ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A Certain Reality of a Girl with Sword (Fate X Index)

    ลำดับตอนที่ #2 : CH 2 Faker Gemstone Meet Imagine Breaker

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 57


                    17 กรกฎาคม ภายในห้องหนึ่งของอาคารที่ไร้หน้าต่าง

                    มนุษย์ที่ลอยกลับหัวอยู่ในหลอดแก้วกำลังมองหน้าจอโฮโลแกรมหลายๆอันที่ลอยอยู่ตรงหน้า เพื่อทบทวนแผนการอย่างที่เขาทำอยู่ทุกวัน

    แต่จู่ๆหน้าจอโฮโลแกรมอันหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาบริเวณขอบสายตาเขา สิ่งที่อยู่ในหน้าจอนั้นคือใบหน้าของเด็กผู้หญิงผมสีชมพู และข้อมูลของเธอ สิ่งที่เขาทำให้เขาสนใจคือส่วนบนของหน้าจอดังกล่าวที่มีข้อความระบุว่า Level 5 NO.8

    ดูเหมือนตัวอย่างชิ้นนี้จะน่าสนใจอย่างที่นายว่าจริงๆน่ะแหละ เซ็ลเร็ท

    หลังจากที่อ่านข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาอย่างละเอียด มนุษย์คนนั้น อเลสเตอร์ โครวลี่ ก็บังคับให้หน้าจอดังกล่าวย้ายมาเข้ากลุ่มกับหน้าจออย่างอื่นที่อยู่ตรงกลาง ก่อนจะเริ่มทำการปรับเปลี่ยนแผนการบางอย่างของเขา

    XXXXX

                    17 กรกฎาคม โรงเรียนโทกิวะได

                    เอมิถอนหายใจ เธอพยายามจะตั้งสมาธิไปที่อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง แต่เพราะสายตาของคนอื่นๆในห้องที่แอบมองเธอเป็นระยะๆทำให้เธอไม่สามารถตั้งสมาธิได้เต็มที่

                    เหตุผลที่ทุกคนสนใจเธอก็เพราะเธอเป็นเลเวล 5 คนที่ 8 แห่งนครการศึกษา ซึ่งเธอเองก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง ถ้าให้เทียบกับโลกที่เธอจากมาก็เหมือนกับมีคนค้นพบTrue Magicลำดับที่ 6 ยังไงยังงั้น คนก็ต้องสนใจเป็นธรรมดา

                    ยังดีหน่อยที่อาจารย์ประจำชั้นของเธอแม้จะตกใจไปครู่หนึ่ง ก็ยังคุมตัวเองไว้ได้ในเวลาไม่นานและรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน แล้วก็ทำหน้าที่คุมความสงบในห้องไว้ได้ พร้อมทั้งกำชับไม่ให้คนในห้องที่ได้ยินเรื่องนี้แพร่ข้อมูลออกไป เพราะจะเป็นการทำให้เด็กใหม่ต้องลำบากจากการเป็นที่สนใจได้ เอมิอยากจะขอบคุณเธอซะเหลือเกิน... แม้คิดตามจริงแล้วอาจารย์นั่นแหละเป็นคนที่บอกเรื่องดังกล่าวให้คนทั้งห้องรู้ก็ตาม

                    นอกจากนี้เอมิมั่นใจว่าถึงอาจารย์จะสั่งห้ามไว้แต่ไม่มีทางที่ทุกคนในห้องจะยอมปิดเรื่องนี้ไว้แน่ ไม่นานเรื่องที่เธอเป็นเลเวล 5 ก็คงเป็นที่รู้กันไปทั่ว แต่อย่างน้อยเธอก็อยากให้ตัวเองมีเวลาทำใจซักวันสองวันก็ยังดี...

                    เสียงระฆังบอกเวลาพักเที่ยงปลุกเอมิให้ตื่นจากภวังค์ความคิดของเธอ

                    ทันทีที่อาจารย์ประจำชั้นออกไปจากห้อง โต๊ะที่เอมินั่งอยู่ก็ถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนร่วมชั้นทันที พร้อมกับคำถามที่เริ่มประดังเข้ามาหานักเรียนใหม่ที่มีพลังระดับ LV5 ทันที

                    “ไอซ์เบิร์นซังเป็น LV 5 จริงๆเหรอ?”

                    “ที่ว่ามีพ่อเป็นคนญี่ปุ่นนี่เรื่องจริงเหรอ?”

                    “ความสามารถของเธอเป็นยังไงน่ะ โชว์ให้ดูอีกรอบทีสิ?”

                    เอมิไม่รู้จะตอบใครก่อนดี เธอพยายามตอบคำถามที่ตอบได้ทันทีบางส่วน พลางคิดว่าจะหาจังหวะปลีกตัวยังไงดี

                    “สนใจจะมาร่วมกลุ่มกินข้าวกับเรามั้ย?

                    “อ๊ะ มีวิธีนั้นด้วย! ไอซ์เบิร์นซัง ไปกินข้าวกับฉันดีกว่านะ!

                    “ไปกับพวกฉันดีกว่าน่ะ!

                    กลุ่มคนที่ยืนล้อมเธออยู่เริ่มถกเถียงกัน เอมิไม่รู้จะเลือกไปกับใครดี จนกระทั่งแขนของเธอถูกจับโดยคนๆหนึ่งที่แทรกเข้ามาในวง

                    “ขอโทษนะ แต่วันนี้ฉันขอจองตัวไอซ์เบิร์นซังก่อน พอดีเรายังมีธุระส่วนตัวกันนิดหน่อยน่ะ” มิซากะ มิโคโตะพูดขึ้น จากนั้น โดยไม่รอฟังคำตอบเธอก็จับมือลากเอมิออกจากห้องตรงไปยังโรงอาหารโดยทันที โดยทิ้งเสียงโวยวายไว้ด้านหลัง

                    “มิซากะซัง ขอบใจนะ” เอมิพูดระหว่างเดินไปด้วยกัน เมื่อเห็นมิโคโตะหันกลับมาเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย เธอจึงขยายความ “ที่ช่วยพาฉันออกมาจากห้องน่ะ”

                    “ไม่เป็นไร” มิโคโตะตอบกลับ “อีกอย่างฉันเองก็มีเรื่องอยากถามเธอเหมือนกัน แต่เอาไว้กินข้าวก่อนค่อยถามทีหลังก็ได้” มิซากะยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันกลับไปข้างหน้า

                    เอมิได้แต่ยิ้มแหะๆ แต่ก็เดินตามมิซากะไปโดยไม่ได้ปล่อยมือจากเธอ จนกระทั่งถึงโรงอาหาร

    XXXXX

                    หลังจากได้อาหารแล้ว เอมิกับมิซากะก็พากันมานั่งที่มุมหนึ่งของโรงอาหาร แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มกินก็มีใครบางคนส่งเสียงขึ้นมา

                    “ท่านพี่ขา-----“ เสียงลากยาวดังขึ้นจากด้านหนึ่งของโรงอาหาร แล้วจู่ๆต้นเสียงก็ย้ายมาอยู่ข้างมิโคโตะในทันที “ทำไมท่านพี่ไม่รอคุโรโกะที่ห้องก่อนล่ะคะ คุโรโกะอุตส่าห์รีบไปหาทันทีเคลียร์เรื่องส่วนตัวที่ห้องเรียนได้ แต่พอไปที่ห้องเรียนของท่านพี่ ท่านพี่ก็หายไปซะแล้ว คุโรโกะเสียใจนะคะที่ท่านพี่ไม่รอหนูเนี่ย ปลอบหนูหน่อย! เด็กสาวร่ายยาวก่อนจะยื่นมือไปหมายกอดคนตรงหน้า แต่อีกฝ่ายใช้มือดันหน้าของเธอออกไปจนสุดแขน

                    “ก็เพราะเธอชอบทำตัวอย่างนี้ ฉันถึงไม่ค่อยอยากมากินข้าวกับเธอไง” มิโคโตะตอบหน่ายๆ “แล้วก็รักษามารยาทหน่อย มีคนอื่นอยู่ด้วยนะ” มิโคโตะพยักเพยิดไปทางเอมิ ที่กำลังมองคุโรโกะด้วยสายตาแปลกๆ

                    “อ๊ะ ขออภัยด้วยค่ะ” คุโรโกะเปลี่ยนท่าทีเป็นท่าทางดูเป็นทางการขึ้น ก่อนจะหันมามองเอมิแล้วนึกขึ้นมาได้ “อ๊ะ คุณคือเด็กผู้หญิงตอนนั้นนี่นา!

                    เอมิพยักหน้าเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “ยินดีที่เจอกันอีก เอ... คุโรโกะซังสินะ?”

                    “ชิราอิ คุโรโกะ อยู่ม.ต้นปี 1 และก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของท่านพี่มิซากะค่ะ แล้วคุณคือ..?”

                    “เอมิเลีย ชิโรโกะ ฟอน ไอซ์เบิร์น เพิ่งย้ายมาจากเยอรมัน อยู่ม.ต้นปี 2 เพิ่งเริ่มเรียนที่โทกิวะไดวันนี้ แล้วก็อยู่ห้องเรียนเดียวกับมิซากะซังด้วยน่ะ ชิราอิซัง”

                    “เอ๋!!! จริงเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ อยู่ปี 2 แล้วเหรอคะ” คุโรโกะมองเอมิด้วยสายตาที่บอกว่าไม่อยากจะเชื่อ “แถมยังได้อยู่ห้องเดียวกับท่านพี่ น่าอิจฉา... เอ๊ย บังเอิญจริงๆเลยนะคะ” คุโรโกะทำท่าเหมือนคิดอะไรนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่ชื่อกลาง ชิโรโกะ.. ฟังเหมือนชื่อคนญี่ปุ่นนะคะ?”

                    “พ่อฉันเป็นคนญี่ปุ่นน่ะ”

    “แล้วทำไมจู่ๆถึงมาเรียนที่นี่ แล้วก็มาเริ่มเรียนช่วงนี้ล่ะคะ นี่มันจะปิดเทอมฤดูร้อนอยู่แล้วนะคะ?”

                    เอมิหัวเราะแกนๆ ก่อนจะหันไปมองจานที่ใส่อาหารตรงหน้าแล้วพูดขึ้น “เอาเป็นว่าเรากินไปคุยไปดีกว่ามั้ย เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดซะก่อน”

                    ระหว่างที่กำลังกินอาหารกันอยู่เอมิก็เริ่มเล่าประวัติ(ปลอม)ของเธอที่เซ็ลเร็ทช่วยเตี๊ยมไว้ให้ขึ้นมา

                    “ตระกูลไอซ์เบิร์นของฉันน่ะเป็นตระกูลที่ค่อนข้างเก็บตัวจากโลกภายนอก ที่พ่อกับแม่ของฉันบังเอิญเจอกันก็เพราะว่าพ่อที่เป็นคนญี่ปุ่นรับทำงานให้กับตระกูลแล้วระหว่างนั้นก็ตกหลุมรักกับแม่ แล้วฉันก็เกิดขึ้นมา” เอมิคิดถึงความทรงจำในวัยเด็กของพี่สาวอิริยาที่ยังตกค้างอยู่ในร่างของเธอ “และเพราะคฤหาสน์ที่เราอาศัยอยู่มันอยู่ในป่า ห่างไกลตัวเมืองฉันเลยแทบไม่มีเพื่อนที่จะเล่นด้วยนอกจากพ่อกับแม่ ซึ่งพวกท่านก็มีธุระที่ต้องทำอยู่ประจำ เวลาว่างส่วนใหญ่ของฉันก็เลยหมดไปกับการอ่านหนังสือ จินตนาการเรื่องต่างๆตามที่อ่านในหนังสือว่าอยากเห็นของจริง  อยากมีความสามารถเหมือนตัวเอกในนิยายพวกนั้น แล้วจากนั้นจู่ๆวันหนึ่ง รู้ตัวอีกทีฉันก็พบว่าฉันสามารถสร้างแบบจำลองของสิ่งที่ที่เคยเห็นขึ้นมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้” เธอรู้สึกว่าเรื่องที่เธอเล่ามันฟังดูเพ้อฝันไปหน่อย แต่ก็คิดซะว่าเป็นการกลบเกลื่อนที่ดี ถ้าขืนบอกความจริงว่ากว่าจะมีความสามารถอย่างที่เห็นได้เธอต้องเฉียดตายมากี่ครั้งแล้ว สองสาวตรงหน้าคงกินอาหารไม่ลงแน่ เธอกำลังจะเล่าต่อแต่ว่าถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน

                    “เดี๋ยวนะ ไอซ์เบิร์นซังบอกว่าความสามารถของไอซ์เบิร์นซังตื่นขึ้นมาเอง แสดงว่าไม่ได้มีการกระตุ้นทางวิทยาศาสตร์อะไรเลยอย่างงั้นเหรอ แสดงว่าไอซ์เบิร์นซังเป็นGemstoneสินะ?” มิโคโตะพูดขึ้นมา

                    “Gemstone?” ศัพท์ที่ไม่คุ้นหูทำให้เอมิสงสัย เกี่ยวข้องอะไรกับเวทย์ทับทิมของตระกูลโทซากะรึเปล่า?

                    คนที่อธิบายความหมายให้เธอฟังกลับเป็นคุโรโกะ “เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกคนที่มีความสามารถเอสเปอร์โดยที่ไม่มีการใช้สารกระตุ้นหรือกรรมวิธีทางวิทยาสตร์ในการปลุกพลังจิตขึ้นมาน่ะค่ะ ว่ากันว่าGemstoneจะมีระดับพลังสูงกว่าเอสเปอร์ปรกติ จะเรียกว่าเป็นพวกผู้มีพรสวรรค์ในด้านพลังจิตก็ไม่ผิด เห็นว่าทั้งโลกนี้มีคนที่เป็นGemstoneแค่ราวๆ50กว่าคนเองน่ะค่ะ”

                    “อ๋อ อย่างนั้นหรอกเหรอ” เอมิพยักหน้ารับรู้จากนั้นก็เริ่มเล่าต่อ “อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นGemstoneที่ว่านั่นล่ะมั้ง พอข่าวเรื่องความสามารถของฉันแพร่ออกไปถึงได้มีคนจากเมืองแห่งการศึกษามาที่คฤหาสถ์ของตระกูลแล้วชวนฉันให้มาเรียนที่นี่ และนั่นแหละคือสาเหตุที่ฉันมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้”

                    “อืม...แต่ต่อให้เป็นGemstone ก็เถอะ ระดับความสามารถของไอซ์เบิร์นซังนี่ก็เหนือความคาดหมายจริงๆนั่นแหละ” มิโคโตะพูดขึ้น

                    คุโรโกะทำหน้าสงสัย “หมายความว่ายังไงหรือคะท่านพี่? จะว่าไปความสามารถไอซ์เบิร์นซังนี่เป็นความสามารถแบบไหนเหรอคะ? เมื่อวานที่ฉันเห็นมีอาวุธกับโล่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ใช่ความสามารถสายเทเลพอร์ตแบบเดียวกับฉันรึเปล่าคะ? แบบเรียกมาใช้เฉพาะตอนจำเป็นแล้วก็เอาไปเก็บไว้ที่อื่นอะไรแบบนี้”

                    “ก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกนะ แต่ฉันก็สามารถเรียกของให้โผล่มากับทำให้หายไปได้อยู่เหมือนกัน” เอมิพูดก่อนจะอธิบายความสามารถTracingให้คุโรโกะฟังแบบคร่าวๆ เหมือนที่อธิบายก่อนหน้านี้ในชั้นเรียน

                    “ฟังดูแล้วสะดวกดีเหมือนกันนะคะ น่าจะทำอะไรได้หลายอย่างเลย ระดับพลังเลเวลเท่าไหร่เหรอคะเนี่ย?”

                    “เลเวล 5 น่ะ” เอมิตอบไปโดยไม่คิดอะไร ก่อนจะเห็นหน้าของคุโรโกะที่จู่ๆก็แข็งทื่อ เธอจึงนึกได้ว่ามันน่าตกใจสำหรับคนในโลกนี้ขนาดไหน จนเธอเกือบจะยื่นมือไปปิดปากของคุโรโกะไม่ทัน “อย่าตะโกนนะ! ฉันรู้ว่ามันน่าตกใจแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันเพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เองว่าฉันเป็นเลเวล 5 เนี่ย” เธอพูดเร็วด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่ในโต๊ะ พอเห็นว่าคุโรโกะสงบลงแล้วเธอจึงยอมปล่อยมือ

                    “ไอซ์เบิร์นซังเป็นเลเวล 5...” คุโรโกะพูดก่อนจะหันไปมองมิโคโตะที่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงหันกลับมา “อย่าบอกนะคะว่าคิดจะชิงตำแหน่งอันดับ 3 จากท่านพี่มิซากะน่ะ!

                    เอมิกระพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัยว่าคุโรโกะพูดอะไร “ชิงตำแหน่ง? หมายถึงเรื่องอะไรเหรอ?”

                    คำตอบนั้นทำให้คุโรโกะสบายใจขึ้น “ไม่มีอะไรค่ะ พอดีฉันเผลอนึกว่าคุณจะเป็นพวกชอบพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองเหมือนใครบางคนแถวนี้”

                    เอมิยิ้มแล้วตอบกลับ “ก็ไม่เชิงหรอก ถึงจะฝึกวิชาต่อสู้มาแต่ฉันก็ไม่ได้ชอบสู้กับคนอื่น ที่ฝึกเอาไว้ก็เพื่อป้องกันตัวเองกับคนรู้จักเท่านั้น ฉันอยากอยู่สงบๆมากกว่า”

                    “แต่เมื่อวานเธอก็บอกว่าเธอเก่งกว่าฉันนี่นะ” มิโคโตะพูดขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงท้าทายนิดๆ

                    “...” เอมินิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ตอนนั้นฉันมั่นใจว่าฉันฝึกมาดีมาก แถมตอนนี้เราทั้งคู่ก็รู้แล้วว่าเราเป็นเอสเปอร์ระดับเดียวกัน ถ้าตอนนี้เราสู้กันใครจะแพ้หรือชนะก็ไม่แปลกหรอก” เธอรู้สึกว่าคำพูดท้าทายแบบนี้มันออกจะผิดนิสัยเดิมของตัวเธอไปหน่อย ไม่รู้เพราะร่างกายของอิริยาส่งผลกับนิสัยของเธอให้หยิ่งในศักดิ์ศรีมากขึ้น หรือเพราะปมด้อยช่วงได้ร่างกายนี้มาใหม่ที่เธอมีปัญหาในการใช้เวทย์จนไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เหมือนเดิมอยู่พักใหญ่เป็นสาเหตุกันแน่ อาจจะทั้งสองอย่าง แต่ยังไงเธอก็ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกว่าเธอในตอนนี้อ่อนแอเด็ดขาด

                    “ถ้าหยั่งงั้นเรามาตัดสินกันสักหน่อยดีมั้ยว่าใครแข็งแกร่งกว่า?” เอสเปอร์ลำดับ 3 ของนครแห่งการศึกษาเอ่ยถามขึ้นมา ที่ผมของเธอมีกระแสไฟฟ้าปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย

                    ใจจริงเอมิเองก็อยากจะลองสู้กับมิโคโตะดูเหมือนกัน จะได้ลองทดสอบดูว่าคนที่ได้ชื่อว่าคนที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆของโลกนี้มีฝีมือแค่ไหน “ไม่ล่ะ ไม่ใช่เร็วๆนี้แน่ๆ” แต่เธอก็ปฏิเสธไป “ฉันยังไม่อยากดึงความสนใจมาที่ตัวเองในช่วงนี้ แค่เรื่องที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเลเวล 5 นี่ก็เรียกความสนใจได้เกินพอแล้ว อย่างน้อยก็รอให้เรื่องเลเวล5คนใหม่นี่สงบลงก่อนก็ยังดี ฉันอยากปรับตัวกับเมืองนี้ให้ได้ก่อนมากกว่า แต่ฉันขอรับปากว่าเราต้องได้สู้กันซักวันแน่ๆ ฉันก็อยากรู้ว่ามิซากะซังเก่งแค่ไหนเหมือนกัน”

                    มิซากะ มิโคโตะไม่พอใจกับคำตอบนัก แต่เธอก็พอจะเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่าย หลังจากนั้นพวกเธอก็เปลี่ยนไปคุยกันเรื่องสัพเพเหระเช่นเรื่องร้านอาหารในเมืองที่เอมิดูจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทว่าพอคุยกันเรื่องตำแหน่งของร้านที่น่าสนใจแล้วจะมาร์คตำแหน่งในGPSให้ มิโคโตะกับคุโรโกะก็ต้องตกใจว่าเอมิแทบไม่มีความรู้เรื่องการใช้มือถือที่เธอมีติดตัวเลยนอกจากใช้โทรเข้าโทรออกแค่นั้น (เอมิแก้ตัวว่าเธอไม่เคยจำเป็นต้องใช้อย่างอื่นนี่นา) หลังจากที่สอนวิธีใช้ฟังก์ชั่นบางอย่างของมือถือให้เอมิแล้ว ทั้งสามก็ตัดสินใจแลกเบอร์ไว้ติดต่อกัน (เอมิตกใจกับเรื่องที่นอกจากมือถือสามารถบันทึกเบอร์ได้แล้ว ยังสามารถตั้งให้โชว์รูปคนๆนั้นเวลาโทรหากันได้ด้วย) หลังจากนั้นไม่นานระฆังเข้าเรียนภาคบ่ายก็ดัง คุโรโกะจึงแยกตัวไป ส่วนเอมิ กับมิโคโตะก็พากันกลับเข้าชั้นเรียนของตัวเอง

    ****

                    ช่วงเลิกเรียน มิโคโตะขอแยกตัวกลับไปก่อนเนื่องจากวันนี้เธอมีนัดกับเพื่อนต่างโรงเรียน หลังจากลากันแล้ว เอมิที่โดนเพื่อนในห้องรุมถามคำถามเหมือนเมื่อตอนกลางวันก็ตอบเท่าที่จำเป็นแล้วเลี่ยงคำชวนไปเที่ยวโดยอ้างว่าเธอยังต้องกลับไปจัดของที่ห้องพักอีก ก่อนจะปลีกตัวออกมา
                    หอพักของโรงเรียนโทกิวะไดมีแบ่งเป็นสองหอ หอแรกอยู่ในสวนแห่งการศึกษาซึ่งเป็นพื้นที่ที่โรงเรียนสตรีห้าแห่งใช้ร่วมกันอยู่จึงเป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะนักเรียนหญิงของทั้ง5โรงเรียนและผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น (หรือพูดอีกอย่างก็คือห้ามผู้ชายเข้า) ส่วนอีกหอหนึ่งอยู่ในพื้นที่ทั่วไปของนครแห่งการศึกษาซึ่งที่เอมิอาศัยอยู่นั้นอยู่ในหอหลัง

                    อันที่จริงเธอจัดของที่ห้องส่วนใหญ่เสร็จหมดแล้ว เธอแค่อยากจะลองไปตามร้านอาหารที่มิโคโตะกับคุโรโกะแนะนำเพื่อดูว่าร้านไหนมีอาหารอะไรน่าสนบ้าง เธอคิดว่าเธอจะไล่ชิมอาหารตามร้านต่างๆในเมืองเป็นงานอดิเรกระหว่างที่ต้องอยู่ในโลกนี้ (แม้จะรู้สึกลำบากใจ แต่เธอต้องขอบคุณเซ็ลเร็ทที่ให้เงินทุนมาเกินพอจริงๆ) หลังจากชิมแล้วเธอก็จะลองหาทางปรับปรุงสูตรแล้วเอาไปให้ซากุระลองชิมดูเมื่อเธอกลับไปได้ และเนื่องจากตอนนี้เธอไม่อยากเจอกับคนที่รู้เรื่องที่เธอเป็นเลเวล 5 โดยไม่จำเป็น เธอจึงตัดสินใจจะหาอะไรกินนอกพื้นที่สวนแห่งการศึกษา(ที่ตอนนี้น่าจะเต็มไปด้วยนักเรียนหญิงจากทั้ง 5 โรงเรียน)

                    เอมิเดินคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยระหว่างตระเวนดูว่าจะเข้าร้านไหน ร้านนั้นก็ดูท่าจะไม่เลว...

                    “เฮ้ น้องคนนั้นน่ะ”

                    แต่ว่ามื้อเย็นเอาเป็นร้านนั้นจะดีกว่ารึเปล่านะ? แต่ร้านแบบนั้นถ้ามาคนเดียวก็ต้องนั่งเคาเตอร์นี่สิ เธออยากนั่งโต๊ะมากกว่า...

                    “เฮ้ คุณหนู”

                    ถ้างั้นเอาเป็นข้าวร้านนั้นดีมั้ยนะ แล้วสั่งของหวานปิดท้ายซักอันก็ไม่เลว ไอติมนี่ดูน่าอร่อยจัง...

                    “เรียกแล้วทำเมินเรอะ! เฮ้!” เสียงผู้ชายที่ดังขึ้นพร้อมมือที่จับลงมาที่ไหล่ทำให้เอมิรู้สึกตัว

                    ตอนนี้เธออยู่ในวงล้อมของผู้ชาย5คนที่ดูยังไงก็พวกกุ๊ยชัดๆ

                    “เอ่อ... มีอะไรเหรอกับฉันเหรอคะ?” เอมิพยายามพูดสุภาพ แต่แค่ดูท่าทางของคนที่ล้อมเธอก็พอเดาได้ไม่น่าใช่เรื่องดีแน่ๆ

                    “พอดีพวกพี่เห็นน้องเดินคนเดียวตั้งนานแล้ว น้องมาคนเดียวเหรอจ๊ะ สนใจไปกินข้าวกับพวกพี่มั้ย?” ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งในกลุ่มพูดพลางทำหน้า... แดง? คนอื่นๆในกลุ่มก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอาการดังกล่าวแต่ก็แค่ทำหน้าหน่ายๆ

                    “เฮ้ยเก็บอาการหน่อยไอ้โลลิค่อน” คนหนึ่งในกลุ่มพูด

                    หวา... อย่าบอกนะว่าหมอนี่เป็นโลลิค่อน เอมิรู้ดีว่าร่างกายเธอดูเด็กกว่าวัย และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอผู้ชายอายุมากกว่าพยายามมาจีบด้วย แต่ถึงจะปฏิเสธไป ไม่รู้ทำไมคนพวกนี้ไม่ค่อยยอมแพ้ จนเธอต้องใช้กำลังลงมืออยู่เรื่อย

                    สงสัยคงเป็นเพราะโชคแรงค์Eล่ะมั้ง?

                    แต่วันนี้เอมิยังไม่อยากทำตัวให้เป็นที่สนใจมากนัก เธอกำลังคิดว่าจะหาทางหนีจากวงล้อมยังไงดี หรือถ้าหนีไม่ได้ก็จะพาพวกนี้ไปที่ลับตาคนกว่านี้แล้วค่อยจัดการสั่งสอนรวดเดียวยังไงดี(เธอไม่คิดว่าคนธรรมดา4-5คนจะทำอะไรเธอได้) แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไรไป ก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งเข้ามาในวงล้อมแล้วจับแขนเธอไว้ซะก่อน

                    “อ๊ะ โทษทีที่ให้รอนานนะ เอาล่ะไปกันเถอะ” เด็กผุ้ชายผมดำที่น่าจะเป็นเด็กม.ปลายที่ไว้ผมทรงกระเซิงชี้ไปทุกทิศทางซึ่งเธอมั่นใจว่าเธอไม่รู้จักแน่ๆพูดกับเธออย่างสนิทสนม พลางพยายามดึงเธอออกจากวงล้อม

    โดยสัญชาตญาน เอมิสะบัดแขนออกจากมือของเด็กหนุ่มแล้วพูดออกไปทันที “นายเป็นใคร”

    เด็กหนุ่มทำหน้าเหวอ แล้ว 1 ในกุ๊ยที่ล้อมเธออยู่ก็พูดขึ้นมา “เฮ้ย แกแกล้งทำเป็นเนียนจะมาพาแม่หนูนี่ไปงั้นเรอะ?”

    พอได้ฟังคำพูดของกุ๊ยเอมิถึงเพิ่งเข้าใจ เด็กหนุ่มคนนั้นพยายามมาช่วยเธอ แต่เธอดันเข้าใจผิดจนพังแผนของเขาด้วยมือเธอเอง

    มีโชคแรงค์Eนี่มันแย่ชะมัด

    พวกกุ๊ยเริ่มขยับตัวหมายจะเล่นงานเด็กหนุ่มที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดเมื่อมีคนห้าคนจ้องจะทำร้าย ในจำนวนนั้นมีคนที่หยิบอาวุธอย่างมีดหรือที่ช็อตไฟฟ้าออกมาด้วย หากเป็นเด็กผู้หญิงทั่วไป จังหวะนี้คงต้องรีบหนี หรือไม่ก็ตะโกนขอความช่วยเหลือแล้ว

    แต่เพราะเอมิไม่ใช่เด็กผู้หญิงทั่วไป คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอจึงเป็น...

    Trace on

                    พร้อมกับที่เธอปล่อยกระเป๋านักเรียนที่เธอถืออยู่ลงกับพื้น ดาบไม้2เล่ม(ที่ไม่ใช่โทระชิไน เธอรู้ตัวแล้วว่าเธอต้านทางคำสาปของมันไม่ไหว)ก็โผล่มาในมือทั้งสองข้างของเธอในจังหวะเดียวกับที่เธอพุ่งไปข้างหน้า จากนั้นเธอก็ตวัดดาบไปรอบตัวของเธอ แม้จะไม่ได้ใช้เวทย์เสริมแรงเข้าช่วย แต่การโจมตีของเธอก็ทำให้กุ๊ยทั้ง 5 คนได้รับบาดเจ็บคนละนิดละหน่อย จนเปิดช่องให้เด็กสาวเข้าถึงตัวเด็กชายได้ จากนั้นเธอก็หันหลังพลางตั้งท่าถือดาบสองมือแบบญี่ปุ่น ใช้ตัวเองคั่นกลางระหว่างพวกกุ๊ยกับเด็กหนุ่มคนนั้น

                    “อะไร..! ยัยเด็กนี่เอาดาบไม้มาจากไหน?” กุ๊ยคนหนึ่งพูดขึ้น

                    “เฮ้!...” เด็กผุ้ชายพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่เอมิพูดขัดขึ้นมาก่อน

                    “นายต่อสู้เป็นใช่มั้ย?” เอมิถามพลางใช้หางตามอง แต่เธอพอเดาได้จากการสังเกตกล้ามเนื้อของเด็กหนุ่ม นั่นเป็นกล้ามเนื้อของคนที่ผ่านการต่อสู้มาพอสมควร พอเด็กหนุ่มพยักหน้า เธอจึงพูดต่อ “งั้นใช้นี่ซะ สู้ตัวเปล่ามันเสี่ยงไป” เธอยื่นดาบในมือขวาให้เด็กหนุ่ม ซึ่งเขาใช้มือซ้ายรับ จากนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็นท่าถือดาบด้วยมือทั้งคู่ เธอกำลังจะฉวยโอกาสที่พวกกุ๊ยกำลังสับสนอยู่เข้าไปโจมตีอยู่แล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่าดาบที่เธอเพิ่งมอบให้เด็กหนุ่มไปเมื่อครู่สลายไป?

                    เอมิหันไปมองด้านหลังแล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มทำท่าเหมือนกำดาบด้วยสองมืออยู่ แต่ในมือนั้นว่างเปล่า สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงพลาน่าจางๆตรงที่ดาบไม้ควรจะอยู่

                    เทรซไม่สมบูรณ์งั้นเหรอ? เอมิคิด ถึงเธอจะไม่ได้เทรซแบบตั้งใจมากแต่ก็ไม่น่าจะพลาดขนาดที่ดาบที่เทรซสลายไปไวขนาดนั้น เธอตัดสินใจเทรซดาบไม้เล่มใหม่ขึ้นมาแทน โดยที่คราวนี้เธอเทรซให้ดาบลอยอยู่ข้างหลัง ตรงหน้าของเด็กหนุ่ม “ใช้อันนี้แทน!” เธอบอกเขา

                    แต่เด็กหนุ่มไม่ขยับมือมาจับดาบ เขามองดาบไม้ที่ลอยตรงหน้าแล้วพูดออกมา “นี่เป็นพลังพิเศษสินะ? งั้นฉันใช้มันไม่ได้หรอก โชคร้ายชะมัด”

                    เอมิสงสัยว่าเด็กหนุ่มพูดเรื่องอะไรแต่ก็ไม่มีเวลาถาม เมื่อกุ๊ยคนหนึ่งที่ตั้งสติได้แล้วเหวี่ยงหมัดมาที่หน้าเธอ ซึ่งเธอก็สามารถโยกหลบได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยื่นมือขวาไปยังดาบที่ตั้งใจจะให้เด็กหนุ่มใช้แล้วกำเอาไว้ กลับมาตั้งท่าดาบ 2 มืออีกครั้ง ตอนนี้ต้องจัดการพวกตรงหน้าก่อน

                    กุ๊ย 2 คนที่ใช้มือเปล่ากับที่ช็อตไฟฟ้าเข้ามารุมหมายจะเล่นงานเธอ ส่วนอีก 3 คนที่มีคนหนึ่งถือมีดหันไปรุมเด็กหนุ่ม คงเห็นว่าถึงเธอมีอาวุธในมือก็ยังเป็นเด็กผู้หญิง น่าจะจัดการง่ายกว่าสินะ

                    เธอจะสอนให้รู้ว่าคิดผิดขนาดไหนที่ดูถูกเธอ

                    ที่ช็อตไฟฟ้าพุ่งเข้าหาเธอ แต่เธอก็ใช้ดาบในมือซ้ายปัดจนมันกระเด็นหลุดจากมือ แล้วใช้ดาบไม้ในมือขวาฟันใส่ท้องคนที่คิดจะทำร้ายเธออย่างเต็มแรงจนกุ๊ยคนนั้นถึงกับกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น จากนั้นเธอก็สะบัดตัวเหวี่ยงดาบในมือซ้ายเข้าใส่หน้าของกุ๊ยอีกคนที่พยายามจะลอบทำร้ายเธอจากด้านหลังจนลงไปนับดาวอีกคน

                    หลังจากจัดการกุ๊ยสองคนได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว เธอจึงหันไปช่วยเด็กหนุ่มที่โดนรุมอยู่ เด็กหนุ่มมีความสามารถอย่างที่เธอคาด แม้จะโดนรุม 3 ก็ยังไม่โดนทำร้ายจังๆเลย แต่ดูเหมือนจะเป็นวิธีสู้แบบสตรีทไฟต์เสียมากกว่า เพราะการเคลื่อนไหวดูไม่ค่อยมีแบบแผนนัก เหมือนหลบได้เพราะสัญชาตญานมากกว่า อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเสียเปรียบอยู่ โดยเฉพาะจากคนที่ถือมีดซึ่งเด็กหนุ่มไม่สามารถใช้แขนรับได้

                    “เฮ้!” เอมิส่งเสียงเรียกความสนใจจากพวกกุ๊ย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปฟาดดาบไม้ใส่กุ๊ยคนที่ถือมีดซึ่งยกมีดในมือมารับดาบไม้ของเธอ เอมิแสยะยิ้ม

                    เพล้ง เปรี้ยง

                    เสียงดังขึ้นสองเสียง เสียงแรกคือเสียงของมีดที่ใบมีดแตกเป็นชิ้นๆเมื่อเจอกับดาบไม้ที่เสริมพลังของเธอ เสียงที่สองคือเสียงที่ดาบไม้ของเธอปะทะกับหน้าผากของคนถือมีด จากนั้นเขาก็ลงไปนับดาวเป็นคนที่ 3

                    ระหว่างที่กุ๊ยที่เหลือตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นเอง มือขวาของเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของหนึ่งในนั้นอย่างจัง จนกุ๊ยคนนั้นนอนหงายเป็นคนที่ 4

                    กุ๊ยคนสุดท้ายเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ตัดสินใจยกมือยอมแพ้ พร้อมกับสัญญาว่าจะไม่มาให้พวกเธอเห็นหน้าอีก เอมิจึงตัดสินใจยอมปล่อยพวกกุ๊ยไป

                    หลังจากพวกกุ๊ยพากันแบกพวกที่บาดเจ็บเดินจากไปแล้ว เอมิจึงสลายดาบในมือแล้วเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่เธอโยนทิ้งไว้ จากนั้นจึงหันไปหาเด็กหนุ่มที่ช่วยเธอไว้

                    เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูจากส่วนสูงน่าจะเป็นเด็กม.ปลาย ดวงตาสีดำกับผมสีดำสนิทที่ชี้ไปทุกทาง ใส่เสื้อสีส้มไว้ใต้ชุดนักเรียนที่ใส่อยู่ หน้าตาก็ไม่โดดเด่นอะไรนักจัดได้ว่าดูดี เพียงแต่ดูจะออกไปทางพวกเลือดร้อนหน่อยๆ เท่าที่ดูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจากการต่อสู้นอกจากรอยช้ำนิดหน่อยที่แขน

                    “ขอบคุณที่เข้ามาช่วยนะคะ” เอมิโค้งขอบคุณ แม้เธอจะรู้ว่าถึงเขาไม่มาช่วยเธอก็จัดการเองได้ แต่การที่ผู้ชายคนเดียวเข้ามาช่วยเด็กผู้หญิงที่ถูกคนมากกว่ารุมนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายกย่องอยู่ดี “ฉันชื่อ เอมิเลีย ชิโรโกะ ฟอน ไอซ์เบิร์น แล้วคุณคือ?” เธอยื่นมือขวาออกไปเพื่อขอจับมือเด็กหนุ่ม

                    “อะ..อื้อ” ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะตกใจกับท่าทีมีมารยาทของเด็กสาวตรงหน้าพอสมควร “คามิโจ โทวมะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ... เอมิเลียซัง?” เด็กหนุ่มพูดกระตุกกระตักเล็กน้อย เขาไม่ค่อยแน่ใจเรื่องวิธีเรียกชื่อคนต่างชาตินัก และฟังจากชื่อแล้วเขาก็เดาว่าเด็กสาวเป็นคนต่างชาติด้วย แต่เขาก็ยื่นมือขวาไปจับมือของเด็กสาวอยู่ดี

                    “เรียกเอมิก็ได้ค่ะ...” เอมิพูด ก่อนจะรู้สึกแปลกๆ จู่ๆเธอก็ไม่สามารถสัมผัสถึงพลาน่าได้เลย! เธอตกใจจนเผลอกระชากมือขวาออกมาจากมือของเด็กหนุ่มอย่างแรง ทันทีที่ปล่อยมือ สัมผัสของเธอก็กลับมาเป็นปรกติ “...อ๊ะ ขอโทษนะ! โทวมะ..เอ๊ย คามิโจซัง” เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำเรื่องเสียมารยาทไป

                    “มะ..ไม่เป็นไร เรียกโทวมะก็ได้” เด็กหนุ่มตอบกลับพลางยกมือขวาตัวเองขึ้นมาดู “บางทีมือขวาฉันอาจจะทำให้เธอลำบากใจบางอย่างล่ะมั้ง?”

                    “มือขวา? หรือว่าที่ดาบของฉันสลายไปเมื่อครู่นี้... มือขวาของโทวมะซังมีพลังอะไรเหรอคะ?” เอมิถามด้วยความสงสัย

                    “เรียกว่าอิเมจินเบรกเกอร์น่ะ ความสามารถก็คือ...“ โทวมะกำลังจะอธิบาย แต่เสียงท้องร้องของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน หน้าของเขาแดงขึ้นมาเล็กน้อย

                    เอมิส่งเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอ พลางคิดได้ว่าที่ออกแรงไปเมื่อครู่ก็ทำให้ตัวเองเริ่มรู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จะว่าไปร้านที่เธอว่าจะเข้าตอนแรกถ้าเข้าคนเดียวต้องนั่งที่เคาเตอร์นี่นะ ถ้างั้น... “ฉันเองก็กำลังจะหาอะไรกินพอดี ถ้ายังไงมื้อนี้ฉันขอเลี้ยงเป็นการขอบคุณได้มั้ยคะ? จะได้คุยกันต่อด้วย”

                    “เอ๋ แต่ว่า...จะดีเหรอ...?” พอเห็นเอมิพยักหน้า โทวมะที่ปรกติจะได้แต่บ่นว่า โชคร้ายชะมัด ก็พูดออกมา “ไม่น่าเชื่อ โชคดีแฮะ!” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×