คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [ ทำนองผีเสื้อ ] : ตอนสอง
[ ทำนองผีเสื้อ ]
แฟรงก์พยายามทำตัวให้ลีบที่สุด ท่านั่งซุกหลังทีน่าทำให้หลุยส์หัวเราะกลิ้ง
“ก็ไม่รู้นี่ นึกว่าเป็นสตอล์กเกอร์” เธออุบอิบ
“โอ๊ย ขำจนจุกไปหมดแล้ว” หลุยส์เช็ดน้ำตาป้อยๆ ทีน่าเองก็ตัวสั่นไปหมดเพราะแรงขำ มีอยู่สองคนที่ขำไม่ออก คือ แฟรงก์คนก่อเรื่อง และเจมส์ คาโนวา ตำรวจหนุ่มผู้โชคร้ายที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เดิมทีโรงพยาบาลก็อยู่ห่างจากบ้านทีน่าประมาณยี่สิบนาที บวกกับคนขับเป็นคนเจ็บเสียเองจากเวลายี่สิบนาทีเลยกลายเป็นสี่สิบนาทีในบัดดล
“เป็นไงบ้างพี่เจมส์” หลุยส์ถามทั้งห่วงทั้งขำจนผู้เป็นพี่ค้อนขวับ
“ถูกยิงยังเจ็บน้อยกว่านี้เลย”
“ฮ่าๆ เพื่อนหนูเข้าใจผิดนึกว่าพี่เป็นสตอล์กเกอร์”
“อืม ได้ยินเต็มสองหูเหมือนกัน จิตทรามใช่ไหมนะ?” แฟรงก์อยากหดตัวเหลือสองนิ้วจริงๆ เธอไม่เคยอายขนาดนี้มาก่อน เพราะไม่เคยทำให้ใครเจ็บตัวแบบผิดตัวมาก่อนไงล่ะ
“ขอโทษค่ะ” แต่ผิดแล้วก็ต้องขอโทษ... แม้จะเบาไปนิด อายไปหน่อย หลบอยู่หลังเพื่อนจนมิดก็ตาม
เจมส์ไม่ถือสา เขาเข้าใจความรู้สึกของคนถูกตาม เยอะไปที่เจ้าทุกข์ซึ่งเป็นผู้หญิงสาวยิ่งสวยๆ ด้วยแล้ว บางกรณีก็ถึงขั้นกลัวจนสติแตกไปเลยเวลามีอะไรมาทำให้ตกใจ ถ้าเพื่อนของหลุยส์จะประสาทเสียไปบ้าง เขาก็ไม่ถือสา
“เดี๋ยวขึ้นรถแล้วเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ได้รับจดหมายให้ฟังอีกครั้งนะครับ” เขาบอก ซึ่งเธอก็ทำหน้าตื่นๆ หนึ่งคงตกใจที่เขายื่นหน้าไปพูดด้วยโดยตรง และสอง... อืม เขายังนึกไม่ออกแฮะ
“ไม่ใช่ๆ คนนี้ต่างหากที่โดนสตอล์ก ชื่อทีน่า ส่วนนั่นน่ะ แฟรงก์ มานอนเป็นเพื่อนกัน”
“คุณไม่ใช่เจ้าทุกข์” เธอส่ายหน้าหวือ เจมส์สูดลมหายใจลึกยาว ว่าจะไม่ฉุนแล้วเชียว เขาเป็นตำรวจที่มีหน้าที่ดูแลประชาชน
“ฉันตกใจ จู่ๆ คุณก็โผล่มา” เธอพึมพำกับหลังเพื่อน
“ก็แล้วคุณจะสติแตกใส่ผมทำไม!” เจมส์ว้ากใส่จนได้ ข้อหาของเธอมีดังนี้ หนึ่ง ทำเขาเจ็บตัว มือขวาเป็นข้างถนัดของเขา สอง จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ คำขอโทษของเธอน่าจะติดอยู่ที่หลังเพื่อนมากกว่าจะมาถึงเขา
แฟรงก์ทำตาโต ทีน่าเลี่ยงไปยืนกับหลุยส์อย่างคนรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง เธอก็รู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนผู้ชายตะโกนใส่หน้ามาก่อน
“ฉันตกใจนี่!” เขากลอกตา
“คุณมองไม่เห็นนี่!” คือบัตรประตัวของตำรวจที่ห้อยคอเขา “กับนี่!” หมายถึงเข็มขัดปืนสั้นสีดำมะเมื่อม “อย่างนั้นเลยใช่ไหม?” แฟรงก์จะสลดถ้าเขาจะลดท่าทีคุกคามลดสักนิด
เธอเอานิ้วที่ไม่เจ็บอะไร(ไม่เหมือนเขา สม!) จิ้มบัตรตำรวจแรงๆ ผลเท่ากับจิ้มอกแข็งๆ ของเขานั่นแหละ “ก็นี่ของคุณมันสีดำแถมตราก็ไม่ได้เรืองแสงได้ แล้วไอ้นี่อีกอย่างของคุณมันก็ดำๆ อีกเหมือนกัน ฉันจะมองเห็นได้ยังไง”
“เอ้อ อย่างนี้นะทั้งสองคน” หลุยส์แทรกตัวเข้ามาคั่นกลางอย่างกล้าหาญ “แฟรงก์ผิดที่ไม่มองให้ดีว่าพี่เจมส์เป็นตำรวจ พี่เจมส์ก็ผิดที่ทำให้แฟรงก์ตกใจ และผิดมากกว่านิดนึงตรงที่มีสติดีกว่าแล้วไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นตำรวจ” แฟรงก์เอาลิ้นดุนแก้ม ท่าอย่างนี้เคยทำให้หลุยส์ที่แสนร่าเริงหัวเสียมาแล้ว นับประสาอะไรกับตำรวจขี้วีน
เจมส์เอี้ยวคอดังกรอบ ทำท่าอยากขย้ำคอเธอเต็มแก่
“เฮ้ย ไม่เอาน่า อย่าลืมสิว่าเรามารวมกันทำไม” หลุยส์ยังพยายามไกลเกลี่ย
“นะ?”
แฟรงก์พยักหน้าหยิ่งๆ “เห็นแก่เธอ”
เจมส์อ้าปากจะพูด หลุยส์ตะครุบปากเขาทันควัน “เคลียร์เรื่องสตอล์กเกอร์ให้จบแล้วค่อยตีกันต่อ คราวนี้ฉันจะไม่ห้ามเลย”
ทว่าไม่ทันรอให้เรื่องเก่าจบก็เกิดปัญหาใหม่ที่ลานจอดรถนั่นเอง เจมส์ไม่สามารถขับรถได้เพราะรถเป็นเกียร์ธรรมดา และมือข้างขวาของเขาก็ถูกฉีดยาชาหนำซ้ำยังงอไม่ได้เหยียดไม่ออกอีกต่างหาก ทีน่านั้นขับรถไม่ได้เนื่องจากสายตาสั้นและไม่ได้สวมแว่นมา หลุยส์ยิ่งแล้วใหญ่เพราะขับไม่เป็นเลย เหลือก็แต่แฟรงก์ซึ่งมือแข็งที่สุดแล้วบรรดาคนทั้งสี่
ปัญหาคือ เจมส์ไม่ยอมให้ผู้หญิงขับรถเขา โดยเฉพาะแฟรงก์ที่เพิ่งมีเรื่องกันไปแหม็บๆ อีกทั้งเจ้าตัวยังไม่มีใบอนุญาตขับขี่
“ผิดกฎหมาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทีน่าขับ แล้วมานั่งลุ้นกันว่าจะเหมาเสาไฟฟ้าได้กี่ต้น” แฟรงก์ยอกย้อน อันที่จริงทีน่าก็ยังไม่มีใบอนุญาตเหมือนๆ กัน สรุปคือ ต่อให้ขับรถเป็นทั้งสามคนก็ไม่มีใครได้ไปไหนกันหรอก
“โห พี่เจมส์หยวนๆ น่า อีกอย่างแฟรงก์เคยขับรถขึ้นเขามาแล้ว สบายหายห่วงเลยพี่”
“เมื่อไหร่?” เจมส์หรี่ตา
หลุยส์ตาเหลือก
“เขามีเอาผิดย้อนหลังกันแล้วเหรอ”
แฟรงก์รำคาญ กระชากกุญแจรถจากบรรดาพวงกุญแจคล้องอยู่ที่เข็มขัดเขาทีเดียวก็หลุดติดมือมา
“ทิ้งเทล่าไว้ที่บ้านคนเดียว กับเสี่ยงให้ฉันขับรถ อย่างไหนแย่กว่ากัน คุณตำรวจคงคิดได้นะคะ” ไม่รอให้ใครได้โต้กลับ เธอตรงไปเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถทันที เจมส์รีบเปิดประตูค้านที่นั่งข้างคนขับ
“ถ้าเธอทำรถฉันเป็นรอย เราเห็นดีกันแน่”
แฟรงก์ผิวปากหวือ
“ไม่เคยขับเครื่องรถแข่งมาก่อน ขอลองหน่อยล่ะกัน” เธอถูมือไปมา อันที่จริงตั้งแต่ขามาแล้วที่เธอเฝ้าแต่อิจฉาเขาที่มีรถเจ๋งๆ ถึงตัวเครื่องภายนอกจะตกรุ่น แต่เครื่องยนต์นี่สิ
“อืม...” แฟรงก์ครางรับเสียงเครื่องยนต์ที่กระหึ่มประสาน
เจมส์หวั่นใจพิกล ท่าทีเธอแสดงออกมันคืออาการกระหายความเร็วชัดๆ
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
“ช้าไปแล้ว!”
“บ้า! บ้าที่สุด!” เจมส์หัวเสีย เขาลงจากรถและรี่มาเปิดประตูฝั่งคนขับก่อนที่แฟรงก์จะปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเสียอีก เจมส์ลากแฟรงก์ลงจากรถ เตรียมอาละวาดต่อจากฉากบนรถ
“ฉันแค่อยากลองลากเกียร์ต่ำ ผิดตรงไหน?”
“ผิดตรงไม่ใช่รถของเธอไง!”
“ทีน่า!!” เสียงหลุยส์ขัดจังหวะการโต้เถียงของพวกเธอเสียก่อน ภาพที่ทีน่าล้มพับตัวอ่อนในอ้อมแขนของหลุยส์ทำให้แฟรงก์ลืมเรื่องอีกไปหมดสิ้น เธอปราดเข้าไปเรียกเพื่อน
“พี่เจมส์ จดหมาย!!” หลุยส์ชี้กระดาษที่ตกบนพื้น แต่ช้ากว่าแฟรงก์ที่คว้ามันขึ้นมาแล้ว
กระดาษสีขาว แต่ตัวอักษรเป็นสีแดงฉานราวกับเขียนด้วยโลหิต แฟรงก์ลังเลแต่ก็ยกขึ้นดมแล้วถอนหายใจออกมา “น้ำหวานน่ะหลุยส์” เธอส่งต่อให้ตำรวจหนุ่มเพื่อให้เขาพิสูจน์อีกที แฟรงก์ช่วยกันกับหลุยส์ประคองทีน่า
“ผีเสื้อเอ๋ย ข้าจะเด็ดปีกของเจ้า” เจมส์อ่านออกเสียง
แฟรงก์ห่วงทีน่าแต่ห่วงเทล่ามากกว่าเมื่อคิดว่าน้องสาวเพื่อนอยู่ในบ้านเพียงลำพังตอนที่สตอล์กเกอร์คนนั้นวนเวียนอยู่แถวบ้าน เธอมองเข้าไปในบ้าน เห็นไฟห้องนอนเทล่าเปิดสว่าง
“กดออดหน่อย เราต้องให้คนในบ้านเปิดประตูให้” แฟรงก์บอกเจมส์ ซึ่งทำหน้าเข้าใจโดยไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ ณ ตอนนี้
“ถึงว่าเปิดไม่ออก” เขาบ่นเคืองๆ น่าจะหมายถึงความพยายามที่ไร้ผลตอนถูกประตูหนีบมือเป็นแน่
เทล่าเปิดประตูบ้าน พอเห็นพี่สาวไม่ได้สติก็ตกใจ แฟรงก์แต่งเรื่อง
“เห็นเข็มเข้าน่ะ สลบเมือดเลย” อาการเข็มโฟเบียของทีน่านั้นเป็นที่เลื่องลือมาก จำได้เมื่อครั้งเรียนวิชาการเรือนซึ่งต้องเรียนเย็บผ้า ทีน่าเป็นลมทุกรอบที่เรียน พักหลังๆ มานี้ไม่รู้อาการโฟเบียหายหรือยัง เพราะเธอกับหลุยส์พยายามเลี่ยงการควักเข็มต่อหน้าทีน่าแล้ว
เจมส์ไวทันกัน เขาพับจดหมายสีน้ำหวานราวกับกำลังพับกระดาษธรรมดาไม่ได้สำคัญอะไร
“นี่พี่ชายพี่เอง วันนี้เรานัดติวกัน ทีน่าไม่ได้บอกเหรอ” หลุยส์สร้างสถานะทางบุคคลให้เจมส์เมื่อเห็นสายตาสงสัยของเทล่า
เทล่าไม่ติดใจอะไร ทั้งยังเป็นคนหาหยูกยามาปฐมพยาบาลพี่สาวอีกต่างหาก
พอทีน่าเริ่มขยับ เทล่าก็ปล่อยให้หลุยส์เป็นคนดูแล โดยที่ตัวเธอบอกสั้นๆ ว่าจะขึ้นไปอ่านหนังสือต่อ
“พี่น้องบ้านนี้ไม่ถูกกันเหรอ” เจมส์สงสัย
“เทล่าคงโกรธฉัน” ทีน่าพูดเพลียๆ รอยยิ้มเศร้า แฟรงก์ตบหลังมือเพื่อนเบาๆ
“บอกหน่อยสิทีน่า ผีเสื้อเกี่ยวข้องยังไงกับแก”
“ฉัน... ไม่รู้” ทีน่าส่ายหน้า สับสน แฟรงก์ถอนหายใจ
“มูลี่หน้าต่างตรงที่นั่งของฉันมีรูปผีเสื้อ” เธอเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เปลี่ยนที่นั่ง “ถ้าเป็นหลุยส์พวกชอบลบ ถ้ามีใครขีดเขียนข้อความรกตา ไม่ว่าตรงนั้นจะเป็นโต๊ะเรียน กำแพงบ้าน หรือพื้นถนน หลุยส์ก็ต้องบากบั่นหาวิธีลบจนได้ กลับกันทีน่าของฉันก็เป็นพวกชอบจารึก โต๊ะที่ฉันนั่งตอนนี้มีรูปวาดของเธอเต็มไปหมด และมีรูปผีเสื้อที่มูลี่”
ทีน่าปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น แฟรงก์หลับตาเธอไม่อยากเห็นในสิ่งที่น่าจะได้เห็น หลุยส์ไม่รู้จะพาตัวเองไปอยู่ที่ไหนดี เจมส์ต้องดึงให้นั่งบนโซฟาด้วยกัน
“ฉันเคยเรียนบัลเลต์ตอนประถม” แฟรงก์ลืมตา... ใช่ เธอจำได้ ทีน่าเคยพูดถึงบางครั้ง
“ใครๆ ก็บอกว่าฉันเอาดีทางบัลเลต์ได้ ฉันเองก็ชอบเต้น ชอบแต่งตัว แต่งหน้าสวยๆ ที่สำคัญไม่ว่าพ่อกับแม่จะอยู่ที่ไหนถ้าฉันได้ขึ้นเวทีพวกท่านก็จะกลับมาดูทุกครั้ง ตอน ป.6 ฉันต้องเลือกว่าจะทุ่มเทเวลาให้บัลเลต์หรือจะเรียนต่อเหมือนคนอื่นๆ แล้วตอนนั้นฉันก็ได้แสดงเป็นตัวหลักที่โรงเรียนสอนบัลเลต์” ทีน่าสะอื้น “เรื่องนั้นอาจารย์ที่สอนฉันแต่งขึ้น เขาบอกแต่งให้ฉันโดยเฉพาะ...”
ทีน่าในวัย 12 ปี รู้ดีว่าอนาคตของนักบัลเลต์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และใช่ว่าทุกคนจะได้แสดงบนเวที ยิ่งเป็นตัวหลักด้วยนั้นโอกาสใช่จะมาถึงง่ายๆ แม้จะเป็นรุ่นเล็กแต่การแข่งขันก็สูงเหลือเกิน
เธออยากเต้นระบำ อยากให้พ่อกับแม่มาดู
“เรื่องนั้นเป็นเรื่องของผีเสื้อที่มีปีกสวยงามที่สุด ผีเสื้อหนีต้องซ่อนตัวเองให้พ้นจากสายตาของมนุษย์ทั้งหลายที่ต้องการจะเก็บผีเสื้อไว้ชื่นชม ผีเสื้อจนมุมก็ก็ได้เด็กหนุ่มคนหนึ่งช่วยไว้ เขากับผีเสื้อใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ท่องเที่ยวไปทั่วป่า จนกระทั่งผีเสื้อขอแยกไปตามทางเพื่อมีชีวิตอย่างผีเสื้อตัวอื่นๆ เด็กหนุ่มคนนั้นเสียใจมาก เขาผิดหวังที่ตัวเองกำลังจะถูกทอดทิ้ง เขาจึงเด็ดปีกของผีเสื้อเพื่อที่ผีเสื้อจะได้ไม่บินจากเขาไปไหน” ทีน่าเล่าไม่ติดขัดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังติดตรึงในความทรงจำ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเธอก็ไม่มีวันลืม
“เขาไม่ยอมให้ฉันลืม!” ทีน่ากรีดเสียง แฟรงก์สะดุ้ง
“เกิดอะไรขึ้น” หลุยส์กระซิบถาม
“ทีน่า....” แฟรงก์ทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
“ไม่ ไม่... เขาตามหาฉันเจอ เขาจะฆ่าฉันเหมือนที่เขาเคยทำ”
ทีน่ากรีดร้องสลับร้องไห้ หลุยส์กอดเพื่อนแน่นไม่มีคำพูดใดๆ
แฟรงก์สับสน หากเพื่อนเธอหวาดกลัวขนาดนี้ ทำไมจะต้องวาดรูปผีเสื้อลงบนมูลี่ เจมส์แตะไหล่แฟรงก์พยักพเยิดไปทางห้องครัว
“มีรูปผีเสื้อที่ว่านั่นหรือเปล่า”
“มี ฉันถ่ายไว้” แฟรงก์กดให้ดูรูปถ่ายผีเสื้อในมือถือ “ทีน่าวาดรูปไม่เก่ง แต่ผีเสื้อตัวนี้สวยมากอดถ่ายไว้ไม่ได้ ฉันนึกว่าทีน่าเป็นคนวาด แต่ดูท่าจะไม่ใช่”
เจมส์คืนมือถือ พลางบอก
“ฉันได้ชื่อโรงเรียนสอนบัลเลต์ที่ว่าแล้ว กำลังให้เพื่อนตรวจสอบให้อยู่” แฟรงก์เลิกคิ้ว
“ได้ชื่อโรงเรียนจากไหน?” เขาชี้นิ้วขึ้นด้านบน
“ค้นห้องเพื่อนฉันเหรอ?”
“บ้าสิ ถามน้องสาวต่างหาก” เจมส์ยิ้มบางๆ “เป็นพี่น้องที่น่าสนใจนะ”
แฟรงก์ตั้งใจว่าจะถามว่าน่าสนใจอย่างไร แต่หลุยส์ก็เรียกเธอไปคุยเสียก่อน จนเธอลืมไปในที่สุด
“ทีน่าไม่สบายเหรอ” พักกลางวันทั้งเธอและหลุยส์ล้วนแต่โดยตั้งคำถามว่าทำไมทีน่าจึงไม่มาโรงเรียน ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติการขาดเรียนมาก่อนเลยตั้งแต่มัธยมต้นก็ว่าได้
แฟรงก์ปล่อยมูลี่ลง
“อือ นี่แกเคยคิดได้ยังไงนะว่าเป็นฝีมือเพื่อนเรา” หลุยส์ตำหนิทันทีที่เห็น แฟรงก์หน้ายู่
“ใครจะไปนึกล่ะว่าจะมีคนมือบอนอย่างทีน่าอยู่อีกคน”
“ไอ้นี่จะบอกอะไรเราได้มั่งนะ” แฟรงก์พลิกข้อมือดูเวลา
“ไปกัน”
“ไปไหน?”
“ไปตามหาคนวาดรูปนี้น่ะสิ”
ตอนแรกหลุยส์คงคิดว่า ‘ไป’ ของเธอคงไม่ไกล แต่เธอจะแสดงให้เห็นเองว่ามันไกลแค่ไหน
“ฮัลโหล พี่วา แฟรงก์นะคะ... สบายดีค่ะ แต่ว่ามีเรื่องอยากรบกวนพี่วาหน่อย”
แฟรงก์วางสาย “เคยอยากลองปีนรั้วโรงเรียนใช่ไหม” เธอถามเพื่อน ซึ่งทำตาเหลือกใส่
“จะบ้าเหรอแก!”
“ล้อเล่นน่า” หลุยส์โล่งหัวอก “แต่มุดรั้วโรงเรียนไปแล้วกัน”
“ไอ้แฟรงก์!”
หลุยส์ยังไม่หายตื่นเต้นกับการแอบหนีออกจากโรงเรียนเป็นครั้งแรก แม้ตอนนี้พวกเธอจะนั่งอยู่บนรถยนต์และไกลจากโรงเรียนมากแล้วก็ตาม
“พี่วาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเราจำได้หรือเปล่า ตอนเราอยู่ ม.1 พี่วาก็อยู่ ม.6 เนอะ”
“ใช่สิ แกกำลังจะบอกว่าฉันแก่ใช่ไหมเนี่ย”
“โห... พี่ ใครจะกล้ากัน” แฟรงก์โอด หลุยส์เริ่มทวนความทรงจำ
“พี่วา? วารีม? วารีมคนนั้นน่ะเหรอ”
“แหม ถ้าหมายถึงวารีมที่ถูกพักการเรียนรายสัปดาห์ก็ใช่เลยจ้ะ” วารีมหัวเราะร่วน หลุยส์มองภาพเพื่อนรักกับรุ่นพี่ที่มีแต่ชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียงพูดคุยกันอย่างสนิทสนมแล้วก็คิดได้อย่างเดียวว่า ทั้งสองสนิทกัน
แฟรงก์ที่เป็นเด็กดีจนอาจารย์ทั้งโรงเรียนตกปากชม กับวารีมที่...ก็อย่างที่เจ้าตัวพูดนั่นแหละ จำนวนวันที่ถูกพักการเรียนมากกว่าวันที่มาโรงเรียนเสียอีก ถ้าไม่ใช่ว่าวารีมเป็นลูกสาวผู้มีอุปการคุณรายใหญ่ของโรงเรียน ยังสงสัยว่าจะได้เรียนจบอย่างนี้หรือไม่
ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย?
“เราจะไปไหนกันน่ะ”
“เออ พี่เองก็อยากรู้เหมือนกัน” กระทั่งคนขับยังไม่รู้จุดหมายปลายทางเนี่ยนะ
“จำแทคได้ไหม” แฟรงก์ถามทั้งคู่ แน่นอนว่าวารีมต้องส่ายหน้า แต่หลุยส์พยักหน้าหงึก
“ที่ถูกไล่ออกเทอมที่แล้ว”
“อืม จะไปบ้านหมอนั่นแหละ” แฟรงก์เริ่มกดโทรศัพท์
“ไปทำไม?”
“หมอนั่นเคยนั่งโต๊ะตรงนั้นก่อนทีน่า” หลุยส์จะพูดแต่แฟรงก์ยกมือขึ้นห้าม
“ฮัลโหล ฉันกำลังไปบ้านคนที่บอกเมื่อเช้านะ ...อืม หลุยส์อยู่ด้วย ถ้าไม่มีปัญหาคงกลับถึงบ้านทีน่าก่อนหกโมง ทางคุณล่ะได้เรื่องไหม อืม ...อืม จำไม่ได้แฮะ ถ่ายรูปแล้วส่งมาสิ จะได้ดูเลยไม่ต้องรอตอนเย็น โอเค เลิกกัน”
“แกคุยกับพี่เจมส์ใช่ไหม” แฟรงก์พยักหน้า
“เขารับปากว่าจะสืบเรื่องโรงเรียนสอนบัลเลต์ให้ เจอสถานที่แล้วแต่เลิกกิจการยกให้บาทหลวงทำเป็นโบสถ์แทน ทางนั้นก็ไม่ได้เก็บเรื่องของเจ้าของเดิมไว้ มีแต่รูปถ่ายก่อนปรับปรุง ฉันให้เขาส่งมาให้ อ๊ะ นี่ไง มาแล้ว” แฟรงก์กดรับไฟล์
ภาพถ่ายที่ถูกถ่ายอีกทีโดยกล้องที่มีความละเอียดไม่สูงนักทำให้รายละเอียดต่างๆ ไม่ชัดเจน แต่ก็พอบอกลักษณะของอาคารได้ไม่ยาก อาคารชั้นเดียวแต่มีความสูงราวตึกสามชั้นความกว้างนั้นแฟรงก์จำได้ว่ากว้างทีเดียว คล้ายเป็นรูปถ่ายที่ระลึก คือ มีคนจำนวนหนึ่งยืนเรียงกันหน้าอาคาร เธอเดาได้ว่าคนหนึ่งในนั้นเป็นบาทหลวงเพราะเสื้อผ้าที่สวม ส่วนคนอื่นๆ นั้นมองไม่ค่อยออกว่าเป็นใครกันบ้าง
“ฉันจำได้!” หลุยส์เอ็ดตะโร
“เนี่ย! คนๆ นี้เป็นนักเปียโนที่เล่นในวง ฉันจำหน้าเขาได้เพราะที่บ้านก็มีรูปถ่ายคู่กับเขา จำได้ไหม ตอนนั้นทีน่าเรียนบัลเลต์ ฉันเรียนเปียโน ส่วนแกก็...นั่งหลับรอแม่แก!” แฟรงก์ตะลึง
“ฉันรอแม่?”
“ใช่สิ ฉันจำได้ ตอน ป.3 ไง” หลุยส์ตบเบาะ ส่งเสียงดังใหญ่ “ฉันเพิ่งเริ่มเรียนเปียโนที่นี่ ตอนนั้นทีน่าอยู่ก่อนแล้วแต่ยังเต้นอยู่แถวหลังอยู่เลย ช่วงนั้นมีงาน... งานอะไรนะ โอ๊ย นึกไม่ออก”
“งานระดมทุน... งานระดมทุน! ปีก่อนมีน้ำท่วม โรงเรียนเลยจัดงานระดมทุน แม่ฉันสมัครไปช่วยทำเสื้อผ้าให้ ฉันนึกออกแล้วเหมือนกัน” แฟรงก์ร้องเสียงดัง กดโทรศัพท์อีกครั้ง คราวนี้ถึงมารดา
“ว่าไงจ้ะลูกสาว? ได้ข่าวว่าไม่กลับบ้านกลับช่อง”
“แม่! แม่จำโรงเรียนสอนบัลเลต์ที่จัดงานระดมทุนช่วยน้ำท่วมได้ไหม” แฟรงก์ยิงคำถามรัวลืมกระทั่งเอ่ยทักทายแม่
“หา? โรงเรียนสอนบัลเลต์? ทำไม อยากเรียนเหรอ?”
“เปล่าแม่ จำได้ใช่ไหม”
“อือ จำได้สิ ตอนนั้นแม่ไปช่วยเขาเย็บชุด ได้ข่าวว่าตอนนี้ปิดตัวไปแล้วนี่นา ถ้าอยากจะเรียนมากก็ไปหาโรงเรียนอื่นก็ได้”
“แม่รู้จักเจ้าของโรงเรียนหรือเปล่า”
“โอ๊ย ฉันกว้างขวางขนาดนี้ทำไมจะไม่รู้จักยะ อยากเรียนที่ไหนล่ะบอกมาเลย” แฟรงก์หัวหมุน
“ไม่ใช่แม่ หนูหมายความว่าแม่รู้จักเจ้าของโรงเรียนที่ปิดไปแล้วหรือเปล่า”
“รู้จักไหมน่ะเหรอ... อืม แต่มันก็นานมากแล้วนะ คงเปลี่ยนที่อยู่ไปแล้วมั้ง จำได้ว่าตอนนั้นบ้านเขาอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนนั่นแหละ เดี๋ยวนะ แม่ปรึกษาเพื่อนแป๊บ...” หลุยส์สะกิดยิกๆ แฟรงก์ส่ายหน้า
“พี่วาเลี้ยวขวาแยกหน้านี่แหละ”
“ได้เรื่องล่ะ...” เสียงแม่ดังขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก “เขาชื่ออองรี มาดเลอ สูงๆ ผอม ผมยาวๆ หน่อย ตอนนี้ไปเปิดโรงเรียนใหม่ที่เมืองกัสซอน่า เกิดเรื่องอะไรใช่ไหมลูกสาว” แฟรงก์ชี้ให้วารีมจอดหน้าแมนชั่น กำลังจะลงจากรถตอนที่ได้ยินคำถามเจือกระแสห่วงใยจากแม่
“แม่ถามเหมือนรู้ว่ามีอะไร” แม่เงียบไปอึดใจ
“ก็โรงเรียนนั้นมีข่าวไม่สู้ดีเท่าไหร่นี่นา พอได้ยินแฟรงกี้ของแม่ถามถึงใจมันก็ไม่ดีเอาเสียเลย” วารีมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะลงหรือไม่ แฟรงก์ส่ายหน้า กดเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ได้ยินพร้อมๆ กัน
“ข่าวไม่ดีอะไร แม่เล่าให้ฟังหน่อย”
“แม่ไม่ค่อยอยากพูดถึง” แม่อิดออด แต่เธอได้เสียงใครอีกคนแว่วๆ คล้ายจะสนับสนุนให้แม่พูดต่อ “เฮ้อ...หลังจากงานระดมทุนแล้วแม่ก็ยังแวะเวียนไปช่วยเขาอยู่เรื่อยๆ แรกๆ แม่ก็พาแฟรงกี้ไปด้วยเพราะอยากให้หนูเต้นบัลเลต์ แต่งตัวเหมือนตุ๊กตา แต่หนูก็เอาแต่หนีไปซุกหลับตรงนั้นทีตรงนี้ แม่ก็เลยเลิกพาไปด้วย”
“แล้วไงต่อแม่” แฟรงก์กระตุ้น
“แม่ว่าแม่ตัดสินใจถูกที่สุดในชีวิตเลยนะที่เลิกคะยั้นคะยอให้หนูเรียนที่นั่น” คราวนี้แม่เงียบไปนานจนแฟรงก์นึกว่าสัญญาณขาดหายเสียอีก
“หนูแฟรงก์ ป้าลอเรนพูดนะจ้ะ”
“ค่ะป้า แม่ล่ะค่ะ?”
“โรสเขา...คงไม่อยากพูดถึง แต่ป้าจะเล่าให้หนูฟัง แต่หนูไม่ต้องกลัวนะจ้ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ทำใจสบายๆ ฟังเพื่อรู้ก็พอ” ทั้งสามที่นั่งฟังด้วยกันสบตากัน หลุยส์ปีนจากเบาะด้านหลังมานั่งเบียดกับแฟรงก์
“รู้จักบทละครเรื่องแฟมธอมออฟดิโอเปร่าไหม ปีศาจที่ในอาศัยอยู่ในโรงละคร ที่คอยให้คำแนะนำแก่สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์ แรกมันคิดว่าตนหลงรักพรสวรรค์ของเธอ แต่นานไปมันก็เริ่มหลังรักทั้งหน้าตา กลิ่น เสียง พรสวรรค์ ทั้งหมดที่เป็นของเธอ”
“ละครผีเสื้อเหรอคะป้า” แฟรงก์ถามออกไป ปลายสายเงียบไปนาน เธอคล้ายได้ยินเสียงสะอื้นเล็ดรอดตามสาย
“นั่นเป็นตอนจบของเรื่องจ้ะ
”
ก๊อก ก๊อก ~ ~
ทั้งสามสะดุ้งเฮือก วารีมไขกระจกลงนิดเดียว
“คะ?”
“ไง แฟรงก์”
ป้าลอเรนน่าจะได้ยินเสียงทักนั้น จึงบอกให้เธอโทรไปหาอีกครั้งตอนเย็น ซึ่งเธอก็น่าจะอยู่ที่บ้านทีน่า และพวกแม่ๆ ก็น่าจะเข้าที่พักกันแล้ว
“เห็นรถจอดติดเครื่องไว้ เลยออกมาดู” แทคเปลี่ยนไปมากทีเดียว จากนักเรียนหัวเกรียนๆ กลายเป็นเด็กหนุ่มผมยาวระต้นคอ ทำสีผมตามสมัยนิยม แต่ก็ยังผอมอยู่นั่นเอง
“บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกสูบบุหรี่” แฟรงก์ว่าเสียงขุ่น
“เหอะน่า มาถึงนี่ได้มีเรื่องอะไรล่ะ ตอนรับโทรศัพท์ยังตกใจแทบตาย นึกว่าจะโทรมาชวนไปตีกับไอ้หนุ่มที่ไหนอีก” แทคพูดไปหัวเราะไป ส่วนวารีมที่ได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะก๊าก
“เหมือนกันเลย เมื่อเที่ยงเขาโทรเข้ามือถือ ยังคิดว่านี่มันเบอร์มรณะชัดๆ”
แทคกับวารีมหยุดหัวเราะ คงเพราะสีหน้าตกตะลึงของหลุยส์
“จะเล่าให้ฟังวันหลัง” แฟรงก์ปลอบ ก่อนเอารูปถ่ายผีเสื้อในมือถือให้คนที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นมาหาถึงที่ได้ดู
“ไอ้นี่น่ะเหรอ” แทคขมวดคิ้ว
“เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนแฮะ” พูดทั้งที่ปากยังคาบบุหรี่อยู่ด้วยซ้ำ
“ก็บนมูลี่ตรงที่นายเคยนั่งไง” แฟรงก์เฉลย แต่แทคสั่นนิ้วดุกดิก
“ไม่ใช่สิ ที่อื่นต่างหาก เออ...นึกไม่ออกเลยแฮะ ส่งเข้ามือถือให้หน่อย เผื่อจะนึกออกทีหลัง” แฟรงก์หน้างอไม่สบอารมณ์
แทคบ่นอุบว่าไม่ใช่ความผิดของตนเองเสียหน่อย เขายังว่าอีกว่าแฟรงก์แค่ส่งรูปมาให้ทางเมลก็พอ ไม่ต้องพากันมาจนไกลขนาดนี้
“คุณคร้าบ โมโหจนส่งผิดรูปแน่ะ” แฟรงก์ยิ่งบูดหนัก ระหว่างที่กำลังส่งรูปที่ถูกต้องแทคก็เอะอะขึ้น
“เฮ้ย ผีเสื้อ!” แทคชี้จุดเล็กๆ ในภาพที่แฟรงก์ส่งให้ผิด เป็นภาพเธอกับทีน่าที่ร้านกาแฟ ถ่ายไว้เมื่อเดือนก่อนนี่เอง ผีเสื้อตัวนั้นไม่ได้ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของร้าน แต่เป็นลายสักบนข้อมือของใครสักคนที่บังเอิญติดอยู่ในรูปแค่เพียงครึ่งล่าง
“เหมือนกันเลย” วารีมลูบคาง
“พี่รู้จักคนที่มีรอยสักรูปนั้นนะ”
ความคิดเห็น