คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : -06- The Lost Key
-06-
The Lost Key
https://www.pinterest.com/pin/56787645275536474/
ตั้งแต่วันนั้นที่แจฮยอนบอกว่าจะเริ่มจีบเขาอย่างจริงจัง
ชีวิตของมาร์คก็แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากเท่าไหร่
ถ้าเริ่มนับจากตอนที่อีกคนเมาแล้วเคาะห้องผิดน่ะนะ
จริง ๆ จะบอกว่าชีวิตของเขามันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้นมากกว่า
ไม่ใช่มาเปลี่ยนตอนอีกคนบอกว่าจะเริ่มจีบ
เพราะก่อนหน้านั้นมันก็เหมือนเพื่อนข้างห้องปกติที่แค่แมวหลงเข้ามาในห้องของเขาเลยได้มาเจอบ่อย
ๆ ก็แค่นั้นเอง
ก็ต้องยอมรับว่าพออีกคนมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ แล้ว ความ รู้สึกที่มีอยู่มันเริ่มมากขึ้นจริง
ๆ
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มาร์คเข้ามหา’ลัยบ่อยขึ้น เนื่องจากตารางสัมมนาและโปรเจ็กต์ที่เขาลงทะเบียนไว้เมื่อช่วงก่อนสอบออกมาแล้ว
จึงต้องเข้ามาหาอาจารย์ที่ปรึกษาและค้นคว้าหาข้อมูลเสริมต่าง ๆ ภายในหอสมุด
และด้วยความที่รายชื่อการให้สัมมนาของมาร์คอยู่ในแรก ๆ จึงต้องเริ่มเตรียมการกันตั้งแต่ช่วงปิดเทอม
ซึ่งเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่อยู่ลำดับใกล้ ๆ เขาคืออีเจโน่ มาร์คจึงมักจะพบเห็นเพื่อนคนนี้มานั่งอยู่ที่หอสมุดกับเขาด้วย
เริ่มมีเค้าลางที่จะเห็นชีวิตยุ่ง ๆ
ของนักศึกษาปีสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้วสิ
ก่อนหน้านี้สักสองสามวันก่อน พ่อแม่ของมาร์คมาเยี่ยมเขาที่หอ พวกท่านก็อยู่นานไม่ได้เพราะมาร์คเองก็ไม่ได้มีเวลาดูแลมากนักเนื่องจากมีนัดกับอาจารย์และอะไรหลาย
ๆ อย่าง จึงได้แค่นัดทานข้าวเย็นแล้วพวกท่านก็กลับไป
ส่วนในตอนนี้
มาร์คที่กำลังใช้เวลาช่วงบ่ายง่วนอยู่กับการคัดเลือกเปเปอร์สัมมนาก็แอบลอบมองคนที่มานั่งเป็นเพื่อนเขาที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
มือเรียวของคนตรงหน้าเขากดเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ก่อนจะเขียนยุกยิกลงไปในสมุดจดที่พกมา
ไม่รู้ว่ามองอยู่นานแค่ไหน จนอีกคนเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขา
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อตั้งใจทำงานเหรอ” คนตัวขาวถามล้อเขาเสียงเบา เพราะเขาทั้งคู่ยังคงอยู่ในหอสมุด
“ไม่เคย” มาร์คตอบออกไปตามจริง
เลิกคิ้วเพิ่มความกวนตีนเข้าไปอีกหนึ่งระดับ
ก็เขาไม่เคยเห็นอีกคนขะมักเขม้นในการทำงานมากขนาดนี้มาก่อน
เพราะปกติแล้วเวลาที่เขาเข้ามาทำงานในหอสมุด ถ้าอีกคนไม่หลับก็คงเล่นเกมอยู่ สักอย่าง
แต่พอเห็นแจฮยอนในมุมนี้แล้ว มาร์คก็คิดว่ามันเท่เอามาก ๆ
แต่ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเหลิง
แจฮยอนยิ้มตอบกลับมา ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะก้มลงทำงานต่อไม่นานก็เสร็จก่อนจะบอกอีกคน
“เสร็จแล้ว”
มาร์คพยักหน้ารับคำพูดของแจฮยอน ตัวเขาที่คัดเลือกเปเปอร์เสร็จแล้วเช่นกัน
ก็เริ่มเก็บของลงในกระเป๋า
พอดีเวลากับที่เจโน่กลับมาจากการนัดพูดคุยกับอาจารย์พอดี
“ว่าไงมึง เป็นไงบ้าง”
มาร์คเอ่ยถามเพื่อนอีกคนที่หน้าตาดูงง ๆ แต่ก็ยังดูดี เดินกลับมานั่งลงข้างเขาเหมือนโดนดูดวิญญาณ
“บานอะมึง” นั่งลงข้าง ๆ
มาร์คก่อนจะทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง “เปเปอร์ผ่านแล้ว
แต่ต้องหาข้อมูลเพิ่มอีกบานเลย”
“เอาน่า อย่างน้อยก็ผ่านแล้ว” ตบบ่าเพื่อนก่อนจะรูดซิปปิดกระเป๋า
เพราะของเขาเอาไปให้ดูรอบนึงแล้ว แต่อาจารย์บอกว่ายังไม่ผ่าน ให้ไปลองหามาใหม่
ก็เลยต้องมานั่งอ่านก่อนจะเอาไปเสนออาจารย์อีกรอบนี่ไง
เจโน่ที่เห็นอีกคนเก็บกระเป๋าก็เอ่ยทัก “จะกลับแล้วเหรอ”
“อื้อ” ตอบรับเพื่อน “เย็นนี้มีนัด” แล้วมองไปยังแจฮยอนที่ก็เก็บของเสร็จแล้วและกำลังมองมาทางพวกเขาอยู่
เจโน่มองตามทั้งคู่แล้วก็พยักหน้ารับ
เหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจในความสัมพันธ์ของสองคนนี้อยู่หน่อย ๆ แล้ว “งั้นรอกูเก็บของแป๊บนึง
จะได้ออกไปด้วยเลย ไม่รีบใช่ปะแจฮยอน”
คนถูกถามพยักหน้ารับช้า ๆ และไม่ถึงครึ่งนาทีเจโน่ก็สะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมเรียบร้อย
นี่ขนาดบอกไม่รีบ?
เด็กหนุ่มสามคนเดินออกจากหอสมุดก่อนจะแยกทางกันตรงด้านหน้า
มาร์คกับแจฮยอนเดินไปยังที่จอดรถ ส่วนเจโน่ก็คงกลับไปหาแจมินล่ะมั้ง
“เป็นเพื่อนกับเจโน่มานานแล้วเหรอ” แจฮยอนชวนคุยทำลายความเงียบในระหว่างที่เขาและมาร์คกำลังเดินไปที่รถ
มาร์คมองตรงไปยังถนนที่ทอดยาวไปทางด้านหน้าของพวกเขาพยักหน้าเบา ๆ
ก่อนจะตอบอีกคน “ก็นานนะ ตั้งแต่มัธยมอะ” เว้นไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริมประโยคก่อนหน้า
“จริง ๆ ก็เคยเห็นกันมาตั้งแต่ประถมนะ แต่อยู่คนละห้อง”
“โคตรนาน แถมยังมาเรียนมหา’ลัยเอกเดียวกันอีก”
แจฮยอนตอบอย่างทึ่ง ๆ ก่อนจะถามขึ้นมาอีก “แล้วในกลุ่มสนิทกับใครสุดเหรอ”
“จริง ๆ เราก็คุยได้ทุกคนนะ เจโน่นี่เรารู้จักมานานแล้ว
ก็สบายใจที่จะอยู่กับมันสุดแล้วอะ มันเงียบ ๆ ไม่ค่อยแซว” มาร์คตอบยิ้ม
ๆ
เพราะเขารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ถึงได้กล้าพาแจฮยอนมาให้อีกคนได้เห็น
เหมือนจะเป็นการแนะนำให้รู้จักไปด้วยกลาย ๆ
แจฮยอนพยักหน้ารับอีกครั้ง เขาชอบเวลาที่อีกคนเล่าอะไรต่าง ๆ
ที่ได้เจอมาให้เขาฟัง เวลาปากเล็ก ๆ นั่นขยับพูดเจื้อยแจ้วแล้วมันน่ารักดี
จนกระทั่งพวกเขาเดินมาถึงรถ แจฮยอนกดปลดล็อครถก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าไปนั่ง
ในช่วงเย็นวันนี้พวกเขาตัดสินใจที่จะไป ‘เดท’ กันอย่างจริงจัง เสียที หลังจากที่ต่างคนก็ต่างติดธุระของตัวเองบ้างอะไรบ้าง
ห่างจากวันที่แจฮยอนขอมาเกือบอาทิตย์กว่า ๆ
ทั้งที่จริงก่อนหน้านั้นก็เดทยิบย่อยมาตลอด ไปนั่นก็เดท นี่ก็เดท
ออกไปซื้อของหน้าหอแม่งยังเดทเลย
บ้าไปแล้ว
แล้วคนที่บ้ากว่าก็มาร์คลีนี่แหละที่บ้าจี้เรียกอะไรพวกนี้ว่าเดทไปด้วย
พวกเขาตั้งใจว่าจะไปดูหนังเรื่องที่แจฮยอนตั้งใจจะไปดูกัน กินข้าว เดินเล่นแล้วก็กลับ
พอมาถึงห้างที่อยู่ไกลจากตัวมหา’ลัยของพวกเขาพอสมควรก็พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ทั้งมาร์คและแจฮยอนก็ตกลงกันว่าจะขึ้นไปดูรอบหนังก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อจะได้จองตั๋วและกะเวลาในการทำอย่างอื่นกันถูก
และพอเดินไปถึง
“อ้อ เรื่องนั้นออกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองครับ”
คำตอบจากพนักงานขายตั๋วทำเอาทั้งสองคนทำหน้าไม่ถูก
พวกเขาไม่ได้ขับรถมาไกล ๆ เพื่อให้หนังออกจากหนีไปแบบนี้นะเว้ย
เดทแรก(อย่างเป็นทางการ)ล่มไม่เป็นท่า
แต่พวกเขาก็พลาดเองที่ไม่ได้เช็ครอบหนังก่อนมา
มาร์คหัวเราะตาหยีให้กับแจฮยอนก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “งั้นไปกินข้าวกันก็ได้
เราหิวพอดี” ทำท่าลูบท้องประกอบท่าทาง
ซึ่งแจฮยอนก็เห็นว่ามันน่ารักอีกแล้ว
เฮ้อ ความรักบังตา อะไรก็น่ารักไปหมด
--
มาร์คและแจฮยอนเลือกทานอาหารฟาสต์ฟู้ดง่าย ๆ
เป็นมื้อเย็นก่อนจะเดินเล่นในห้างกันต่ออีกเล็กน้อยเพื่อย่อยอาหาร
แต่ย่อยยังไงก็ไม่รู้
แจฮยอนได้รองเท้ามาสองคู่กับกางเกงอีกหนึ่งตัวที่มาร์คเป็นคนช่วยเลือกให้
คนรวยนี่แม่งรวยจริง ๆ เลยนะ
เสียดายอยู่หน่อย ๆ ที่ไม่ได้ดูหนังด้วยกันในโรงภาพยนตร์
แต่ก็ถือว่าเคยได้ดูหนังด้วยกันไปแล้วในห้องมาร์คแหละนะ
ถึงเดทครั้งนี้จะไม่ได้เป็นดั่งใจหวัง แต่ถือว่าเป็นอะไรที่มาร์คมีความสุขมาก
ๆ
จริง ๆ เขามีความสุขตลอดเวลาที่แจฮยอนอยู่ด้วย
และเขาก็หวังจะให้อีกคนคิดแบบนั้นเช่นกัน
ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็คงจะดี
เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเวลาผ่านไป แล้วใครสักคนจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นทางไหน
ก็ได้แต่หวังว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี
ลอบมองแจฮยอนที่ขับรถให้เขานั่ง อยู่ ๆ หนังตามันก็หนักขึ้นมา
ได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากคนขับรถมาว่า “ง่วงเหรอ”
“อือ” พยักหน้าตอบรับเบา ๆ “เดินห้างเสร็จแล้วชอบง่วงอะ”
พูดไปหาวไปจนคนขับรถต้องหัวเราะด้วยความเอ็นดู “นอนก่อนก็ได้
อีกเดี๋ยวก็คงถึงหอแล้วแหละ”
“อีกตั้งนาน ขับไหวเหรอ” อีกเดี๋ยวที่ว่านี่หลอกกันเปล่าวะ
เห็นว่าเขาง่วงจนไม่ดูทางเลยรึไง
“ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันนานเหรอ” แจฮยอนตอบ
รอยยิ้มนั่นทำให้ลักยิ้มตรงแก้มมันบุ๋มชัดเจนจนมาร์คเผลอมองอย่างหลงใหล “หลับก่อนก็ได้ เราขับไหว”
“ไม่ไหวเราก็ไม่ช่วยหรอก” มาร์คว่าติดตลก
“ถ้าง่วงก็จอดนอนด้วยกันนี่แหละ” อ้าปากหาวครั้งใหญ่ก่อนจะหลับตาลง
แล้วมันน่ารักตรงที่มาร์คหลับแบบหันหน้ามาทางแจฮยอนนี่แหละ
อยากจะหันไปมองบ่อย ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เลยทำได้แค่แอบมองแว้บ ๆ เวลารถติดนิด ๆ หน่อย
ๆ พอให้ได้ชื่นใจ
กลับมาถึงหอโดยสวัสดิภาพ
คนตัวสูงแอบจอดรถค้างไว้สักพักเพื่อจะได้เห็นคนข้าง ๆ นอนหลับต่ออีกสักหน่อย
ช่างเป็นคนที่พอได้เห็นทีไรก็ทำให้เราอารมณ์ดีได้ตลอดจริง ๆ เลย คงเพราะพลังงานด้านบวกที่ส่งออกมาจากอีกคนล่ะมั้งที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
ปลุกอีกคนให้ตื่นจากที่นอนแล้วเดินเข้าตัวหอพักไปด้วยกัน ต่างคนต่างหยุดที่ประตูห้องของตัวเอง
ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยลา
“ฝันดีนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
แจฮยอนบอกก่อนจะหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
มาร์คที่พอพยักหน้ารับคำพูดของคนข้าง ๆ แล้ว มือก็ควานในกระเป๋าเพื่อหาสิ่งเดียวกัน
แต่ตัวเขากลับหามันไม่เจอ
สีหน้าท่าทางเปลี่ยน เมื่อมือขาวเริ่มตบ ๆ ไปตามกระเป๋าที่มีทุกแห่งในตัว
พร้อมกับเริ่มเปิดกระเป๋าเป้เพื่อค้นดูด้านในด้วยความกระวนกระวายมากขึ้น
แจฮยอนมองตามมาร์คที่ดูท่าทางแปลก ๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“มีไรเหรอ”
มาร์คยังคงหาสิ่งนั้นอยู่ในกระเป๋าเป้
เมื่อหาไม่เจอแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยเสียงตื่นตระหนก “เราหากุญแจห้องไม่เจออะ”
“หืม หาดีแล้วใช่มั้ย”
มาร์คก้มลงหาอีกครั้งตามคำบอกของอีกคน ทั้งกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเป้
สาละวนวุ่นวายหาซ้ำอีกครั้งราวกับว่าจะเจอมันขึ้นมา
“ไม่มีจริง ๆ”
แจฮยอนขมวดคิ้วตามอีกคนที่ทำหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้าเขา
ก่อนจะเอ่ยถามอย่างใจเย็น “ตกในรถรึเปล่า ไปหาในรถกันมั้ย”
มาร์คพยักหน้า แล้วเดินเคียงข้างแจฮยอนออกไปที่รถอีกครั้ง
ใช้เวลาสักพักใหญ่เพื่อหากุญแจห้องของอีกคนแต่ก็ไม่เจอ
มาร์คยืนคิดทบทวนการกระทำของเขาตลอดวันที่ผ่านมาอยู่ตรงข้างรถของแจฮยอน...เมื่อเช้านี้เขาออกจากห้องมาแล้ว
ล็อคแม่กุญแจหน้าห้องด้วย ดังนั้นเขาไม่มีทางลืมกุญแจไว้ในห้องแน่นอน...ก่อนจะมาหอสมุด
เขาไปที่ห้องแล็ปเพื่อเช็คอุปกรณ์มา...
มาร์คยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า ก่อนจะร้องออกมาเสียงดัง
แจฮยอนหันไปมองอย่างตกใจ แล้วรีบเดินไปข้าง ๆ “เป็นอะไร”
“เราลืมกุญแจไว้ที่ห้องแล็ปอะ” มาร์คพูดเสียงแผ่ว
“ให้เราพากลับไปเอามั้ย”
คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า “ถึงไปก็เข้าตึกไม่ได้
เวลาดึกขนาดนี้มันต้องใช้คีย์การ์ดเปิด แต่เรายังไม่ได้ทำเลย”
เพราะนี่ก็ปิดเทอมอยู่ เขาและเพื่อน ๆ
ตั้งใจว่าจะทำคีย์การ์ดเพื่อขออนุญาตเข้าตึกในตอนเปิดเทอม
เผื่อวันไหนอยากทำแล็ปถึงดึกจะได้ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะล็อคไม่ให้เราออก
“เข้าออฟฟิศขอกุญแจสำรองก็ปิดแล้วด้วยสิ” มาร์คและแจฮยอนมองไปที่ออฟฟิศซึ่งตอนนี้มืดสนิทเพราะไม่มีใครอยู่แล้ว
คงเข้าไปขอกุญแจสำรองไม่ได้แล้วแหละ
“งั้นไปดูเบอร์ช่างซ่อมกุญแจที่เขาแปะไว้ข้างหน้ากัน”
แจฮยอนเสนอความคิดเห็น นึกขอบคุณอีกคนที่ยังใจเย็นและหาทางออกให้กับมาร์คที่ตอนนี้สมองมันตื้อไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
มาร์คที่กำลังกดเบอร์ของช่างซ่อมกุญแจ แต่แจฮยอนก็ดันโพล่งออกมาทำลายสมาธิ
“จริง ๆ อยู่นอนห้องเราก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้เช้าก็ค่อยไปเอากุญแจ
จะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน”
มาร์คหันไปมองคนพูด แจฮยอนก็เอียงหน้ามองกลับ “ว่าไง
ถ้าไม่รังเกียจก็อยู่ห้องเราก่อนได้”
“ฉวยโอกาส” พูดแซวอีกคนไปแบบนั้นแต่มือก็ยังไม่กดโทรออกเสียที
“เอ้า ฉวยโอกาสตรงไหน ก็นอนกับเราคืนเดียวเอง
แล้วพรุ่งนี้ก็ไปเอากุญแจ ดีกว่าเสียเงินให้เขาไปเฉย ๆ
มาร์คล็อคแม่กุญแจด้วยไม่ใช่เหรอ เขาจะเลื่อยออกนะ แล้วต้องไปหาซื้อแม่กุญแจใหม่อีก”
แจฮยอนบอก เว้นช่วงให้อีกคนได้คิดตาม “คืนเดียวเอง
คิดอะไรมั้ยเถอะ มาหาว่าเราฉวยโอกาสอะ”
“ไม่คิด” ตอบเสียงเบา หลบตาเพราะโกหก
“นอนก็ได้”
แต่ถามว่าจริง ๆ แจฮยอนคิดไหม...แหม มันก็ต้องมีบ้างแหละ
มาขนาดนี้แล้ว
แต่ดีจัง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโชคจะเข้าข้างกันขนาดนี้ อิอิ
ทั้งสองคนเดินกลับมาทางเดิมอีกครั้ง
แต่คราวนี้มาร์คเดินเข้ามาในห้องของแจฮยอน
ถึงมันจะฟังดูน่าแปลกใจอยู่สักหน่อย
แต่มันเป็นเพราะมาร์คนั้นค่อนข้างติดห้องของตัวเองมาก
เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่ในห้องของตัวเอง จะว่าโลกส่วนตัวสูงก็คงไม่ขนาดนั้น
แต่การอยู่ในห้องที่เป็น comfort
zone ของตัวเองมันก็ดีกว่าต้องไปนั่งอึดอัดในที่ของคนอื่น
ก้าวเข้ามาในห้องของอีกคนที่รูปแบบทุกอย่างไม่ต่างจากห้องของเขามากนัก
กวาดสายตามองรอบ ๆ ห้อง มาร์คเคยเข้ามาอยู่บ้างในเวลาที่ต้องเดินเข้ามาส่งมูมิน
แต่ก็แค่แว้บเดียวเท่านั้น เป็นห้องที่ของต่าง ๆ ดูน้อยกว่าเขาอยู่พอสมควร
แต่ของจำเป็นมีครบ ดูจากห้องแล้วแจฮยอนก็ดูเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องมากอะไร แค่มีเตียง
โต๊ะอ่านหนังสือ แล้วก็ห้องน้ำห้อง ครัวก็พอ
แจฮยอนปิดประตูไล่หลังเข้ามา
มาร์คสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันหลังกลับไปมองตามเสียงของประตูปิดลง
เห็นกระดาษโพสท์อิทหลากสีที่แปะไว้ตรงบานประตู...ทุกใบล้วนเป็นของเขาที่เอามาแปะไว้
แจฮยอนเดินผ่านเขาไปอุ้มมูมินที่นอนเล่นอยู่ตรงเบาะนอนมาชูขึ้น
“วันนี้กลับดึก โทษทีนะ”
เจ้าเหมียวในมือของแจฮยอนไม่ได้ทำอะไร แค่ใช้ดวงตากลม ๆ สีฟ้าของมันเสไปมองทางอื่น
“ไม่งอนสิ”
มาร์คหันกลับจากกระดาษโพสท์อิทเหล่านั้นมาให้ความสนใจกับเจ้าของห้องและแมวในครอบครองของเขา
ถามออกไปอย่างนึกขัน “มูมิน งอนเป็นด้วยเหรอ”
“บางทีก็งอนนะ ถ้าเราหายไปนาน ๆ” เอาเจ้าเหมียวเข้ามากอดไว้ ก่อนจะพูดเสริม
“ถ้าไม่งอนก็คงมาร้องแง้ว ๆ ใส่แล้วแหละ”
มาร์คมองมูมินที่มองไปทางอื่น
ก่อนจะขยับไปให้ตรงกับกรอบสายตาของแมวในอ้อมกอดอีกคนแล้วก็ยิ้มออกมา “น่ารักจัง”
แจฮยอนมองเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “จริง ๆ นะมาร์ค บางทีเวลามันหงุดหงิด
มันก็กัดนะ”
คนฟังทำหน้าตกใจ ก่อนจะถอยห่างออกไปประมาณ 2-3 ก้าว...เอาจริง ๆ
นะ เขากลัวแมวกัด
“งั้นเราขออาบน้ำได้มั้ย หรือเจย์จะอาบน้ำก่อน”
หาเรื่องปลีกตัวจากแมวที่กำลังอารมณ์ฉุนเฉียว
รู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่มูมินไม่เคยกัดเขาเลย
แจฮยอนวางมูมินไว้บนเตียง
ก่อนจะเดินไปหยิบแปรงสีฟันอันใหม่ที่ยังไม่ได้แกะจากกล่องที่วางอยู่ในตู้มาให้เขาหนึ่งอัน
มาร์ครับมันไว้ พร้อมกล่าวขอบคุณ “เตรียมพร้อมมากอะ”
“ตอนนั้นมันซื้อ 2 แถม 1 อะ เราเลยซื้อเอามาเผื่อไว้”
แจฮยอนตอบก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่อีกทาง หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มายื่นให้อีกคน
“จะใส่ชุดนอนแบบไหนเหรอ”
“แบบไหนก็ได้” ตอบไปแบบนั้นเพราะเกรงใจ
“บ็อกเซอร์มั้ยงั้น ปกติเราใส่แค่นี้นอน”
มาร์คเปลี่ยนคำตอบ “เราขี้หนาว”
แจฮยอนที่ได้ยินคำตอบที่เปลี่ยนไปของอีกคนก็หัวเราะ
พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “เป็นเสื้อยืดกับบ็อกเซอร์ได้มั้ย
กางเกงบอลเรามีแต่แบบยืดแล้ว มาร์คน่าจะใส่ไม่ได้”
มาร์คพยักหน้า
แอบสงสัยว่าตัวเขากับแจฮยอนเองก็ไม่ได้ถือว่าขนาดต่างกันมาก
มันจะยืดขนาดไหนถึงจะใส่ไม่ได้วะ ยืดขนาดนั้นแจฮยอนก็น่าจะใส่ไม่ได้รึเปล่า
“หรือจะเอาก็ได้นะ แต่ยืดมากอะ” แจฮยอนยื่นกางเกงบอลของตัวเองมาให้ดู “เราเองก็ไม่ใส่แล้ว”
มาร์คมองไปที่กางเกงตัวนั้น ความคิดแรกที่เข้ามา คือยางตายหมดแล้วมั้ยวะ
เอาไปให้ร้านเขาเปลี่ยนให้เหอะ
“เอาบ็อกเซอร์นี่แหละงั้น”
มาร์ครับชุดนอนจากอีกคนมาไว้เพราะถ้าขืนใส่กางเกงบอลตัวนั้นนอนมีหวังนอนอยู่ต้องหลุดแหง
ๆ “ขอบคุณนะ”
แจฮยอนส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก เรายังเคยไปนอนห้องมาร์คเลย
แถมไม่ได้อาบน้ำด้วย”
ทั้งคู่หัวเราะ ก่อนที่แจฮยอนจะกลับไปง้อแมวขี้งอนของเขา
และมาร์คก็เข้าไปอาบน้ำ
--
พอมาร์คอาบน้ำเสร็จ
เขาเดินออกจากห้องน้ำก็เห็นแจฮยอนที่ง่วงและฟุบหน้ารอเขาอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ส่วนมูมินก็นอนขดอยู่ข้าง ๆ
มาร์คสะกิดไหล่อีกคนเบา ๆ
“เป็นไง ง้อได้มั้ย” ถามพลางเช็ดผมที่เพิ่งสระของตัวเอง
แจฮยอนยิ้มก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“แค่ให้ขนมก็หายแล้ว”
มาร์คหัวเราะ “มิน่าทำไมน้องอ้วน เหมือนเจ้าของ”
แจฮยอนดึงผ้าเช็ดตัวที่กำลังใช้เช็ดผมของมาร์คให้ลงมาปิดหน้า
รีบคว้าผ้าเช็ดตัวและวิ่งเข้าห้องน้ำไปก่อนที่คนโดนแกล้งจะหาเรื่องว่าเขาได้
“เฮ้” มาร์คพูดได้แค่นั้น เพราะไม่ทันอีกคน ทำได้แค่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วก็เช็ดผมไปเงียบ
ๆ ระหว่างนั้นก็เล่นกับมูมินบ้างอะไรบ้าง
และเขาเพิ่งรู้ว่าแจฮยอนเป็นคนอาบน้ำนาน จนผมของเขาแห้ง เอากางเกงตัวที่ใส่วันนี้ออกไปผึ่งเพราะคงต้องใส่ซ้ำในวันถัดไปก็แล้ว
กลับไปเล่นกับมูมินจนเหนื่อย จนมานั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสืออย่างไม่มีอะไรทำ มองไปรอบ
ๆ ห้องก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่กระดาษโพสท์อิทที่มันมีอยู่เต็มบานประตูไปหมด
ไล่สายตาดูไปเรื่อย ๆ อย่างละเอียด เขาพบว่าทุกอันล้วนเป็นลายมือของเขา
ข้อความเดิม ๆ บนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าอีกคนจะใส่ใจเก็บไว้แบบนี้
ลอบยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง ก่อนเสียงเปิดประตูห้องน้ำจะดังขึ้น
มาร์คหันไปหาเสียงประตูนั้น
แจฮยอนในชุดนอนที่เป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์เดินเช็ดผมที่เพิ่งสระออกมาเช่นกัน
อย่างน้อยก็ยังให้เกียรติเขา ไม่ใส่บ็อกเซอร์นอนในวันนี้ ขอบคุณมาก
“นานมาก” มาร์คบ่นอุบ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียง
แจฮยอนทำได้เพียงหัวเราะพร้อมกล่าวขอโทษ ก่อนจะเดินไปเปิดทีวี
ไม่ได้ตั้งใจจะดูอะไรเป็นพิเศษ แค่เปิดให้บรรยากาศภายในห้องไม่มาคุมากจนเกินไปก็เท่านั้น
มาร์คมองแจฮยอนที่กำลังเช็ดผมของตัวเอง
สลับกับกระดาษโพสท์อิทที่ติดอยู่ตรงประตู เม้มปากแน่น ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถามอีกคนออกไป
“เก็บไว้หมดเลยเหรอ”
คนที่เช็ดผมอยู่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
ก่อนจะมองตามนิ้วชี้ของมาร์คที่ชี้ไปยังประตูเลยเข้าใจว่าคนน่ารักหมายความถึงอะไร
บอกตามตรงว่าลืม...ลืมเอาออก ไม่เคยคิดว่าอีกคนจะสังเกต
เขาติดไว้จนมันชินไปแล้ว
“อ่า...ก็ประมาณนั้น” ตอบพลางยิ้มแห้ง ๆ “เอาจริง ๆ
เลยนะ...ตอนแรกก็เก็บมาแปะไว้เฉย ๆ นี่แหละ แต่พอไป ๆ มา ๆ มันก็เต็มบานประตูไปเอง...”
พูดแค่นั้นแล้วรีบเสริมต่อ “แล้วเราก็ไม่เสียใจนะที่เก็บกระดาษพวกนี้ไว้ตั้งแต่แรก”
มาร์คลี น็อคดาวน์!
คือ...แม่งเขินอะ
มาร์คหลบตาอีกคนก่อนจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงด้านในแล้วกอดหมอนข้างของอีกคนอย่างถือวิสาสะ...
“นอนแล่ว”
น่ารัก
แจฮยอนที่เอาผ้าเช็ดตัวทั้งของเขาและมาร์คออกไปผึ่งไว้ตรงระเบียง
ก่อนจะปีนขึ้นเตียงตามมา แล้วกดรีโมตเพื่อเปิดแอร์
“โทษทีนะ เรามีผ้าห่มผืนเดียว”
แจฮยอนบอกก่อนจะคลี่ผ้าห่มออกเพื่อห่มให้กับตัวเขาและมาร์ค
ซึ่งคนมาอาศัยห้องวันนี้ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะนอนนิ่ง ๆ
ให้หลังแนบติดไปกับผนังห้องและกอดหมอนข้างแน่น มูมินที่ตอนนี้นอนขดตัวอยู่บนเบาะของตัวเองข้างเตียงก็พร้อมที่จะเข้านอนแล้วเช่นกัน
“เราเปิดแอร์ 23
องศานะ จะนอนเลยมั้ย”
มาร์คส่ายหัวก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนข้าง
อยู่ดี ๆ ก็เขิน เป็นบ้าอะไรวะ
“นี่” แจฮยอนเปลี่ยนมานั่งมองเขาที่มุดหน้าลงกับหมอนข้าง
“กลัวเราเหรอ”
มาร์คส่ายหน้ารัว ๆ พยายามจะพลิกตะแคงตัวไปอีกข้าง แต่อีกคนก็คว้าไหล่หยุดไว้ได้ทัน
“ไม่กลัวแล้วอะไรอะ เป็นแบบนี้เราก็ไปไม่ถูกนะ” พูดจบก็ถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือจากไหล่ของอีกคน
“ถ้าไม่สะดวกใจจริง ๆ เราไปนอนข้างล่างก็ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้น” มาร์คลุกขึ้นมานั่ง จับมือของอีกคนให้ออกจากไหล่
เมื่อเห็นว่าอีกคนคงเข้าใจผิดประเด็นไป แต่ก็ยังกอดหมอนข้างแน่น
หลบสายตาเจ้าของห้องตรงหน้า “เราไม่ได้กลัว”
“...”
อีกคนยังเงียบ เหมือนรอคำตอบที่มันมากกว่านี้
“เรา...ไม่รู้ดิ” มาร์คก้มหน้าลงจนคางแทบชิดกับอก “แปลกที่มั้ง”
“...”
“เรา...ทำตัวไม่ถูกอะ” คนตัวเล็กกว่าพูดเสียงแผ่ว คล้ายพึมพำกับตัวเอง
“เขิน ๆ ไงไม่รู้”
แล้วในที่สุดแจฮยอนก็เข้าใจ เขายิ้ม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อนอกจากถามว่า
“ปิดไฟนะ?”
ลุกจากเตียงเพื่อเดินไปปิดไฟห้องเมื่อได้รับอนุญาตเป็นการพยักหน้าเบา ๆ
จากมาร์ค
“ไม่เขินสิแปลก” เจ้าของห้องพูดแค่นั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนข้าง ๆ กัน
“เอาหมอนข้างมากั้นไว้ก็ได้นะ”
มาร์คทำอยู่
แต่ก็หยุดไปตอนที่อีกคนพูดต่อว่า “แต่เราจะเอาออกก็ได้”
คนฟังที่ก็เอนตัวลงนอนข้าง ๆ กันหน้างอ โดนแกล้งอีกแล้ว ก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม
“เนี่ย น่ากลัวแล้ว”
แสงไฟจากโทรทัศน์ที่ยังคงสว่างอยู่สะท้อนออกมากระทบกับตัวของคนทั้งคู่
แจฮยอนหันหน้าเข้าหามาร์คที่กอดหมอนข้างไว้แน่น
ชักจะอิจฉาหมอนข้างนี่ซะแล้วสิ
ยื่นนิ้วชี้มาเคาะปลายจมูกของมาร์คเบา ๆ “หนาวมั้ย”
คนตรงหน้าส่ายหัวอีกครั้ง
หลุบตาลงต่ำเหมือนไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหน แจฮยอนเอื้อมมือไปกดดูนาฬิกาจากสมาร์ทโฟนที่เขาวางไว้ข้าง
ๆ หมอน
23.34 น.
“ห้าทุ่มครึ่งแล้ว” แจฮยอนหันไปบอกอีกคนที่จ้องเขากลับมา ตากลม ๆ
นั่นหลบสายตาเขาทันที “อะไร เขินอะไรขนาดนั้น”
ใบหน้าน่ารักมุดลงในหมอนข้างอีกแล้ว...
“นี่ เราจะยึดหมอนข้างแล้วนะ อะไรจะกอดแน่นขนาดนั้น”
“อิจฉาเหรอ” เสียงอู้อี้ดังขึ้น ก่อนที่ดวงตากลม ๆ จะโผล่ออกมาจากหมอน
“เออสิ” แจฮยอนแกล้งทำเป็นหงุดหงิด พยายามจะดึงหมอนข้างกลับมาด้วยความหมั่นไส้
“บ้า”
พูดไปแก้เขิน เพราะจริง ๆ
ในหัวตอนนี้คิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าต้องพูดหรือทำอะไร
“นี่ มีใครเคยบอกมั้ยว่าเขินแล้วน่ารักอะ”
เขินเหมือนเด็กเลย ถ้ามีใครสักคนให้หลบข้างหลังก็คงทำไปแล้ว
แต่พอดีว่าคนคนนั้นมันไม่มี โชคดีเลยไปตกที่หมอนข้างแทน
แจฮยอนจะไม่ซักหมอนข้างใบนี้เลย คอยดู
“ไม่ เจย์คนแรก”
คนตากลมตอบไปตามจริง รู้สึกเขินหนักกว่าเดิมไปอีก
“อืม น่ารักมาก”
ย้ำอีกครั้ง ราวกับว่าอยากจะเห็นเขาเขินอีก
จากที่เขินจนไม่รู้จะเขินยังไง แม่งก็เขินสุด ๆ ไปเลย
มีขั้นกว่ากว่านี้อีกมั้ย? คือตอนนี้ใช้คำว่าเขินสิ้นเปลืองสุด ๆ
เลยอะ
“นอนแล่ว ฝันดีนะ”
ตัดบทไปแบบนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดหรือทำอะไรต่อจริง ๆ
พยายามข่มตาให้หลับ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหน้าทั้งหูแดงไปหมด
ไม่รู้ว่าอีกคนจะเห็นบ้างไหม
ไม่รู้ว่าแสงจากโทรทัศน์จะทำให้เห็นได้รึเปล่า
ฝ่ามืออุ่น ๆ ลูบที่หัวของมาร์คแผ่วเบา
สัมผัสมันได้ถึงความอ่อนโยนที่อีกคนถ่ายทอดมาให้ เสียงอบอุ่นแบบที่รู้สึกได้ว่าอีกคนต้องยิ้มออกมาในระหว่างที่กำลังพูด
และมันก็ทำให้มาร์คยิ้มตาม
“ครับ เหมือนกันนะ”
แจฮยอนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนเราจะอ่อนโยนได้มากขนาดนี้ เขาไม่เคยคิดจะดูแลใคร
เขาคิดว่าตัวเองไม่พร้อมมาตลอด แต่พอเป็นมาร์ค เขาก็คิดว่าตัวเองทำได้ และต้องดูแลอีกคนได้ดีแน่
ๆ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะดีได้ขนาดนี้ แต่พอได้อยู่กับมาร์ค
เขาก็อยากทำให้ตัวเองดียิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ใช่ว่าฝืนทำให้อีกคนมาชอบ แจฮยอนไม่เคยฝืน
มันเป็นแค่อีกด้านหนึ่งของเขาที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมันมาก่อน
คนที่ปลดล็อคด้านดี ๆ แบบนี้ของเขาได้ ก็คงจะเป็นมาร์คนี่แหละ
--
เธอเหมือนเป็นกุญแจที่หายยย เป็นเหมือนคนที่ไขประตูให้ฉันนน
กี๊ด มาแล้วค่า ตอนนี้ยาวสุดที่เขียนมาเลยอะ 5555555 โมเมนท์เรือนี้โบ้มมากจนกลัว รักในตัวกัปตันทั้งสองมากที่ขยันเสิร์ฟโมเม้นท์มาตลอด สำเร็จรูปจนชิปเปอร์จะชงกันไม่เป็นอยู่แล้ว 5555555555555
ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ติดตามนะคะ สำหรับทุก ๆ คอมเมนท์ด้วย มันทำให้เรามีแรงฮึดอยากจะเขียนต่อไปจริง ๆ นะ เดี๋ยวเราจะมาตอบคอมเมนท์ทุกคนนะค้า ขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่มาไวกว่านี้ไม่ได้ คือเราเขียนฟิคช้าอะค่ะ ยังมือใหม่อยู่เลย หลาย ๆ อย่างอาจจะยังไม่เข้าที่นัก ขออภัยไว้ด้วยน้า แฮ่ จะพยายามเขียนให้ไวขึ้นนะคะ ให้ดีขึ้นด้วย
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
ความคิดเห็น