ตอนที่ 11 : Chapter 10
Chapter 10
“ผมจะพยายาม ตอนนี้ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมทำได้”
เขาไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายพูด แม้ว่าจะพูดภาษาจีนก็ตาม หลังจากนั้นก็มีทั้ง จีน อังกฤษ ผสมกันมั่วไปหมด หลังจากยืนฟังอยู่นาน เนื้อหาที่วกไปวนมาเหมือนอีกฝ่ายกำลังพยายามพิสูจน์ตนเองให้ ใครบางคน เห็นคุณค่า ให้เห็นว่ามีสามารถ และทำได้ดีไม่น้อยไปกว่าใคร
“มิน่าล่ะ คุณถึงได้จริงจังกับทุกเรื่อง จนเหมือนคนที่ยิ้มไม่เป็น” หลินเฉินเริ่มเข้าใจคนที่นอนอยู่ขึ้นมาบ้าง คิดว่าต่อไปถ้ายังมีโอกาสร่วมทำงานด้วยกันอีก จะพยายามเข้าใจอีกฝ่ายให้มากขึ้น
เมื่อโม่เส้าเฉียนหยุดละเมอ หลินเฉินก็พยายามดึงมือที่กำเอาไว้ออก เพื่อจะได้ไปหาที่นั่ง แต่ก็ถูกดึงเอาไว้อีกรอบ เสียงละเมอก็ดังขึ้นอีกรอบ
“อย่าทิ้งผมไป ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว”
หลินเฉินสังเกตเห็นหยดน้ำตาไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิท เขารู้สึกปวดแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูก ก็เลยไม่ดื้อดึงจะเอามือออก แล้วลากเก้าอี้ปลายเตียงมาข้างๆ แล้วนั่งลง พร้อมกับกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ทิ้งคุณให้อยู่คนเดียวแน่ๆ”
เวลาผ่านไปสักพักโม่เส้าเฉียนรู้สึกตัวขึ้นเอง ก่อนที่จะรู้สึกปวดหัวและปวดตามตัวเพราะบาดแผล เขายกมือทั้งสองข้างเพื่อดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง แต่มืออีกข้าง เหมือนติดอะไรอยู่ จึงชะโงกหน้ามอง ถึงได้เห็นว่ามีใครบางคนนอนฟุบอยู่ข้างเตียง แถมยังกุมมือเขาเอาไว้เสียแน่น
“ใครกัน”
โม่เส้าเฉียนพยายามมองดูจากรูปร่างและสีผม คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก….
ชุนเสี่ยว !!!
คนคนนั้นน่ะนะ คนที่เกลียดโรงพยาบาล เกลียดเลือด เกลียดการรอคอย เกลียดทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิด จะเป็นไปได้เหรอที่จะมานอนเฝ้าแถมยังกุมมือเอาไว้ตลอดแบบนี้ หรือเขายังปกป้องได้ไม่ดี สมองก็ถูกกระทบกระเทือนไปอีกด้วย
โม่เส้าเฉียนดึงมือกลับ พร้อมๆ กับเจ้าของร่างบางก็ขยับรู้สึกตัวพอดี
“ตะ…ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างครับ” หลินเฉินถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าตอนนี้มันผ่านไปนานแค่ไหน แต่เพราะอ่อนแรงจากอุบัติเหตุก็ทำให้เผลอหลับไปในขณะที่ยังกุมมือคนที่นอนอยู่
“คุณมาทำอะไรที่นี่ คุณควรจะนอนอยู่ห้องพักผู้ป่วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” แม้จะไม่เจ็บปวด มีบาดแผล เพราะโม่เส้าเฉียนได้ปกป้องเอาไว้ทั้งหมด แต่ยังไงก็ควรนอนพักเพื่อตรวจร่างกาย
“คือ…คือผมน่ะนะ ไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่มีบาดแผลด้วย ก็เลยไม่ต้องนอนรักษา”
“แล้ว…”
“อ๋อ แล้วผมก็เลยนึกเป็นห่วงคุณขึ้นมาว่าผ่าตัดเป็นอย่างไรก็เลยตามมาดูเท่านั้นน่ะ”
“ไม่ใช่ แล้วทำไมไม่กลับบ้านไป”
หลินเฉินได้ยินคำถามที่แสนเย็นชานั้น ก็หงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย ก็ไม่ใช่ตัวเองเหรอที่บอกว่า อย่าทิ้งไป
“ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ผมกลับล่ะ” หลินเฉินทำท่าจะลุกขึ้น หันหลังแล้วเดินจากไป แล้วคำถามของคนที่อยู่บนเตียงก็ดังขึ้นอีก
“เดี๋ยว คุณจะกลับยังไง”
หลินเฉินหันกลับมา ยิ้มแหยๆ “ก็คงรถเมล์ ไม่ก็แท็กซี่นั่นแหละ”
“ไร้สาระ นักร้องดังจะขึ้นรถเมล์ได้ยังไง นั่งรออยู่ที่นี่ ผมจะโทร.ไปที่บริษัทให้หาคนมารับคุณกลับบ้าน” โม่เส้าเฉียนขยับตัวมองหาข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว แต่พอขยับตัวเยอะๆ อาการปวดตามเนื้อตามตัวก็เพิ่มขึ้นจนต้องร้องออกมา
“อ๊ากกกกก…”
หลินเฉินได้ยินก็รีบวิ่งกลับมาประคองคนที่นั่งอยู่บนเตียงทันทีด้วยความเป็นห่วง ยังไงที่อีกฝ่ายเจ็บตัวก็เพราะเขาล้วนๆ
“อย่าเพิ่งขยับตัวสิ”
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ขยับตัวผิดนิดหน่อยเอง”
“งั้นเหรอ” หลินเฉินนึกหมั่นไส้คนขี้เก๊ก เจ็บก็บอกว่าเจ็บ เจ็บแล้วบอกว่าไม่เจ็บคิดว่าเก่งนักหรือไง สู้หลับเหมือนเมื่อกี้เสียยังดีกว่า แต่เขาก็ยอมปล่อยมือแล้วนั่งลงข้างๆ ไม่พยายามดึงดันไปช่วย ถ้าเจ้าตัวไม่ต้องการ
“ยังไม่ต้องโทร.ให้คนมารับหรอก”
“ว่าไงนะ”
“ยังไม่ต้องโทร.ให้คนที่บริษัทมารับหรอก คุณอยู่คนเดียวนี่นา ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง จะไม่ทิ้งคุณไว้คนเดียวหรอก”
โม่เส้าเฉียนนิ่งอึ้งไปบรรยากาศในห้องเงียบสนิท ทั้งประโยคพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำและหูของเขามันก็ไม่ได้ฝาดไป ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจาก ‘ชุนเสี่ยว’ คนนี้ แต่เพียงแค่ประโยคนั้นที่ได้ยินทำให้หัวใจที่เงียบเหงาว่างเปล่าของเขาเต็มตื้นขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นหลินเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่นั่งลงเงียบๆ ข้างเตียงผู้ป่วยในขณะที่อีกฝ่ายก็ได้แต่เงียบไปสักพักแล้วก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี บางครั้งความเงียบก็ตอบทุกคำถามไม่ว่าจะเป็นความแคลงใจ ความไม่เข้าใจ และตอบทุกความวุ่นวายในจิตใจได้อย่างมั่นคง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
