดปากเงียบด้วยหน้าเครียดๆ
“อ้าววว ... นายอิงค์ใบ้กินไปครึ่งตัวเลยเหรอ เงียบเป็นป่าช้าไปซะ” คนที่ถูกว่าก็ค่อยรู้ตัวขึ้นมาหน่อยนึง แต่สีหน้าก็ยังอึ้งๆ เครียดๆ ยังไงไม่รู้ แถมไม่พูดไม่จาอะไร กระชากกระเป๋าสีส้มแสบเดินจากไป
“เป็นไรของพี่แกวะ .. นายบ้าเอ้ย ทำหน้ายังกะคนอกหัก” นั่นเป็นแค่คำบ่นตามหลังหรอกนะ จากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่ารายงานตรงหน้าต้องส่งตอนเข้าคาบสำคัญยิ่งกว่าอ่ะดิ เพื่อนๆ ทั้งแก๊งก็มาสุมหัวรวมกันจนกระทั่งเกือบสิบโมงนั่นแหละถึงได้เคลื่อนย้ายกันไปห้องเรียนอีกที แต่ตลอดทั้งวันนายอิงค์ก็เงียบ เก็บตัวเองผิดปกติ ถ้าสายตาเราใช้การตามเคยนายนั่นเหม่อๆ อารมณ์ซึมเศร้าเหมือนใจไม่อยู่กะตัวเลย
“เอ่อ คุณชาย เราลืมของไว้ในห้องเลคเชอร์ตะกี้อ่ะ ขอแว๊บไปเอาก่อนได้ป่ะ” ขอแก้ตัวไว้ก่อนเลยนะว่าการลืมเนี่ยไม่ใช่นิสัยประจำของมะหมี่ แค่บางทีเท่านั้นแหละค่ะ แถมวันนี้นะเรามีนัดเดท อิอิอิ .. อำเล่นหรอกน่ะ เราบอกเพื่อนๆ ว่าเราจะอยู่บ้านเหงาคนเดียวคืนนี้เพราะน้องชายติดเรียนติว พวกมันเลยอาสาลากไปกินหมูกะทะกันเป็นเพื่อน แต่ชายจะเป็นคนขับรถพาเราไปแหละ
“ไปเอาสิ เดี๋ยวเจอกันที่รถนะ” สุภาพบุรุษที่ไอ้หมี่ปลาบปลื้มกำลังดึงเอาเป้หนักๆ ด้วยตำราเรียนไปถือไว้ให้ เห้อ .. ให้ได้ปลื้มนิดปลื้มหน่อยจนได้นะนายชาย ว่าแล้วสาวบ๊องอย่างเราก็รีบแจ้นกลับไปเอาบันทึกรายงานในห้องเลค พอไปถึงห้องกำลังจะก้าวเท้าผ่านประตู พลันได้ยินเสียงสิ่งของกระทบกับพื้นอยู่ตรงหน้ารองเท้าของเรา แหวนนี่หว่า เราก็เลยหยิบขึ้นมาดู อ๊ะแหวนเงินลายลักษณะคล้ายๆ ของผู้ชายด้วย แต่ไม่รู้ว่าด้วยความคิดอะไรหรือต้องการพิสูจน์ฝันร้ายที่เห็นเมื่อคืนว่ามันจริงไม่จริงนั่นแหละ เราเลยสวมแหวนวงนี้เข้ากะนิ้วนางข้างซ้ายของเรา ไอ้ทีแรกแหวนมันขนาดเล็กไป ไม่ผ่านข้อนิ้วมือเรา(โล่งสิคะ ... มันก็เป็นฝันบ้าบอเท่านั้นแหละ ไม่เห็นต้องเอามาคิดให้เปลืองหมองเลย) กำลังจะถอดออก แต่ได้ยินเสียง คนตรงหน้า ดูสิกำลังคิดเพลินๆ ทำให้ตกใจเผลอดันแหวนเข้าอย่างแรง น้ำตางี้แทบไหลพรากเลย (เจ็บดิ แหวนมันเล็กไปน่ะ)
“วุ่นวายอะไรแถวนี้ยัยลูกหมี” คนเดียวค่ะที่กล้าเรียกมะหมี่ว่าลูกหมี เพราะมันบอกว่าความอัปลักษณ์นั้นไม่เข้าใครออกใคร ดุๆ อย่างเธอเป็นลูกของหมีร้ายท่าจะเหมาะกว่า
“ลืมของ จะมาเอาของ นายล่ะ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?” แฮะๆๆ มือข้างซ้ายกำลังสะบัดเบาๆ อยู่ข้างหลัง เฮ้อ ซวยได้เรื่องสิเรา
“งั้นไปหละ ..” ง่ายดีแฮะ นายนั่นก็เดินไปเฉย ไม่สนใจจะกวนเราต่อเลยแม้แต่น้อย คล้อยหลังนายนั้นไป สาวหมี่ก็ได้แต่เป่าเบาๆ ที่นิ้วนางข้างซ้ายแหละ ดูดิมันแดงปื้นแล้วแน่ะ ไม่ถลอกก็ดีแค่ไหนแล้วเนี่ย .... พยายามดันแหวนออก เอ๊าท์ ไม่ออกหงะ ... ยิ่งเจ็บนิ้วอยู่ด้วยยิ่งไม่มีแรงไสแหวนอันนี้ออกจากนิ้วที่ไม่เรียวงามของตัวเองเอาซะเลย ตายแล้ว ไอ้หมี่เอ๊ย แหวนใครเค้าเข้าล่ะ
“ว้า ... แย่จริงๆ ช่างเหอะ ปล่อยไว้อย่างนี้ก่อนหละกัน หายเจ็บแล้วจะเอาออก” พูดไม่พูดเปล่า ดันมีประโยคคุ้นๆ ลอยมากระทบหู “ ..เราขอให้เธอเป็นยายทอมน่าเกลียดไม่มีแฟน จนกว่าเราจะถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วของเธอให้....” “เจ้าต้องเป็นทาสรับใช้เรา ...” แหงะ ประโยคเหล่านี้มาจากฝันร้ายเมื่อคืนของเราเองนี่หว่า “เธอมีเจ้าของแล้ว เราชอบเธอไม่ได้” ..... แง๊ว ให้ได้งี้ดิ ถ้าชายเมินมะหมี่เหมือนในความฝันจริงๆ ชีวิตนี้มะหมี่มิต้องตกเป็นนางทาสรับใช้นายอิงค์สุดแสบนั่นไปตลอดชีพเหมือนบัตรทองสุขภาพเหรอ ก่อนหน้าที่จะเจอคุณชายอีกครั้งจะต้องเอาแหวนวงนี้ออกจากนิ้วของเราให้จงได้
“นิ้วไปโดนไรมาวะไอ้มะหมี่” รบจอมสังเกตพูดทันทีที่รวมกลุ่มกันในร้านเรียบร้อย
“เฮ้ย สนใจไรกะแผลเรานิดๆ หน่อยๆ เอง ไม่อยากให้เชื้อเบคทีเรียยุ่งกะแผลเราเลยเปะพลาสเตอร์ไว้” ก็พลาสเตอร์แปะตรงที่มีแหวนอยู่ เพราะไม่อยากให้ใครเห็น อีกอย่างยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแหวนวงนี้ของใคร ไม่มีปัญญาเอาออกจากนิ้วตัวเองแบบนี้ คงถูกกล่าวหากันขโมยหัวดื้อๆ แน่เลย อายค่ะ
“เป็นตั้งแต่ตอนไหน เมื่อตะครู่ยังไม่เห็นเลย” เดาสิประโยคนี้ใครถาม อิอิ .... ไม่ต้องเดานานหรอกค่ะ คุณชาย คนที่ไอ้หมี่กำลังปลื้มเล็กปลื้มน้อยนี่แหละค่ะ
“ตอนกลับไปห้องเลคน่ะ มือพลาดไปโดนขอบโต๊ะ ถลอกเลือดซึมเลยปิดฆ่าเชื้ออ่ะ พอใจยังนี่ให้คำตอบอย่างชัดเจนแล้วนะ”เหมือนกินปูนร้อนท้องทำอะไรผิดไว้งั้นแหละถึงต้องสรุปเรื่องให้แล้วเสร็จ แต่ก็โทษนะ ไม่ตั้งใจจะโกหกเลย ถ้าคุณชายเห็นแหวนนี้เข้า ความฝันเกิดเป็นจริงขึ้นมายัยหมี่ซ่าคนนี้จะทำไง
“ซุ่มซ่าม เฉิ่มให้ได้เรื่องเจ็บต้องยกให้เป็นงานของยายนี่คนเดียวแหละ” พี่ทิผู้อาวุโสสุดในแก๊งขอมีส่วนในบทสนทนาบ้างหละ
“เออน่ะ มากินหรือมากัดเราให้อิ่มกันเนี่ย . . . รู้อย่างนี้เหมามาม่าไปกินแก้เหงาที่บ้านดีกว่ามานั่งเป็นอาหารมื้อโปรดของพวกนาย” ไม้นี้มีแค่เราคนเดียวที่ใช้ได้กับคนพวกนี้ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เราเป็นผู้หญิงไงคะ อิอิ
“อ้าวว ไม่ทันไรก็หน้าเป็นก้นเป็ดไปซะแล้ว จะรีบไปเหมามาม่าก็ดีนะ ขืนเธออยู่ต่อก็กินเรียบวุธน่ะสิ พวกเราขาดทุนการกินกันแย่” ป๋ากุ่มคนที่ใจกว้างสุดฤทธิ์กลับสาดเกลือใส่นู๋มะหมี่อย่างเคืองค่ะ
“นี่ๆๆ ยิ่งเครียดยิ่งกินเยอะนะจะบอกให้ ไม่ให้เราแย่งกินก็รีบหุบปากแล้วกินซะ” เพียงคำแนะนำสุดท้ายเท่านั้นแหละ ไอ้ที่ปิ้งๆ อยู่บนกระทะก็หายเรียบ คุณชายเป็นคนลงมือซะก่อนแล้วตามด้วยพวกแสบๆ ไม่ต้องห่วงมะหมี่หรอกนะคะ ความไวในการกินก็ไม่ได้เป็นความสามารถพิเศษของพวกปากกว้างอย่างเจ้าพวกนี้ มะหมี่สู้ตายอยู่แล้ว
“เฮ้อ . . . ที่นอนที่รัก คิดถึงๆๆ” ตอนนี้เราเตรียมตัวนอนแล้วล่ะ เหนื่อยเพราะไล่ฟัดกับเจ้าพวกเพื่อนแสบๆ กว่าจะลากสังขารที่อิ่มแปล้กลับมาถึงบ้านในภาวะรถติดๆ แถมการบ้านมีเป็นโหล กว่าจะทำเสร็จซะทีก็ปาไปสี่ทุ่ม อยากนอนเต็มแก่ แต่ก็นะสายตาเหลือบไปเห็นแหวนหายนะติดหงึกอยู่ที่นิ้วของเรา
“จะเอาออกยังไงวะเนี่ย . . . ขนาดใช้สบู่แล้วยังไม่หลุดออกมา ต้องปิดพลาสเตอร์แอบไปอย่างนี้ตลอดรึไงว้า?” พลิกๆ ดูไปก็เห็นเหมือนตัวสลักอะไรสักอย่างข้างใน ด้วยความที่มันเล็กสำหรับนิ้วเราเลยทำให้อ่านไม่ค่อยถนัด แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่าจะมาดูถูกความพยายามของเจ๊เชียว อะไรที่ไม่รู้จะต้องรู้ให้จงได้
“เอ้ ตัวอักษรภาษาปะกิตนี่หว่า I .N K เฮ้ย ... นี่มันแหวนของนายอิงค์เหรอ” ตัวเราสปริงขึ้นจากที่นอนทันที ซวยซุปเปอร์ซวยเลยดิ โอ๊ยความฝันบ้าไรเนี่ยตามหลอกตามหลอนไม่รู้จบน่ะ ว่าแต่ว่าแหวนวงนี้มันเล็กเกินไปสำหรับนิ้วนายอิงค์นะ แถมลายยึกยักบนแหวนวงนี้เหมือนเคยเห็นมาก่อน เอ๊ะ . . . คิดไม่ออก เคยเห็นที่ไหน ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่เห็นลายบนแหวน แต่เคยเห็นแหวนวงนี้มาก่อนด้วย ที่ไหน... สมองตื้อๆ ของยายหมี่ทำงานดีๆ หน่อยสิอย่าอู้
“กลับมาแล้วครับ หมี่หลับยัง?” เสียงเท้าหนักๆ อึนจูตรงมาที่ประตู
“อืม ... จะหลับหละ เหนื่อยมากเลยวันนี้ เออ .. ซื้อโรตีมาฝากแน่ะ เก็บไว้ในไมโครเวฟ ราตรีสวัสดิ์” ตัดบทง่ายๆ นายอึนจูก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ
“ราตรีสวัสดิ์ครับพี่สาว นอนหลับฝันดีนะ” นั่นหละน้องชายสุดที่รักของเรา ว่าง่ายเข้าใจเราเสมอ (ก็เป็นแฝดกันนี่เนาะ อยู่กันมาตลอด 24 ชั่วโมงไม่ให้รู้จักกันถึงเนื้อแท้มันก็แปลกแหละ) แล้วในคืนนั้นเราก็หลับไปเป็นตายเลย ไม่สนใจอะไรเรื่องแหวน ไม่สนใจแม้แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้นขอให้นอนได้เต็มอิ่ม ชีวิตนี้ก็แสนสุขแล้ว
ความคิดเห็น