ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : รักหลากรส บทที่1 : ยินดีที่ได้รู้จัก(part 7)
“มาสายตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานเลยนะ” เสียงๆหนึ่งดังขึ้น    เป็นผู้ชายหรือนี่
ใช่แล้วเสียงนั้นทุ้มลึก แต่นุ่มนวลน่าฟัง เป็นเสียงแบบที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันที่จะได้ยินคำกล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกๆคืน
“คุณพัทธมนครับ นี่คุณเรวัตร ประธานบริษัทแห่งนี้ครับ”
จบคำพูดของ พิชาญ ชายหนุ่มที่พัทคิดว่าน่าจะอายุประมาณซัก 40 ปลายๆจากน้ำเสียงที่ได้
ยินนั้นก็หมุนเก้าอี้มายังฝั่งที่พัทยินอยู่ ผิดแล้วล่ะ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ชายหนุ่มอายุซักประมาณ 40 ปลายๆ แต่คนนี้ดูหน้าละอ่อนราวๆ20ต้นๆมากกว่า อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเค้าเลยหละ แต่หลังจากที่เสียงหัวใจหยุดส่งเสียงดังเกินกว่าเหตุ และสายตาของเขาเองกลับมาเป็นปกติเค้าก็พบว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร
    ไม่ผิดแน่แล้วเสียงทุ้มลึกแต่นุ่มนวล ดวงตาสีดำมันขลับ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบาง ไรหนวด ไรเคราถูกประดับไว้อย่างสมควรและ เสริมให้ดูดียิ่งขึ้นไปอีก ชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายพระเอกหนังไทยคนนี้ คือ ชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่พัทเจอในลิฟต์เมื่อซักครู่นี้เลย
    ทันทีที่ทั้งคู่เห็นหน้ากันจะๆ ก็แผดเสียงร้องออกมาทำให้พิชาญถึงกับสะดุ้งตกใจ
    “คุณ... ในลิฟต์นี่!!!”
หน้า                  บ้านของฝ้ายกลายเป็นลานจอดรถอย่างดีให้อู๋ ทราย และพัท(ที่พกรอยยิ้มกว้างเฉียดใบหู ขับรถเข้ามาจอดหลังจากกลับมาจากบริษัท) ในขณะนี้ทรายและ พัทกำลังช่วยกันทำอาหารอยู่ในห้องปรุงอาหาร ในตัวบ้าน ส่วนฝ้ายกับอู๋ก็แสดงฝีมืออยู่ที่เตาแก๊สในส่วนของครัวที่อยู่นอกบ้าน ทรายทำอาหารฝรั่งอย่างคล่องมือโดยมีพัทเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ
    “พัท เนยในช่องฟรีซ กับชีสผงที่เพิ่งซื้อมาล่ะอยู่ไหน” ทรายเอ่ยถามในขณะที่ล้างผักต่างๆอยู่ ซึ่งพัทเองก็วางของที่ว่าลงบนเคาน์เตอร์ แทนที่จะใช้คำตอบพัทกลับเดินเข้ามาหาทรายด้วยท่าทีที่หงอยเหงา วางหน้าลงบนบ่าสีน้ำผึ้งนวลเนียนของทรายมือของพัทโอบล้อมเอวเล็กๆที่ไร้ชิ้นผ้าปกปิดของทราย หากว่ามีใครคนอื่นมาเห็นทั้งสองคนในสภาพนี้คงจะคิดว่า ทั้งคู่เป็นคู่รักที่หวานชื่น แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามทรายรู้ดีว่าพัทคิดกับเธอแค่เพื่อนสนิทไม่มีอะไรลึกซึ้งเกินเลยไปกว่านั้น
    แต่อาการของพัทบ่งบอกถึงความรู้สึกในใจดวงตาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
    “พัท... คิดถึงใครอยู่หรอ” ทรายถามเบาๆราวกับจะกระซิบ
    “เปล่า...” ชายหนุ่มทิ้งเสียงให้เบาลงเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน “พัทเหงา”
ทรายยกผักทั้งหมดมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วหยิบไชเท้าสีขาวซีดขึ้นมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูตลก
“เฮ้นายพัท นายหน้าจืด” ทรายพูดกับไชเท้าดูไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ ที่เล่นกับตุ๊กตา “นายจะมาเศร้าอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะยะ ... ไม่ว่าเธอจะไม่มีใครแต่ชั้น...” ทรายหยิบแครอทที่มีขนาดเท่าๆกับไชเท้าอันนั้นขึ้นมา “ชั้น นางสาวแซนดี้ ขอสัญญาว่าจะอยู่กับนายตลอดไป นายจะบอกว่าไม่มีใครได้ไงในเมื่อชั้นก็อยู่ข้างๆนายตลอดเวลาแบบนี้”
พัทปล่อยเสียงหัวเราะออกมาตั้งแต่คำว่า ‘นางสาว แซนดี้’ มาจนจบประโยค
“นี่ทราย เธอนี่จริงๆเลย คิดได้ยังไงนางสาวแซนดี้” พัทพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“อ้าวก็ แซนด์ (sand) แปลว่าทรายไง” ทรายเองก็ยังหัวเราะกับคำพูดของตัวเอง “เอาเถอะๆ ยังไงมันก็ทำให้นายขำได้ละกัน” ทรายยิ้มให้พัทที่เข้ามาสวมกอดเธออีกครั้ง
“ขอบใจทรายนะที่เข้าใจเรา”
“จ้ะ” ทรายยิ้มอีกก่อนที่จะหยิบมันฝรั่งขึ้นมาหัวหนึ่ง แล้วเริ่มพูดในขณะที่เริ่มปอกเปลือกมันฝรั่ง “ความรู้สึกมันก็คือสิ่งที่มนุษย์เรากำหนดขึ้นเองนั่นแหละ ในเมื่อเรากำหนดเองได้ เราจะกำหนดให้รู้สึกไม่ดีทำไมล่ะจริงมั๊ยล่ะ” ทรายปอกเปลือกมันฝรั่งเสร็จทั้งลูกก็ยกให้พัทดู “เฉือนมันทิ้งไปเถอะ พัทความรู้สึกเศร้า เหงา ทุกข์ที่บดบังความเป็นตัวนาย อย่ามัวแต่จมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจแบบนี้เลย”
พัทพยักหน้าอย่างเข้าใจและยิ้มให้เพื่อนสาวที่แสนจะน่ารักอย่างไม่มีใครเหมือน อย่างทราย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับเข้าสู่การทำอาหารอีกครั้งโดยครั้งนี้ทรายให้พัทปอกเปลือกมันฝรั่งแล้วเอาไปต้ม ส่วนตัวเธอเองก็ทำหน้าที่หั่นแครอท ไชเท้า และกะหล่ำปลีเป็นฝอยๆ หั่นแตงกวา และมะเขือเทศเพื่อทำสลัด
“อ้าวแล้วนี่ นายไปเป็นเลขาให้ใครหรอ ป้าแก่ๆหรือ สาวสวยๆ” ทรายเปลี่ยนเรื่อง
“อ๋อเป็นผู้ชายน่ะ อายุราวๆ24-25”
“ว้าว อายุมากกว่านายแค่ 2ปีเองนี่นา” ทรายพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นหลังจากพักผักเอาไว้ในอ่างใบเล็กๆ “นี่ทีหลัง แนะนำให้ชั้นรู้จักหน่อยสิ”
“ได้ แต่ว่าเธออาจจะช็อคมากเลยก็ได้นะ เพราะเค้าน่ะหล่อมากๆ” ทันทีที่พัทคิดถึงหน้าของเจ้านายหนุ่มขึ้นมาในมโนภาพ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของชายหนุ่ม ทรายยักไหล่ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทรายกลับไปก้มหน้าก้มตาบดมันฝรั่งต้มในชามต่อไป ในขณะที่พัท เติมนมและเนยลงไป แล้วทรายเป็นคนคลุกให้เข้ากัน หลังจากมันฝรั่งเละรวมไปกับนมและเนยแล้วทรายก็เป็นคนเติมชีสผงลงไปที่ผิวหน้าของมันฝรั่งและส่งเข้าเตาอบไป
พัทยกคลุกผักที่หั่นเป็นฝอยกับข้าวโพดต้ม และถั่วแดงต้มเข้าด้วยกัน ใส่ไว้ในชามเซรามิกสีน้ำเงิน แล้วโปะมะเขือเทศ และแตงกวาที่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ข้างบนก่อนที่จะราดน้ำสลัดลงบนชามสลัด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฝ้ายยกถาดขนาดใหญ่ที่ใส่ไก่ ส่วนที่เป็นสะโพกติดน่องดิบๆ 4 ชิ้น ที่ราดด้วยน้ำซอสที่ใช้หมัก เข้ามาส่งต่อให้ทราย ส่วนอู๋ก็ยกชามซอสเกรวี่ และชามที่ใส่เส้นมักกะโรนีเส้นยาวที่ต้มไว้แล้วเข้ามาในห้องปรุงอาหาร หลังจากที่ทั้งฝ้ายและอู๋วางอาหารลงบนเคาน์เตอร์แล้ว อู๋ก็เดินออกไปรอที่ห้องทานอาหาร
ไม่กี่นาทีต่อมา ทรายก็เอา ‘Bake Potato’ สูตรที่เธอคิดได้เองที่อเมริกาออกจากเตาอบ ในขณะที่พัทยกชามสลัด เดินคู่กับทรายออกจากห้องปรุงอาหารตรงไปที่โต๊ะอาหารข้างนอก พอเตาอบว่าง ฝ้ายก็เอาไก่ใส่เข้าเตาอบต่อให้เสร็จ ทรายวางอาหารทั้งสองอย่างลงบนโต๊ะตรงหน้าอู๋ ทันทีที่ทรายหมุนตัวกลับอู๋ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าร้อนใจ “ทราย... เรารู้สึกไม่ดีเลยที่ ไปโกหกฝ้ายแบบนั้นน่ะ” สิ้นเสียงทรายก็หมุนตัวมาพูดกับอู๋ด้วยสีหน้าที่ปกติที่สุดเท่าที่เธอหวังว่าจะทำได้
“ ฟังนะอู๋ การโกหกเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็จริง แต่ถ้าเราทำไปแล้ว แล้วรู้สึกว่ามันทำให้คนที่เรารักสบายใจล่ะก็ มันก็เป็นสิ่งที่เราสมควรทำมากที่สุด เพื่อความสงบสุข ไม่ใช่หรอ” ทรายถามกลับ ทิ้งไว้อย่างนั้นให้อู๋คิดว่า จริงอย่างที่เธอพูดมั๊ย พัทเดินโอบบ่าทรายกลับเข้าไปในห้องปรุงอาหาร จากภาพที่อู๋เห็นตรงนั้นมันทำให้เกิดคำถาม ข้อหนึ่งในใจของอู๋ไว้เพียงแต่ยังไม่กล้าที่จะถามออกไปตอนนั้น
ใช่แล้วเสียงนั้นทุ้มลึก แต่นุ่มนวลน่าฟัง เป็นเสียงแบบที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันที่จะได้ยินคำกล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกๆคืน
“คุณพัทธมนครับ นี่คุณเรวัตร ประธานบริษัทแห่งนี้ครับ”
จบคำพูดของ พิชาญ ชายหนุ่มที่พัทคิดว่าน่าจะอายุประมาณซัก 40 ปลายๆจากน้ำเสียงที่ได้
ยินนั้นก็หมุนเก้าอี้มายังฝั่งที่พัทยินอยู่ ผิดแล้วล่ะ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ชายหนุ่มอายุซักประมาณ 40 ปลายๆ แต่คนนี้ดูหน้าละอ่อนราวๆ20ต้นๆมากกว่า อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเค้าเลยหละ แต่หลังจากที่เสียงหัวใจหยุดส่งเสียงดังเกินกว่าเหตุ และสายตาของเขาเองกลับมาเป็นปกติเค้าก็พบว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร
    ไม่ผิดแน่แล้วเสียงทุ้มลึกแต่นุ่มนวล ดวงตาสีดำมันขลับ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบาง ไรหนวด ไรเคราถูกประดับไว้อย่างสมควรและ เสริมให้ดูดียิ่งขึ้นไปอีก ชายหนุ่มที่หน้าตาคล้ายพระเอกหนังไทยคนนี้ คือ ชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่พัทเจอในลิฟต์เมื่อซักครู่นี้เลย
    ทันทีที่ทั้งคู่เห็นหน้ากันจะๆ ก็แผดเสียงร้องออกมาทำให้พิชาญถึงกับสะดุ้งตกใจ
    “คุณ... ในลิฟต์นี่!!!”
หน้า                  บ้านของฝ้ายกลายเป็นลานจอดรถอย่างดีให้อู๋ ทราย และพัท(ที่พกรอยยิ้มกว้างเฉียดใบหู ขับรถเข้ามาจอดหลังจากกลับมาจากบริษัท) ในขณะนี้ทรายและ พัทกำลังช่วยกันทำอาหารอยู่ในห้องปรุงอาหาร ในตัวบ้าน ส่วนฝ้ายกับอู๋ก็แสดงฝีมืออยู่ที่เตาแก๊สในส่วนของครัวที่อยู่นอกบ้าน ทรายทำอาหารฝรั่งอย่างคล่องมือโดยมีพัทเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ
    “พัท เนยในช่องฟรีซ กับชีสผงที่เพิ่งซื้อมาล่ะอยู่ไหน” ทรายเอ่ยถามในขณะที่ล้างผักต่างๆอยู่ ซึ่งพัทเองก็วางของที่ว่าลงบนเคาน์เตอร์ แทนที่จะใช้คำตอบพัทกลับเดินเข้ามาหาทรายด้วยท่าทีที่หงอยเหงา วางหน้าลงบนบ่าสีน้ำผึ้งนวลเนียนของทรายมือของพัทโอบล้อมเอวเล็กๆที่ไร้ชิ้นผ้าปกปิดของทราย หากว่ามีใครคนอื่นมาเห็นทั้งสองคนในสภาพนี้คงจะคิดว่า ทั้งคู่เป็นคู่รักที่หวานชื่น แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามทรายรู้ดีว่าพัทคิดกับเธอแค่เพื่อนสนิทไม่มีอะไรลึกซึ้งเกินเลยไปกว่านั้น
    แต่อาการของพัทบ่งบอกถึงความรู้สึกในใจดวงตาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
    “พัท... คิดถึงใครอยู่หรอ” ทรายถามเบาๆราวกับจะกระซิบ
    “เปล่า...” ชายหนุ่มทิ้งเสียงให้เบาลงเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน “พัทเหงา”
ทรายยกผักทั้งหมดมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วหยิบไชเท้าสีขาวซีดขึ้นมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูตลก
“เฮ้นายพัท นายหน้าจืด” ทรายพูดกับไชเท้าดูไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ ที่เล่นกับตุ๊กตา “นายจะมาเศร้าอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะยะ ... ไม่ว่าเธอจะไม่มีใครแต่ชั้น...” ทรายหยิบแครอทที่มีขนาดเท่าๆกับไชเท้าอันนั้นขึ้นมา “ชั้น นางสาวแซนดี้ ขอสัญญาว่าจะอยู่กับนายตลอดไป นายจะบอกว่าไม่มีใครได้ไงในเมื่อชั้นก็อยู่ข้างๆนายตลอดเวลาแบบนี้”
พัทปล่อยเสียงหัวเราะออกมาตั้งแต่คำว่า ‘นางสาว แซนดี้’ มาจนจบประโยค
“นี่ทราย เธอนี่จริงๆเลย คิดได้ยังไงนางสาวแซนดี้” พัทพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“อ้าวก็ แซนด์ (sand) แปลว่าทรายไง” ทรายเองก็ยังหัวเราะกับคำพูดของตัวเอง “เอาเถอะๆ ยังไงมันก็ทำให้นายขำได้ละกัน” ทรายยิ้มให้พัทที่เข้ามาสวมกอดเธออีกครั้ง
“ขอบใจทรายนะที่เข้าใจเรา”
“จ้ะ” ทรายยิ้มอีกก่อนที่จะหยิบมันฝรั่งขึ้นมาหัวหนึ่ง แล้วเริ่มพูดในขณะที่เริ่มปอกเปลือกมันฝรั่ง “ความรู้สึกมันก็คือสิ่งที่มนุษย์เรากำหนดขึ้นเองนั่นแหละ ในเมื่อเรากำหนดเองได้ เราจะกำหนดให้รู้สึกไม่ดีทำไมล่ะจริงมั๊ยล่ะ” ทรายปอกเปลือกมันฝรั่งเสร็จทั้งลูกก็ยกให้พัทดู “เฉือนมันทิ้งไปเถอะ พัทความรู้สึกเศร้า เหงา ทุกข์ที่บดบังความเป็นตัวนาย อย่ามัวแต่จมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจแบบนี้เลย”
พัทพยักหน้าอย่างเข้าใจและยิ้มให้เพื่อนสาวที่แสนจะน่ารักอย่างไม่มีใครเหมือน อย่างทราย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับเข้าสู่การทำอาหารอีกครั้งโดยครั้งนี้ทรายให้พัทปอกเปลือกมันฝรั่งแล้วเอาไปต้ม ส่วนตัวเธอเองก็ทำหน้าที่หั่นแครอท ไชเท้า และกะหล่ำปลีเป็นฝอยๆ หั่นแตงกวา และมะเขือเทศเพื่อทำสลัด
“อ้าวแล้วนี่ นายไปเป็นเลขาให้ใครหรอ ป้าแก่ๆหรือ สาวสวยๆ” ทรายเปลี่ยนเรื่อง
“อ๋อเป็นผู้ชายน่ะ อายุราวๆ24-25”
“ว้าว อายุมากกว่านายแค่ 2ปีเองนี่นา” ทรายพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นหลังจากพักผักเอาไว้ในอ่างใบเล็กๆ “นี่ทีหลัง แนะนำให้ชั้นรู้จักหน่อยสิ”
“ได้ แต่ว่าเธออาจจะช็อคมากเลยก็ได้นะ เพราะเค้าน่ะหล่อมากๆ” ทันทีที่พัทคิดถึงหน้าของเจ้านายหนุ่มขึ้นมาในมโนภาพ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของชายหนุ่ม ทรายยักไหล่ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทรายกลับไปก้มหน้าก้มตาบดมันฝรั่งต้มในชามต่อไป ในขณะที่พัท เติมนมและเนยลงไป แล้วทรายเป็นคนคลุกให้เข้ากัน หลังจากมันฝรั่งเละรวมไปกับนมและเนยแล้วทรายก็เป็นคนเติมชีสผงลงไปที่ผิวหน้าของมันฝรั่งและส่งเข้าเตาอบไป
พัทยกคลุกผักที่หั่นเป็นฝอยกับข้าวโพดต้ม และถั่วแดงต้มเข้าด้วยกัน ใส่ไว้ในชามเซรามิกสีน้ำเงิน แล้วโปะมะเขือเทศ และแตงกวาที่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ข้างบนก่อนที่จะราดน้ำสลัดลงบนชามสลัด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฝ้ายยกถาดขนาดใหญ่ที่ใส่ไก่ ส่วนที่เป็นสะโพกติดน่องดิบๆ 4 ชิ้น ที่ราดด้วยน้ำซอสที่ใช้หมัก เข้ามาส่งต่อให้ทราย ส่วนอู๋ก็ยกชามซอสเกรวี่ และชามที่ใส่เส้นมักกะโรนีเส้นยาวที่ต้มไว้แล้วเข้ามาในห้องปรุงอาหาร หลังจากที่ทั้งฝ้ายและอู๋วางอาหารลงบนเคาน์เตอร์แล้ว อู๋ก็เดินออกไปรอที่ห้องทานอาหาร
ไม่กี่นาทีต่อมา ทรายก็เอา ‘Bake Potato’ สูตรที่เธอคิดได้เองที่อเมริกาออกจากเตาอบ ในขณะที่พัทยกชามสลัด เดินคู่กับทรายออกจากห้องปรุงอาหารตรงไปที่โต๊ะอาหารข้างนอก พอเตาอบว่าง ฝ้ายก็เอาไก่ใส่เข้าเตาอบต่อให้เสร็จ ทรายวางอาหารทั้งสองอย่างลงบนโต๊ะตรงหน้าอู๋ ทันทีที่ทรายหมุนตัวกลับอู๋ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าร้อนใจ “ทราย... เรารู้สึกไม่ดีเลยที่ ไปโกหกฝ้ายแบบนั้นน่ะ” สิ้นเสียงทรายก็หมุนตัวมาพูดกับอู๋ด้วยสีหน้าที่ปกติที่สุดเท่าที่เธอหวังว่าจะทำได้
“ ฟังนะอู๋ การโกหกเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็จริง แต่ถ้าเราทำไปแล้ว แล้วรู้สึกว่ามันทำให้คนที่เรารักสบายใจล่ะก็ มันก็เป็นสิ่งที่เราสมควรทำมากที่สุด เพื่อความสงบสุข ไม่ใช่หรอ” ทรายถามกลับ ทิ้งไว้อย่างนั้นให้อู๋คิดว่า จริงอย่างที่เธอพูดมั๊ย พัทเดินโอบบ่าทรายกลับเข้าไปในห้องปรุงอาหาร จากภาพที่อู๋เห็นตรงนั้นมันทำให้เกิดคำถาม ข้อหนึ่งในใจของอู๋ไว้เพียงแต่ยังไม่กล้าที่จะถามออกไปตอนนั้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น