คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บ้านเลขที่ 6
บ้านเลขที่ 6
กระจกวิเศษบอกข้าเถิด...
ได้สิ...ได้สิ...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ
เสียงกระซิบแผ่วเบาลอยวนข้างหูกลบเสียงบดฝีเท้าของอาชาซึ่งกำลังควบทะยานฝ่าผืนป่าในยามราตรีกาล
ผืนผ้าใบรัตติกาลคลี่ครอบคลุมทั่วทุกแผ่นฝ้า ดวงดาราส่องประกายระยิบระยับนับพัน แต่มิอาจสู้แสงดวงจันทราทรงกลดประดับเด่นอยู่กลางนภา แสงเหลืองนวลผ่องสาดส่องผ่านร่มเงาไม้ใหญ่เบิกทางให้อาชาใหญ่วิ่งตัดผ่านไป กีบม้าเหยียบต้นหญ้าถีบส่งตัวเองให้พุ่งตัวออกไป ข้ามดงไพรรกชัฏ ฝ่าคุ่มไม้และเถาวัลย์ มุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว คือจุดหมาย...จุดเริ่มต้นแห่งปรารถนา...
“เจ้าน่าจะพักบ้าง” ร่างบุรุษสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำคลุมใบหน้าจรดทั้งตัวดึงบังเหียนบังคับม้าตนเข้ามาเทียบกล่าว เรียกดวงตาสีม่วงใต้อาภรณ์สีเดียวกันให้หันกลับไปมอง
“อีกนานเท่าไร เราจะถึงที่หมาย” เสียงทุ้มต่ำถามกลับ ขณะลู่ตัวต่ำหลบกิ่งไม้ใหญ่ระหว่างทาง
อีกฝ่ายถอดถอนหายใจ บังคับม้าให้เข้าใกล้ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีม่วง “เอมิลว่าอีกไม่ไกล”
ชายหนุ่มเปรยมองไปยังอึกหนึ่งบุคคลที่ควบม้าอยู่บนอาชาสีปรอท นำทางพวกเขา...ไม่สิ...ดวงตาสีม่วงไหววูบ...แค่เขาเพียงคนเดียว
“เช่นนั้นเราคงหยุดไม่ได้” เขาเอ่ยแทบเป็นเสียงกระซิบ แต่อีกฝ่ายยังคงได้ยิน
“เจ้าฝืนเกินไป” น้ำเสียงส่อแววเครียดเป็นเชิงตำหนิ หากแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง “อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นมนุษย์”
คนเป็นมนุษย์หนึ่งเดียวในกลุ่มหัวเราะ หัวเราะแม้เขาจะไม่รู้สึกขำเลยเสียนิดเดียว “เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก...นับตั้งแต่ข้าได้รับนามนั้น ข้าก็หาใช่มนุษย์อีกต่อไป” ริมฝีปากใต้ผ้าคลุมยิ้มแสยะเย้ยหยัน เย้ยหยันในชะตากรรมของตน ชะตากรรมที่ก่อเกิดจากน้ำมือของเขาเอง
“แม้เจ้าหาใช่มนุษย์อย่างที่เจ้าเอ่ย มิใช่ปีศาจอย่างที่ข้าเป็น ถึงกระนั้นเจ้าก็อย่างเป็นเจ้า เดอวิล”
บุรุษผู้เป็นเจ้าของชื่อหันขวับ นัยน์ตาสีม่วงจับจ้องไปยังอีกบุรุษหนึ่ง ลมแรงจากความเร็วของม้าหอบปะทะผ้าคลุมชายหนุ่มผู้เป็นปีศาจให้เลื่อนหลุดไป ผมสีดำเข้มเช่นเดียวกับฟ้าในยามนี้ปลิวสยายไปตามแรงลม และดวงตาสีดำสนิทส่องสะท้อนล้อแสงจันทร์ที่มองเขากลับมา
“เจ้าอย่าได้มั่นใจนัก” เดอวิลเอ่ย มือกำสายบังเหียนแน่น “เพราะสิ่งที่ข้ากระทำต่อเจ้า...ไม่อาจให้อภัยได้เลย”
“สิ่งที่เจ้าปรารถนาคือคำปรารถนาจากใจข้า” ถ้อยคำหนักแน่นจากปีศาจหนุ่ม ดั่งย้ำสัจวาจาสาบานต่อนายเหนือชีวิตจากผู้ภักดี
...คำปรารถนา...
ดวงตาสีม่วงตวัดมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิท ก่อนมองเลยไปใต้ผ้าคลุมอีกฝ่าย มองลึกข้ามผ่านอาภรณ์สีดำมืด มองอีกหนึ่งชีวิตเล็กๆในอ้อมแขนของปีศาจผู้อยู่ใต้อำนาจตน ชีวิตเล็กๆที่แบกรับสรรพชีวิตบนปฐพีนี้ ชีวิตเล็กๆที่กำเนิดมาเพื่อสิ่งที่เขาปรารถนาโดยเฉพาะ...
............
........
....
..
กระจกวิเศษบอกข้าที
ได้สิ...ได้สิ...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ
“แฮ่ก..แฮ่กๆ...” ร่างบางของหญิงสาวเหนื่อยหอบและสั่นสะท้าน แต่สองเท้าของเธอยังออกวิ่งไม่หยุด เหงื่อโทรมกายและผุดพรายไปทั่วดวงหน้าหวาน ผมสีน้ำตาลไหม้ถักเปียหลุดลุ่ยปรกหน้าผากเนียน ดวงตาสีเข้มร้อนรนขณะมองเสื้อคลุมคุ้นตาที่ปลิวไสวอยู่ข้างหน้า สองมือไขว่คว้าราวจะฉุดรั้งให้ร่างนั้นหยุดลง หากยิ่งเธอเข้าใกล้ร่างนั้นก็ยิ่งดูเหมือนห่างไกลเท่านั้น
ดวงตะวันส่องอยู่กลางฟ้า แดดเปรี้ยงสาดส่องไปทั่วทุกมุมเมือง บ้านเรือนประดับประดาด้วยผ้าหลากสีและธงนานาชนิด สองฝากริมทางมีร้านค้ามากมายผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ผู้คนหนาแน่นออกมาจับจ่ายใช้สอยและพูดคุยกันอึกทึก ทุกคนต่างมีหน้าตาชื่นบานและกล่าวขานถึงเทศกาลเมนาวองที่ใกล้จะถึง
แม้ตามตรอกซอกซอยก็ยังถูจัดแต่งเป็นอย่างดี ผู้คนจากทั่วทั้งสารทิศต่างเดินทางเข้ามาร่วมเฉลิมฉลอง ถนนหินลาดเต็มไปด้วยรถม้าวิ่งขวักไขว่ แม้แต่ผู้คนจะดูละลานตามากมายกว่าทุกปี
แม้ผู้คนจะมากมายเพียงไร ดูสับสนและวุ่นวายเพียงไหน แต่หลังไวๆที่เธอเห็นเมื่อครู่...ไม่ผิดแน่ ...คือคนที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!!
ร่างบางเริ่มออกวิ่ง ไม่ฟังเสียงตะโกนเรียกชื่อของเธอ หญิงสาวลัดเลาะหลบหลีกผู้คนและรถม้า ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องร่างนั้นไว้ไม่ห่าง เธอซอยเท้าถี่พยายามวิ่งไล่ตาม ร่างเบื้องหน้าเคลื่อนตัวไปไม่หยุด ร่างนั้นนำพาเธอออกห่างจากตัวเมือง ผู้คนเริ่มบางตา เสียงเซ็งแซ่เริ่มลดน้อยลง ร่มไม้เขียวขจีเริ่มแทนที่ ในที่สุดทางเดินก็ร้างผู้คน เธอไม่รอช้าเข้าไปกระโจนคว้าข้อมือร่างที่เธอตามหามาตลอดในสองสามวันมานี้!!
“เจ้า!!...หยุดนะ...ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า!!” หญิงสาวเรียกบังคับเสียงไม่ให้สั่นเพราะความเหนื่อยล้า พลางจับข้อมือเล็กไม่ปล่อย คนเบื้องหน้าเธอหันกลับมา เผยใบหน้ากลมใสของเด็กชายวัย8ขวบ และรอยยิ้มแย้มยกอย่างแจ่มใส
“โรบิน คาปุเล็ต” ชื่อของเธอถูกขานถูกต้องอย่างไม่บิดพลิ้ว โรบินเม้มฝีปากแน่น ดวงตาสีน้ำตาลมองร่างของเด็กชายเบื้องหน้าอย่างสับสน ร่างเล็กของเด็กชายอยู่ในเสื้อคลุมโคร่งใหญ่ ผมสีแดงเข้มมัดลวกๆไว้ด้านหลัง ใบหน้ากลมเนียนใส ริมฝีปากเปิดยิ้มร่าเริง เขาดูไร้เดียงสา แต่เธอไม่แน่ใจเมื่อจ้องมองลึกไปในดวงตาของเด็กชาย นัยน์ตาที่นิ่งและเหมือนเข้าใจทุกสิ่ง เห็นทุกอย่างในโลกนี้
“เจ้าเป็นใคร...แล้วเจ้าทำอะไรกับข้า!!” เธอดึงข้อมือเด็กชายแล้วกำไว้แน่น น้ำเสียงเธอสั่นแต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและปวดร้าว หวาดกลัวคนเบื้องหน้า...และเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง
“เรามีนามว่าเอมิล” เด็กชายค้อมศีรษะ เขาบิดข้อมือเล็กน้อยก็หลุดจากมือเธออย่างง่ายดาย เอมิลถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขากวาดสายตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะขมวดคิ้วกอดอกเอียงคอ “เราไม่เข้าใจว่าเจ้าโกรธอะไรเรา เมื่อเราได้บันดาลคำปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริง!!”
...ใจเจ้าปรารถนาสิ่งใด...
คำของเด็กชายในวันนั้นยังลอยวนในโสตของเธอไม่จาง พร้อมกับดวงตาของเขาที่ยังตราตรึงในความทรงจำเธอไม่หาย ดวงตาที่ราวกับล้วงลึกรู้เข้าไปในส่วนสุดท้ายของหัวใจเธอ
โรบินกำมือแน่นพูดเสียงเครียด “ข้าไม่ได้ปรารถนาในสิ่งนี้”
เอมิลหัวเราะ ใบหน้าไร้เดียงสาของเขาดูเจ้าเล่ห์ในพริบตา “เขาว่า...ใจนางนั้นยากแท้หยั่งถึง แล้วใจเจ้าเล่าจะต่างกันตรงไหน”
“ข้าไม่ใช่ผู้หญิง!!” โรบินตะโกนก้อง ใบหน้าหวานขึงเครียด ดวงตาสีน้ำตาลสั่นไหวรวมไปถึงหัวใจของเธอที่ไหวหวั่น ...เขาไม่ใช่สตรี และไม่มีวันเป็นไปได้!!
“เจ้าต้องทำให้ข้ากลับเป็นเช่นเดิม!!”
“เฮ้!โรบิน” เสียงห้าวทุ้มเรียกหญิงสาว พวกเขาหันขวับไปดูตามต้นเสียง ก่อนร่างของบุรุษวัยใกล้เคียงกับโรบินจะวิ่งเข้ามาปรากฏให้เห็น ชายหนุ่มร่างเพรียวสูงสง่า อยู่ในชุดตัดเย็บประณีตบ่งบอกชาติตระกูลอย่างดี ผมสีทองตัดจัดแต่งเรียบร้อย กรอบหน้าคมคายไร้ที่ติ นัยน์ตาเขียวมรกตแพรวพรายเสริมส่งให้ชายหนุ่มแลดูมีเสน่ห์น่ามองมากขึ้น
“เจ้าไม่น่าวิ่งพรวดพราดออกมาอย่างนี้ รู้ไหมเลน่า แวนเนลซา อลิซเคืองแค่ไหนที่จู่เจ้าก็วิ่งออกมา” ชายหนุ่มบ่นกระปอดกระแปดขณะไล่นิ้วนับ พลางก้าวเท้าเข้ามาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง “นิสัยเจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ชาตินี้ถึงไม่มีผู้หญิงไหนมาชิดใกล้ พระเจ้าถึงได้ลงโทษให้เจ้ามาอยู่ในร่างผู้หญิงอย่างนี้”
ดวงตาสีน้ำตาลตวัดเหลือบไปมองคนเข้ามาใหม่ ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงก่อนจะหัวเราะแหะๆ เอ่ยขอโทษ “แต่เจ้าก็ไม่ควรวิ่งออกมาคนเดียว เจ้าก็รู้ว่าช่วงนี้อันตรายแค่ไหน แล้วเจ้าก็ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมแล้ว”
ดวงตาสีน้ำตาลเมินหนีไปอีกทาง “ข้ารู้...” โรบินเอ่ยเสียงแผ่ว
“แล้วเจ้าตามใครมา เจ้าตัวกระจ้อยล่อยเนี่ยนะ” ชายหนุ่มถาม เขาชี้นิ้วไปที่เอมิล
“คนที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง คนที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้” โรบินบอก ดวงตาสีเขียวของชายหนุ่มเบิกกว้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นแพรวพราวระยับอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ
“เจ้าทำให้ข้าเป็นอย่างนั้นบ้างสิ” เขาเอ่ยของ่ายๆพร้อมหัวเราะชอบอกชอบใจอย่างคนนึกสนุก “อ๊ะ! แต่ข้าขอแบบชั่วคราวนะ เพราะถ้าข้ากลับเป็นชายไม่ได้ หญิงสาวทั่วทั้งเมืองคงต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่อาจทนขาดข้าไปได้”
“โรมิโอ!” โรบินกัดฟันเรียก โรมิโอยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“หากนั่นเป็นคำปรารถนาในจิตใจของเจ้า” เอมิลตอบโรมิโอยิ้มแย้ม
“ข้าปรารถนากลับไปเป็นเช่นเดิม” โรบินกล่าวแทรกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ปรารถนา...ปรารถนา...เด็กชายเบื้องหน้าเธอเอาแต่พร่ำเพ้อถึงสิ่งที่ปรารถนา เขาแน่ใจสักเท่าไรกันว่าเธอปรารถนาสิ่งใดอยู่
เธอย่างเท้าเข้าไปใกล้เด็กชาย เอมิลก้าวถอยห่าง “หากมีหนทางใดที่จะทำให้เป็นจริงได้เจ้าจงบอกข้ามา”
“ข้าทำของหายระหว่างทาง” เอมิลวิ่งอ้อมไปหลบข้างหลังโรมิโอ เขาชะโงกหน้ามาเผชิญกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของหญิงสาว “ข้าเลยมาตามหาของสิ่งหนึ่ง”
“สิ่งนั้นคืออะไร” โรมิโอก้มถาม
เอมิลเงยหน้ามองโรมิโอ ก่อนเลื่อนไปมองโรบิน “กระจกเงา กระจกเงาที่บันดาลความปรารถนาแก่ผู้ต้องการให้ได้เห็น...”
“ข้าจะนำสิ่งนั้นมาให้เจ้า” โรบินพูดเสียงหนักแน่น มือบางกำหมัดแน่น กรอบหน้าหวานเชิดขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววมุ่งมั่น ขณะทอดมองร่างของหนึ่งชายหนุ่มและอีกหนึ่งเด็กชาย มุ่งมั่นทำในสิ่งที่อย่างน้อยเธอก็ปรารถนาในเวลานี้...กลับคืนร่างเดิมให้จงได้
“แล้วเจ้าต้องคืนร่างเดิมให้แก่ข้า”
รอยยิ้มผุดบนใบหน้าเข้มของโรมิโอ และนัยน์ตาประกายบอกไม่ถูกบนดวงหน้าเอมิล
“หากนั่นคือความปรารถนาของเจ้า!”
.......................
..............
.........
กระจกวิเศษบอกข้าเถิด...บอกข้าที...
ได้สิ...ได้สิ...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ
ณ ท้องพระโรงวิจิตรตระการตา หินอ่อนสลักเสลาปั้นแต่งเป็นรูปปั้นตั้งตระหง่านงดงามราวกับมีชีวิต พื้นปูลาดด้วยพรมผืนใหญ่ที่ถักทอละเอียดลออ ฝาผนังประดับประดาด้วยกระจกลวดลายหลากสีส่องแสงแวววาวล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ยามอัสดง คนธรรพ์ขับร้องประสานเสียงคลอดนตรี กลิ่นบุปผาพฤกษชาติฟุ้งกำจรขจายหอบอบอวลผ่านทางพระบัญชรใหญ่เข้ามาในท้องพระโรง
หากบัดนี้ กาลเวลาหอบพัดลมร้ายเข้าสู่พระราชวัง จากท้องพระโรงที่วิจิตรการกลับกลายเป็นเหมือนซากปรักหักพังรอวันล้มครืน หินอ่อนสลักเป็นรูปปั้นแตกหักทลายกลายเป็นผุยผง พื้นทางเดินกลับปูลาดด้วยซากศพนอนนิ่ง ฝาผนังถูกประดับประดาด้วยรอยคมดาบและอาบไปด้วยเลือดนอง จากเสียงร้องเคล้าดนตรีกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องและคมของศาสตราวุธห้ำหั่นเข้าหากัน กลิ่นสาปเลือดเหม็นหืนคละเคล้ากับกลิ่นเหม็นไหม้จากไฟร้อนระอุของสงครามลุกลามอยู่ด้านนอก...
“ฝ่าบาท...ทำไม?” คำถามจากร่างใต้ชุดเกราะสีงาช้างชโลมด้วยเลือดแดงฉาน ขณะร่างพระวรกายสูงใหญ่ของฝ่าบาทล้มลงเบื้องหน้า พระแสงดาบใหญ่ในพระหัตถ์กลิ้งหลุนไปกับพื้น พระพักตร์ซีดเผือดและผุดพรายไปด้วยพระเสโธ ดวงพระเนตรสีฟ้าขลับแห้งผาก โลหิตไหลซึมออกมานอกเกราะพระองค์ก่อนนองเต็มพื้นด้วยพิษของดาบใหญ่ปักกลางพระอุระ...ดาบจากมือเขาเอง
“ในที่สุดเจ้าก็อยู่เหนือข้า” สุรเสียงพระองค์แหบพร่า ทรงหายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก โลหิตไหลแทรกพระหัตถ์ที่กุมพระอุระแน่น “อย่างน้อยเจ้าก็ถอดเกราะ...ให้ข้าได้เห็นหน้าบ้างนะ ลีฟ”
ชายหนุ่มเจ้าของชุดเกราะสีงาช้างอาบด้วยเลือดกรังทรุดลงข้างพระองค์ ก่อนมือเรียวจะปลดหน้ากากทิ้ง เผยดวงหน้าขาวผ่อง ประดับแก้วตาสีแดงสดและผมสีเงินสยาย
“ฝ่าบาททรงพระกรุณานัก ที่ยังยอมเอ่ยนามของเกล้ากระหม่อม คนถ่อยคนนี้” ริมฝีปากหยักสวยเอ่ยเอื้อย ดวงตาสีแดงคมกริบจับจ้องร่างพระที่นอนประทับตรงหน้า พระองค์ทรงไร้ซึ่งกำลัง พระองค์ทรงหมดซึ่งเรี่ยวแรง หากเขาเพียงแต่ตวัดดาบฟาดลงไปครั้งเดียว...ครั้งเดียวเท่านั้น
“เจ้าเปลี่ยนไปมาก” พระองค์ถอนพระปัสสาสะยาว สายพระเนตรทอดมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย ดวงตาที่เคยแจ่มใสและอ่อนโยนกว่าใครทั้งปวง ใบหน้าที่เคยสดใสร่าเริงถูกแทนที่ด้วยความเฉยชา แม้แต่มือที่ขาวสะอาดไม่กล้าแม้แต่จับอาวุธใดกลับชโลมไปด้วยเลือดแดงฉาน
“จากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กลับกลายเป็นผู้ก่อกบฏล้มล้างราชวงศ์ตัวเอง เพราะอะไรหรือลีฟ อะไรที่ทำให้เจ้าเปลี่ยนไปเพียงนี้...น้องพี่”
น้องที่คอยหลบอยู่หลังพระองค์เสมอ น้องที่คอยตามติดพระองค์ไปทุกที่ น้องที่รักพระองค์มากที่สุด และน้องที่พระองค์รักมากที่สุดเช่นกัน
ดวงตาสีแดงฉายแววปวดร้าวอยู่เพียงชั่วแวบเดียวก่อนกลับกลายเป็นเช่นเดิม “หากฝ่าบาทก็ยังทรงเมตตาน้องคนนี้เช่นเดิมไม่เปลี่ยน แม้เกล้ากระหม่อมจะเป็นคนมอบความตายให้แก่ท่าน”
ทำไมเขายังยื้อที่จะตรัสทูลกับพระองค์...
“สุดท้ายเจ้าก็ไม่บอกว่าเหตุใดที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้” พระองค์ตรัส ก่อนพระองค์จะพระกรรสะออกเป็นพระโลหิต ดวงตาสีแดงฉายแววตระหนก มือเรียวยื่นออกไปก่อนจะกำแน่นลดลงข้างตัวไม่กล้าเข้าไปใกล้
ทำไมเขายังอยากจะยื้อชีวิตพระองค์ไว้...
“ฝ่าบาท...หากพระองค์ยังทรงเมตตาน้องคนนี้อยู่” ลีฟเอ่ยดวงตาหลุบต่ำก้มมองผู้เป็นพี่ด้วยสายตามากมายหลากความรู้สึก “เกล้ากระหม่อมอยากทูลถามท่าน...ทำไมปกป้องผู้หญิงคนนั้น”
เสียงคมดาบวาดตวัดโครมครามปานฟ้าคำราม พระองค์และเขาถาโถมซัดเข้าหากันดาบปะทะดาบ แหวกอากาศขาดกลางนภา พื้นพสุธาสะเทือน เวทมนตร์ถูกร่ายจากพระโอษฐ์ ปีกสีขาวสะอาดถึงหกปีกสยายอยู่กลางพระขนองพระองค์ หอบลมร้อนระอุพุ่งปะทะโจมตีชายหนุ่ม ลีฟฝืนตัวท่องเวทมนตร์ พลันปีกสีขาวบริสุทธิ์จำนวนหกปีกผุดขึ้นกลางหลังเขาเฉกเช่นกัน ฤทธิ์มนตราถูกดึงเข้ามาใช้ปะทะกันกลบเสียงโห่ร้องฆ่าฟันภายนอกโถงพระโรงสิ้น เหลือเพียงภาพของสองสายพระโลหิตร่วมอุทรเดียวกันกำลังห้ำหั่นหมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายให้จงได้
ทว่าวินาทีดับจิตร่างอิสตรีบอบบางเข้าถลันมาปกป้องพระองค์ไว้ ก่อนที่ใครจะคาดคิดดาบใหญ่ในมือลีฟฟันฉับปักกลางพระอุระ พระวรกายสูงใหญ่ล้มตึงพร้อมกับร่างของนางผู้นั้นที่จางหายไปราวกับหมอกควัน...
ดวงสีแดงหลุบต่ำลง ริมฝีปากกัดจนห้อเลือด...นี่หรือเดิมพันสุดท้ายของเขา
หากไร้ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเข้ามาขวาง พระองค์ทรงยิ่งยงเหนืออื่นใด หากไร้ซึ่งผู้หญิงคนนั้น พระองค์ทรงประทับเหนือผู้ใด หากไร้ซึ่งผู้หญิงคนนั้น พระองค์คงไม่เอาตัวเข้าไปบังคมดาบแล้วจบลงแทบเท้าผู้ต่ำต้องเช่นเขา
“ฝ่าบาท...ทำไม?”
เขาถามทั้งที่รู้คำตอบ ถามเพียงเพราะอยากจะได้ยินจากโอษฐ์พระองค์เอง หรือถามเพียงเพราะปลุกตัวเองให้ตื่นเสียที
“ข้ารักนาง” คำดำรัสหนักแน่นปานหินผา สมวาจามั่นคงของผู้เป็นดั่งกษัตริย์ในอนาคต แล้วเขาเล่า?เขากล้าเอ่ยคำนั้นเฉกเช่นพระองค์ไหม แล้วเขาเล่า...เขาจะปกป้องใครได้เฉกเช่นพระองค์ไหม
“ทั้งๆที่นางนั้นเป็นแค่มนุษย์ หาใช่เทพเช่นพวกเรา” ใช่นางเป็นมนุษย์ เขาคอยย้ำกับตัวเองทุกคราที่พบหน้านาง มนุษย์ที่แสนต่ำต้อย เพียงออกแรงขยี้ก็ตาย เพียงหยิบยื่นความหวังก็ไขว่คว้า “ทั้งๆที่นาง...”
พระองค์พยักพักตร์ ดวงพระเนตรสีฟ้าปวดร้าวกว่าครั้งไหนๆ “ทั้งๆที่รู้ว่านางจากไปแล้ว...ทั้งที่รู้ว่านางเป็นแค่ภาพมายาที่ข้าสร้างขึ้น ทั้งๆที่ข้ารู้มาตลอด” พระหัตถ์เย็ดชืดยกขึ้นสัมผัสใบหน้าขาวของผู้เป็นพระอนุชาพระองค์ ใบหน้าขาวเฉยชาแต่แววตายามนี้สับสนนัก...หรือเหตุที่ทำให้น้องพระองค์เปลี่ยนไปหาใช่ใครนอกจากตัวพระองค์เอง
“ทั้งๆที่ข้ารู้ทุกอย่าง แต่ท้ายสุดข้าก็ไม่เคยรับรู้สิ่งที่ใจเจ้าปรารถนาแม้แต่น้อย”
ดวงพระเนตรฉายแววอาดูรอ่อนโยน พระโอษฐ์เปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่รับสั่งกับอนุชาตัวน้อยของพระองค์ ก่อนดวงพระเนตรปิดลงพร้อมกับพระหัตถ์ที่เลื่อนหลุดจากใบหน้าของลีฟและคำดำรัสสุดท้ายของพระองค์
“ข้าขอโทษนะลีฟ”
....
เสียงห้ำหั่นข้างนอกเงียบลงแล้ว แต่บัดนี้ในใจเขากลับมีเสียงคำถามวกวนซ้ำไปซ้ำมาก้องอยู่เต็มโสต ดวงตาสีแดงว่างเปล่าขณะทอดมองร่างเงาตนบนคันฉ่อง มือเรียวไล้สัมผัสความเย็นเยียบจากกระจกเงาบานใหญ่ในท้องพระโรง กระจกบานเดียวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ไร้รอยแตกร้าวเช่นเดียวกับบานอื่นรอบข้าง
“เจ้าหรือคือกระจกเงาแห่งมายา เจ้าหรือคือกระจกเงาแห่งปรารถนา” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ภาพที่ฉายอยู่บนกระจกแปรเปลี่ยนจากชายหนุ่มร่างเพรียวในชุดเกราะใหญ่เป็นร่างในอาภรณ์สีดำสนิทบดบังใบหน้า ดวงตาสีแดงคมถูกแทนที่ด้วยดวงตาโตลึกใต้เงาผ้าคลุม
“สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ” เสียงตอบมิได้มาจากกระจก หากมันลอยวนกระซิบอยู่ข้างหูราวกับจากแทรกซึมไปทั่วทุกโสตประสาทในร่างกาย
“เจ้าหรือคือผู้บันดาลปรารถนาให้แก่ผู้อธิษฐาน เจ้าหรือคือผู้ทำปรารถนานั้นให้เป็นจริง”
“สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ” เสียงตอบยังคงเป็นเช่นเดิม
ดวงตาสีแดงหรี่ลง ผมสีเงินไล้ล้อมดวงหน้าขาวทิ้งตัวยาวสยายหากภาพในเงาที่ฉายมีแต่ร่างดำมืด ริมฝีปากขยับเอ่ยเอื้อนถามคำถามใต้สุดเบื้องลึกของหัวใจ
“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด บอกข้าที ข้าปรารถนาสิ่งใดกัน...”
.....................
..........
......
....
กระจกวิเศษบอกข้าเถิด...
ได้สิ...ได้สิ...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ
กระจกวิเศษบอกข้าที
ได้สิ...ได้สิ...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ
กระจกวิเศษบอกข้าเถิด...บอกข้าที...
ได้สิ...ได้สิ...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา ข้าจักฉายชัดให้ตามต้องการ
กระจกวิเศษบอกข้าเถิด...บอกข้าที...
“แล้วใจเจ้าปรารถนาสิ่งใด ราม!!”
+..+..+..+..+..+..
อ่านกันให้สนุกนะคะ
งงงวยนิดหน่อย แต่ต้องรออ่านไปเรื่อยๆ ค่ะ ฮาๆๆ
^w^
ความคิดเห็น