คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : -08- Courage
-08-
Courage
--
พอเป็นแฟนแล้วชีวิตเปลี่ยน...เปลี่ยนเลย เปลี่ยนจริง ๆ
เปลี่ยนแบบที่ว่า จากตอนแรกคิดไว้ว่าต้องได้สนิทกัน รู้จักกันมากกว่าเดิม
แต่คนน่ารักของแจฮยอนกลับหายไปจากสารบบชีวิตเขาเสียอย่างนั้น
ก็พยายามทำความเข้าใจมาตลอดว่าพอเปิดเทอมแล้วมาร์คคงยุ่งกับงานมากเกินไป
เครียดเกินไป
แต่ถึงขนาดที่ว่าวันนึงได้กินข้าวด้วยกันมือเดียว
บางวันก็ไม่ได้กินด้วยกันเลย มันก็เกินไปจากปกติที่กินด้วยกันแทบทุกมื้อ หรือบางที
จากอยู่ด้วยกันตลอด แต่ตอนนี้แค่ไปกลับมหา’ลัยด้วยกันเฉย ๆ มันก็แปลกมั้ยวะ
หรือเราจะเห่อแฟนมากไป? ใครไม่อยากใช้เวลากับแฟนมั่งอะ
แจฮยอนเองก็พยายามแล้วที่จะเข้าใจมาร์คว่าคงต้องการสมาธิและความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานออกมาดีที่สุด
แต่อีกคนก็คร่ำเคร่งกับมันมากจนเกินไป ไม่ยอมกินข้าว
ไม่ยอมพูดคุยกับเขาหรือใครคนอื่น
บางวันถึงกับอารมณ์เสียออกมาโดยไม่รู้สาเหตุเพราะตัวเองทำมันออกมาไม่ได้อย่างที่ใจคิด
ก็นั่นแหละ บางทีหวยก็มาออกที่เขา ทะเลาะกันไปบ้างก็มี ทั้งที่ก็ไม่ได้ทำความผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
แจฮยอนส่ายหัวสะบัดความคิดไร้สาระนั่นออกไป
ไม่อยากให้มันมาบั่นทอนความรักของตัวเขาและมาร์ค อีกอาทิตย์กว่า ๆ มาร์คของเขาก็จะทำสัมมนาเสร็จสิ้นแล้ว
และคงจะอารมณ์ดีมากขึ้นและมีเวลากับเขาเหมือนตอนปิดเทอม
ขายาว ๆ พาตัวเองเดินฝ่าแดดแสบผิวในช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียนไปหามาร์คที่หอสมุดซึ่งอีกฝ่ายปักหลักอยู่
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เจอเข้ากับมาร์คที่ขมวดคิ้วจ้องจอแล็ปท็อปอย่างเคร่งเครียด
แจฮยอนเดินเข้าจับไหล่ของมาร์ค บีบมันเบา ๆ เพื่อให้รู้ว่าเขามาถึงแล้ว
มาร์คเงยหน้าขึ้นมอง ยิ้มออกมาจาง ๆ พลางพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกลับไปที่จ้องหน้าจอเหมือนเดิม
แจฮยอนนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวข้าง ๆ มาร์ค แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เอียงหน้าไปถามคนข้างตัวเสียงเบา
ๆ
“คนอื่นไปไหนกัน” แจฮยอนถาม หมายถึงเพื่อนของมาร์คที่ปกติแล้วจะนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน
แต่วันนี้แฟนของเขากลับอยู่คนเดียว
“กลับกันหมดแล้ว” มาร์คตอบ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาไปจากจอมามองหน้าเขา
“แล้วกินข้าวรึยัง”
“ยัง ไม่หิวเลย เจย์ล่ะ”
“กินกับเพื่อนมาแล้ว”
คนน่ารักพยักหน้ารับรู้ และไม่มีการพูดคุยอะไรต่อ
มาร์คยังคงนั่งทำงานต่อไป แจฮยอนเองก็นั่งดูคนน่ารักทำงานจนถึงเวลาหอสมุดปิดทำการในช่วงเย็น
มาร์คถึงได้ลุกและปลุกแจฮยอนที่นั่งเฝ้าให้ตื่นเพื่อกลับหอด้วยกัน
ทั้งสองคนเดินมาที่จอดรถกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งกลับมาถึงที่หอ
“วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ” แจฮยอนบอกตอนที่ไขประตูเข้าห้อง
มาร์คหันมองคนที่ถามคำถาม แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เป็นไรอะ กินก่อนเลย
เราขอทำงานของวันนี้ให้เสร็จก่อน”
“ลืมเหรอ”
“หืม” มาร์คเลิกคิ้ว “เราลืมเหรอ ลืมอะไร”
“วันนี้เราชวนมาร์คมากินข้าวเพราะแม่เราทำกับข้าวเอาไว้ให้”
คนน่ารักเงียบไปขณะหนึ่ง หลุบตาลง ก่อนจะเอ่ย “ขอโทษ” ออกมาเสียงเบาหวิว
แจฮยอนถอนหายใจ ยิ้มเหงา ๆ “เรารู้” เล่นไม่คุยกันเกือบอาทิตย์เลย
ก็คงจะเครียดมากจริง ๆ นั่นแหละ
และคนตัวสูงกว่าไม่ได้พูดเกินความจริงไปเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ
วันมักจะเป็นแบบนี้ แจฮยอนกับมาร์คออกไปเรียนพร้อมกัน ถ้ามาร์คว่าง ๆ แจฮยอนก็สามารถหาตัวอีกคนได้ด้วยการเดินไปหาที่หอสมุด
หรือไม่ก็อยู่ที่คณะเพื่อคุยกับอาจารย์ แล้วตกเย็นก็กลับมาด้วยกัน
ตั้งแต่เปิดเทอมมาได้สักอาทิตย์นึงก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด พูดคุยกันน้อยคำเหลือเกิน ถึงปกติจะพูดกันประมาณนี้อยู่แล้ว แต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป จากมาร์คที่เครียดจนไม่ค่อยจะหัวเราะ และความรู้สึกของแจฮยอนเองก็รู้ว่าอีกคนรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ก็น่าจะบอกว่าตัวเขารอจนเฉาแล้วก็ไม่น่าจะแปลกอะไร
“งั้นมาร์คทำสัมมนาต่อเถอะ เราคงไม่กวนแล้วแหละ ถ้าหิวก็มาเคาะห้องแล้วกัน”
“ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ทำงานเถอะ” แจฮยอนตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องของตัวเองไป
มาร์คถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว มองประตูห้องของแจฮยอนที่ปิดลง หรือจะโดนงอน?
ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าแล้วเปิดประตูเข้าห้องไป
“กลับมาแล้ว” บอกตัวเองแบบนั้น ให้กับห้องที่ว่างเปล่า ในหัวมีความคิดมากมายตีกันให้วุ่นไปหมด
มาร์ครู้สึกว่าช่วงนี้รอยยิ้มของแฟนตัวเองมันดูเหงาเกินไปหน่อย อย่างยิ้มก่อนที่จะแยกกันเมื่อกี้ก็แตกต่างจากยิ้มสดใสที่เคยทำให้เขาตกหลุมรัก จะโทษใครก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ
ก็น่าจะเป็นตัวเขาเองที่หมกมุ่นอยู่กับงานมากเกินไป เขาก็พอรู้ตัว
สัมมนาพาเพลินที่ไม่เพลินอย่างชื่อที่ใคร ๆ พากันเรียกจากรุ่นสู่รุ่น หรืออาจจะเป็นการเรียกแก้เคล็ด
เพราะต้องเอาเปเปอร์ (ที่เลือกแล้วนำไปเสนออาจารย์รอบแล้วรอบเล่ากว่าจะผ่าน)
มานั่งแปลและทำสไลด์นำเสนอเป็นสัมมนาวิชาการให้กลุ่มนักศึกษาและอาจารย์ได้ฟัง
มีการซักถามและตอบคำถาม (ที่โคตรหฤโหด)
ซึ่งเป็นข้อบังคับของสาขาเคมีปีสุดท้ายที่ต้องทำ
ยากขนาดนี้ ใครพามาเรียนวะ
เขาอยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุด ทั้งที่พร้อมแล้ว แต่เพราะนี่คือผลงาน คือคะแนน คือเกรดของเขา
อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยที่คิดว่าคนอื่นก็ไม่ได้ได้คะแนนแบบเขา
เพราะมัวแต่คิดว่าตอนตัวเองเวลาพูดนำเสนอแล้วจะลืมนั่นนี่ ก็เลยเอาแต่ท่องบทพูดและจดจำเนื้อหาจนลืมเวลา
เพราะมัวแต่คิดว่าเวลาที่มีคนถามคำถาม ตัวเองจะตอบไม่ได้แล้วจะโดนหักคะแนน
ก็เลยหาข้อมูลเพิ่มเติมและทบทวนพื้นฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
ทั้งที่ทุกคนก็บอกแล้วว่าทุกอย่างมันโอเคแล้ว
แต่มาร์คเองแหละที่คิดว่ามันยังไม่พอสำหรับตัวเขา เลยยังคงแก้สไลด์สัมมนาอยู่อย่างที่เป็น
อยากทำให้ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมเราไม่ทำแบบนั้นแบบนี้
แต่ก็ส่ายหัวให้กับความคิดเหล่านั้นออกไป เพื่อนและรุ่นพี่หลายคนพอเห็นความคร่ำเคร่งที่เขามีก็เตือนว่าให้พักผ่อนบ้าง
เพราะมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก
แต่ก็พูดได้หนิ ผ่านกันมาแล้วทั้งนั้น
คนที่ผ่านมันไปแล้วก็จะคิดว่ามันน่ากลัว แต่คนที่กำลังจะเจอน่ะ มันก็คิดไปได้ต่าง
ๆ นา ๆ ไม่ใช่เหรอ
ปิดแล็ปท็อปที่ตัวเองเปิดขึ้นปรับแก้อะไรนิดหน่อยจนพอใจ ก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ส่องกระจก ตั้งใจมองเงาสะท้อนของตัวเองแล้วก็พบว่าเขาผอมลงมากขนาดไหน
แก้มตอบลง ใต้ตาคล้ำเพราะเอาแต่อ่านหนังสือจนมันเบียดเบียนเวลานอนให้มันน้อยลงไปอีก
เลยตัดสินใจวางความคิดอันหนักอึ้งทุกอย่าง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอสบายตัวแล้วก็รู้สึกว่าท้องมันร้องประท้วงด้วยความหิวเนื่องจากไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่ช่วงสาย
ซึ่งนั่นก็น่าจะผ่านไปเกินสิบชั่วโมงแล้ว และคว้าบทพูดของตัวเองติดมือออกไปเคาะประตูห้องแจฮยอน ผู้ซึ่งเป็น comfort zone เพียงอย่างเดียวที่จะมาร์คใจเย็นลงได้ในตอนนี้
ซึ่งรอไม่นานก็ออกมาเปิดประตูให้เขา
“เราหิว” คิดถึงด้วย มาร์คพูดแค่นั้น และตัดสินใจไม่พูดประโยคหลังออกไป
เพราะกลัวไม่ได้กินข้าว เนื่องจากอีกคนน่าจะฟัดเขาจนหนำใจเสียก่อน และกว่าจะพอใจ
มาร์คก็น่าจะโดนน้ำย่อยกัดกระเพาะจนทะลุไปแล้วล่ะ
แจฮยอนยิ้มจาง ๆ ก่อนจะถอยหลังเข้าไปเพื่อให้มาร์คเดินตามเข้ามาในห้อง มูมินที่เดินตามแจฮยอนออกมาหามาร์ค
ก่อนจะเอาตัวและหางมาคลอเคลียที่ขาของคนเข้ามาใหม่ ซึ่งมาร์คที่พอปิดและล็อคประตูห้องแล้วก็นั่งยอง
ๆ ลงเพื่อเล่นกับเจ้าแมวสุดหล่อเหมือนเจ้าของตรงหน้าเขา
“ไม่เจอกันนานเลย คิดถึงมั้ย”
เช่นเคย มูมินไม่ได้ตอบอะไร แต่ยืดคางจนสุดในตอนที่มาร์คเกาคางให้กับมันเบา
ๆ และอุ้มมันขึ้นมาขย้ำพุงด้วยความมันเขี้ยว
เจ้าของห้องเดินไปยังตู้เย็นเพื่อหยิบอาหารที่เก็บไว้ออกมาให้คนน่ารักที่มีมูมินนั่งอยู่บนตัก
นั่งอ่านอะไรสักอย่างรออยู่ตรงเก้าอี้ แล้วกลิ่นหอม ๆ ของอาหารก็เตะจมูกจนต้องทำให้เดินตามไปดู
“หอมอะ”
“ใช่มะ” แจฮยอนพูดอย่างภูมิใจ “แม่เราทำอาหารเก่งนะ อร่อยด้วย”
“พอดูออก” คนน่ารักพูดกลั้วหัวเราะ “แจฮยอนก็ทำอร่อย”
สีหน้าของเจ้าของห้องเปลี่ยนไป รอยยิ้มหายออกไปจากใบหน้า “จะหาว่าเราอ้วนเพราะแม่เรากับเราทำกับข้าวอร่อยเหรอ”
ขนาดเสียงยังหาเรื่องเลยคิดดู
มาร์คหัวเราะเสียงดังให้กับการเชื่อมโยงของอีกคน “บ้าแล้ว คิดไปเอง”
แต่จะว่าไป ก็ไม่ได้หัวเราะสุดเสียงแบบนี้มานานแล้วเหมือนกันแฮะ
“อะ เสร็จละ” แจฮยอนกับมาร์คช่วยกันถือกับข้าวที่อุ่นแล้วพร้อมข้าวสวยร้อน
ๆ ประมาณสองสามอย่างมาวางไว้ตรงโต๊ะเล็ก ๆ ที่เอาไว้สำหรับกินข้าว
มาร์คพยักหน้ารับขอบคุณ ก่อนจะเริ่มทานข้าวโดยมีแจฮยอนนั่งเฝ้าอยู่อย่างยิ้ม
ๆ
เพราะเวลามาร์คกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยมันน่ารักมากจริง ๆ
เขาอยากให้มาร์คได้ทานอาหารอร่อย ๆ เยอะ ๆ
เพราะมันน่าจะทำให้คนน่ารักของเขามีความสุขขึ้นมาได้บ้าง
และเขาตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้เขาจะเคลียร์ปัญหาที่คาใจเขามาเกือบหนึ่งสัปดาห์
เขาต้องทำให้คนน่ารักของเขายิ้มและพักผ่อนบ้าง
“เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ” เจ้าของห้องเปิดประเด็น
และดูเหมือนว่าคนที่กำลังกินข้าวอยู่ก็พอจะรู้
“เรารู้” มาร์คตอบอย่างสำนึกผิด เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ “ขอโทษ” เลยมาหานี่ไง
“ขอโทษทำไมอีกแล้ว วันนี้พูดคำนี้เยอะไปแล้วนะ ไม่เป็นไรหรอก เราก็พอเข้าใจว่าอยากให้งานมันออกมาดี”
ยิ้มละไมก่อนจะอุ้มมูมินที่เดินผ่านขึ้นมานั่งบนตักตัวเอง “แต่บางทีเราว่ามาร์คอาจจะตึงเกินไปหน่อยนะ”
หยุดเคี้ยว หยุดกินโดยทันที มองหน้าแฟนตัวเองที่เกาพุงให้กับแมวของตัวเอง “ตึง?”
อยากรู้ความหมายของคำนี้ที่แจฮยอนใช้กับเขา
“ก็...เครียดจนเกินพอดีน่ะ หมกมุ่นมากไป อะไรแบบนี้” แจฮยอนอธิบาย “มาร์คเก่งแล้วแหละ
เราเห็นเวลาที่อธิบายให้เพื่อนฟัง เราก็พอเข้าใจที่มาร์คอธิบายนะ นั่นแสดงว่าคงเข้าใจสิ่งที่ต้องออกไปพูดแล้ว
มาร์คน่าจะทำได้แล้วแหละ”
“แต่...”
“เราแค่อยากให้มาร์คพักบ้าง รู้ตัวมั้ยว่าผอมลง กอดไม่อุ่นเลย”
“แล้วจำเป็นต้องพูดแบบนี้ด้วยเหรอ”
“ก็จริง นี่เลยให้แม่ทำกับข้าวมาให้ กลัวแฟนผอม”
“เดี๋ยว นี่บอกแม่แล้วเหรอ”
แจฮยอนหัวเราะหน้าตาตื่น ๆ ของมาร์ค “อื้ม”
“เจย์!!” มาร์คร้องเสียงหลง กับข้าวที่เหลือเหมือนจะไม่อร่อยไปในทันที
“แม่ไม่ได้ว่าอะไรนะ” บอกแบบนั้นเพื่อให้อีกคนสบายใจ
เพราะฟังจากเสียงเรียกชื่อตัวเองเมื่อกี๊นั่นก็น่าจะรู้ว่าอีกคนคงจะเครียดมาก
คิ้วที่เหมือนจะขมวดเป็นปมนั่นคลายออก
เมื่อสองวันก่อนตอนที่แม่ของแจฮยอนมาเยี่ยม เขาซึ่งกลับมาจากมหา’ลัยพร้อมกับแจฮยอนก็เลยได้เจอกับแม่ของอีกคน ยังดูสาวอยู่เลย
และแจฮยอนเองก็ปฏิบัติกับแม่ค่อนข้างดีมากด้วย และนั่นก็ทำให้เขาหลงรักในตัวผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก
แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสนิทกับแม่ขนาดบอกว่าแฟนเป็นผู้ชายแบบนี้ก็ได้ด้วย
มิน่าล่ะ ขากลับนี่มากอดมาหอมมาร์คใหญ่เชียว
“แต่ทีหลังบอกเราก่อนก็น่าจะดีนะ” มาร์คบ่น “ชอบมัดมือชกกันเรื่อยเลย”
“ครับ” แจฮยอนกลับมายิ้มสดใสเหมือนเดิมแล้ว มาร์คจึงเริ่มกินอาหารที่เหลือต่อให้หมด
“กินเสร็จยัง”
มาร์คพยักหน้าก่อนจะหยิบจานที่ทานจนหมดเพราะมันอร่อยอย่างที่แจฮยอนบอกจริง
ๆ “เดี๋ยวเราเอาไปล้างให้” แต่อีกคนก็ดึงมันออกไปที่นอกระเบียงเพื่อล้างมันเสียเอง
แต่คราวนี้มาร์คไม่ยอม เขาเดินไปยืนข้าง ๆ
ในระหว่างที่แจฮยอนล้างจานเพื่อจะช่วย
แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากล้างน้ำเปล่าสุดท้ายแล้วเอาไปผึ่งไว้
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว
แจฮยอนก็คิดว่ามาร์คคงกลับไปอยู่กับกองเอกสารเปเปอร์ต่าง ๆ อีกตามเคย
แต่วันนี้เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นอีกแล้ว วันนี้สุดสัปดาห์นะเว้ย
ขออ้อนแฟนหน่อยไม่ได้เหรอวะ
“อยู่กับเราก่อนได้มั้ย”
“ไม่เห็นต้องพูดให้น่าสงสารเลยเจย์” มาร์คบอก “จริง ๆ
เราก็กะมาอยู่ด้วยอยู่แล้ว”
แล้วสุดท้ายก็มานั่งพักกันอยู่ตรงที่เตียง เอนกายผึ่งแอร์เย็น ๆ ดูทีวีไร้สาระไปเรื่อย
ๆ จนดึกดื่น พูดคุยกันนู่นนี่ หัวเราะให้กับมุกตลกแป้ก ๆ กินขนม ฟังเพลงไปเรื่อย ๆ
มาร์คไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มาเกือบเดือนได้แล้วมั้ง
คนน่ารักมองดูนาฬิกาก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราจะไปนอนแล้วนะ ง่วงแล้ว”
แจฮยอนลุกขึ้นตามมา คว้ามือของมาร์คเอาไว้ ออกแรงรั้งไว้เบา ๆ “เดี๋ยวก่อนได้มั้ย”
“ทำไมเหรอ” เอียงคอนิด ๆ ตากลมจ้องหน้าแจฮยอนด้วยความอยากรู้คำตอบ
“เรากำลังรวบรวมความกล้าที่จะขอจูบมาร์ค”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยหลังจากนี้ กินเวลานานเหลือเกินในความรู้สึกของทั้งคู่
ช่างเป็นความเงียบที่ประหม่าและทำตัวไม่ถูกเอามาก ๆ
ก่อนที่มาร์คเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ สูดหายใจเข้าลึก
ๆ และรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีในชีวิต
ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นมาร์คที่ผละออกไปก่อน
“เจย์อย่าเพิ่งเบื่อเรานะ” ก้มหน้าพูดจนคางแทบจะชิดอก เพราะโคตรอาย อายสุด ๆ
เกิดมาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
เคยแต่หอมแก้มพ่อกับแม่ แต่นั่นก็พ่อกับแม่ไง หอมกันจุ๊บกันมาแต่เด็ก
อันนี้แฟน...แถมนานกว่าที่เคยทำกับพ่อแม่ด้วยอะ
ฮือ ไปนอนดีกว่า
คิดได้แบบนั้นมาร์คก็เดินหนีออกไป ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าแจฮยอนทำหน้ายังไงอยู่
แต่เท่าที่เห็นคือน่าจะยืนนิ่งไปแล้ว แต่ก็โดนคว้าตัวเอาไว้แล้วถูกรวบตัวไปกอด
เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู “เราก็มีพ่อมีแม่นะ จะมาจูบเราแล้วหนีไปแบบนี้ได้ไง”
“แล้วเมื่อกี๊ใครรวบรวมความกล้าวะ” พูดย้อนแจฮยอนเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินอายที่มีมากกว่าเดิม
แต่ดูเหมือนว่าอีกคนน่าจะรู้ทันแล้ว
“รับผิดชอบเลยนะมาร์ค”
ถูกว่าแบบนั้นก็เลยหน้ามุ่ย แล้วพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดเพื่อออกเป็นอิสระ
คนตัวสูงกว่าถึงได้ยอมคลายอ้อมแขนออกให้หลวมนิดหน่อย เพื่อให้อีกคนได้หันหน้าเข้ามามองหน้ากัน
“รับผิดชอบอะไร” วะ
“นอนกับเรา”
มาร์คตาโต ถ้านอนนี่ คืนนี้จะรอดมั้ยวะเนี่ย “ไม่เอาเว้ย”
“เราไม่ทำอะไรหรอกน่า แค่อยากนอนกอดแฟน” ขโมยหอมแก้มเนียนอีกฟอดใหญ่ “ก็คิดถึงนี่
มัวแต่ทำสัมมนา จนเราจะหึงเปเปอร์กับคอมที่ได้อยู่กับมาร์คมากกว่าเราแล้วนะ”
แอบไปแยกเขี้ยวให้กับความขี้หึงไม่เข้าเรื่อง ก่อนจะยืนนิ่ง ๆ ยินยอมให้อีกคนกอดหอมอยู่แบบนั้นสักพัก
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“อยากตื่นเช้ามาแล้วคนแรกที่เจอเป็นมาร์คอะ แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ”
ถามย้ำแจฮยอนเพื่อความแน่ใจ “ไม่ทำอะไรแน่นะ?”
“ครับ เอามูมินเป็นประกันเลย” หันไปดูเจ้าแมวที่ตอนนี้มายืนจ้องทั้งสองคนเขม็ง
ดูสิ ขนาดแมวยังมัดมือชกเลย
“โอเค ก็ได้”
เพราะเขาเองก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ปล่อยให้แจฮยอนหงอยมาเกือบอาทิตย์
ก่อนจะเดินนำไปที่เตียง แล้วห่มผ้าห่มของเขา
ตอนนี้แจฮยอนซื้อผ้าห่มผืนใหม่มาด้วย
เผื่อแฟนมานอนจะได้ไม่ต้องแย่งผ้าห่มกัน
ดูเป็นคนเตรียมพร้อมดีมั้ย
คนหล่อของมาร์คเดินตามเข้ามาสมทบบนเตียง กดดูโทรศัพท์ที่บอกเวลาว่าอีกไม่กี่นาทีจะตีหนึ่งแล้ว
เอื้อมมือไปปิดไฟแล้วห่มผ้าห่มอีกผืนที่เป็นของตัวเอง
“เจย์” มาร์คเอ่ยปากเรียกชื่อคนที่นอนข้าง ๆ ซึ่งก็หันมาหาเขาแทบจะทันที
“ครับ?”
“เราหมายความแบบนั้นจริง ๆ นะ ที่บอกว่าอย่าเพิ่งเบื่อเราน่ะ”
คนตากลมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เราขอโทษที่ช่วงนี้เครียดมากไปหน่อย แต่...”
“ไม่เป็นไรเลย อย่าคิดมากนะ”
“แต่...”
“ไม่แต่แล้ว ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอก อยากซ้อมพูดนำเสนอให้เราฟังก็ได้
ไม่ต้องคิดมากเลยจริง ๆ นะ เราพร้อมช่วยเสมอ”
“ทำไมใจดี”
“เพราะเรารัก”
แล้วมาร์คก็มุดหัวลงไปในผ้าห่มแทบจะทันทีหลังจากได้ยินคำสารภาพ จนแจฮยอนต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง
การทำให้แฟนตัวเองเขิน มันน่ารักดีนะ เขาชอบทำให้มาร์คเขินมากจริง ๆ
ทั้งได้บอกความรู้สึกของตัวเองจริง ๆ ออกไป แล้วยังได้เห็นอีกคนเขินเพราะเขาอีก
โคตรดี
“ได้ยินบ่อยแต่ก็เขินตลอดเลย” เสียงอู้อี้ดังมาจากในกองผ้าห่ม “ทำไงถึงจะไม่เขิน”
“ไม่เขินน่ะ น่ากลัวออก” เพราะว่าความรู้สึกของอีกคนคงจะเปลี่ยนไป
มือของแจฮยอนพยายามดึงผ้าห่มออก แล้วดึงคนที่ซ่อนอยู่ในนั้นให้ออกมา “ออกมาเถอะ
เดี๋ยวจะหายใจไม่ออกเอานะ”
“ปล่อยเราเถอะ” ได้ยินแค่นั้นก็เหมือนหายใจไม่ออกแล้ว “กล้าพูดมาได้ยังไง”
“เอ้า ก็รักแฟน” พูดกลั้วหัวเราะ แล้วผ้าห่มที่อุตส่าห์ดึงออกมาได้ก็ถูกคนน่ารักเอาไปปิดหน้าตัวเองอีกครั้ง ซึ่งก็ตอบกลับคำพูดตรง ๆ ของแจฮยอนเสียงดัง
“พอเลย เขินเว้ย!” พอเถอะ หยุดพูดได้แล้ว
ก่อนที่จะหัวใจวายไปจริง ๆ “เชื่อแล้วน่าว่ารักจริง ๆ”
“ก็ทำให้เขินไง นอนเถอะ ออกมาได้แล้ว ไม่แกล้งแล้ว” พูดเสียงอบอุ่น กระตุกผ้าห่มนิด
ๆ เพื่อให้มาร์คได้โผล่ใบหน้าออกมา “จริง ๆ นะ ออกมาเถอะ ไม่ร้อนรึไง”
คนน่ารักยอมโผล่หน้าออกมาแต่โดยดี
แต่ยังคงไม่กล้าสบตาอีกคนที่มองมาอย่างมีความหมาย และยังไงก็ยังไม่เคยชินที่จะจ้องมันกลับเสียที
“นอนเถอะ” แจฮยอนบอก กระชับผ้าห่มให้มาร์คแน่นขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าอีกคนจะอบอุ่น แต่ก็เท่านั้นแหละ เพราะเดี๋ยวตกดึกมา
ก็ถีบผ้าห่มตัวเองออกจนหมดแล้วมาซุกกับผ้าห่มของแจฮยอนแทน
เหมือนที่เคยทำอยู่แทบทุกคืนนั่นแหละ
“อือ” มาร์คพยักหน้า ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงด้วยความง่วง
ให้ภาพสุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้คือแจฮยอนที่ตอนนี้กำลังจุมพิตหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา
“ฝันดีนะ”
ก็คงฝันดีแหละ คนส่งเข้านอนดีขนาดนี้
--
หวัดดีค่า มาต่อแล้วว
คิดอะไรรู้สึกยังไงก็เม้นบอกนะคะ ขอบคุณมากกกกกกกกกกกกกกกกก สำหรับกำลังใจจากทุกคน
ขอให้หลับฝันดีค่ะ แจฮยอนส่งเข้านอนกันทุกคนเลยนะ
ความคิดเห็น