15 กุมภาพันธ์ 2541
    เมื่อวานไม่น่าไปช้าเลย วันนี้ผมเลยรีบไปที่สวนสาธารณะ เพื่อจะได้พบเธอ...คนนั้น
    แต่ดูว่าบุ้งกี๋จะไม่เห็นด้วย มันตื่นสายมาก ประมาณ 10 โมงได้ แต่ไม่เป็นไร เมื่อวานก็เจอเธอตอนเย็นๆ เพราะฉะนั้นต้องรีบไปดักหน้า ดูเหมือนคนร้ายยังไงไม่รู้สิ
    ระหว่างที่เดินจากบ้านไป เพราะว่าไม่มีรถ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เธอจะมีแฟนหรือยัง ก็สวยขนาดนั้น เมื่อวานก็มีคนโทรมา จะใช่แฟนเธอรึเปล่า วันแห่งความรักนี่นา ดูท่าว่ารีบไปซะด้วย แย่จัง แต่ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น วันนี้จะต้องไปถามเธอให้ได้ว่าเธอมีแฟนรึยัง ถ้าไม่มี ก็จีบเลย (มากไปป่าว) แต่ถ้ามี ก็จะแย่งมาให้ได้ (คิดอกุศล)
    เมื่อไปถึงก็ประมาณ 11 โมงกว่าๆ ไม่ใช่ว่าเดินมาชั่วโมงครึ่งนะ แต่ใช้เวลาแต่งหล่อ 55 ซึ่งกินเวลาไปกว่าครึ่ง แต่ออกมาไม่ต่างกับบุ้งกี๋เลย เฮ้ย... เศร้าใจ
    ผมกับบุ้งกี๋นั่งอยู่แถวนั้นเป็นเวลานาน แล้วคิดดูนะ จะเที่ยงแล้วอ่ะ พยายามนั่งใต้ต้นไม้แล้วนะ แต่มันก็ยิ่งอบอ้าว แถวนั้นก็ไม่ค่อยมีคนเลย นั่งไม่นั่งมาเริ่มรู้สึกว่าหน้าตาเริ่มดูโง่ๆขึ้นมานิดๆ จนหมาหลับไปแล้วอ่ะ ผมก็เลยหลับด้วย ช่างมีจิตใจแน่วแน่จริงๆ (เสียงประชดนิดๆ)
    ผมตื่นขึ้นมาอีกที ก็บ่ายสองแล้วมั้ง ที่ตื่นก็เพราะบุ้งกี๋มันเลีย อนามัยย่ำแย่ถึงขีดสุด ผมรู้สึกสิ้นคิดเลยพาหมาออกไปเดินรอบสวน เจริญเลยแหละ รอบนึงยาวสี่-ห้ากิโล
    แต่การฆ่าเวลาของผมก็ใช้ได้นะ เดินกลับมาก็เย็นพอดี (คิดดู) และแล้วผมก็ได้เจอกับเธออีกครั้ง
    เธอเพิ่งมาเห็นจะได้ ผมเลยรีบเข้าไปเลย
    \"หวัดดีครับ คุณที่เจอเมื่อวานใช่ไหม แหม บังเอิญจังเลยนะครับ วันนี้ผมว่างเลยพาบุ้งกี๋ออกมาเดินเล่นอีก\" โกหกหน้าตาย แถมยังจูงหมาด้วยหน้าตายิ้มแย้มอีกนะ เดินเมื่อกี้มันเหนื่อยนะเนี่ย
    \"สวัสดีค่ะ ไปวิ่งด้วยกันเลยไหมคะ ดูท่าบุ้งกี๋มันอยากจะยืดเส้นยืดสายนะค่ะ\" จะบ้าเหรอแม่คุณ หมามันอาจจะอยากไปแต่คนจูงนี่จะแย่แล้วนะ
    แต่ก็ (ทำเสียงหล่อ) แหม คุณผู้หญิงเชิญทั้งทีจะปฏิเสธได้อย่างไร (กลับมาเป็นคนเดิม) นี่แหละโอกาส อิอิ
    \"แน่นอนครับ เราก็เพิ่งมาเหมือนกัน\" โกหกกำลังสอง
    การวิ่งครั้งนั้นสุดๆจริงๆ ในสองทางเลย ดีสุดๆกับแย่สุดๆ แต่แม้จะเหนื่อยแบบเล็กน้อยมหาศาล ก็ได้รู้ว่าเธอยางม่ายเมแฟน ฮิฮิ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอีก
20 กุมภาพันธ์ 2541
    ผมไปทุกวันเลย ตอนนี้เราเริ่มสนิทกันแล้วน้า แต่ส่วนใหญ่ดูเธอจะสนใจแต่หมา แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกหน่อยเธอก็จะสนใจผมเอง ว่าไปนี่ดูไม่มีจุดยืนเลย
    ช่วงนี้งานก็ดูไปได้ดีนะ ความรักก็ดูไปได้สวย ส่วนหมาตัวนี้ก็มีประโยชน์ ช่วยได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องความรัก
    วันนี้ผมก็ได้ไปสวนสาธารณะ เจอเธอทุกวัน คุยไปคุยมาจนรู้ว่าเธอชื่อพิมพ์อยู่กับพ่อแม่ ตอนนี้อายุ 22 เพิ่งเรียนจบ ทำงานอยู่ที่ฟิตเนส เป็นครูสอนโยคะ จะว่าไปนี่ผมก็เป็นนักล้วงข้อมูลที่ใช้ได้นะเนี่ย เปลี่ยนงานดีป่ะ ช่างมันเถอะ
10 มีนาคม 2541
    ตอนนี้เราสนิทกันมากๆแล้วนะ จนในที่สุดผมก็จะชวนเธอไปกินข้าวแล้ว ผมนัดเธอไว้สองทุ่มที่ร้านอาหารใกล้ๆสวนสาธารณะ และเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือว่าผมไม่ค่อยรวยน่ะ เลยไปทำงานพิเศษแบบPart time (ไม่รู้ว่าเป็นไทยยังไง) ที่ร้านนั้นเลย ก็หนุกดีนะ ผมจะไม่บอกเธอหรอกครับ ว่าที่ร้านนั้นเค้าใส่อะไรลงไปในอาหารบ้าง
    บุ้งกี๋มันโตมากๆเลยตอนนี้ จนตอนนี้ผมผอมกว่ามันแล้วนะเนี่ย ก็จะเพราะอะไรได้ล่ะ
15 มีนาคม 2541
    พรุ่งนี้แล้วที่ผมนัดเธอไว้ ไม่รู้ว่าจะแป้วเหมือนคราวที่แล้วหรือเปล่า น่ากลัวจริงๆ
16 มีนาคม 2541
    ผมมาถึงที่นี่ตอนทุ่มสี่สิบ เพราะเชื่อว่ามาเร็วดีกว่ามาช้า แต่ว่าไม่ได้เอาบุ้งกี๋มาหรอกนะ เป็นกฎของร้านที่ห้ามเอาสุนัขเข้าร้าน ผมล่ะสะใจ 
    แต่.. มาเร็วไปก็ไม่มีโต๊ะนั่ง สงสารตัวเองมากๆ
    ตอนสองทุ่มเธอก็มา เป็นคนที่ตรงเวลามั๊กๆ
    “สวัสดีค่ะ มานานรึยังคะ” นานแล้วครับ อยากตอบงี้อ่ะ แต่ก็
    “ไม่นานหรอกครับเพิ่งมาเมื่อไม่นานนี้เอง” โธ่.......
    เมื่อเรามานั่งที่โต๊ะแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่พนักงานมาที่โต๊ะ คงเพราะรู้ว่าผมทำงานที่นี่มั้งเนี่ย แล้วมันเกี่ยวอะไรเหรอ
    สองนาทีผ่านไป
    สามนาทีผ่านไป
    สี่นาทีผ่านไป......
    “ทานไรครับ” พิมพ์สะดุ้งเลย เสียงเราน่ากลัวไปรึเปล่านะ หรือว่าปากจะเหม็นเหมือนในโฆษณา เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่สั่งอาหารร้อนๆมาเป่าให้เธอ
    “เป็นไรหรือเปล่าครับ” ผมถาม แต่ไม่ได้หวังคำตอบอย่างที่ผมคิดนะ
    “เปล่าค่ะ คุณอยากทานอะไรคะ” เธอถาม เฮ้ย ตอบว่าไรดีล่ะ
    “พิมพ์อยากทานอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ” แต่ไม่แพงนะครับ งบไม่พอ ไม่ได้พูดไปหรอก แค่คิด
    “ให้นพเลือกเถอะค่ะ ฉันก็นึกอะไรไม่ค่อยออก” โถๆๆๆๆ แล้วเมื่อไรจะได้กินล่ะครับ
    การโต้เถียงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็หิวจนท้องกิ่ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เมื่ออาหารมาถึง ผมจะทึ้งเหมือนแร้งลง เพราะฉะนั้นต้องแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ
    “งั้น ผมสั่งข้าวผัดนะครับ มันเป็นอาหารที่ดูพื้นๆแต่ว่าถ้าจะทำให้อร่อยมันยาก ต้องเก่งจริงๆเท่านั้นแหละครับ” พ่อครัวจะฆ่าผมตายไหมเนี่ย ไม่เป็นไรหรอก ผมจะอ้างว่าลอกคำพูดมาจากหนังสือการ์ตูน ซึ่งก็เป็นความจริง
    ตกลงมื้อนั้นเราก็ได้กินข้าวผัดกับน้ำเปล่า ไม่เกินงบด้วย โฮะๆ ผู้จ่ายเงินพึงพอใจมาก
หลังจากผ่านไปหนึ่งปีเราก็เริ่มคบหากันเป็นแฟน ในช่วงปีนั้นก็มีเรื่องนึงที่น่าจดจำมากๆ.......... เฮ้ย..
26 พฤษภาคม 2541
    วันนี้เรานัดจะไปเที่ยวกันครับ แอน แอ้น แอ๊น (เหมือนในหนัง) ไปเที่ยวงานวัดครับ (ล่มเลย)
    แหม ก็ดีออก ดูโรแมนติกแบบบ้านๆไง ไม่ดีเหรอ (ไม่เลยๆๆ) ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้นะ
    ทุกอย่างดูดีไปหมด บุ้งกี๋ดูสนุกมากๆ มันชอบคลอเคลียอยู่แถวๆขาพิมพ์ น่าหมั่นไส้
    เราได้นั่งชิงช้าสวรรค์ด้วย แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยแข็งแรงคงทน แต่ก็เป็นไฮไลท์ของงานเชียวนะ ตอนขึ้นก็ดีเชียว ได้นั่งมองหน้ากันด้วยนะ ซึ้งเชียว แต่จะดีขึ้นถ้าไม่มีหมาเห่าอยู่ข้างๆ บรรยากาศเสียเลย
    นั่งไปเรื่อยๆ มองดูวิวข้างล่าง สว่างมากเลย
    “น่าจะเอากล้องถ่ายรูปมานะคะ” พิมพ์พูดขึ้น
    “ทำไมเหรอครับ” ผมไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้หรอก เอาเงินค่ากล้องไปซื้อข้าวเลี้ยงหมาเรียบร้อย
    “ฉันไม่ค่อยได้มางานวัด แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์” เหมือนกันเลย
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ความทรงจำดีๆไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปถ่ายหรอกครับ” พูดดีจังนะ ร้อยวันพันปีไม่เค้ย ไม่เคยได้พูด ภูมิใจมาก
    แล้วจู่ๆ ชิงช้าสวรรค์ก็หยุดลง ผมนึกว่าถึงพื้นแล้ว แต่ไม่หรอก อยู่ใกล้แล้วแหละ แต่ยังไม่ถึง สักสี่ห้าเมตรได้
    ไม่นานก็ลงถึงพื้น ความจริงก็สักพักแหละ แต่ที่จริงก็ค่อนข้างนานนะ จะว่าไปก็นานมากเลย
    “น่ากลัวนะครับ” ผมพูดตอนถึงพื้นอย่างปลอดภัย
    “ก็นิดหน่อยค่ะ”
    แต่เรื่องยังคงไม่จบอยู่แค่ติดอยู่บนชิงช้าสวรรค์นะ มีต่อๆ
    “กินไรไหมครับ” ผมถาม ที่จริงคือหิวมากๆ
    “ไปดูตรงนั้นไหมคะ” เธอชี้ไปที่รถขายไอติมแท่งแบบอันละสองบาทนั่นแหละ
    เราสามชีวิตเดินไปดู แล้วก็ได้ไอติมกลับมาสามแท่ง
    ระหว่างที่ผมกับพิมพ์กินอยู่ บุ้งกี๋ก็จัดการของมันหมดแล้ว แต่มันยังไม่มีท่าว่าจะพอ
    มันมาเดินวนๆอยู่ตรงเท้าผม คิดเหรอว่าจะให้ แต่มันก็ยังตื๊อ ผมไม่สนใจ จะก้มลงไปแยกมันออก แต่ว่า.... ผมสะดุดบุ้งกี๋ล้มไปโดนพิมพ์ เวรกรรม เปื้อนด้วย
    “โทษครับๆๆๆๆๆๆๆๆ” ผมพูดจนเริ่มติดอ่าง
    “ไม่เป็นไรค่ะ นิดเดียว ซักก็ออก”
    การไปเที่ยวงานวัดครั้งนั้นจบลงตรงนั้นนั่นเอง
แต่เรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นเกิดขึ้นหลังจากคบกันไปสองปีกว่าๆ ช่วงที่เราจริงจังกันมากขึ้น จนในที่สุดพ่อแม่ของเธอก็ต้องการพบผม โธ่.......... เรื่องมันเศร้า
17 มิถุนายน 2543
    “สวัสดีครับ” ผมพยามปั้นหน้าสุดๆ ก้มหัวจนถึงเข่าแล้วมั้ง
    “นั่งเถอะจ้ะ” แม่ของพิมพ์ชี้มือไปที่เก้าอี้รับแขกตัวนึง ในห้องรับแขกของบ้าน ซึ่งหย่ายมาก
    “พิมพ์เป็นไงบ้าง” พ่อของเธอถาม มันยากนะเนี่ย
    “เธอเป็นคนดีครับ เก่ง ฉลาด อารมณ์ดี แล้วก็เป็นคนมีเหตุมีผม” เฮ้ย พูดผิด “คือ มีผลน่ะครับ” ตายแล้ว เราพูดอาไรออกไป (คล้ายในโฆษณาคนอ)
    “ลูกสาวเราพูดถึงคุณไว้มากค่ะ” แม่ของพิมพ์บอก “เธอว่าคุณเป็นคนดีนะ” ไม่รู้ว่าพิมพ์จะคิดอย่างไงกับการที่แม่ของเธอบอกผมอย่างนี้ในขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างๆนี่เอง
    “คุณคิดยังไงกับการศึกษาเหรอครับ” พ่อของพิมพ์ถาม จะบ้าเหรอครับ มันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย ผมไม่ได้จะสอบเข้าโรงเรียนคุณนะ
    “เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ การศึกษาเป็นรากฐานของชีวิตที่มีคุณภาพ เป็นเรื่องดีที่เมืองไทยให้เด็กเรียนมาก แต่ผมเกรงว่ามันจะมากเกินไป ทุกอย่างควรจะอยู่บนรากฐานของความพอดี เด็กๆควรได้มีเวลาเรียนรู้ชีวิตจริงในสังคมเพิ่มขึ้นครับ” (55 คนเขียนจะประท้วงกระทรวงแล้ว ล้อเล่นน่า) นี่กว่าจะพูดออกไปได้นี่ยากนะ ต้องขอบคุณคนเขียนเรื่องที่เขียนบทให้ ถ้าไม่ได้ผลก็เดี๋ยวเจอกันแน่ (แล้วจะคอยดู)
    “เป็นคำตอบที่ดี แล้วคุณว่ายังไงกับการที่พิมพ์อยากเดินทางรอบโลกล่ะ” อย่ายิงคำถามมาอย่างนี้ได้ไหมเนี่ย
    “เป็นเรื่องที่ควรให้การสนับสนุนมากครับ การที่เราได้เห็นโลกมากเราก็จะมีประสบการณ์มาก ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แล้วเราก็จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอื่น รวมทั้งเผยแพร่วัฒนธรรมของเราด้วยครับ” โถ การพูดเป็นสาระเนี่ยทำให้ผมเหนื่อยเหมือนกันนะ คนเราคงจะสามารถคิดคำถามอะไรอย่างนี้ได้อีกไม่มากหรอก
    “ก็ดี” พ่อของพิมพ์พูด ก็มันจะไม่ดีได้อย่างไรเล่า กว่าจะคิดได้นี่ไม่ง่ายนะครับ
    “ผมก็ดีใจนะ ที่ลูกสาวของเราได้รู้จักกับคนดีอย่างคุณ” เหอๆ ไม่มีคำอธิบาย
    แล้ววันนั้นก็ผ่านไปด้วยดี (เห็นไหมเล่า) ผมได้เรียนรู้ว่า... ว่า..... ว่าผู้ชายน่ะ ก่อนที่จะแต่งงานก็พูดได้สร้างสรรค์อย่างนี้แหละครับ
    วันเวลาผ่านไปนานกว่าสามปีแล้ว ผมกับพิมพ์ไม่ค่อยได้เจอกันที่สวนสาธารณะกันบ่อยนัก ส่วนใหญ่ก็จะไปอยู่แถวๆร้านอาหารนั่นแหละครับ ส่วนตอนนี้เนี่ย ผมลาออกจากงานที่ร้านนั้นแล้ว ช่วงนี้เลยว่าง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไร้สาระ หรืออาจจะเพ้อเพราะว่าหิวก็ได้
    แล้วในที่สุดเราก็ได้แต่งงานกัน ผมก็ต้องเดือดร้อนพ่อแม่อีกนั่นแหละ เรื่องสู่ขอมั่งล่ะ เรื่องสินสอดมั่งล่ะ ความจริงพ่อแม่ผมก็ไม่ได้ไม่รวยนะ เพียงแต่ผมค่อนข้างไม่เต็มเลยออกมาใช้ชีวิตคนเดียว งานวันนั้นไม่ค่อยมีคนเท่าไร แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงมีคนมากก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรักกันมากขึ้นนี่นา
    นับจากวันนั้น  จนถึงวันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว นั่นคือความเป็นจริงว่าความรักไม่สามารถถูกลบล้างได้ ผมมีความสุขเสมอที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนทั้งสองที่มีความสำคัญในชีวิตผม เธอ ผู้เป็นที่รักกับ ..... เขา ผู้ที่แม้จะไม่เคยคิดจะแบ่งข้าวให้ผมกิน แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อกันเสมอมา
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น