คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1.1 องค์หญิงเซียงจื่อ
บทที่1.1 องค์หญิงเซียงจื่อ
ชีวิตวันหน้าต้องดีกว่าวันนี้...
ขนิษฐาบอกตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ท่ามกลางความเหนื่อยหน่ายท้อแท้ในชีวิตที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เธอเพียงหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานที่ชอบ
มิใช่ทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อส่งกลับไปให้แม่ที่ไล่เธอออกจากบ้าน จุนเจือพ่อเลี้ยงที่เอาแต่เมาเหล้าเล่นการพนันและคิดจะขืนใจเธอ
“ชีวิตวันหน้าต้องดีกว่าวันนี้”
เธอประกาศต่อหน้าศรัณย์เพื่อนสนิทที่ชีวิตบัดซบพอๆ กัน
ที่อยู่ในมือคือเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ของอะไรบางอย่าง เป็นเสมือนความเพ้อฝันที่ให้เธอได้อธิษฐานเพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
ทันใดนั้นแสงสว่างที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงสปอร์ตไลท์นับพันดวงก็วาบขึ้น
ตามมาด้วยแรงดูดมหาศาลราวกับหลุมดำใจกลางกาแล็กซี เธอกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจจนสุดขีด
อยากจะลืมตาขึ้นมองก็ทำไม่ได้ สองมือสองเท้าจึงได้แต่ตะกุยตะกายไปมาดิ้นรนต่อต้านจนสุดชีวิต
“อ๊ากกกกกกกกก
กูตายยยยยยยยย”
“องค์หญิงเพคะองค์หญิง
ตื่นบรรทมเถิดเพคะ”
เสียงปลุกและแรงเขย่าตัวเรียกให้หญิงสาวที่กำลังกรีดร้องเตะต่อยไปมาอยู่บนเตียงลืมตาโพล่งขึ้น
รอบเตียงคือเหล่านางกำนัลแต่ละคนแต่งกายด้วยชุดจีนโบราณ เตียงที่นอนอยู่สวยงามเกินกว่าที่นอนในห้องเช่าเดิมมากนัก
ขนิษฐาเบิกตากว้างแล้วกะพริบปริบๆ
เสียงที่โวยวายอยู่ในความฝันยังค้างอยู่ที่ริมฝีปาก
“กูตายยยยยยยย
เอ้อ ยังไม่ตายนี่หว่า” แต่มาอยู่ในร่างของใครก็ไม่รู้ เธอบอกตัวเองหลังจากเริ่มตั้งสติได้อย่างมึนงง
สองมือยกขึ้นลูบคลำใบหน้าตนเอง แต่จับหน้าหรือจะมั่นใจเท่าจับนม
เพราะขนาดที่ต่างกันราวกล้วยทับกับผลส้มโอ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้อกแบนๆ
ยิ่งกว่าแผ่นกระดานของเธอไหนเลยจะนุ่มหยุ่นได้ถึงเพียงนี้
ใช่แล้ว
ตอนนี้เธอคือองค์หญิงเซียงจื่อ ไม่ใช่ขนิษฐาอีกต่อไป เธอ เอ้ย นางจะต้องรีบคุ้นชินกับชื่อนี้ร่างนี้
เพื่อจะได้ไม่เผยพิรุธออกไปให้คนอื่นจับผิดได้
หากคนอื่นจับได้ว่านางไม่ใช่เซียงจื่อตัวจริง ชีวิตนางคงไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบสุข
“องค์หญิงทรงรับสั่งอะไรเพคะ
พวกหม่อมฉันโง่เขลาฟังแล้วไม่เข้าใจแม้แต่น้อย”
“ซิ่ว...เอ๋อร์...”
เซียงจื่อเอ่ยชื่อนางกำนัลคนสนิท ใจนึกอยากตบหัวตัวเองแรงๆ
สักทีให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝัน แต่นางตบมาหลายครั้งจนมึนไปหมดแล้ว
ฝันนี้ก็ยังไม่มีใครปลุกให้นางตื่นเสียที จำได้ว่าวันแรกที่ลืมตาขึ้นในร่างนี้นางแตกตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ทั้งสภาพแวดล้อมและผู้คนล้วนแปลกตา ยิ่งได้เห็นเงาตัวเองในกระจกนางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกผีหลอก
ยังดีที่ยังพอมีสติอยู่บ้างจึงไม่ได้เปิดเผยตัวจริงออกไป ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ได้อยู่อย่างปลอดภัยมาจนถึงวันนี้
“เพคะองค์หญิงเป็นหม่อมฉันเอง
องค์หญิงทรงสุบินร้ายอีกแล้วหรือเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์ถามผู้เป็นนาย นับจากองค์หญิงได้รับการปล่อยตัวจากปรโลก
ก็ทรงสูญเสียความทรงจำในอดีตไปจนหมดสิ้นและสุบินร้ายติดต่อกันหลายคืน ทำให้นางต้องวิ่งอย่างแตกตื่นเข้ามาปลุกให้ตื่นจากบรรทมทุกเช้า
“ใช่
ข้าฝันร้าย” ไม่รู้ว่านางคือองค์หญิงเซียงจื่อที่ฝันว่าตัวเองเป็นขนิษฐา หรือนางคือขนิษฐาที่ฝันว่ามาเข้าร่างองค์หญิงเซียงจื่อกันแน่
“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นและฉลองพระองค์เอาไว้แล้วเชิญองค์หญิงเสด็จเถิดเพคะ
สรงน้ำเสร็จแล้วจะได้เสด็จไปเข้าเฝ้าไทเฮานะเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์เตือนผู้เป็นนายที่ยังไม่ขยับลงจากแท่นบรรทม
“พอๆ
ข้าบอกแล้วนี่ว่าให้พวกเจ้าใช้คำธรรมดาสามัญกับข้า ใช้คำยากๆ พวกนี้ข้าฟังแล้วปวดหัวนัก”
นางโบกมือพลางลุกขึ้นนั่ง ได้ยินว่าเซียงจื่อก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิง
นางก็คือสามัญชนคนหนึ่งแต่บุญพาวาสนาส่งให้มีโอกาสได้ช่วยชีวิตไทเฮาเอาไว้ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นธิดาบุญธรรมและเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้
“เพคะองค์หญิง”
เหล่านางกำนัลรับคำพร้อมกัน จากนั้นจึงนำเสด็จองค์หญิงสู่ห้องสรงน้ำ
แม้จะรู้สึกไม่เคยชินอยู่บ้าง
แต่การมีนางกำนัลล้อมหน้าล้อมหลังเช่นนี้ ทำให้นางนึกขอบคุณสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
บุญรักษาแท้ๆ นางถึงได้เข้ามาอยู่ในร่างองค์หญิง หากไปอยู่ในร่างขอทาน หญิงนางโลม
หรือชาวบ้านธรรมดาที่ชีวิตความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน นางคงลำบากกว่านี้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
เรื่องดีอีกอย่างคือนางสามารถเข้าใจภาษาของคนที่นี่ได้ทันที
กระทั่งตัวหนังสือก็ยังอ่านออกเขียนได้ เรียกได้ว่าสิ่งที่องค์หญิงเซียงจื่อทำได้นั้น
ตัวนางในเวลานี้ก็สามารถทำได้ทั้งหมดเช่นกัน จะมีก็แต่คำราชาศัพท์
หรือคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ศัพท์สแลงต่างๆ ที่นางยังต้องค่อยๆ
เรียนรู้ไปทีละน้อย
“เอาละ
พวกเจ้าออกไปเถิด ไม่ต้องอยู่ช่วยข้าอาบน้ำหรอก
ข้าอยากแช่น้ำอุ่นให้สบายตัวสักหน่อย” แม้นี่จะไม่ใช่ร่างของนาง
แต่การต้องเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น แล้วมีมือนุ่มนิ่มมาลูบไล้ขัดถูเนื้อตัวให้ นางก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี
“เพคะ
แต่หากองค์หญิงต้องการสิ่งใดก็ทรงเรียกใช้พวกหม่อมฉันนะเพคะ”
“ข้ารู้แล้ว
ไว้อาบเสร็จข้าจะเรียกพวกเจ้าเข้ามาช่วยแต่งตัว” ชุดขององค์หญิงจีนดูยุ่งยากกว่านุ่งโจมห่มสไบมากนัก
ต่อให้ยังเขินอายแค่ไหนแต่เรื่องเสื้อผ้าก็ยังต้องให้นางกำนัลช่วยจัดการให้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจนางเป็นคนไทยแต่กลับมาเข้าร่างองค์หญิงจีนโบราณ
ซ้ำไม่รู้ว่าเป็นยุคสมัยไหน แต่ถึงรู้ก็ไร้ประโยชน์เพราะนางไม่เคยสนใจเรื่องประวัติศาสตร์จีนแม้แต่น้อย
จะว่านางย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้ไขประวัติศาสตร์ก็ไม่น่าจะใช่ หรือนางจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงเซียงจื่อมาก่อน
เรื่องนี้ก็ยิ่งปะติดปะต่อไม่ถูก เพราะบรรพบุรุษล้วนเป็นไทยแท้แต่กำเนิด
เดิมทีผิวของนางก็คล้ำตามพ่อแม่อยู่แล้ว ยิ่งออกแดดทำไร่ทำนามาแต่เด็กจึงยิ่งเกรียมเข้าไปใหญ่
ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนคนจีนเลยสักนิด แต่หากเป็นชาติก่อนก็ยังไม่แน่ว่านางเคยเป็นคนจีนมาก่อนหรือไม่
เซียงจื่อรอจนนางกำนัลออกไปหมดแล้วจึงเดินไปที่หน้ากระจกบานใหญ่
แล้วลงมือถอดชุดนอนเนื้อนุ่มที่สวมอยู่ออก ซับในชิ้นล่างแม้จะบางเฉียบแต่ก็สวมใส่ได้อย่างสบายตัว
ด้านบนคือเอี๊ยมปักลายดอกไม้งดงามประณีต ครั้นเสื้อผ้าพ้นไปจากร่างเงาสะท้อนที่ปรากฏแก่สายตาก็คือโฉมสะคราญราวกับหุ่นปั้น
ดวงหน้าหวานรูปไข่ จมูกโด่งได้รูป เข้ากับริมฝีปากจิ้มลิ้ม
เรือนผมดำขลับสยายยาวเป็นเงางามดั่งแพรไหม ตัดกับผิวขาวเนียนละเอียดราวหยวกกล้วย
หากที่ทำให้นางซึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกันมองแล้วยังหลง
นั่นคือส่วนเว้าโค้งทรงนาฬิกาทรายที่ไร้ส่วนเกิน
ทรวงอกทรงกลมชูชันเบียดชิดกันทั้งสองข้าง
ยอดอกยิ่งน่ามองด้วยสีระเรื่อราวกับไข่มุกสีชมพูขนาดกำลังงาม
ความอวบใหญ่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงคะเนแล้วไม่ต่ำกว่าคัพดีอย่างแน่นอน
บนหน้าท้องมองเห็นลอนกล้ามน้อยๆ ดูยวนเย้า เอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผาย ยิ่งมองยิ่งงามองค์หญิงผู้นี้งามประหนึ่งภาพวาด
แต่เดิมนางก็เป็นผู้หญิงห้าวๆ ที่ชอบมองสาวสวยมากกว่าหนุ่มหล่ออยู่แล้ว ตั้งแต่ลืมตาขึ้นที่นี่นางก็ยังไม่เคยเห็นใครชวนมองเท่ากับเจ้าของร่างนี้เลยสักคน
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหากตนเองตายอีกครั้งก็จะกลับร่างเดิมได้ แต่การฆ่าตัวตายแต่ละวิธีน่ากลัวเกินไป อีกอย่างนางไม่รู้ว่าวิญญาณเซียงจื่อจะกลับมาเข้าร่างอีกหรือไม่ หากนางทำร้ายร่างนี้จนหมดสภาพเจ้าของร่างเดิมจะกลับมาได้อย่างไร อีกอย่างก็คือแม้นี่จะไม่ใช่ร่างของนาง แต่ความเป็นอยู่ที่นี่นับว่าดีมาก จากเด็กสาวหน้าดำที่เคยเลี้ยงควายอยู่กลางทุ่ง ได้เป็นถึงองค์หญิงโฉมงามในวังหลวง ชีวิตเช่นนี้แม้จะน่าตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ก็เป็นฝันที่นางไม่อยากตื่นเร็วจนเกินไปนัก นางไม่อยากกลับไปเป็นขนิษฐาที่ต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อส่งไปปรนเปรอแม่และพ่อเลี้ยงอีก ทางเดียวก็คือนางต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะหาทางออกที่เหมาะสมได้มากกว่านี้
เมื่อตกลงใจกับตัวเองได้แล้วการใช้ชีวิตต่อจากนี้นางจะต้องเริ่มวางแผนให้รอบคอบ จำได้ว่าก่อนลืมตาแล้วมาอยู่ในร่างของเซียงจื่อตอนนั้นศรัณย์ก็อยู่กับนางด้วย พวกเราเดินผ่านแผนกของเล่นในห้างสรรพสินค้าหลังเลิกงาน ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นางเดินไปดูตัวต่อขนาดเล็กสองชิ้นที่วางอยู่ ซึ่งพอนำมาประกบเข้าด้วยกันแล้วจะกลายเป็นรูปตำหนักจีนโบราณ ที่ใกล้ๆ นั้นมีป้ายเขียนเอาไว้ว่าสามารถอธิษฐานขอพรได้ นางกับเพื่อนถือไว้คนละชิ้นและนำมาต่อเข้าด้วยกัน ในใจนางอธิษฐานขอสิ่งที่อยากได้ทั้งที่ไม่เชื่อถือเลยสักนิด และยังมีประโยคสุดท้ายที่รางเลือนอยู่ในความทรงจำ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก จากนั้นแสงสว่างก็วาบขึ้นจนนางมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าศรัณย์จะถูกดึงตัวมาที่นี่ด้วยหรือเปล่า แต่ถ้ามาแล้วตอนนี้เพื่อนของนางอยู่ที่ไหน คงไม่ใช่ไปเข้าร่างขันทีในวังแล้วหรอกนะ
ไม่สิ...ต้องคิดในแง่ดีไว้ก่อน นางยังได้เป็นถึงองค์หญิง หมอนั่นก็คงไม่โชคร้ายกลายเป็นชายที่ถูกตอนไปแล้วหรอกน่า และถ้าไม่ได้อยู่ในวังก็ต้องเป็นนอกวัง นางจะต้องหาทางออกจากวังสักครั้งให้ได้
ความคิดเห็น