NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฝ้ารักองค์หญิง (มีอีบุ๊กแล้วจร้าาาา)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1.3 องค์หญิงเซียงจื่อ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 63


    บทที่ 1.3

    “เซียงจื่อถวายบังคมเสด็จพี่เพคะ”

    สิ้นเสียงละล่ำละลักของนางทั่วห้องก็เงียบกริบ เซียงจื่อแอบหันไปสบตากับนางกำนัลของตน แม้จะรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่นางยังนึกไม่ออกว่าเป็นตรงไหน กระทั่งไทเฮาเป็นผู้สลายความอึดอัดอึมครึมนั้นลงด้วยตนเอง

    “ฝ่าบาทเซียงจื่อเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน นางยังไม่ค่อยรู้ความนัก เจ้าก็อย่าถือสานางเลยนะ”

    “เสด็จแม่อย่าได้กังวลพระทัย ลูกเพียงแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น อาจเพราะไม่มีใครเรียกลูกว่าเสด็จพี่มานานแล้ว พอได้ยินเข้าจึงรู้สึกแปลกหู” ฮ่องเต้ตรัสตอบไทเฮาแล้วจึงหันไปทางสาวน้อยที่ยังหมอบอยู่กับพื้น “เซียงจื่อเจ้าก็ลุกขึ้นเถิด”

    “ขอบพระทัยเพคะ” เซียงจื่อลุกขึ้นตามรับสั่งอย่างใจหายใจคว่ำ นางมัวแต่คิดว่าฮ่องเต้เป็นลูกไทเฮาจึงเผลอเรียกว่าเสด็จพี่ออกไป เคราะห์ดีได้ไทเฮาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ ไม่อย่างนั้นนางอาจต้องรับโทษที่ไม่รู้ว่าหนักเพียงไหน

    ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรสตรีที่ยืนอยู่หน้าเบื้องพระพักตร์ ช่างเป็นสะคราญโฉมอย่างที่ได้ยินมาไม่มีผิด งามเสียจนลมหายใจของพระองค์สะดุดไปห้วงหนึ่ง เสียดายที่นางเป็นสตรีที่ตายแล้วฟื้น ทำให้พระองค์ไม่แน่ใจว่านางมีสิ่งใดผิดแปลกจากมนุษย์หรือไม่ หาไม่แล้วจะทรงรับนางเข้าสู่วังหลัง เชยชมสาวงามผู้เย้ายวนทุกเช้าค่ำ ให้นางเป็นสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ทว่าเมื่อต้องหักพระทัยก็คงได้แต่มองนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง

    “เห็นเจ้ากตัญญูต่อเสด็จแม่เช่นนี้ข้ารู้สึกพอใจมาก ดังนั้นจะอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพี่ได้”

    เซียงจื่อเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้เลยไปยังไทเฮาและไล่ไปถึงนางกำนัลของตนเองเพื่อถามความเห็น เพราะไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไรดี และตอนนี้เองที่นางเพิ่งได้เห็นฮ่องเต้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก สมแล้วที่เป็นพี่น้องกับอ๋องทั้งสี่เพราะหล่อเหลาคมคายไม่แพ้กัน เพียงแต่ฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยสง่าราศีเหนือสามัญ ทั่วร่างอาบไปด้วยรัศมีสูงศักดิ์และหยิ่งทระนงแห่งราชัน เพียงแค่มองก็ทำให้นางสะท้านวาบไปทั้งกายด้วยความยำเกรง

    “เซียงจื่อได้รับพระเมตตาแล้วยังไม่รีบขอบพระทัยอีกหรือ” ไทเฮาทรงรับสั่งเตือนพระธิดาบุญธรรมที่จ้องมองฮ่องเต้อย่างตกตะลึงเป็นไก่ไม้

    “เซียงจื่อขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ” นางกล่าวพลางรีบคุกเข่าก้มศีรษะลงจรดพื้นอย่างนอบน้อม

    “ลุกขึ้นเถิด เมื่อครู่ได้ยินเสด็จแม่รับสั่งเรื่องหาคู่ครองให้แก่เจ้า ข้าในฐานะพี่ชายจะมองหาผู้ที่เหมาะสมให้แก่เจ้าเอง” ฮ่องเต้ตรัสพลางหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งไปมา พระองค์ทรงรู้มาว่าบรรดาอ๋องที่ได้พบเซียงจื่อต่างพึงพอใจในตัวนาง หากก็ยังไม่มีใครกล้ามาทูลขอนางจากไทเฮา แต่ถึงกล้าขออ๋องเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่พระองค์คิดว่าเหมาะสม

    “กราบทูลฝ่าบาท จับตัวขันทีที่กระทำผิดในวังหลังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีประจำพระองค์เข้ามาถวายรายงาน

    “ลากตัวมันและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปโบยจนกว่าจะตาย” ฮ่องเต้มีรับสั่งในทันใด

    น้ำเสียงเฉียบขาดไร้ความปรานีนั้นทำให้เซียงจื่อหนาวเยือกอยู่ในอก นางตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์ คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่อยู่ในวังหลวงมีชีวิตอยู่ในกำมือของนายเหนือหัว ทำผิดแม้เพียงนิดลมหายใจก็ถูกปลิดในพริบตา โชคดีที่ฝ่าบาทไม่ได้ถูกตาต้องใจนางและเมตตารับเป็นน้องสาว หาไม่แล้วนางคงต้องกลายเป็นนางสนม แต่เป็นน้องสาวก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนัก

    ไทเฮาทรงเคยชินเสียแล้วกับคำสั่งประหารชีวิตข้ารับใช้เช่นนี้ แต่เซียงจื่อนั้นยังเยาว์วัยนักซ้ำยังเพิ่งเข้ามาอยู่ในวัง ไม่แปลกที่นางจะหน้าซีดตัวสั่น เดิมทีพระองค์ก็กังวลพระทัยอยู่ไม่น้อย หากฝ่าบาทต้องการนางไปเป็นพระสนมก็ยากจะทัดทานได้ แต่ในเมื่อยอมรับนางเป็นน้องสาวก็ไม่ควรให้อยู่ใกล้จนฮ่องเต้นึกเปลี่ยนพระทัยขึ้นมา

    “จื่อเอ๋อร์ผ้าเช็ดหน้าที่แม่สั่งให้เจ้าปัก วันนี้เจ้านำมาด้วยหรือไม่”

    “กราบทูลเสด็จแม่ หม่อมฉันยังปักไม่เสร็จเลยเพคะ” นางมีเรื่องกังวลใจอยู่มากมายจะมีสมาธิกับการปักผ้าได้อย่างไร เมื่อวานนั่งเพ่งลายปักจนปวดหลังดวงตาล้าไปหมด ยังได้เพียงดอกไม้ดอกเดียวซ้ำนางกำนัลเห็นแล้วยังพากันส่ายหน้า

    “เช่นนั้นเจ้าก็รีบกลับไปปักให้เสร็จ แม่ให้เวลาเจ้าสามวันค่อยนำมาให้แม่ดู เจ้าไปได้แล้ว”

    “เซียงจื่อน้อมรับพระบัญชา ทูลลาเสด็จแม่ ทูลลาเสด็จพี่เพคะ” เซียงจื่อถวายบังคมลาและถอยหลังออกมาอย่างโล่งใจ กระทั่งพ้นจากตำหนักของไทเฮานางก็ถอนใจอย่างโล่งอก ทว่ายังไม่ทันที่ใจจะได้สงบซิ่วเอ๋อร์กลับเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้นางกังวลใจขึ้นมาอีก

    “ฝ่าบาททรงรับสั่งแล้วว่าจะหาคู่ครองให้องค์หญิง หม่อมฉันเชื่อว่าจะต้องมีงานมงคลเกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอนเพคะ”

    “ฮ่องเต้มีราชกิจมากมาย เรื่องคู่ครองของข้าไม่เห็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น” นางคิดว่าฮ่องเต้รับสั่งไปอย่างนั้นเอง แค่น้องสาวบุญธรรมพระองค์ต้องใส่ใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

    “หม่อมฉันคิดว่าหากฮ่องเต้ไม่ทรงใส่พระทัยคงไม่รับสั่งถึง เดิมทีพวกหม่อมฉันเคยคิดว่าองค์หญิงจะได้เลื่อนเป็นพระสนม แต่เมื่อเป็นเช่นนี้คาดว่าฝ่าบาทคงตั้งพระทัยจะประทานองค์หญิงให้แก่ผู้ที่เหมาะสมเป็นแน่” ซิ่วเอ๋อร์ตอบระหว่างเดินตามผู้เป็นนายเข้าสู่อุทยานหลวง

    “ผู้ที่เหมาะสม...เจ้าหมายถึงใครกัน” นางถามในใจก็คิดคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่บุรุษที่นางเคยพบนอกจากขันทีก็มีเพียงเหล่าท่านอ๋องเท่านั้น

    “เรื่องนี้ยากจะคาดเดาได้เพคะ ในอดีตเชื้อพระวงศ์หญิงล้วนแต่งงานกับเหล่าขุนนางหรือแม่ทัพผู้เก่งกาจ มีบ้างที่ถูกส่งไปแต่งงานที่ต่างแคว้น แต่ยามนี้ซีไป๋ถือเป็นแคว้นที่เรืองอำนาจและมั่งคั่งที่สุด แคว้นอื่นต่างยอมสวามิภักดิ์และส่งองค์หญิงมาถวายตัวเป็นเครื่องบรรณาการ หากถูกพระทัยฝ่าบาทก็จะทรงรับไว้ แต่บางครั้งก็ทรงประทานให้แก่ผู้ที่มีความชอบแก่แผ่นดินเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์ตอบพลางนึกคาดเดาว่าผู้ใดที่จะเหมาะกับนายหญิงของตน

    คลุมถุงชน...นี่เรียกว่าการคลุมถุงชนชัดๆ เซียงจื่อคิดในใจอย่างไม่เห็นด้วย

    “แล้วมีใครเคยขัดรับสั่งบ้างหรือไม่” นางถามทั้งที่ตอบตนเองอยู่ในใจว่าใครจะกล้า ทว่าคำตอบกลับต่างไปจากที่คิด

    “มีเพคะ ก่อนหน้านี้จ้าวอ๋องเคยนำทัพออกศึกสร้างผลงานใหญ่หลวง ฝ่าบาทจึงทรงประทานองค์หญิงต่างแคว้นให้เป็นรางวัล แต่ท่านอ๋องรักมั่นต่อพระชายาต้องการมีนางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว จึงปฏิเสธพระเมตตาจากฝ่าบาทและขอรับตำหนักริมน้ำเป็นรางวัลแทน ส่วนอีกท่านแม้จะยังไม่ได้แต่งงานแต่กลับปฏิเสธตำแหน่งราชบุตรเขยครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือแม่ทัพเว่ยฉางอวี้ ทำเอาฝ่าบาททรงกริ้วจนเกือบรับสั่งประหารชีวิตเขาหลายครั้งหลายครา” ซิ่วเอ๋อร์ยกมือปิดปากหัวเราะเบาๆ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใครได้ยินก็ล้วนแต่ขำขันทั้งสิ้น

    “กรณีของท่านอ๋องข้าพอเข้าใจได้ แต่แม่ทัพผู้นี้เขามีเหตุผลอันใดกัน หรือว่าองค์หญิงที่ฝ่าบาทประทานให้ไม่งดงามมากพอ” นางไม่คิดเลยว่าจะมีคนใจกล้าถึงเพียงนี้ เขาไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไร กระทั่งโทษประหารชีวิตจากฮ่องเต้ก็ยังไม่กลัว

    “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ องค์หญิงแต่ละองค์ล้วนงดงามหมดจดแช่มช้อยชวนมองทั้งสิ้น” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยแล้วก็อดหยุดมองนายหญิงของตนมิได้ เพราะหากจะเทียบเรื่องความงามแล้ว องค์หญิงเซียงจื่อก็เปรียบเสมือนจันทร์เต็มดวงกระจ่างฟ้า ผุดผ่องสุกสกาวกลบแสงอื่นจนหมดสิ้น ส่วนองค์หญิงอื่นกลับเจิดจ้าได้เพียงแสงของหิ่งห้อยเท่านั้น

    “เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า หรือว่าเขาจะเป็นชายรักชาย” นางเดาอย่างนึกสนุก  

    ซิ่วเอ๋อร์หน้าแดงปิดปากหัวเราะแล้วรีบปฏิเสธ “มิได้เพคะ แม่ทัพเว่ยชมชอบสตรีเพียงแต่ไม่สนใจเรื่องการแต่งงาน ได้ยินว่าเขาสนใจแต่การศึกปกป้องบ้านเมืองเท่านั้น เรื่องแต่งงานจึงถูกบอกปัดเรื่อยมา ทำให้องค์หญิงแต่ละองค์ที่ฝ่าบาทเคยจะประทานสมรสให้ต่างพากันตรอมตรมยิ่งนัก บางองค์ก็ยอมตัดพระทัยอภิเษกไปกับบุรุษอื่น แต่ยังมีอีกหลายองค์ที่ยังรอท่านแม่ทัพอยู่ จะว่าไปก็ไม่แปลกเพราะท่านแม่ทัพหล่อเหลาองอาจ หากได้พบเพียงครั้งเดียวก็ยากที่จะลืมเลือน”

    “หล่อเหลาปานนั้นเชียวหรือ” นางฟังอย่างไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงนางกำนัลที่เดินเก็บดอกไม้อยู่ในอุทยานพากันตื่นเต้นเบิกบาน ราวกับมีเรื่องน่ายินดีอันสุดประมาณปรากฏขึ้น

    “ท่านแม่ทัพหล่อเหลาเพียงไหนองค์หญิงก็ทรงตัดสินเองเถิดเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์บอกด้วยรอยยิ้มที่กระจายอยู่เต็มใบหน้า สองมือบิดอาภรณ์ตนเองด้วยความขวยเขิน ประหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าบุรุษรูปงามที่สตรีทั้งหลายต่างหมายปอง

    เซียงจื่อมองท่าทางของนางกำนัลแต่ละคนอย่างนึกขันจากนั้นจึงมองตามไปบ้าง ท่ามกลางบุปชาติอันงดงามบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก้าวตรงมาอย่างผ่าเผย ชุดเกราะสีนิลเด่นตระหง่านประหนึ่งหยกดำทั้งลึกล้ำและเยือกเย็น เมื่อเขาย่างเท้าใกล้เข้ามาก็ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย ดวงหน้าคมคายราวกับสวรรค์บรรจงสลักเสลาขึ้น นัยน์ตาเจิดจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนงองอาจ ทว่าคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างเคร่งขรึม สีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งไร้ซึ่งความใยดีต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ช่วงคอตั้งตรงไม่เหลือบแลหรือหวั่นไหวต่อสตรีใดแม้แต่น้อย

    “ซิ่วเอ๋อร์เจ้าว่าแม่ทัพผู้นี้จะรู้สึกเมื่อยคอบ้างหรือไม่” นางนึกเขม่นคนหล่อเลือกได้ที่สาวๆ พากันคลั่งไคล้ใหลหลง แต่นางไม่เคยสนใจคนที่หน้าตาอยู่แล้ว ตอนเป็นขนิษฐานางไม่เคยตามกรี๊ดดาราหนุ่มๆ เลยสักคน ต่อให้เขารูปงามกว่านี้ก็ไม่มีผลต่อนางแม้แต่น้อย

    “ท่านแม่ทัพเป็นเช่นนี้มาตลอดเพคะองค์หญิง ไม่เคยมีสตรีใดทำให้เขาหันไปมองได้เลยสักครั้ง” ซิ่วเอ๋อร์ตอบพลางชะเง้อคอมอง หากได้สบตากับท่านแม่ทัพสักครั้งนางคงนอนฝันดีไปอีกร้อยปี

    “ข้ารู้สึกเห็นใจเขานักเกรงว่าหากไม่ได้หันซ้ายหันขวาบ้างคอของเขาจะเคล็ดไปเสียก่อน หากข้าสามารถทำให้เขาหันมามองได้ พวกเจ้าจะยอมปักผ้าเช็ดหน้าแทนข้าหรือไม่” หญิงสาวยื่นข้อเสนออย่างนึกสนุก ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เหล่านางกำนัลไม่ยอมช่วยนางปักแม้แต่น้อย ถ้านางทำสำเร็จก็นับว่าดีอย่างยิ่ง แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย นางเป็นถึงองค์หญิงแค่ทำให้แม่ทัพคนหนึ่งหันมามองจะยากเย็นสักเพียงไหนเชียว ต่อให้เขาไม่พอใจแต่จะทำอะไรนางได้ นึกว่าตัวเองหล่อจนไม่เห็นหัวใคร ฟังแล้วนึกหมั่นไส้ผู้ชายแบบนี้จริงๆ

    “องค์หญิงจะทำอย่างไรเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์ถามอย่างใคร่รู้ นางกำนัลติดตามอื่นๆ ก็พลอยเอียงหูคอยฟังไปด้วย

    “เจ้าแค่รับปากข้าก่อนก็พอ รับรองว่าวิธีของข้าต้องได้ผลอย่างแน่นอน”

    ซิ่วเอ๋อร์หันไปสบตาเป็นเชิงปรึกษากับนางกำนัลอื่นๆ อย่างลังเล หากความอยากรู้ก็เย้ายวนจนอดใจไม่อยู่ ยอมพยักหน้ารับข้อเสนอของนายหญิงผู้งดงาม “หม่อมฉันตกลงเพคะองค์หญิง”

    “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ คำไหนคำนั้น” เซียงจื่อยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน ความซุกซนในวัยเด็กหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง การจะเรียกใครสักคนให้หันมาหาใช่เรื่องยากสักนิด เมื่อครั้งยังวิ่งเล่นอยู่กลางทุ่งนานางก็เคยเรียกเพื่อนด้วยวิธีนี้ จึงก้มลงมองหากรวดก้อนเล็กเท่าเม็ดมุกบนสายคาดเอว ครั้นหาได้แล้วจึงโยนขึ้นลงชั่งน้ำหนักอยู่ในมือ นอกจากใช้สะกิดเพื่อนให้หันกลับมาแล้ว นางยังเคยใช้วิธีนี้สอยมะม่วงที่อยู่สูงลิ่ว และไม่เคยพลาดเป้าแม้แต่ครั้งเดียว

              “ตายแล้ว องค์หญิงเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์และเหล่านางกำนัลพากันเบิกตากว้างร้องเสียงหลง เมื่อกรวดในมือนายหญิงพุ่งตรงไปกระทบหมวกบนศีรษะแม่ทัพเว่ยฉางอวี้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง

    ฝากติดตามด้วยน้า

    ฝากอีบุ๊กเล่มอื่นของไรท์ด้วยจร้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×