ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rosamunde คำสาปกุหลาบลวง

    ลำดับตอนที่ #9 : ALIVE (เรื่องสั้นระหว่างรอ)

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ย. 53


    เอาเรื่องสั้นที่เขียนมาให้ลองอ่านกันเล่นๆดูเจ้าค่ะ ^__^ ถ้าตอนใหม่ดีพอมาอัพได้จะลบออกล่ะ (แต่คงอีกสักพัก แหะๆ)
    มีอะไรคอมเม้นต์ได้เลยเน่อ ยินดีรับฟังเสมอค่ะ



    ALIVE

    โดย  Tinieblas

     

    ผมเหนื่อย

    อาคารเรียนหลังใหม่สูงสิบชั้นปรากฏแสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างจากชั้นห้ากับชั้นล่าง ส่วนชั้นอื่นๆก็ทิ้งความมืดสนิทไว้รอรับ และเหลือป้ายบอกทางหนีไฟไว้เป็นดังเปลวเทียนแห่งความหวังสุดท้ายที่จะนำไปยังทางออก นอกจากบันไดหนีไฟก็มีแต่ลิฟท์ ลิฟท์ในตึกนั้นปกติมีอยู่สามตัว แต่เนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้ว ประกอบกับนโยบายประหยัดพลังงาน จึงเหลือที่ใช้งานได้จริงเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น

    เลขดิจิตอลเหนือประตูลิฟท์เปลี่ยนรวดเร็วจากชั้นห้ามายังชั้นสอง

    เสียงผู้หญิงราบเรียบที่เป็นระบบอัตโนมัติของลิฟท์ดังขึ้นพร้อมกับประตูเหล็กที่เลื่อนเปิด ผมก้าวฝ่าความมืดมุ่งตรงไปยังล็อกเกอร์สีครีมใกล้ๆ โยนเสื้อกาวน์สีขาวที่พาดบ่าไว้เข้าไปพลันกระแทกประตูเหล็กล็อกเกอร์ปิดดังปัง แล้วเดินลากขาที่ปวดร้าวลงบันไดโอ่โถงกลางชั้นสองมาด้านล่าง

    ผมกางร่มเดินห่างจากตึกเรียนออกไปช้าๆ มองนาฬิกาข้อมือตนเอง ก่อนจะถอนหายใจ

    แบบนี้อีกแล้ว วันแล้ววันเล่า

    แต่จะคิดก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    รองเท้าหนังเปียกชุ่มน้ำสกปรกก้าวผ่านผู้คนไปอย่างยากลำบาก ดวงตาผมปรือแทบปิด ศีรษะก็ปวดร้าวระบมไปหมด ไม่ต้องพูดถึงขาที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปแล้วจากการยืนทำแล็บที่ชั้นห้าต่อเนื่องกันราวแปดชั่วโมง ผมกัดฟันเดินโซเซไปจนพ้นเขตคณะที่เรียนอยู่ รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้น ที่จริงผมอยากจะหยุดพักผ่อนมาหลายวันแล้ว แต่การเรียนที่นี่ไม่อนุญาตให้ขาดหรือลา เพราะนั่นจะหมายถึงการพลาดโอกาสได้รับความรู้อันสำคัญไป หากจะหยุดเรียนต้องมีเหตุที่เหมาะสมกว่านี้ นั่นคือป่วยหนักจนออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ หรือไม่ก็ตาย

    ผมเดินผ่านแผงลอยของพ่อค้าแม่ค้าที่เรียงรายอยู่ริมทางเท้า ก่อนจะหยุดยืนมองรถที่วิ่งพุ่งตรงมาจากทางขวาเมื่อถึงทางม้าลายที่สี่แยก รอจนเห็นสัญญาณไฟแดงจึงก้าวข้ามไป

    วันนั้นประสาทสัมผัสของผมคงจะช้ากว่าปกติ ที่สี่แยกอนุญาตให้เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด และทุกครั้งผมก็จะหยุดให้รถผ่านไปก่อน แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อก้าวพ้นเกาะกลางถนนไป ผมจึงไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้านซ้ายของตน

    "เฮ้ย! ระวัง!" เสียงใครคนหนึ่งร้องเตือน ผมสะดุ้ง หยุดชะงักอยู่กลางถนน ก่อนจะหันขวับไปทางซ้าย

    ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นด้านหน้าของรถบรรทุกน้ำอัดลมสีน้ำเงินแล่นตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

    ผมได้ยินเสียงเบรก ได้ยินเสียงใครไม่รู้ร้องกรี๊ดลั่น และเสียงข้าวของร่วงหล่นกระจายไปบนพื้นถนน พยายามจะก้าวเดินต่อ แต่สัมผัสที่ขากลับชาด้านไปแล้ว เช่นเดียวกับภาพการมองเห็นที่อยู่ๆก็มืดลงกะทันหัน

    กลิ่นเลือดลอยมาแตะจมูก รู้สึกว่าลมหายใจขาดห้วงลง

    และในที่สุด สติสัมปชัญญะของผมก็ลับหายไป

     

    [ไม่...ไม่ได้...ผมจะตายตอนนี้ไม่ได้ ยังมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ยังมีอะไรที่ยังทำค้างไว้อยู่อีกตั้งเยอะ โครงงานจริยศาสตร์ที่ผมรับผิดชอบก็ยังไม่ทันได้นำเสนอ นิยายที่เขียนค้างไว้ก็ยังไม่ถึงไหน เรื่องสั้นที่จะเขียนส่งจุลสารชมรมวรรณศิลป์ก็เสร็จแค่โครงเรื่อง ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักที นี่...ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่ทนกับไอ้คณะที่เรียนเยอะจนใกล้บ้านี่หรอก ถ้ารู้ว่าจะอายุสั้นแบบนี้ผมรีบลาออกไปนั่งเขียนนิยายให้จบ ยังจะดีกว่ามาทนทุกข์กับเนื้อหาอะไรไม่รู้ที่ต่อให้เข้าใจก็จำอะไรไม่ได้แบบนี้ ไม่...ผมต้องไม่ตาย! ผมตายไม่ได้ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมต้องทำอะไรพวกนั้นเสร็จได้แน่ๆ ผมไม่อยากตาย และผมต้องไม่ตาย ไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องไม่ตาย!]

     

    "ใช่ครับ...คุณยังไม่ตาย" เสียงคุ้นหูกระซิบ

    เปลือกตาของผมเปิดออกช้าๆ ในความพร่ามัวนั้นเห็นแต่แสงสว่างแสบตา ทว่าคุ้นเคย

    ผมกะพริบตาสองสามครั้งจนเริ่มมองเห็นขึ้นมาบ้าง เพดานสีขาวนั้นมีหลอดฟลูออเรสเซนต์ประหยัดพลังงานอยู่ กลอกตาลงมองรอบตัวก็เห็นพื้นไม้สีน้ำตาลทองกับจอฉายภาพขนาดยักษ์ที่แสนคุ้นตา ที่ปลายเท้าของผมมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ถ้ามองเห็นมันตั้งแต่ทีแรกผมคงนึกว่าเป็นสายยางที่ใส่เข้าหลอดเลือดดำหรืออะไรประมาณนั้น แต่เพราะด้านขวามีจอผ้าฉายภาพขนาดเบ้อเริ่มอยู่ จึงไม่ต้องสงสัยว่าสิ่งที่อยู่ปลายเท้าของผมนั้นคือคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าเครื่องหนึ่ง มันตั้งอยู่บนโต๊ะคลุมผ้าสีขาว เคียงข้างกับเครื่องฉายแผ่นใส

    ผมกลั้นหายใจ...มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตะกี้ผมยังเพิ่งถูกรถชน แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงมาอยู่นอนอยู่กลางเวทีหน้าห้องที่ผมต้องใช้เวลาวันละเจ็ดชั่วโมงห้าวันต่อสัปดาห์นั่งจ่อมจมอยู่นี่ได้ และผมไม่มีทางจำมันผิดแน่ๆ

                    นั่นล่ะ...มันจะเป็นไปได้อย่างไร

    ใบหน้าหนึ่งชะโงกมาด้านบน สบตากับผม ก่อนจะส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผมเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมาให้ "คุณจะสงสัยไปทำไม ในเมื่อคุณไม่อยากตายขนาดนั้น ได้ฟื้นขึ้นมาก็น่าจะดีใจไม่ใช่เหรอครับ?"

    ผมกลัว

    ผมกลัวจนแทบจะหยุดหายใจ ดวงตาเบิกกว้างแทบถลน อ้าปากค้างแล้วยันร่างขึ้นนั่งก่อนจะไถลตัวไปด้านหลังอย่างหวาดระแวง น่าแปลกที่ตอนนี้ความรู้สึกเหนื่อยล้าล้วนหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ความตกใจที่ครอบงำก็ทำให้ผมไม่อาจหนีไปได้ไกลนัก

    "แก...แกเป็นใคร!"

    "ผมเหรอครับ?" เจ้าของใบหน้านั้นตอบยียวน เขาลุกยืนขึ้น แล้วสาวเท้าเข้าใกล้ผมทีละน้อย พลางหัวเราะในลำคอ "คุณก็ส่องกระจกอยู่ทุกวัน น่าจะจำหน้าตัวเองได้อยู่นะครับ ว่าเป็นยังไง"

    นั่นแหละคือสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อที่สุด

    ร่างที่เหมือนกับผมทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เว้นแม้แต่รอยเปื้อนคราบน้ำสกปรกที่ขอบกางเกงสแล็คสีดำ ย่อตัวลงนั่งยองๆที่ปลายเท้า เรียวปากตรงหน้ายิ้มพราย ขณะที่ผมสั่นไปทั้งตัวจนต้องขบกรามไว้ไม่ให้ได้ยินเสียงฟันกระทบกันให้อับอายแก่ตน ใบหน้าของผู้ชายเชื้อสายจีนสวมแว่นคนหนึ่งส่งยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมาให้ มันคงจะดีถ้านั่นไม่ใช่ใบหน้าของผม และนั่นไม่ใช่มือผม

    "แก...เป็นอะไร" ผมเค้นคำรามเสียงแหบแห้ง

    "ผมก็คือคุณ" ผมอีกคนหนึ่งตอบ น้ำเสียงทุ้มดูเป็นทางการหากแฝงแววยียวนแบบที่ผมใช้เป็นประจำ "หรือถ้าจะอธิบายให้ละเอียดขึ้นอีกนิด ผมก็คือคุณ...คือความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของคุณ แต่ความจริงแล้วผมก็ไม่ใช่คุณเสียทีเดียวหรอกนะครับ"

    ผมอีกคนยักไหล่ ยิ้มเหยียดเยาะ ก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ พลันถอนหายใจ "คุณอยากจะเขียนนิยาย ทั้งที่คุณอยู่คณะนี้ ทั้งที่คุณต้องใช้เวลาแทบทั้งหมดที่มีไปกับการพยายามยัดความรู้เข้าหัว...ทั้งที่คุณรู้ว่าโอกาสเป็นไปได้มันริบหรี่ขนาดไหน แต่คุณก็ยังคงดันทุรัง"

    "มันเป็นความฝัน มันทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้" ผมอดเถียงไม่ได้ ทั้งที่เสียงสั่นพร่า

    "แต่ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ต่อไป สุดท้ายคุณก็จะไม่ได้ทำมันอยู่ดี...และคุณก็ไม่มีความกล้ามากพอจะลาออกไปเขียนนิยายอะไรนั่นหรอก ผมรู้อยู่" ผมอีกคนชี้แจง "ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของคุณยังพอเป็นไปได้ แต่ถ้าเรื่องความฝันลมๆแล้งๆนี่ ผมมองไม่เห็นทางเลยนะครับ"

    "แค่ผมมีสิ่งที่อยากทำ นั่นก็ทำให้ชีวิตผมมีค่าแล้ว"

    "มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้าคุณทำให้ชีวิตมีค่าโดยการตั้งใจเรียนแล้วนำความรู้ที่ได้ไปช่วยเหลือคนอื่นอีกเป็นแสนเป็นล้าน"

    "ผมก็ทำแล้ว"

    "แต่มันไม่พอครับ ถ้าคุณยังเพ้อเจ้อไร้สาระแบบนี้ มันไม่มีวันเป็นไปได้"

    "แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงอีก!" ผมตะโกนสุดเสียง ก่อนจะเอนหลังพิงผนังบุไม้สีน้ำตาลแล้วหอบหายใจ

    ผมโกรธและสับสน 

    อะไรของมัน...ผมอีกคนกำลังพยายามจะบอกอะไร ราวกับว่านั่นไม่ใช่ตัวผม ราวกับว่ามันไม่เข้าใจว่าทำไมผมจึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไร...นั่นก็เป็นความจริงที่ผมตระหนักมาโดยตลอด ไม่สิ ความจริงแล้วทั้งหมดนี่คือความคิดที่รุมเร้าผมอยู่ในช่วงนี้ เพียงแต่ผมยังคงพยายามปฏิเสธตัวเอง...เท่านั้น

    "ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ..." ผมอีกคนหัวเราะในลำคอ "ผมให้โอกาสคุณได้เลือก คุณจะเลือกอะไร ระหว่าง มีชีวิตอยู่ต่อไป กับ ตายไปเสียตอนนี้"

    "ผมไม่อยากตาย..."

    "ถ้าอย่างนั้น...ผมก็จะให้โอกาสคุณได้มีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นล่ะครับ" ผมอีกคนยิ้มอ่อนโยนอย่างที่แสนคุ้นเคย

    ทว่านั่นทำให้ผมหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ เพราะรู้ดีว่ารอยยิ้มแบบนี้ของตนหมายความว่าอะไร

    ในวินาทีนั้นเอง มือของผมอีกคนก็ตวัดมาด้านหน้า กรงเล็บแหลมยาวเสียบแหวกกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงผ่านกระดูกลึกลงไปในช่องอกด้านซ้าย ก่อนจะหมุนมือกรีดตัดผ่านโดยรอบ แล้วกระชากสิ่งที่อยู่ในกำมือนั้นออกมา

    มันคือหัวใจของผมเอง หัวใจที่ยังคงเต้นตุบรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว

    ได้กลิ่นเลือด...ผมมองภาพตัวผมนั่งกำหัวใจอยู่ตรงหน้า ภาพนั้นเลือนรางลงทุกขณะ รู้สึกหน้ามืด ไม่มีเรี่ยวแรง พยายามจะหายใจ แต่ก็ไม่ตอบสนองอะไรอีกแล้ว

    ผมอีกคนมองผ่านแว่นด้วยดวงตามุ่งมั่น ปลายนิ้วของผมเกร็งเล็กน้อย ก่อนจะออกแรงบีบสุดกำลัง เค้นจนหัวใจนั้นแหลกสลาย ส่งเลือดที่ยังคั่งค้างอยู่ภายในให้พุ่งกระเด็นเป็นหยดข้นไปทั่วทุกทาง

    "มันช่วยไม่ได้...ผมต้องยอมรับความเป็นจริง"

    ผมพึมพำ ก่อนจะลุกยืนขึ้น โยนเศษซากหัวใจที่แหลกเละไม่เป็นชิ้นเป็นอันลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี รองเท้าหนังเปรอะโคลนย่ำลงบนรอยเลือด ทิ้งรอยเท้าเป็นคราบโลหิตสีแดงเป็นทางจนก้าวไปถึงประตู ผมเอื้อมมือไปปิดไฟ หันกลับไปมองห้องเรียนที่มืดสนิทลงอีกครั้ง แล้วจึงดึงประตูปิดอย่างแผ่วเบา

    หลังกระจกกลางบานประตูไม้ มีแต่ความมืดสนิท มีแต่ความเงียบงัน

     

    "เฮ้ย ไหงยังไม่กลับวะ" เสียงเพื่อนคนหนึ่งทักอย่างตื่นตกใจเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้ม สองมือทาบบนหนังสือเรียนเล่มหนาที่อ่านไปได้กว่าครึ่ง ข้างกันนั้นมีสมุดจดกับปากกาวางอยู่ ลายมืออ่านยากเขียนย่อสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ไว้เต็มหน้ากระดาษ "งานเพิ่งเลิกเลยลองมาดูที่ห้องสมุดเล่นๆ ไม่คิดว่าจะเจอใคร แต่ฉันดันมาเจอแก...โคตรเป็นไปไม่ได้เลย" หญิงสาวในชุดนิสิตสภาพโทรมๆเนื่องจากการหักโหมทำแล็บและทำกิจกรรมส่ายศีรษะ ก่อนจะยิ้มเผล่ "ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้แกเนิร์ดขึ้นได้ด้วย กินยาผิดขวดมาเปล่าเนี่ย"

    "ไม่มีอะไรหรอก คือมัวเล่นเกมไร้สาระมานาน ขืนไม่ฟิตก็ตายดิครับ" ผมหัวเราะในลำคอ...คนที่เล่นเกมไร้สาระน่ะไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นผมอีกคนที่หายไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว

    "เอาเหอะ" เพื่อนยักไหล่ "ฉันกลับละ...ว่าแต่นี่ก็จะสี่ทุ่มแล้ว เดี๋ยวห้องสมุดจะปิด แกจะกลับยังไง"

    "แท็กซี่"

    "โอเค งั้นบาย" หญิงสาวยกมือโบกรับคำตอบ ส้นรองเท้าสูงกระแทกพื้นส่งเสียงดังเป็นจังหวะก่อนจะจากไป

    ผมก้มลงมองหนังสือตรงหน้า ถ้าห้องสมุดใกล้ปิดแล้วผมก็ควรรีบอ่านให้จบ เพราะถ้ายืมไปที่บ้านคงไม่ได้นอนแน่ๆ ถึงผมจะอยากอ่าน จะอยากรู้ แต่ผมก็ยังไม่อยากทำร้ายตัวเองให้เหนื่อยเจียนตาย...ถ้าเป็นผมอีกคนป่านนี้คงกำลังนั่งปั่นเรื่องสั้นส่งจุลสารชมรมฯอยู่ที่บ้าน แต่เพราะผมคือผม และผมไม่ใช่เขา จุดหมายของผมจึงไม่เลื่อนลอยอย่างนั้น

    ที่จริงเนื้อหาที่บ่นว่ายากแสนยาก ถ้าขยันและให้เวลากับมันมากพอ ก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก...ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่ชอบ ก็ยิ่งง่ายที่จะทุ่มเทโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้ออ้างอะไร สำหรับผมตอนนี้จึงไม่มีปัญหาถ้าจะลดเวลาทุกอย่างเหลือแต่การเรียนเท่านั้น ที่สอบแล็บไปเมื่อวานก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าเนื้อหาทุกอย่างถ้าตั้งใจจริงก็ทำได้ง่ายดาย ถ้าผมไม่ได้คะแนนเต็มย่อมแสดงว่าอาจารย์ตรวจผิด ผมมั่นใจ และมั่นใจจริงๆ

    ผมก้าวเข้าไปในแท็กซี่แล้วบอกที่อยู่บ้าน บรรจงวางหนังสือเรียนของระดับชั้นสูงไว้ข้างตัว ก่อนจะเอนหลังพิงพนัก หลับตา

    น่าเสียดาย...ผมน่าจะรีบกำจัดผมอีกคนเร็วกว่านี้ ไม่น่าปล่อยให้มันมัวโอดครวญไร้ประโยชน์อยู่นานแสนนานเลย เสียเวลาชีวิต เสียโอกาสที่จะได้ความรู้มาใช้ทำประโยชน์แก่ผู้คนในอนาคต...ไม่รู้ว่ามันเคยคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรียนจบแล้วออกไปทำงานตามชุมชนบ้างหรือเปล่า หากมัวแต่ไขว้เขว ชีวิตของใครหลายต่อหลายคนอาจต้องจบสิ้นลงในมือมัน...โชคยังดีที่ผมรีบกำจัดมันไปเสียก่อน มนุษยชาติจะได้ลดภัยสังคมไปได้หนึ่งคน

    ผมหยิบกุญแจออกมาไขประตูหน้าบ้าน ทักทายพ่อแม่ที่ยังคงนั่งรอผมอยู่แม้จะดึกดื่นเกือบเที่ยงคืนอย่างนี้ ผมยิ้มให้ท่าน...ไม่รู้มันเคยคิดหรือเปล่าว่ายังมีคนที่เขารออยู่ ไม่รู้มันเคยคิดหรือเปล่าว่าฐานะของมันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในคณะนี้ มันไม่ใช่แค่เด็กธรรมดาๆที่จะใช้ชีวิตธรรมดาๆ แต่กลายเป็นเปลวเทียนนำทางส่องสว่างในที่ไร้ความหวัง สำหรับคนอีกมากมาย คนที่กำลังรอคอย

    ผมหลับตา ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มกลางห้องแอร์เย็นฉ่ำ คืนนี้ผมจะหลับ...ผมจะหลับแล้วลืมอดีตไปเสียที ลืมว่าเคยมีผมอีกคนอยู่ในโลกนี้ ลืมว่าผมได้บีบขยี้หัวใจของผมอีกคนในอดีตให้แหลกเละคามือตนเอง...ลืมว่าที่ผ่านมาผมคือใคร

    ความอ่อนแอ ความฝันลมๆแล้งๆที่แสนสิ้นหวัง นั่นมันแค่เพียงเงา เงาดำแห่งชีวิตที่ผมตัดมันออกไปเพื่ออนาคตที่รุ่งโรจน์กว่า จบสิ้นกันทีพื้นที่ของเงา ต่อไปนี้คือโลกของคนที่มีชีวิตอยู่

    และคนคนนั้นคือผม

    ไม่ใช่ มัน

     

    [ในความมืดของห้องนอนอันแสนสงบ ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับใหลอยู่บนเตียงสีดำ ลมหายใจของเขาลึกและช้า รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า บ่งบอกว่าเขากำลังอยู่ในภวังค์แห่งการหลับลึก และเพิ่งผ่านพ้นจากฝันดี

    บนเพดานที่เห็นแต่แสงเทาทึบทึม เงาดำเงาหนึ่งคืบคลานจากขอบผนังมายังกลางห้อง แล้วโรยตัวลงมากลางเตียงไม่ต่างอะไรกับแมงมุมที่แขวนตนเองไว้กับเส้นใยบางเบา

    'ผม...ยังไม่ตาย' เงานั้นกระซิบ 'ถึงคุณจะฆ่าผมไปกี่ครั้ง ถึงคุณจะอยากตัดผมออกไปแค่ไหน แต่ยังไงผมก็จะยังอยู่ ผมจะอยู่อย่างนี้ และไม่มีวันหายไป...'

    ผืนเงาดำทะมึนทาบลงกับร่างของชายหนุ่ม ไหลซึมลงในกายราวกับเป็นหยดน้ำที่ถูกเทลงบนผืนทราย หลอมรวมทุกอณูเข้าด้วยกัน...อีกครั้ง

    หัวใจในช่องอกเต้นเป็นจังหวะเชื่องช้า สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงทั่วร่างกาย หัวใจดวงนี้นี่แหละที่เคยถูกเหยียบย่ำ เคยแหลกสลายจากการทำลายด้วยน้ำมือตนเอง หัวใจที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานตลอดเวลามาเนิ่นนาน แต่ถึงอย่างไร ก็ยังไม่ตาย

    'หัวใจของผม กับของคุณ

    ริมฝีปากชายหนุ่มขยับกระซิบถ้อยคำไร้เสียง เสี้ยวเงาทอดยาวไหววูบนิดหนึ่ง ก่อนจะสงบลง

    สุดท้ายแล้ว...มันก็ดวงเดียวกัน']


     

     

    and now, we’re still ALIVE

    -FIN-




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×