คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บ้านเลขที่ 2
บ้านเลขที่ 2
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังลั่นบ้าน ผมขมวดคิ้วเงยหน้าละจากชิ้นส่วนแจกันในมือ เสียงกริ่งโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด ผมตัดสินใจวางกาวแล้วลุกขึ้นวิ่งไปรับ
“แกไม่เข้าเรียนหรือไงวะราม” เสียงปลายสายดังไม่ทันให้ผมได้กรอกเสียงลงไป ผมกระพริบตาปริบๆจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงแหลมปรี๊ดจะเป็นใครไม่ได้ได้ นอกจากไอ้ฟอนหญิงสาวสุดแสบคนเดียวในกลุ่ม
“เข้าสิวะ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่หรอ” ผมบอกขณะมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ผมยังเหลือเวลากว่าสองสามชั่วโมงถึงจะเข้าเรียน ผมจึงปัดกวาดเช็ดถูเนรมิตห้องครัวให้กลับเป็นเหมือนเก่า แต่นี่ยังเหลืองานประกอบชิ้นส่วนแจกัน และซ่อมแซมโต๊ะไม้ขาหักร่องแร่ง อย่าดูถูกว่านี่เป็นงานง่ายๆนะ เพราะงานนี่ถึงกับเป็นงานใหญ่จากเทพบนสวรรค์และปีศาจจากนรกเป็นคนบัญชา(ลงมือทำเละ)เองเลยนะครับ
“แล้วรายงานกลุ่มที่นัดว่าจะทำวันนี้ล่ะว่าไง”
“ตายโหง” ผมอุทานตาแทบหลุดจากเบ้า ก่อนจะไปนึกคาดโทษไอ้สองตัวแสบที่ไม่อยู่ตรงนี้ เพราะพวกมันแท้ๆทำให้ผมลืมนัดไปทำรายงานในวันนี้ มัวแต่เก็บกวาดซากวีรกรรมของสองพระหน่อ เก็บไปบ่นไป เลยลืมเสียสนิท “โทษทีว่ะ พอดีฉันลืม เออๆรู้แล้วเดี๋ยวไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“แกมาเร็วๆนะเว้ย ตอนนี้ไอ้โหลกับไอ้เพียวมันจะหักคอกันตายแล้ว” ผมฟังคำไอ้ฟอนแล้วกลอกตา หมดจากทัพเด็กตีกันแล้ว ผมต้องย้ายไปดูอีกทัพมันตีกันอีกหรือไง
“ปล่อยให้ไอ้สองตัวมันฆ่ากันตายๆไปซะคนก็ดีโลกมันจะได้สูงขึ้น อยู่ไปก็หนักโลกเปล่าๆ”
“เออโลกมันสูงขึ้นแน่เพราะถ้าฉันตายฉันจะลากแกลงไปด้วยว่ะไอ้รามเพื่อนรัก” เสียงกลั้วหัวเราะต่อปากต่อคำคราวนี้กลับเป็นเสียงห้าวๆมาดแมน ผมแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ ไหนไอ้ฟอนมันบอกว่าไอ้สองห่ะนี่กำลังตีกันอยู่ไง ไหงไอ้เพียวมันมายืนรับโทรศัพท์คุยกับเขาเฉย
“ใครเพื่อนแก ไหนใคร” ผมถามเสียงยวน
“ก็หมาแถวนี้แหละวะ ไม่ต้องตีเสียงซื่อไอ้ราม รีบออกมาได้แล้ว พวกฉันรออยู่” ไอ้เพียวกำชับก่อนตัดสายไปดื้อๆ ผมกำกระบอกโทรศัพท์แล้วส่ายศีรษะ หมดจากงานเลี้ยงดูเด็กก็ขยับเลื่อยขั้นเป็นผู้ดูแลละครสัตว์ ควบคุมไม่ให้เสือสิงห์มันปะทะกัน เฮ้อ...ชีวิตนี้ผมจะมีวันสงบสุขกับเขาบ้างไหมเนี่ย
ผมหันหลังเตรียมจะไปเก็บของเข้ากระเป๋าเพื่อไปมหาลัย พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมขมวดคิ้วหงุดหงิด พวกไอ้เพียวมันกะให้ผมเหาะไปหามันเลยใช่ไหม ถึงได้โทรมาจิกเร่งจัง ผมคว้าโทรศัพท์มาแล้วกรอกเสียงตะโกน “โทรมาอีกทำไมเล่า บอกแล้วไงว่ากำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
“ดี งั้นรามมาเลย แค่นี้นะพวกฉันรออยู่” หากเสียงคราวนี้กลับเป็นเสียงเด็กชายอย่างคาลอส ผมชะงัก อะไรเนี่ยความวัวไม่ทันความควายก็เข้ามาชนดังโครมเลยหรือไง
แล้วมันทำท่าจะตัดสายไปจริงๆ ผมรีบละล่ำละลักถามกลับ “เฮ้ยๆเดี๋ยวคาลอส มีอะไรถึงโทรมา”
“อ้าว ฉันก็นึกว่ารามมีญาณพิเศษรู้ทุกอย่าง เห็นบอกว่าจะรีบมา ไอ้ฉันก็นึกว่ารามรู้เรื่องแล้ว” น้ำเสียงไอ้ปีศาจเจ้าเล่ห์มันฟังออกซื่อ แต่คนรู้เช่นเห็นชาติดีอย่างผมฟังแล้วอยากกระโดดเตะมัน บ๊ะไอ้นี่กล้าแกล้งยวนกวนประสาทผู้ใหญ่ มีใครบ้างจะรู้ว่ามันอยากพูดอะไร ไม่ใช้เทวดาซาตานอย่างพวกเอ็งนี่
“ถ้านายไม่พูดแล้วฉันจะรู้ไหมล่ะวะ เมื่อกี๊นี่ก็ขอโทษที ฉันนึกว่าเพื่อนโทรมา”
“เพื่อน เพื่อน รามเห็นแต่เพื่อน แล้วมีบ้างไหมที่เห็นฉันอยู่ในสายตา” คาลอสตัดพ้อ น้ำเสียงละห้อยฟังกวนตีนผมอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่ได้ตาบอดสักหน่อย ฉันเห็นมันหมดทุกคนนี่แหละ” เห็นทะลุไปถึงตับไตไส้พุง ว่าไอ้พวกคุณๆ(ทั้งเด็กเล็กยันเด็กโต)ทั้งหลายมีนิสัยสันดานอย่างไร “คาลอสอย่านอกเรื่องมีเรื่องอะไรรีบพูดมา” ผมสั่ง
“ก็ไม่มีอะไรมาก ต่างหูของเอรีพุสมันแตก ตอนนี้มันเลยเก็บปีกไม่ได้” คาลอสพูดเสียงธรรมดา แต่ผมนี่สิครับตาถลนแล้ว
“ปีก” ของเหล่าเทพและปีศาจเปรียบเสมือนตัวแทนพลังของเวทมนต์ ผู้ได้รับการฝึกฝนสามารถเก็บปีกได้ และหากฝึกฝนยิ่งขึ้นไปอีกก็สามารถใช้เวทมนต์ขณะเก็บปีกได้ แต่ปีกก็คือต้นกำเนิดของพลังเวททั้งมวล ยิ่งใช้เวทมนต์ระดับยากยิ่งขึ้นก็ต้องพึ่งพลังจากปีก และการที่จะดึงพลังเวทออกมาให้ได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อปีกนั้นสยายอยู่กลางหลังของผู้ใช้เวทย์
ทว่าทั้งเอรีพุสและคาลอสแม้จะเรียนรู้วีธีการเก็บปีกแล้ว และสามารถดึงพลังมาใช้ได้โดยไม่ต้องสยายปีก หากมีพวกเขาก็ยังไม่สามารถดึงพลังเวทมาใช้ได้อย่างสะดวกนัก
“ว่าไงนะ แล้วทำไมไม่รีบบอก” ผมตะโกนใส่กระบอกโทรศัพท์อย่างหัวเสีย คาลอสมันพูดราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องที่เกิดมันใหญ่พอให้โลกทั้งโลกกระเทือน
โลกในตอนนี้ ผู้คนส่วนมากยังไม่เชื่อสิ่งที่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์ ไอ้พวกเวทมนต์คาถาเทวดาปีศาจมันล้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจินตนาการ จึงไม่เป็นที่ยอมรับในความเป็นจริงของสังคมมนุษย์
แล้วหากใครที่ไหนมาเห็นเอรีพุสมีปีก เด็กชายได้โดนจับขึ้นเขียงผ่าในห้องทดลอง หรืออย่างมากอาจโดนอุ้มเข้าตลาดมืดพวกของแปลก มันยิ่งหน้าตาดีผิดมนุษย์ แล้วถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะเอาหาลูกที่ไหนไปชดใช้พ่อแม่เขากัน แค่คิดผมก็เครียดแล้วครับ
“แล้วต่างหูนายล่ะยังอยู่ดีหรือเปล่า” ผมถามคาลอส
“ตอนนี้ยังดีแต่ต่อไปก็ไม่แน่ถ้ารามยังมาไม่ถึง” เด็กชายตอบ
“เออ เดี๋ยวฉันไปหาพวกนายที่โรงเรียน แล้วระวังอย่าให้ใครมาเห็นเอรีพุสตอนนี้ล่ะ” ผมกำชับก่อนจะวางหูแล้ววิ่งตัวปลิวออกจากบ้านมุ่งไปยังโรงเรียนของเด็กชายทั้งสองทันที
โรงเรียนของพวกตัวแสบอยู่ในหมู่บ้าน เป็นโรงเรียนอินเตอร์ขนาดย่อม ส่วนมากจะเป็นพวกเด็กๆในหมู่บ้าน ที่ผมเลือกโรงเรียนนี้ให้เจ้าสองตัวทั้งๆที่ค่าเทอมนั้นแพงหูฉี่ อันดับแรกคือใกล้บ้าน ผมไม่จำเป็นต้องรับส่งให้เมื่อยตุ้ม อันดับสองสำหรับไอ้หัวทองๆและหน้าฝรั่งจ๋าของเอรีพุสและคาลอสก็ไม่มีโรงเรียนไหนเหมาะไปกับโรงเรียนอินเตอร์แห่งนี้แล้ว
ทันทีที่ผมไปถึงโรงเรียน ผมไม่ต้องเดินหาเจ้าคาลอสให้เสียเวลา เพราะแค่กวาดตามองหากลุ่มเด็กผู้หญิงที่กำลังกรี๊ดกร๊าดอยู่ ผมก็เจอเจ้าปีศาจมากเสน่ห์แล้ว
“คาลอส!” ผมเรียกเด็กชายพลางแหวกฝูงชนเข้าไปหา “ทำไมนายไม่อยู่กับเอรีพุส”
คาลอสยักไหล่ได้หล่ออย่างน่าหมั่นไส้ “ฉันกับมันไม่ได้ตัวติดกันนี่”
“ใช่ๆ” เสียงลูกคู่รับจากเด็กผู้หญิงทั้งหลาย ผมเลิกคิ้วหมุนตัวดูร่างบางของสาวน้อยทั้งหลายที่ยืนออเซาะคาลอสไม่อาย
เออ...เอาเข้าไปตอนผมเด็กๆไม่เห็นมีสาวน้อยสาวใหญ่มารุมมะตุ้มอย่างนี้บ้าง อิจฉาโว้ย (ตอนนี้ก็ไม่มี)
“แล้วลุงมาที่นี่ทำไม งานการไม่มีทำหรือไง” เสียงหวานจากเด็กหญิงใจกล้าคนหนึ่งเรียกคิ้วผมกระตุก เรียกอารมณ์ร้ายขึ้นเป็นริ้ว...เรียกพี่...เรียกน้าเรียกคุณอาไม่เท่าไร...แต่เรียกลุงนี่เคืองครับ
“แล้วพวกเธอไม่เรียนหรือไงกันหา!” ผมเท้าเอวตวาดไล่ ใบหน้าบูดบึ้งราวกับยักษ์ขมูขี พลังเสียงมหาศาลถูกดึงมาใช้ เด็กผู้หญิงทั้งหลายร้องจ้าวิ่งหนีกระเจิง ผมทำเสียงหึในลำคอกอดอกพอใจในผลงานตัวเอง
คนฟังเสียงตวาดผมจนเคยชินนั่งมองหลังเด็กหญิงที่วิ่งหลิ่วกันออกไปด้วยสายตาเสียดาย “โธ่รามก็ ไปตะคอกใส่พวกผู้หญิงได้อย่างไงกัน วิธีทรีตผู้หญิงน่ะหัดเรียนไว้ซะบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งเหงาอยู่อย่างนี้ โอ๊ย!”
“เสือก!” ผมเขกหัวมันดังสนั่นหวั่นไหว คาลอสแหกปากลั่น มือกุมหัว น้ำตาคลอหน้าเซียว ผมเห็นอาการมันแล้วก็เลิกคิ้วแปลกใจ มือผมหนักก็จริงแต่มันก็ไม่น่าออกแอกติ้งโอเวอร์ขนาดนี้
“คาลอส...” ผมเรียกเด็กชายพร้อมคุกเข่าสำรวจใบหน้าคมเข้มที่ดูเซียวผิดปกติ เหงื่อผุดพรายทั่วทั้งตัว นัยน์ตานิลเข้มดูอ่อนล้า พอถึงตรงนี้ผมรีบตลบผมดำยาวของมันไปข้างหลังแล้วจับติ่งหูมันเพื่อดูต่างหูให้ถนัด
หินสีแดงเพลิงเล็กเท่าหัวเข็มหมุดถูกฝังแน่นแนบเนื้อเด็กชาย มันสุกสกาวราวกับตะวันอีกดวงหากบัดนี้กับร้าวแยกเป็นรอย
“เวร!” ผมสบถ ทั้งเอรีพุสและคาลอสต่างมีต่างหูเป็นอุปกรณ์คอยควบคุมพลังเวท ทว่าต่างหูของเอรีพุสตอนนี้กลับแตกและของคาลอสถึงกลับร้าว... “คาลอสนายกำลังฝืนใช้เวทอยู่ใช่ไหม”
ผมไม่รอให้เด็กชายพูด เพราะคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว ผมฉุดให้คาลอสลุกเดินแล้วนำทางไปที่ๆเอรีพุสอยู่เพื่อจัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า
พวกเขาทั้งสองคนยังใช้เวทได้ไม่ชำนาญนัก พวกเขาจึงต้องอาศัยอุปกรณ์ควบคุมพลังเวทนี้ หากอุปกรณ์ควบคุมเวทของเอรีพุสและคาลอสอาจจะเหมือนกันแต่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อุปกรณ์ของเอรีพุสใช้จำกัดพลังเวทของตัวเขา เมื่อมันแตกเขาจึงไม่สามารถควบคุมพลังเวทบังคับให้กักเก็บปีกไว้ได้ แต่ในทางกลับกันพลังเวทของคาลอสนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปีกเพียงอย่างเดียว หากเขาต้องใช้พลังเวทจากอุปกรณ์ควบคุมนี้ด้วย เมื่ออุปกรณ์ของเขาพังเขาก็จะไม่สามารถใช้เวทได้และไม่สามารถเก็บปีกได้เช่นกัน
พวกผมมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องน้ำชาย ประตูปิดสนิท มีป้ายกำลังทำความสะอาดตั้งไว้เพื่อกันไม่ให้คนเข้าไป แต่สิ่งเหนือกว่าป้ายกันไม่ให้คนเข้าไปยุ่มย่ามนั่นคือเขตอาคม!
“คาลอส ถอนเขตแดนนายออก” ผมสั่ง ถ้าคาลอสไม่เอาเขตแดนนี้ออกก็จะไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกไปจากเขตแดนของเขาได้
เด็กชายส่ายศีรษะ “เวทของเอรีพุสมากเกินไปถ้าฉันเอาออกไม่ใช่เพียงคนในโรงเรียนนี้รู้ แต่ทางวิหารเทพรู้แน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นรามแย่แน่”
“ฉันแย่แน่ถ้านายยังขืนใช้พลังเวทต่อ” ผมบอกเขา สภาพคาลอสตอนนี้แค่ฝืนยืนก็เต็มทน แล้วอุปกรณ์เวทของเขาชักร้าวหนักจนเห็นชัด ถ้าเขาเกิดเป็นอะไรอีกคน ผมคนเดียวไม่มีทางจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ได้
“งั้นรามใช้เวทของฉันด้วย” คาลอสต่อรองอย่างดื้อดึง ผมส่ายศีรษะ ขืนผมดึงพลังเวทของคาลอสมาใช้มีหวังมันได้ล้มทั้งยืน
“นายถอนเขตแดนนาย
เด็กชายลังเล ผมถอนหายใจวางมือลงบนศีรษะยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่เป็นไรหรอก เชื่อฉันสิ”
คาลอสพยักหน้า พลันความหนักหน่วงรอบบริเวณก็หายไป เสี้ยววินาทีนั้นผมรีบร่ายเวทสร้างเขตแดนทับทันที
ผมเปิดประตูก้าวเท้าเข้าไปพร้อมกับคาลอส ก่อนจะเข่าแทบอ่อนเมื่อเห็นจะๆตาว่ามันต่างจากที่ตัวเองคิด
กลิ่นไอมนต์กระจัดกระจายยุ่งเหยิงเต็มไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้น้ำจากก๊อกน้ำทุกก๊อกไหลวนควบคุมไม่อยู่ น้ำเจิงนองสูงเทียบเข่าตั้งแต่ถูกกักด้วยเขตของคาลอส แต่สิ่งที่ลอยอยู่เหนือทั้งมวล กลับเป็นร่างบางของเด็กชายผมทองซึ่งอารมณ์กำลังไม่คงที่
“รามมาช้า” เอรีพุสว่าทันที ปีกสีขาวสยายอยู่กลางหลังเขากระพือพัดไม่ชอบใจ
“นายก็ไม่เป็นไรมาก” ผมบอกเมื่อมองผลกระทบรอบด้านจากเวทมนต์ และเทียบกับเด็กชายอีกคน ซึ่งบัดนี้ดูค่อยยังชั่วแล้ว เขาเดินเขย่งปีนขึ้นไปอ่างล้างหน้าเพื่อหนีน้ำ
“ใครบอก” เอรีพุสหน้าง้ำ “ในนี้ทั้งร้อนทั้งอับและแฉะ แล้วฉันก็หิวแล้วด้วย”
“ทำไมหินถึงแตก” ผมเท้าเอวเงยหน้ามองร่างที่ลอยนิ่งบนอากาศ ต่างหูของเอรีพุสเป็นหินสีฟ้าเข้มเช่นเดียวกับนัยน์ตาของเขา และบัดนี้อันตพาลหายไปเรียบร้อยแล้ว
“ฉันไม่ผิด” เทวดาผู้ไม่เคยผิดบอก “คาลอสมันทำแตก มันต่อยไปโดนเมื่อเช้า”
ฟังคำนั้นแล้วก็เลิกคิ้ว หันขวับไปยังคนต้นเรื่อง คาลอสยิ้มซื่อทำหน้าไม่รู้เรื่อง ผมร้องอ๋อทันที มิน่าเล่าไอ้ปีศาจเจ้าเลห์ถึงยอมช่วยเอรีพุส ทั้งๆที่ความจริงไอ้สองตัวแสบนี้ไม่ได้รักใคร่สวาทปานจะกลืนกิน
ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่าย งานพี่เลี้ยงเด็กเทพและเด็กปีศาจที่ขยันก่อแต่เรื่องนี่มันจะมีโบนัสเพิ่มพิเศษให้เขาบ้างหรือเปล่า
“นายเก็บปีกได้ไหม” ผมถาม
“ฮู่” เด็กชายโห่ “ถ้าเก็บได้ไม่ต้องเรียกรามมาหรอก”
ผมผิดใช่ไหมครับที่ถามมัน “โอเค งั้นฉันจะนับ1..2..3..”
ตุบ!!!ซ่า!!!
“โอ๊ย!!” เอรีพุสร้องตะโกน เขาหล่นตุบลงมาจากอากาศ ทิ้งตัวโครมลงน้ำเต็มๆ ปีกสีขาวหายวับไปกับตา เหลือแต่เด็กชายเปียกม่อล่อกม่อแลกส่งนัยน์ตาสีฟ้าวาวประกายไม่พอใจ
คาลอสหัวเราะก๊าก เอรีพุสสะบัดค้อนวงโต ผมสีทองเปียกลู่ติดหนังหัว หยดน้ำเกาะพรายทั่วใบหน้า เนื้อตัวมอมแมมดูไม่ได้ ยิ่งเค้าหมัดจางๆรอยเก่าจากเมื่อเช้า ช่วยส่งเสริมให้เด็กชายหมดสภาพไม่เหลือดี
“ทีหลังก็บอกกันก่อนสิ” เอรีพุสว่าขณะดันตัวลุกขึ้นยืน ปัดผมออกจากใบหน้า ไล่คราบน้ำจากนัยน์ตา
ผมไหวไหล่ “แบบนี้แหละดีแล้วจะได้ไม่ต้องเกร็ง เอ้าอย่ามัวแต่บ่นเดี๋ยวไปร้านWingกัน”
พอได้ยินคำว่าร้านวิงก์ เด็กแสบทั้งสองก็หน้าหงิกทันที
“ไม่เอาไม่ไป” เอรีพุสกระเง้ากระงอด
“ฉันก็ไม่ไป ไม่เห็นจำเป็นต้องไป” คาลอสว่าบ้าง
ผมกลอกตา พอเอ่ยชื่อร้านนี้ทีไรไอ้พวกนี้ทำราวกับพอไปฉีดยา “เอรีพุสฉันต้องหาต่างหูให้นาย ของนายด้วยคาลอส”
“รามก็ไปเอาสิเดี๋ยวฉันจะรออยู่ที่บ้าน” คาลอสเสนอแนะ เอรีพุสยิ้มกว้างเห็นด้วย
“ไปด้วยกันนี่แหละ แวะไปก่อนกลับบ้าน เชื่อเหอะแม่นั่นต้องดีใจที่เห็นพวกนาย” ผมคลี่ยิ้มอย่างเป็นต่อ แล้วแสร้งทำเป็นยื่นข้อเสนอเพิ่ม “เอ...หรือว่านายอยากไปเอาของที่วิหารเทพกับปราสาทซาตาน”
เด็กชายหันหน้าสบตากัน แล้วทำท่าขยะแขยงก่อนจะทำคอตก
“ก็ได้ ไปร้านWingก็ได้” คาลอสว่า เอรีพุสทำหน้านิ่วแต่ก็ยอมแต่โดยดี
ผมยักคิ้วยิงฟันชอบอกชอบใจ รู้คำตอบล่วงหน้าเป็นอย่างดี ก็ต้องมีบางอย่างบ้างล่ะนะที่เทพและซาตานอย่างเจ้าสองตัวแสบถึงกับส่ายหัว ผมฉีกยิ้มกว้างสะใจ คราวนี้ถึงตาผมบ้างล่ะนะ
+..+..+..+..+..+..
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านน้า
ขอบคุณจริงๆ
ความคิดเห็น