คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1.3 องค์หญิงเซียงจื่อ
“เซียงจื่อถวายบังคมเสด็จพี่เพคะ”
สิ้นเสียงละล่ำละลักของนางทั่วห้องก็เงียบกริบ
เซียงจื่อแอบหันไปสบตากับนางกำนัลของตน แม้จะรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่นางยังนึกไม่ออกว่าเป็นตรงไหน
กระทั่งไทเฮาเป็นผู้สลายความอึดอัดอึมครึมนั้นลงด้วยตนเอง
“ฝ่าบาทเซียงจื่อเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน
นางยังไม่ค่อยรู้ความนัก เจ้าก็อย่าถือสานางเลยนะ”
“เสด็จแม่อย่าได้กังวลพระทัย
ลูกเพียงแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น อาจเพราะไม่มีใครเรียกลูกว่าเสด็จพี่มานานแล้ว พอได้ยินเข้าจึงรู้สึกแปลกหู”
ฮ่องเต้ตรัสตอบไทเฮาแล้วจึงหันไปทางสาวน้อยที่ยังหมอบอยู่กับพื้น
“เซียงจื่อเจ้าก็ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ” เซียงจื่อลุกขึ้นตามรับสั่งอย่างใจหายใจคว่ำ
นางมัวแต่คิดว่าฮ่องเต้เป็นลูกไทเฮาจึงเผลอเรียกว่าเสด็จพี่ออกไป
เคราะห์ดีได้ไทเฮาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ ไม่อย่างนั้นนางอาจต้องรับโทษที่ไม่รู้ว่าหนักเพียงไหน
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรสตรีที่ยืนอยู่หน้าเบื้องพระพักตร์
ช่างเป็นสะคราญโฉมอย่างที่ได้ยินมาไม่มีผิด งามเสียจนลมหายใจของพระองค์สะดุดไปห้วงหนึ่ง
เสียดายที่นางเป็นสตรีที่ตายแล้วฟื้น ทำให้พระองค์ไม่แน่ใจว่านางมีสิ่งใดผิดแปลกจากมนุษย์หรือไม่
หาไม่แล้วจะทรงรับนางเข้าสู่วังหลัง เชยชมสาวงามผู้เย้ายวนทุกเช้าค่ำ
ให้นางเป็นสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ทว่าเมื่อต้องหักพระทัยก็คงได้แต่มองนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง
“เห็นเจ้ากตัญญูต่อเสด็จแม่เช่นนี้ข้ารู้สึกพอใจมาก
ดังนั้นจะอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพี่ได้”
เซียงจื่อเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้เลยไปยังไทเฮาและไล่ไปถึงนางกำนัลของตนเองเพื่อถามความเห็น
เพราะไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไรดี และตอนนี้เองที่นางเพิ่งได้เห็นฮ่องเต้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก
สมแล้วที่เป็นพี่น้องกับอ๋องทั้งสี่เพราะหล่อเหลาคมคายไม่แพ้กัน
เพียงแต่ฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยสง่าราศีเหนือสามัญ ทั่วร่างอาบไปด้วยรัศมีสูงศักดิ์และหยิ่งทระนงแห่งราชัน
เพียงแค่มองก็ทำให้นางสะท้านวาบไปทั้งกายด้วยความยำเกรง
“เซียงจื่อได้รับพระเมตตาแล้วยังไม่รีบขอบพระทัยอีกหรือ”
ไทเฮาทรงรับสั่งเตือนพระธิดาบุญธรรมที่จ้องมองฮ่องเต้อย่างตกตะลึงเป็นไก่ไม้
“เซียงจื่อขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ”
นางกล่าวพลางรีบคุกเข่าก้มศีรษะลงจรดพื้นอย่างนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถิด
เมื่อครู่ได้ยินเสด็จแม่รับสั่งเรื่องหาคู่ครองให้แก่เจ้า
ข้าในฐานะพี่ชายจะมองหาผู้ที่เหมาะสมให้แก่เจ้าเอง” ฮ่องเต้ตรัสพลางหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งไปมา
พระองค์ทรงรู้มาว่าบรรดาอ๋องที่ได้พบเซียงจื่อต่างพึงพอใจในตัวนาง
หากก็ยังไม่มีใครกล้ามาทูลขอนางจากไทเฮา
แต่ถึงกล้าขออ๋องเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่พระองค์คิดว่าเหมาะสม
“กราบทูลฝ่าบาท
จับตัวขันทีที่กระทำผิดในวังหลังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีประจำพระองค์เข้ามาถวายรายงาน
“ลากตัวมันและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปโบยจนกว่าจะตาย”
ฮ่องเต้มีรับสั่งในทันใด
น้ำเสียงเฉียบขาดไร้ความปรานีนั้นทำให้เซียงจื่อหนาวเยือกอยู่ในอก
นางตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์
คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย
ผู้ที่อยู่ในวังหลวงมีชีวิตอยู่ในกำมือของนายเหนือหัว ทำผิดแม้เพียงนิดลมหายใจก็ถูกปลิดในพริบตา
โชคดีที่ฝ่าบาทไม่ได้ถูกตาต้องใจนางและเมตตารับเป็นน้องสาว หาไม่แล้วนางคงต้องกลายเป็นนางสนม
แต่เป็นน้องสาวก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนัก
ไทเฮาทรงเคยชินเสียแล้วกับคำสั่งประหารชีวิตข้ารับใช้เช่นนี้
แต่เซียงจื่อนั้นยังเยาว์วัยนักซ้ำยังเพิ่งเข้ามาอยู่ในวัง
ไม่แปลกที่นางจะหน้าซีดตัวสั่น เดิมทีพระองค์ก็กังวลพระทัยอยู่ไม่น้อย
หากฝ่าบาทต้องการนางไปเป็นพระสนมก็ยากจะทัดทานได้
แต่ในเมื่อยอมรับนางเป็นน้องสาวก็ไม่ควรให้อยู่ใกล้จนฮ่องเต้นึกเปลี่ยนพระทัยขึ้นมา
“จื่อเอ๋อร์ผ้าเช็ดหน้าที่แม่สั่งให้เจ้าปัก
วันนี้เจ้านำมาด้วยหรือไม่”
“กราบทูลเสด็จแม่
หม่อมฉันยังปักไม่เสร็จเลยเพคะ” นางมีเรื่องกังวลใจอยู่มากมายจะมีสมาธิกับการปักผ้าได้อย่างไร
เมื่อวานนั่งเพ่งลายปักจนปวดหลังดวงตาล้าไปหมด
ยังได้เพียงดอกไม้ดอกเดียวซ้ำนางกำนัลเห็นแล้วยังพากันส่ายหน้า
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบกลับไปปักให้เสร็จ
แม่ให้เวลาเจ้าสามวันค่อยนำมาให้แม่ดู เจ้าไปได้แล้ว”
“เซียงจื่อน้อมรับพระบัญชา
ทูลลาเสด็จแม่ ทูลลาเสด็จพี่เพคะ” เซียงจื่อถวายบังคมลาและถอยหลังออกมาอย่างโล่งใจ
กระทั่งพ้นจากตำหนักของไทเฮานางก็ถอนใจอย่างโล่งอก ทว่ายังไม่ทันที่ใจจะได้สงบซิ่วเอ๋อร์กลับเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้นางกังวลใจขึ้นมาอีก
“ฝ่าบาททรงรับสั่งแล้วว่าจะหาคู่ครองให้องค์หญิง
หม่อมฉันเชื่อว่าจะต้องมีงานมงคลเกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอนเพคะ”
“ฮ่องเต้มีราชกิจมากมาย
เรื่องคู่ครองของข้าไม่เห็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น” นางคิดว่าฮ่องเต้รับสั่งไปอย่างนั้นเอง
แค่น้องสาวบุญธรรมพระองค์ต้องใส่ใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“หม่อมฉันคิดว่าหากฮ่องเต้ไม่ทรงใส่พระทัยคงไม่รับสั่งถึง
เดิมทีพวกหม่อมฉันเคยคิดว่าองค์หญิงจะได้เลื่อนเป็นพระสนม
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้คาดว่าฝ่าบาทคงตั้งพระทัยจะประทานองค์หญิงให้แก่ผู้ที่เหมาะสมเป็นแน่”
ซิ่วเอ๋อร์ตอบระหว่างเดินตามผู้เป็นนายเข้าสู่อุทยานหลวง
“ผู้ที่เหมาะสม...เจ้าหมายถึงใครกัน”
นางถามในใจก็คิดคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่บุรุษที่นางเคยพบนอกจากขันทีก็มีเพียงเหล่าท่านอ๋องเท่านั้น
“เรื่องนี้ยากจะคาดเดาได้เพคะ
ในอดีตเชื้อพระวงศ์หญิงล้วนแต่งงานกับเหล่าขุนนางหรือแม่ทัพผู้เก่งกาจ
มีบ้างที่ถูกส่งไปแต่งงานที่ต่างแคว้น แต่ยามนี้ซีไป๋ถือเป็นแคว้นที่เรืองอำนาจและมั่งคั่งที่สุด
แคว้นอื่นต่างยอมสวามิภักดิ์และส่งองค์หญิงมาถวายตัวเป็นเครื่องบรรณาการ
หากถูกพระทัยฝ่าบาทก็จะทรงรับไว้ แต่บางครั้งก็ทรงประทานให้แก่ผู้ที่มีความชอบแก่แผ่นดินเพคะ”
ซิ่วเอ๋อร์ตอบพลางนึกคาดเดาว่าผู้ใดที่จะเหมาะกับนายหญิงของตน
คลุมถุงชน...นี่เรียกว่าการคลุมถุงชนชัดๆ
เซียงจื่อคิดในใจอย่างไม่เห็นด้วย
“แล้วมีใครเคยขัดรับสั่งบ้างหรือไม่”
นางถามทั้งที่ตอบตนเองอยู่ในใจว่าใครจะกล้า ทว่าคำตอบกลับต่างไปจากที่คิด
“มีเพคะ ก่อนหน้านี้จ้าวอ๋องเคยนำทัพออกศึกสร้างผลงานใหญ่หลวง
ฝ่าบาทจึงทรงประทานองค์หญิงต่างแคว้นให้เป็นรางวัล
แต่ท่านอ๋องรักมั่นต่อพระชายาต้องการมีนางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว
จึงปฏิเสธพระเมตตาจากฝ่าบาทและขอรับตำหนักริมน้ำเป็นรางวัลแทน ส่วนอีกท่านแม้จะยังไม่ได้แต่งงานแต่กลับปฏิเสธตำแหน่งราชบุตรเขยครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือแม่ทัพเว่ยฉางอวี้
ทำเอาฝ่าบาททรงกริ้วจนเกือบรับสั่งประหารชีวิตเขาหลายครั้งหลายครา” ซิ่วเอ๋อร์ยกมือปิดปากหัวเราะเบาๆ
เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใครได้ยินก็ล้วนแต่ขำขันทั้งสิ้น
“กรณีของท่านอ๋องข้าพอเข้าใจได้
แต่แม่ทัพผู้นี้เขามีเหตุผลอันใดกัน
หรือว่าองค์หญิงที่ฝ่าบาทประทานให้ไม่งดงามมากพอ” นางไม่คิดเลยว่าจะมีคนใจกล้าถึงเพียงนี้
เขาไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไร กระทั่งโทษประหารชีวิตจากฮ่องเต้ก็ยังไม่กลัว
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ
องค์หญิงแต่ละองค์ล้วนงดงามหมดจดแช่มช้อยชวนมองทั้งสิ้น” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยแล้วก็อดหยุดมองนายหญิงของตนมิได้
เพราะหากจะเทียบเรื่องความงามแล้ว
องค์หญิงเซียงจื่อก็เปรียบเสมือนจันทร์เต็มดวงกระจ่างฟ้า ผุดผ่องสุกสกาวกลบแสงอื่นจนหมดสิ้น
ส่วนองค์หญิงอื่นกลับเจิดจ้าได้เพียงแสงของหิ่งห้อยเท่านั้น
“เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า
หรือว่าเขาจะเป็นชายรักชาย” นางเดาอย่างนึกสนุก
ซิ่วเอ๋อร์หน้าแดงปิดปากหัวเราะแล้วรีบปฏิเสธ
“มิได้เพคะ แม่ทัพเว่ยชมชอบสตรีเพียงแต่ไม่สนใจเรื่องการแต่งงาน
ได้ยินว่าเขาสนใจแต่การศึกปกป้องบ้านเมืองเท่านั้น
เรื่องแต่งงานจึงถูกบอกปัดเรื่อยมา ทำให้องค์หญิงแต่ละองค์ที่ฝ่าบาทเคยจะประทานสมรสให้ต่างพากันตรอมตรมยิ่งนัก
บางองค์ก็ยอมตัดพระทัยอภิเษกไปกับบุรุษอื่น แต่ยังมีอีกหลายองค์ที่ยังรอท่านแม่ทัพอยู่
จะว่าไปก็ไม่แปลกเพราะท่านแม่ทัพหล่อเหลาองอาจ
หากได้พบเพียงครั้งเดียวก็ยากที่จะลืมเลือน”
“หล่อเหลาปานนั้นเชียวหรือ” นางฟังอย่างไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงนางกำนัลที่เดินเก็บดอกไม้อยู่ในอุทยานพากันตื่นเต้นเบิกบาน
ราวกับมีเรื่องน่ายินดีอันสุดประมาณปรากฏขึ้น
“ท่านแม่ทัพหล่อเหลาเพียงไหนองค์หญิงก็ทรงตัดสินเองเถิดเพคะ”
ซิ่วเอ๋อร์บอกด้วยรอยยิ้มที่กระจายอยู่เต็มใบหน้า
สองมือบิดอาภรณ์ตนเองด้วยความขวยเขิน
ประหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าบุรุษรูปงามที่สตรีทั้งหลายต่างหมายปอง
เซียงจื่อมองท่าทางของนางกำนัลแต่ละคนอย่างนึกขันจากนั้นจึงมองตามไปบ้าง
ท่ามกลางบุปชาติอันงดงามบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก้าวตรงมาอย่างผ่าเผย ชุดเกราะสีนิลเด่นตระหง่านประหนึ่งหยกดำทั้งลึกล้ำและเยือกเย็น
เมื่อเขาย่างเท้าใกล้เข้ามาก็ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย ดวงหน้าคมคายราวกับสวรรค์บรรจงสลักเสลาขึ้น
นัยน์ตาเจิดจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนงองอาจ ทว่าคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างเคร่งขรึม
สีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งไร้ซึ่งความใยดีต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ช่วงคอตั้งตรงไม่เหลือบแลหรือหวั่นไหวต่อสตรีใดแม้แต่น้อย
“ซิ่วเอ๋อร์เจ้าว่าแม่ทัพผู้นี้จะรู้สึกเมื่อยคอบ้างหรือไม่”
นางนึกเขม่นคนหล่อเลือกได้ที่สาวๆ พากันคลั่งไคล้ใหลหลง แต่นางไม่เคยสนใจคนที่หน้าตาอยู่แล้ว
ตอนเป็นขนิษฐานางไม่เคยตามกรี๊ดดาราหนุ่มๆ เลยสักคน
ต่อให้เขารูปงามกว่านี้ก็ไม่มีผลต่อนางแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพเป็นเช่นนี้มาตลอดเพคะองค์หญิง
ไม่เคยมีสตรีใดทำให้เขาหันไปมองได้เลยสักครั้ง” ซิ่วเอ๋อร์ตอบพลางชะเง้อคอมอง
หากได้สบตากับท่านแม่ทัพสักครั้งนางคงนอนฝันดีไปอีกร้อยปี
“ข้ารู้สึกเห็นใจเขานักเกรงว่าหากไม่ได้หันซ้ายหันขวาบ้างคอของเขาจะเคล็ดไปเสียก่อน
หากข้าสามารถทำให้เขาหันมามองได้ พวกเจ้าจะยอมปักผ้าเช็ดหน้าแทนข้าหรือไม่”
หญิงสาวยื่นข้อเสนออย่างนึกสนุก ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เหล่านางกำนัลไม่ยอมช่วยนางปักแม้แต่น้อย
ถ้านางทำสำเร็จก็นับว่าดีอย่างยิ่ง แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย นางเป็นถึงองค์หญิงแค่ทำให้แม่ทัพคนหนึ่งหันมามองจะยากเย็นสักเพียงไหนเชียว
ต่อให้เขาไม่พอใจแต่จะทำอะไรนางได้ นึกว่าตัวเองหล่อจนไม่เห็นหัวใคร
ฟังแล้วนึกหมั่นไส้ผู้ชายแบบนี้จริงๆ
“องค์หญิงจะทำอย่างไรเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์ถามอย่างใคร่รู้
นางกำนัลติดตามอื่นๆ ก็พลอยเอียงหูคอยฟังไปด้วย
“เจ้าแค่รับปากข้าก่อนก็พอ
รับรองว่าวิธีของข้าต้องได้ผลอย่างแน่นอน”
ซิ่วเอ๋อร์หันไปสบตาเป็นเชิงปรึกษากับนางกำนัลอื่นๆ
อย่างลังเล หากความอยากรู้ก็เย้ายวนจนอดใจไม่อยู่
ยอมพยักหน้ารับข้อเสนอของนายหญิงผู้งดงาม “หม่อมฉันตกลงเพคะองค์หญิง”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ คำไหนคำนั้น”
เซียงจื่อยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน ความซุกซนในวัยเด็กหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง การจะเรียกใครสักคนให้หันมาหาใช่เรื่องยากสักนิด
เมื่อครั้งยังวิ่งเล่นอยู่กลางทุ่งนานางก็เคยเรียกเพื่อนด้วยวิธีนี้
จึงก้มลงมองหากรวดก้อนเล็กเท่าเม็ดมุกบนสายคาดเอว ครั้นหาได้แล้วจึงโยนขึ้นลงชั่งน้ำหนักอยู่ในมือ
นอกจากใช้สะกิดเพื่อนให้หันกลับมาแล้ว นางยังเคยใช้วิธีนี้สอยมะม่วงที่อยู่สูงลิ่ว
และไม่เคยพลาดเป้าแม้แต่ครั้งเดียว
ความคิดเห็น