คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2.1 สมรสพระราชทาน
บทที่ 2.1 สมรสพระราชทาน
เซียงจื่อเผลอชูกำปั้นอย่างผู้ชนะด้วยความดีใจ
เป้าหมายหันขวับมาทางนี้ทันทีตามความคาดหมาย ทว่าเมื่อนางหันไปทางซิ่วเอ๋อร์และเหล่านางกำนัล
ทุกคนต่างย่อตัวหลบหลังพุ่มไม้ราวกับนัดกันไว้ จึงเหลือแค่นางที่กลายเป็นเป้านิ่งรับรังสีอำมหิตที่พุ่งตรงมาดั่งลูกธนู
ครั้นจะหลบตามคนอื่นก็ไม่ทันการแล้ว อีกทั้งนางเป็นนายก็ต้องปกป้องคนของตัวเอง
เขาเป็นแค่แม่ทัพจะทำอะไรองค์หญิงอย่างนางได้
“หินนี่เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”
เว่ยฉางอวี้ถามสตรีตรงหน้าพลางยื่นกรวดในมือให้ดู เขาไม่รู้ว่านางเป็นใคร
แต่ดูจากการแต่งกายแล้วนางคงไม่ใช่นางกำนัลเป็นแน่ ใบหน้างดงาม
เรือนร่างอรชนอ้อนแอ้น แววตาซุกซนไม่เกรงกลัวใคร หรือจะเป็นสนมใหม่ของฮ่องเต้ แต่นางไม่มีปิ่นที่ฝ่าบาทประทานให้แก่เหล่าสนม
เช่นนั้นนางเป็นใครกัน
“ท่านพูดเรื่องอะไร
ข้าเพียงมาเดินเล่นในอุทยานไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านถามแม้แต่น้อย” นางแสร้งทำหน้าซื่ออย่างไม่เข้าใจ
พยายามยืดตัวให้สูงที่สุดไม่ให้โดนอีกฝ่ายข่ม
แต่หมอนี่สูงเท่าไหร่กันยิ่งก้าวมาใกล้นางก็ยิ่งต้องแหงนหน้ามอง
แววตาคมกริบนั้นทำเอาใจนางชักจะหวั่นๆ แต่นางกำนัลที่อยู่ตรงนี้เป็นคนของนางทั้งนั้น
ส่วนเขามีผู้ติดตามมาแค่คนเดียว จะอ้างพยานหรือหลักฐานเขาล้วนไม่มีอยู่ในมือ
“เช่นนั้นไม่ทราบว่าแม่นางมีฐานะหรือตำแหน่งใดในวังหลวงแห่งนี้”
เขาหรี่ตามองนางอย่างจับพิรุธ หรือที่นางทำไปก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ช่างเป็นวิธีที่ไม่มีสตรีใดกล้าทำมาก่อน
“ท่านเป็นใครข้ายังไม่เอ่ยปากถาม
แล้วเหตุใดข้าจึงบอกเรื่องตนเองแก่ท่านด้วย” นางตอบแล้วคิดจะรีบเดินหนี
ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงฮ่องเต้ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ขาที่คิดจะขยับจึงถูกตรึงให้ติดอยู่กับที่
“ฉางอวี้ เซียงจื่อ”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างแปลกพระทัย “เจ้าสองคนรู้จักกันแล้วหรือ”
“ฉางอวี้ถวายบังคมฝ่าบาท”
แม่ทัพหนุ่มประสานมือทำความเคารพนายเหนือหัว
“เซียงจื่อถวายบังคมเสด็จพี่เพคะ”
หญิงสาวย่อกายทำความเคารพพยายามซ่อนแววตาเลิกลั่กเอาไว้จนสุดความสามารถ
ใครจะคิดว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา
กระทั่งนางกำนัลที่ซ่อนตัวอยู่ก็ยังต้องรีบออกมาถวายบังคม
“เสด็จพี่...”
เว่ยฉางอวี้ทวนคำด้วยความหลากใจ เขาไม่เคยได้ยินใครกล้าเรียกฝ่าบาทเช่นนี้
นับแต่พระองค์ขึ้นครองราษฎร์ นางเป็นองค์หญิงงั้นหรือ
เหตุใดเขาจึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ทำหน้าเช่นนี้หรือเจ้าจะยังไม่รู้ว่านางเป็นใคร
เซียงจื่อเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้าเอง
เสด็จแม่เพิ่งรับนางเข้าวังตอนที่เจ้าออกไปตรวจตราที่ชายแดน เมื่อครู่เห็นพวกเจ้าพูดคุยกันอยู่
ข้าก็นึกว่าเจ้าสองคนรู้จักกันแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสกับแม่ทัพคู่พระทัย
แล้วจึงหันพระพักตร์ไปทางพระขนิษฐาบุญธรรม
“กระหม่อมยังไม่ทราบว่าผู้ที่คุยด้วยคือองค์หญิง
เพียงแต่องค์หญิงคงจะทราบแล้วว่ากระหม่อมเป็นใคร
จึงได้ทักทายกระหม่อมด้วยหินก้อนนี้” แม่ทัพหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากพร้อมกับแบมือให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร
หนอยแน่ะ รีบชิงฟ้องตัดหน้านางเลยหรือ
ฝันไปเถิดว่านางจะยอมแพ้...เซียงจื่อนึกอย่างเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ
“ท่านแม่ทัพเข้าใจผิดแล้วข้าเพียงมาเดินเล่นชมอุทยาน
เรื่องระหว่างท่านกับหินก้อนนี้เป็นมาอย่างไรข้าไม่อาจทราบได้
และข้าก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นใครจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องทักทายท่านด้วยหินก้อนนี้”
“แต่จากทิศทางที่หินก้อนลอยมาก็เพียงองค์หญิงผู้เดียวที่ประทับอยู่
เช่นนี้องค์หญิงจะทรงอธิบายว่าอย่างไร”
เว่ยฉางอวี้มองคนร้ายปากแข็งด้วยแววตาคมกริบ
หากนางคิดจะใช้แผนนี้เรียกร้องความสนใจจากเขาก็นับว่านางทำพลาดแล้ว
“ท่านบอกว่าลอยมาทางข้าก็ต้องลอยมาทางข้าหรืออย่างไร
หินก้อนเล็กแค่นี้อาจจะมีนกตั้งใจเก็บไปทำรังและเผลอทำหล่นใส่หัวท่านก็เป็นได้
ข้ากับท่านไม่รู้จักกันมาก่อน
หรือท่านแม่ทัพคิดว่ามีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องขว้างหินใส่ท่านงั้นหรือ” เซียงจื่อโต้กลับอย่างไม่ลดละ
อย่าได้คิดเชียวว่านางกำลังจะทอดสะพานให้เขาเหมือนสตรีอื่น
“หือ
กระทั่งเจ้าที่มีวรยุทธ์สูงส่งก็ยังหลบไม่พ้นหินก้อนเล็กๆ นี้หรือ”
ฮ่องเต้ที่ทรงสดับอยู่ตรงกลางก็ยังตรัสอย่างขำขันไม่น้อย
เว่ยฉางอวี้งันไปเล็กน้อย
เขาซึ่งไม่เคยพลาดให้ผู้อื่นโจมตีมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธลับที่พุ่งมาจากทางไหนเขาก็สามารถหลบหลีกได้หมด
แต่ครั้งนี้กลับพลาดท่าให้หินก้อนเล็กๆ ของสตรีนางหนึ่ง
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เสียหน้านัก
“กระหม่อมไม่คิดว่าจะมีใครทำตัวเป็นเด็กซนอยู่ในวังจึงไม่ทันได้ระวังตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านว่าใครทำตัวเป็นเด็กซน” นางถามอย่างไม่พอใจ
องค์หญิงเซียงจื่ออายุสิบเจ็ดปี ส่วนนางก่อนมาเข้าร่างนี้ก็อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์
ถือเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
“กระหม่อมพูดถึงคนที่ทำ
องค์หญิงไม่ใช่คนกระทำไม่ใช่หรือเหตุใดต้องร้อนพระทัยด้วย” เขายิ้มเยาะมุมปากให้ยายเด็กน้อยที่ริจะเถียงผู้ใหญ่
แต่เวลานี้กลับหน้าเขียวเหมือนอมมะระดิบเอาไว้
ฮ่องเต้สดับอยู่นานแล้วจึงทรงพระสรวลออกมาอย่างขบขัน
“ไม่คิดว่าพวกเจ้าเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรกจะเข้ากันได้ดีถึงเพียงนี้”
ดีกับผีน่ะสิ นางเถียงทันควันอยู่ในใจ
แทบจะแค่นเสียงเฮอะออกมาอย่างขัดหู
“ฉางอวี้ที่ชายแดนเรียบร้อยดีหรือไม่”
“ด้วยบารมีของฝ่าบาทชายแดนสงบสุข
แคว้นโดยรอบสวามิภักดิ์ ราษฎรต่างร่มเย็นเป็นสุขพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าทำงานได้ดีข้าสมควรมีรางวัลให้
องค์หญิงเซียงจื่อน้องสาวของข้างดงามเพียบพร้อม ซ้ำยังเข้ากับเจ้าได้เป็นอย่างดี
ข้าจะประทานนางให้สมรสกับเจ้า
พิธีให้จัดขึ้นในวังหลวงกำหนดการอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า กรมพิธีการจะดูแลเรื่องนี้ให้แก่พวกเจ้าเอง”
ฮ่องเต้ทรงรวบรัดอย่างพอพระทัย ในที่สุดพระองค์ก็ทรงหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่เซียงจื่อได้
จากนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาขอนางจากไทเฮาได้อีก
เว่ยฉางอวี้เมื่อเป็นราชบุตรเขยก็คือเชื้อพระวงศ์
ทำให้พระองค์สามารถควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น
“เสด็จพี่เพคะ
เซียงจื่อยังเด็กปรารถนาจะอยู่รับใช้เสด็จแม่
เรื่องแต่งงานเซียงจื่อไม่เคยคิดถึงเลยเพคะ” เซียงจื่อรีบคัดค้าน เรื่องอะไรจะจับนางคลุมถุงชนกับแม่ทัพขี้เก๊กนี่
นางไม่ยอมเด็ดขาด
“เซียงจื่อปีนี้เจ้าอายุสิบเจ็ดเหมาะแก่การมีคู่ออกเรือนได้แล้ว
เสด็จแม่ทรงตั้งพระทัยว่าจะหาคู่ครองที่ดีให้แก่เจ้า
ข้าในฐานะพี่ชายจึงช่วยแบ่งเบาเรื่องนี้จากเสด็จแม่ หากเจ้าอยากปรนนิบัติเสด็จแม่หลังแต่งงานแล้วก็ยังสามารถเข้าวังมาได้ทุกเวลา
ข้าเชื่อว่าการแต่งงานครั้งนี้เสด็จแม่จะต้องเห็นชอบอย่างแน่นอน
เจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ฉางอวี้” ฮ่องเต้หันพระพักตร์ไปทางแม่ทัพหนุ่ม ที่พระองค์หนักพระทัยมิใช่เซียงจื่อเพราะอย่างไรนางก็ต้องทำตามคำสั่ง
แต่เว่ยฉางอวี้ปฏิเสธการแต่งงานมาหลายครั้งแล้ว ทำให้พระองค์ทรงกริ้วจนแทบจะมีคำสั่งให้ลงโทษ
แต่ทุกคราก็จะมีเหตุให้เว่ยฉางอวี้ได้ทำคุณไถ่โทษเรื่อยมา
แม่ทัพหนุ่มหันไปมององค์หญิงที่ถลึงตาบอกใบ้ให้เขาปฏิเสธ
นี่เป็นครั้งแรกที่มีสตรีไม่ต้องการแต่งงานกับเขา แม้จะเข้าใจเจตนาของนางแต่เขาก็มีเหตุผลของตนเองอยู่ก่อนแล้ว
และยังได้เอาคืนนางเล็กๆ น้อยๆ เขาจึงไม่รีรอที่จะกระทำ
“ฉางอวี้น้อมรับพระเมตตา”
ความคิดเห็น