คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : คำมั่นสัญญา
*******แจ้งข่าวด่วนๆ: ขอเปลี่ยนชื่อ ฟอร์เซน เองเกล เป็น ฮันส์ เองเกล นะคะ*******
8: คำมั่นสัญญา
ภาพที่เห็นเลือนรางนัก มีแต่แสงขาววูบวาบ และเงาร่างที่เคลื่อนไหวไปมา ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนกำลังดำดิ่งในห้วงเวิ้งว้าง เขากรีดตะโกนหลายครั้ง เอื้อมมือไปยังเงาร่างจางๆที่เคลื่อนมาใกล้หมายจะให้ช่วยฉุดรั้ง แต่แล้วเงานั้นก็เลือนหายไป ร่างของเขาตกลงอย่างรวดเร็ว สัมผัสอากาศดันต่อต้านรุนแรง ความหวาดกลัวแล่นอาบทั่วทั้งกาย และมันยังไม่สิ้นสุด...
จนในที่สุด เขาก็รู้สึกว่าตนกำลังมองเห็น ร่างกายไม่ได้ร่วงหล่นไร้จุดหมายอีกต่อไป ภาพที่ปรากฏกระจ่างชัดขึ้นมา
วันหนึ่งเคานท์โคลวิสก็เรียกเขาไปพบ บอกว่ากำลังจะมีคู่หมั้น เป็นบุตรีคหบดีตระกูลไอน์ฟัล บิดาสอนสั่ง เขาจะต้องดูแลเธอให้ดี อย่าให้ภัยใดมากล้ำกราย เคลฟตอนนั้นเป็นเด็กหนุ่ม ยังไม่เคยแม้แต่จะพบหน้าของว่าที่คู่หมั้นตน แต่เขารู้...เขารู้ว่าหน้าที่ของตนคือสิ่งใด
“ข้าทราบแล้วขอรับ” แว่วเสียงตนเองจากที่ห่างไกล “ข้าจะดูแลเธอ เธอจะเป็นสตรีที่ข้ารักที่สุด รักเพียงคนเดียว และตลอดไป”
เคลฟปฏิญาณด้วยหัวใจอันมั่นคงยิ่งกว่าหินผา ไม่แม้แต่จะนึกลังเลสงสัยว่าคู่หมั้นของตนจะเป็นเช่นไร เขาเชื่อว่าโรซาลิเอ – ผู้ที่ยามนั้นได้ยินแต่ชื่อ – ย่อมเป็นผู้หญิงที่ดีพร้อม และจะเป็นภรรยาที่ดีในอนาคต เป็นอย่างบิดามารดาของตนที่เคยผ่านช่วงเวลานี้มาเช่นเดียวกัน
และทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวสู่คฤหาสน์ใหญ่ โรซาลิเอผู้เป็นเด็กสาวงดงามแรกแย้มได้เข้ามาต้อนรับเขา เด็กหนุ่มเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน มันคือวิมานสวรรค์...วิมานสวรรค์ที่มีนางอัปสรงดงามแช่มช้อยเปล่งประกายเจิดจรัส คือสตรีสูงค่า ยามเธอเหยียบย่างลงที่ใด ที่นั่นจะมีแต่ความสุขรื่นเริง มีแต่ความอบอุ่นละมุนละไม
เด็กสาวหัวเราะรื่น พูดจาไพเราะเข้าที กิริยาอ่อนหวานจริงใจ เด็กหนุ่มมองเธอ เห็นนางฟ้าผู้เจิดจ้าดังดวงตะวัน
"ดีใจเหลือเกินค่ะท่านเคลฟที่ได้พบท่านสักที" โรซาลิเอยิ้มอ่อนโยน "ขอให้ข้าได้ต้อนรับท่านนะคะ"
"ค-ครับ..."
เขาอยู่ที่เดรฮาอีกพักหนึ่ง ก็ได้เธอพาไปเที่ยว ได้เห็นอะไรมากมาย ทุกอย่างงดงามเสมอในสายตาของโรซาลิเอ เธอจับมือเขาเอาไว้ เด็กสาวพาเขาไปรู้จักกับกลิ่นอายของผืนป่า สัมผัสของพื้นหญ้า และความหลากหลายของสีสันที่แต่งแต้มลงบนท้องฟ้าสีคราม
"ขอบคุณนะ" เคลฟเอ่ยขึ้น ยังคงกุมมือของคู่หมั้นตน ดวงตากลมโตสีมรกตขับใบหน้ารูปไข่นั้นให้น่ารักเหมือนลูกกวางน้อยๆ ตอนนั้นเคลฟไม่สนใจสิ่งใด เด็กหนุ่มรู้แต่ว่า โรซาลิเอเป็นคนดี งดงามน่ารัก และเขาจะต้องรักเธอ
เขาจะรักเธอ
...เขารักเธอ...
ภาพนั้นเปลี่ยนไป
เสียงรถม้าพยายามหยุดเสียดพื้นถนนดังบาดหู แว่วเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจ เขาเห็นข้าวของหล่นกระทบพื้น ก่อนที่ศีรษะของตนจะร่วงลงกระแทกตามไปเช่นกัน
"เคลฟ...เคลฟ..." เด็กสาวคนหนึ่งเรียกชื่อเขา น้ำเสียงสั่นเครือ ชายหนุ่มชาไปทั้งร่าง ปวดหนึบทั่วท้องและช่องอก เจ็บแปลบที่หน้าอกข้างขวา แต่สัมผัสอื่นนอกจากนี้อันตรธานไปสิ้น เขารู้สึกว่าร่างของตนถูกเขย่าทั้งลมหายใจรวยริน "เคลฟ...ท่านไม่เห็นต้องช่วยข้าอย่างนี้เลย..."
เขาทำอะไร...ชายหนุ่มไม่รู้ นัยน์ตาสีเขียวมะกอกปรือมอง เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่คุ้นเคยเปื้อนน้ำตาและคราบเลือด อยากจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตานั้น อยากบอกว่าไม่ต้องร้องไห้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่นี้เขา...ไม่เป็นไร
ความมืดแล่นครอบงำราวกับผืนผ้าทึบที่กางปกคลุม ชั่วขณะหนึ่ง...แต่แล้วดวงตาของเขาก็ค่อยกะพริบ แสงสว่างสีขาวเสียดแทงดวงตา
เคลฟเห็นเด็กสาว...เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งหลับฟุบกับข้างเตียงของตน เส้นผมสีทองเป็นประกายสยายเคล้าคลอผ้าปูสีขาวบริสุทธิ์ เปลือกตาบางนั้นหลับพริ้ม ริมฝีปากอิ่มที่เคยเป็นสีชมพูจนเกือบแดงกลับดูซีดเซียว ราวกับนอนหลับไม่เพียงพอมานานนัก...ชายหนุ่มเผยยิ้มเบาบาง มือแกร่งเอื้อมไปลูบศีรษะของผู้เป็นทั้งน้องสาวและคนรัก ก่อนที่โรซาลิเอจะรู้สึกตัวแล้วลุกพรวดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
"ท่าน...ท่านเคลฟ" เธอทำตาโต พลันรอยยิ้มยินดีจากใจจริงก็คลี่กว้าง โรซาลิเอโผเข้าไปกอดชายหนุ่มจนแผ่นหลังกว้างนั้นไปชนกับพนักเตียงไม้ เคลฟส่งเสียงโอดโอย ครั้นเด็กสาวก้มหน้าลงก็เห็นว่าเธอกำลังนั่งทับคนเพิ่งหายป่วยอยู่ จึงพยายามผละออกมาด้วยใบหน้าร้อนซ่าน ทันใดท่อนแขนแข็งแรงของเคลฟก็รั้งเอาไว้ โรซาลิเอดิ้นขลุกๆทุบอกของคนรักดังปั้ก แต่ก็เรียกได้เพียงเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของชายหนุ่มเท่านั้น
"ท่านเคลฟ ปล่อยข้า!" เด็กสาวก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาพูด เนื่องจากถ้าทำเช่นนั้น ใบหน้าของเธอจะอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงไม่ถึงนิ้ว "คนอะไรนอนนานเป็นเดือน นึกว่าจะตายไปซะแล้ว"
"ข้าไม่ตายง่ายๆหรอกครับ" เคลฟทำหน้ายิ้มสดใส ในใจนึกกังวลกับเวลาที่ตนนอนโดยมีสติเลือนราง...เป็นเดือนเชียวหรือ "ข้ายังไม่ได้กอดเจ้าเลยนี่นา จะยอมตายได้ยังไง"
"คนบ้า!" โรซาลิเอเบือนหน้าที่ขึ้นสีแดงไปด้านข้าง เปิดโอกาสให้เคลฟฉกฉวยจากนวลแก้มขาว เด็กสาวร้องไม่เป็นภาษา แต่ครั้นเธอตัดสินใจหันมาจ้องหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง เสียงโวยวายนั้นก็เงียบลง
ใบหน้าของเด็กสาวฉายแววฉงน "มีอะไรหรือครับ" นิ้วเรียวดุจลำเทียนสัมผัสที่ขอบตาของเคลฟ ไล้รอบอย่างเผลอไผล ม่านตาสีมรกตราวกับจะถูกดวงตาของเขาดูดเข้าไป โรซาลิเอแอ่นกายเข้าใกล้ ทรวงอกเกินวัยแนบชิดกับเขาผ่านผ้าหลายชั้น ทว่าสัมผัสนุ่มกลับเทียบไม่ได้กับดวงตาที่มองสบกัน และลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดบนใบหน้า เคลฟเหม่อมองด้วยความคิดที่หลุดลอย ก่อนที่เสียงหวานจะทักแผ่วเบา
"ตาของท่าน...ทำไมมีสีน้ำตาล"
"ข้าตาสีเขียวต่างหาก"
"ท่านเคยตาสีเขียว แต่ตอนนี้...มัน..." ริมฝีปากสีชมพูขบเม้ม ก่อนที่ร่างบางจะลุกไปยังโต๊ะใหญ่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง แล้วหยิบกระจกเงาบานย่อมมายื่นตรงหน้าเขา
เคลฟเห็น...เคลฟเห็นใบหน้าคมคายเปื้อนรอยยิ้มของชายหนุ่มวัยรุ่นราวสิบแปดปี มีหนวดเคราครึ้มจางๆ และดวงตา...เขาแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าม่านตาของตนไม่ใช่สีเขียวมะกอกอีกต่อไป เส้นสายสีน้ำตาลปรากฏชัดเจนทั้งสองข้าง แทรกผ่านจนกลายเป็นสีเขียวปนน้ำตาลที่สวยแปลก คิ้วได้รูปเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ เคลฟนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดเข้ามา พร้อมกับเสียงทักทายที่เรียกให้ชายหนุ่มต้องวางกระจกลงแล้วหันไปมอง
"เคลฟตื่นแล้วทำไมเจ้าไม่รีบไปเรียกข้า! มัวส่งเสียงโหวกเหวกอะไรอยู่ได้" ชายร่างสูงทว่าผอมบางในชุดคลุมสีขาวตวาดยามย่ำเท้าเข้ามาในห้อง ใบหน้าค่อนข้างยาวของเขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนปรกข้างแก้มยาวลงประบ่า บนดั้งจมูกที่โด่งงุ้มมีแว่นกลมกรอบสีทองวางอยู่ หูฟังสีดำที่คล้องคอกับเข็มกลัดรูปงูพันไม้เท้าที่อกบ่งบอกวิชาชีพชัดเจน
"ท่านหมอเคร์เซ...ข้าขอโทษค่ะ" โรซาลิเอรีบลงจากเตียงคนป่วย วางกระจกลงกับโต๊ะข้างเตียง แล้ววิ่งมายืนพินอบพิเทายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับเคร์เซที่กำลังเสยผมอย่างหงุดหงิด "เผอิญข้าดีใจเกินไปหน่อยที่เขาฟื้น แล้วก็...เอ่อ...ข้าว่าตาของเขามีอะไรแปลกๆ"
"แปลกยังไง?" แพทย์หนุ่มสูดลมหายใจระงับอารมณ์จนน้ำเสียงกลับสู่ปกติ เขาใส่หูฟังแล้วเลิกเสื้อเคลฟขึ้นก่อนจะแนบด้านแผ่นแบนกับหน้าอกทั้งสองข้าง "วันนี้ปอดปกติ ไม่มีอะไรคั่งแล้ว...ไหนข้าดูตาหน่อย"
พลันเคร์เซก็ชะงัก
"มัน...มันผิดปกติยังไงหรือเปล่าครับท่านหมอ" เคลฟรีบพูด ตกใจกับท่าทางของผู้เป็นแพทย์ "ข้ามองเห็นปกติดีนะขอรับ ใกล้ไกลมองได้ สีไม่เพี้ยน อาจจะแสบตาไปหน่อยตอนแรกแต่ตอนนี้ก็ชินแล้วขอรับ"
"ถ้าท่านบอกว่าอย่างนั้น..." เคร์เซยกมือลูบคางแหลม "มันก็คงไม่มีอะไร ข้าไม่เคยเห็นคนตาเปลี่ยนสีได้เหมือนกัน แต่ถ้าตายังมองได้ปกติ ก็ไม่เป็นไรหรอก"
"จริงหรือขอรับ" "จริงหรือคะ" สองหนุ่มสาวร้องขึ้นพร้อมกัน
"มันอะไร...ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไปถามอาเดลโน่นไป!" เคร์เซถอนหายใจ ปลายนิ้วชี้ไปยังประตูห้อง
เคลฟมองตาม...ร่างชายหนุ่มวัยเดียวกันในชุดขาวแบบเดียวกับเคร์เซยืนอยู่ที่นั่น ทั้งผมและตาของเขาเป็นสีดำสนิท หากผิวขาวซีดเหมือนคนที่ไม่เคยถูกแสง ใบหน้าหลังแว่นกรอบทองราบเรียบ มีแต่รอยยิ้มไม่สื่อความ ที่เริ่มแสยะกว้างจนดูเยาะเย้ยแปลกๆ บ่งชัดว่าชายคนนี้คือนักเรียนแพทย์ที่รู้จักกับเขามาเนิ่นนาน...นานเกินไป
"ข้าเชื่อขอรับ..." ถามอาเดลไปก็ไร้ค่า คำตอบมีหรือจะได้มาง่ายๆ มันไม่สนใจอยู่แล้วว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร "ขอบคุณท่านหมอเคร์เซมากนะขอรับที่ดูแลข้า"
"ซี่โครงหักทะลุปอดครึ่งแถบ กะโหลกแตก เลือดออกในช่องท้อง กล้ามเนื้อช้ำไปหมดทั้งตัว" แพทย์หนุ่มผมยาวพูดทวนอาการ เน้นเสียงทุกคำ "ท่านรอดมาได้ก็ด้วยมือข้ากับปาฏิหาริย์ แต่ต้องขอบคุณปาฏิหาริย์มากกว่าที่ทำให้วันนี้ท่านยังอยู่ครบสมบูรณ์" เคร์เซเรียกอาเดลผู้เป็นลูกศิษย์เข้ามา สั่งให้จัดยาตามสมควร แล้วจึงเก็บของลาจากไป ทิ้งให้นักเรียนแพทย์อยู่ในห้องกับหนุ่มสาวทั้งสองที่จับจ้องอย่างงุนงง
อาเดลเข้ามานั่งที่ขอบเตียง วางกระเป๋าหนังทรงเหลี่ยมไว้บนตัก ดวงตาสีดำสนิทสบตาเคลฟด้วยแววตาสงบนิ่ง ก่อนจะกลอกมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปลายเท้ากลับมายังศีรษะอีกครั้ง พลันเรียวปากบางก็คลี่ยิ้ม...รอยยิ้มที่ไม่สื่ออารมณ์ใดๆเลย ไม่สุข ไม่เศร้า ไม่เมินเฉย ทว่ายังคงเป็นยิ้ม
"อาจารย์บอกให้ข้าจัดยาให้ แต่ดูแล้วท่านก็ปกติดี ไม่น่าจะต้องการยา" อาเดลหันมองโรซาลิเอ ก่อนจะยิ้มให้เด็กสาว...รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน อ่อนโยนแบบที่เคลฟแทบจะกระโจนไปเค้นคอ "ดูแลท่านเคลฟให้ดีๆนะขอรับท่านหญิง ข้าขอตัวก่อน สักสองชั่วโมงจะกลับมา"
"ขอรับ ขอให้ท่านโชคดีนะอาเดล" เคลฟบอกลายิ้มแย้ม หากในใจนึกมุ่งร้าย...ไปไหนก็ไป ไม่ต้องกลับมาได้ยิ่งดี
ทันทีที่ประตูปิดสนิทให้ร่างของนักเรียนแพทย์หนุ่มหายไปจากสายตา โรซาลิเอก็กลับมานั่งที่ขอบเตียงของเขาอีกครั้ง เด็กสาวหลุบตายิ้มเอียงอาย ก่อนจะเข้ามากอดชายหนุ่มแล้วแนบนวลแก้มกับแผ่นอกอบอุ่น เคลฟกอดตอบ แขนของเขาพาดที่เอวคอด สัมผัสนุ่มนิ่มและไออุ่นจากร่างกายของเด็กสาวทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
ชายหนุ่มรั้งโรซาลิเอขึ้นนั่ง มือกร้านประคองดวงหน้างดงามนั้นให้สบตากับเขา ม่านตาสีเฮเซลอันประกอบด้วยสีเขียวมะกอกอย่างเดิมและเส้นสีน้ำตาลที่เพิ่งผ่านเข้ามาใหม่จ้องลึกลงไป
"ข้าอาจจะไม่เคยบอก แต่วันนี้ข้าต้องบอกให้รู้ไว้ ข้าก็เพิ่งจะเข้าใจก็วันที่ถูกรถม้าชนว่าสิ่งนี้มันคืออะไร แต่ตอนนั้นข้าไม่มีโอกาสจะพูด ต้องรีบบอกก่อนที่ข้าจะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง..."
โรซาลิเอนิ่งงัน ดวงตาสีเขียวสดปรือลงเล็กน้อยยามที่ใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้าหา ลำแขนแข็งแกร่งตระกองกอดเอวบางให้ชิดตัว ริมฝีปากบางหยักคมไล้หยอกข้างแก้ม ผ่านไปยังใบหูของเธอ ก่อนจะพูดคำสำคัญนั้นออกมา
"ข้ารักเจ้า...ข้ารักเจ้า โรซาลิเอ ข้ารักเจ้านับแต่นี้ และตลอดไป ข้าเชื่อว่าเมื่อวันนั้นทำให้สีตาของข้าเปลี่ยนไป แต่มันก็เหมือนเป็นคำมั่นสัญญา จากข้า...ตราบใดที่สีน้ำตาลนี้ยังปรากฏในดวงตาของข้า...ข้าจะรักเจ้า จะปกป้องเจ้า...ด้วยชีวิต"
“ข้า...ก็รักท่านค่ะเคลฟ” เสียงหวานกระซิบตอบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลื่อนริมฝีปากมาทาบทับ ดูดกลืนทุกสรรพเสียงไว้ในห้วงความรักอันลึกล้ำ จุมพิตอันอบอุ่นดำเนินต่อไปเนิ่นนาน เป็นดังสัญลักษณ์ของคำสัตย์ปฏิญาณ เป็นรอยตราตรึงแห่งรัก ที่จะคงอยู่...นับแต่นี้ไป
"อย่าค่ะท่านเคลฟ...ข้าขอร้อง...นะคะ" ทว่าเสียงที่ตามมาคือเสียงเด็กสาวร่ำร้องไม่เป็นภาษา ปลายเล็บเรียวของเธอจิกยึดผ้าปูสีขาวบริสุทธิ์ยามที่ความปรารถนาเชื่อมถึงกันและกัน ความร้อนแรงที่แผ่ซ่านทำให้เคลฟแทบคลั่ง เขาประทับรอยจูบกลืนเสียงครวญของเด็กสาวให้เหลือเพียงความเงียบงัน ความอบอุ่นโอบล้อมทั่วทั้งกายจนความคิดพังทลาย ข้ารักเจ้า...รักเจ้า...รักเจ้า...พร่ำรำพันซ้ำไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อ้อมกอดที่ร้อนระอุดังไฟผลาญปรนเปรอคนทั้งคู่ให้หลอมรวมถึงวิญญาณ ปลดปล่อยให้ความสุขล้ำที่อัดแน่นเต็มปรี่รินล้นออกท่วมท้นทั้งใจ
"ข้ารักเจ้า" ชายหนุ่มพึมพำ โรซาลิเอนอนทาบทับหนุนแผ่นอกของเขา เคลฟยิ้มบาง ก่อนก้มลงจุมพิตเรือนผมสีทองอย่างอ่อนโยน
"ข้า...รักท่าน...รักท่าน" เด็กสาวพึมพำเสียงสั่น ความสุขที่เธอเพิ่งเคยสัมผัสยังอัดแน่นอยู่ทั่วร่าง เคลฟตวัดผ้าห่มสีขาวมาปิดบังเรือนร่างงดงามนั้นไว้ ดวงตาสีมรกตเหลือบมองด้านบน ม่านตาสีเฮเซลของเขาหลุบมองด้วยสายตาอบอุ่นรักใคร่
"ข้ารักเจ้า นับแต่นี้ และตลอดไป..."
มันคือคำมั่นสัญญา ทั้งจากใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ...จุดเริ่มต้นที่มาจากธรรมเนียมขีดกั้นได้นำพาเส้นทางนี้มาสู่คนทั้งสอง เส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ สำหรับเคลฟ โรซาลิเอคือส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณ ถ้าไม่มีภาระหน้าที่ใดผลักให้เขาต้องจ่อมจมลงไป หญิงสาวผู้นี้คือหนึ่งเดียวที่เปรียบเสมือนลมหายใจ เปรียบเสมือนชีวิต...
ในความคิดของเคลฟ เส้นสายสีน้ำตาลนั้นคือเธอ และเธอคือส่วนหนึ่งของเขา
ทว่าเขา...
ดวงตาสีเฮเซลลืมขึ้นช้าๆ
ภายในห้องนั้นมืดสนิท หากแสงสว่างเรื่อเรืองของรุ่งอรุณกลับลอดผ่านขอบม่านหนาเป็นริ้วสายบนพื้นพรมสีน้ำตาลอ่อน ร่างสูงทอดกายบนเตียงนุ่มที่คลุมด้วยผ้าละเอียดสีน้ำตาล เขาเพ่งมองบานประตูที่อยู่เยื้องกัน ท่อนแขนแข็งแรงเท้าร่างให้นั่งขึ้นพิงพนักเตียงที่บุด้วยหนัง ก่อนจะเหลือบมองความว่างเปล่าข้างกาย แล้วโปรยยิ้มบางเบา
มือหนาสัมผัสพื้นเตียงที่ปราศจากรอยยับย่น ดวงตาทอประกายอ่อนโยน
...เมื่อคืนนี้โรซาลิเอไม่ได้กลับมาที่ห้อง ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ที่ไหน...
เคลฟลุกเดินไปเปิดกระเป๋าเอกสารสีน้ำตาลของตนที่วางอยู่ริมห้อง หยิบกระดาษกับปากกาออกมา เขาจับขอบกระเป๋าจะปิดลง แต่แล้วก็หันไปมองประตู มือกร้านบรรจงหยิบถุงกำมะหยี่สีไวน์แดงมากอบกุมไว้ ชายหนุ่มยกขึ้นจรดจุมพิตเบา ก่อนจะปิดกระเป๋าแล้ววางกระดาษลงด้านบน เขียนข้อความฝากไว้ เผื่อว่าโรซาลิเอจะเป็นกังวล
ข้าจะไปหาอาเดล ราวๆเที่ยงจะกลับมา
มีของบางอย่างจะมอบให้เจ้า
เคลฟ แห่งแวร์ฟาเรน
เคลฟอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินมาตามระเบียงทั้งความมืด นาฬิกายังบอกเวลาไม่ถึงหกโมง เขาไม่คาดหวังว่าจะได้พบใครนอกจากยามของตระกูลที่เดินตรวจตรารอบคฤหาสน์ กระนั้นก็รักษาท่าทีสุขุมเป็นมิตรไว้ตลอดเวลา ไม่ให้ความคาดหวังเกี่ยวกับตนต้องผันไป
แว่วเสียงร่ำไห้ล่องลอยผ่านอากาศอบอุ่น...เคลฟชะงักงัน ร่างสูงยืนนิ่งที่ลานหน้าบันได หันไปตามเสียงนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว
มันเป็นเสียงของหญิงสาว หญิงสาวที่เขาคุ้นเคย หญิงสาวคนนั้น...
โรซาลิเอ... ชายหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทาง จนหยุดหน้าประตูสูงใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม เขาจำได้ว่านี่คือห้องทำงานของฟรีดริช ไอน์ฟัล บิดาของคนรัก เคยเข้าไปข้างในอยู่หลายครั้ง ความเครียดและกดดันจากบรรยากาศในห้องยังคงตราตรึงอยู่จนทุกวันนี้ – ชายหนุ่มนึกไม่ออกว่าโรซาลิเอจะเข้าไปอยู่ในห้องได้อย่างไร ข้างในนั้นไม่มีอะไรเหมาะกับเธอ...ผู้งดงามอ่อนหวาน...มันควรจะเป็นโลกของเขา โลกของบุรุษผู้เคยคุ้นกับการงานเครียดเคร่งและการวางแผนร้อยเล่ห์กล โลกของชายหนุ่มผู้บัญชาช่วงใช้ชีวิตคนโดยไม่ลังเล
ไม่ใช่...เธอ
เรียวปากบางอ้าออกหมายจะตะโกนเรียกนามนั้น ทว่าในใจกลับฉุกคิด...ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองที่เสื้อเชิ้ตสีแดงหม่น มือขวาเอื้อมจับยังกระเป๋าที่อกซ้าย ในนั้นมีถุงกำมะหยี่สีไวน์ขนาดย่อมใบหนึ่ง ภายในบรรจุกล่องสีทองสลักลายที่เตรียมไว้ตั้งแต่สองปีก่อน และนอกกล่องยังมีแหวนทองเกลี้ยงเกลา ที่ด้านในแหวนนั้นสลักชื่อของเขาไว้อย่างวิจิตรบรรจง
แหวนนั้น...แหวนที่พบในใจกลางของกุหลาบปีศาจ กุหลาบที่คร่าชีวิตคนใต้บัญชาของเขาไปห้านายในคราวเดียว
รองเท้าหนังตอกเหล็กก้าวถอยไปเล็กน้อย
ดวงตาสีเฮเซลปิดลงช้าๆ
ในห้องทำงานที่เขียนป้ายประดับประตูขาวว่า 'อาเดล ไวส์มันน์' นั้นทาสีขาว ดูสว่างตาเมื่อแสงขาวจากหน้าต่างบานเดียวด้านหลังโต๊ะสาดส่องเข้ามา กระทบร่างสูงของชายหนุ่มที่นอนเหยียดอยู่บนโซฟาผ้าริมผนังข้างประตู
เคลฟใช้สองแขนเท้าท้ายทอยต่างหมอน ขาไขว้เกี่ยวกันขณะที่ข้อเท้าพาดที่เท้าแขนอีกฝั่งฟาก เสื้อแขนยาวสีแดงหม่นกับกางเกงสีดำตัดกันกับสีเขียวซีดจางของโซฟา ดวงตาของเขาปิดสนิท...ชายหนุ่มกำลังนอนรอในห้องทำงานของอาเดล เนื่องจากตอนเช้ามีคนไข้ที่ถูกพิษอย่างหนักเข้ามารักษา คุยกันไม่ทันได้ศัพท์อาเดลก็ต้องขอตัวไปดูด้วยตนเองในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยา แล้วรีบคว้าเสื้อคลุมวิ่งออกไปพร้อมกำชับให้เขารออยู่ที่นี่
ผ่านไปสามชั่วโมงกว่า เสียงประตูก็ดังครืด พร้อมกับเสียงเท้าหนักๆทาบลงบนพื้น ก่อนจะตามมาด้วยความเงียบกริบ
"อ้อ ธุระของเจ้าคืออย่างนี้นี่เอง..." อาเดลพูดขึ้นราวกับเพิ่งเข้าใจ เขายิ้มน้อยๆตามแบบฉบับ แล้วเดินไปนั่งอีกฟากของโต๊ะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ หรี่ตามองผ่านแว่นกรอบทองนิ่งอยู่อย่างนั้น ทิ้งให้ทั้งห้องมีแต่ความเงียบเชียบ ไม่แม้แต่จะลองปลุกคนที่นอนอยู่เลยแม้แต่น้อย
พักหนึ่ง...เคลฟก็ขยับพาดแขนบังดวงตา ก่อนจะสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง หันขวับมาทางเจ้าของห้องที่จับจ้องไม่ลดละด้วยสายตาเยือกเย็นที่ทำให้ชายหนุ่มนึกก่นด่าตัวเองในใจเสียยกใหญ่
"ให้ข้าเดา...ธุระของเจ้าคงเกี่ยวกับท่านหญิงโรซาลิเอ กับรายงานที่ข้าส่งไปสินะ" แพทย์หนุ่มเปิดประเด็นทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายพร้อมรับฟัง ไม่ให้เสียเวลา "เอาเรื่องรายงานที่ข้าส่งไปก่อนแล้วกัน เรื่องท่านหญิงไว้ทีหลัง"
เคลฟมองนิ่ง พลันก็ลุกเดินเข้ามาลากเก้าอี้อีกตัวในห้องมานั่งประจันหน้ากับเพื่อน คิ้วสีน้ำตาลนั้นมุ่นเกร็งเช่นเดียวกับดวงตาที่ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
"ข้าอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ที่เจ้าเขียนมามันมีแต่กลไกว่ากุหลาบนั่นฆ่าคนได้อย่างไร ซึ่งนั่นก็ไม่ได้บอกว่ากุหลาบมาจากไหน และฆ่าไปจะได้อะไร..."
"นั่นมันไม่ใช่เรื่องของข้า" อาเดลขัดยิ้มๆ ประโยคนั้นทำให้เคลฟสะดุด มันชวนให้อารมณ์ขุ่นมัวก็จริงอยู่ แต่เขาก็พอเข้าใจว่าเหตุใดเพื่อนจึงพูดเช่นนี้ จึงถามต่อไป
"ข้ายังมีเรื่องสงสัย..." ดวงตาสีเฮเซลจ้องเขม็ง "เจ้าได้ศพนั้นมาได้อย่างไร ใครเอามาให้ เอามาได้อย่างไร"
"ข้าว่าเจ้าน่าจะลองเล่าก่อน ว่าทำไมเจ้าถึงถามคำถามนี้"
เคลฟสูดลมหายใจ ก่อนจะบอกว่า "ตอนนั้นข้ายืนดูจนแน่ใจว่าทุกศพติดไฟ และไฟนั้นมากพอจะเผาไปทั้งหมด...จะเป็นไปได้อย่างไรที่ยังมีศพหนึ่งเหลือรอดมาให้เจ้าตรวจดูโดยในรายงานไม่ได้บอกสักนิดว่ามีส่วนของร่างกายไหม้ไฟ แต่ชื่อของตำรวจในรายงานเจ้าก็ตรงกับหนึ่งในห้าคนนั้น...ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และมันหมายความว่าอย่างไร...ข้ารู้แต่ว่ามันแปลก"
"อืม..." อาเดลก้มหน้านิดหนึ่ง พลันดวงตาสีดำก็เหลือบมอง "มีอะไรอีก...ใช่ไหม"
"เจ้าได้ศพนั้นมาอย่างไร ใครเอามาให้ เอามาได้อย่างไร" นายตำรวจหนุ่มทวนคำถาม เน้นชัดทุกคำ "ตอนนี้ข้าติดค้างอยู่เท่านี้"
"แน่ใจนะว่าไม่มีคำถามอื่นอีก อย่างเช่น...ของในมือศพ..." แพทย์หนุ่มแกล้งเย้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ข้าติดค้างอยู่เท่านี้" เคลฟย้ำคำ อันมีความหมายว่า เรื่องอื่นเขาพอได้คำตอบอยู่บ้างแล้ว หรือไม่อย่างนั้นการคิดกับรายละเอียดบางอย่างไปก็ไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมา "ตอบคำถามข้า อาเดล ใครเอาศพนั้นมาให้เจ้า เอามาได้อย่างไร"
สีหน้าอาเดลเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด คิ้วสีเข้มมุ่นเกร็ง ก่อนจะถอนหายใจ
"วันนั้น อิซาค วาฟเฟนชมิดท์..." สังเกตหน้าตาคู่สนทนาดูว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร แล้วจึงพูดต่อ "...ส่งศพมาให้ข้าผ่านทางช่องส่งของด้านหลังตึก แล้วก็เล่าเรื่องว่า ลูกน้องเขาไปเจอฮันส์ เองเกลที่ชายป่าแวร์ฟาเรน เขายื่นจดหมายลงตราประทับปราสาทของเจ้าให้ข้าดู..."
"เจ้าพูดความจริงหรือเปล่า"
อาเดลไม่สนใจคำทักท้วงนั้น "ในถุงใส่ศพนั้นยังมีจดหมาย เขียนด้วยลายมือ 'ของเจ้า' บอกว่า 'ช่วยตรวจดูให้เร็วที่สุด' ลงชื่อเคลฟแห่งแวร์ฟาเรน"
ทั้งสองเงียบไปชั่วอึดใจ
"แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้เขียนเอง จากที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังเมื่อกี้ ถ้าเจ้าไม่ได้โกหก มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีเวลามาเขียนจดหมายทิ้งท้ายแล้วยื่นตราประทับให้ก่อนจะบรรจุศพลงในถุงอย่างดี...ที่เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าคือลูกน้องของเขาไม่มีทางส่งศพนั้นมาทัน ทั้งจากเวลาตายทั้งเวลาเดินทาง เว้นเสียแต่ว่า..." อาเดลเว้นช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง "เว้นแต่ว่าจะมีคนอยู่ที่นั่นกับเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด และยังหลอกตาให้เจ้าเผาศพปลอมๆระหว่างที่ยัดศพจริงใส่ถุงแล้วรีบส่งมาที่นี่"
"ข้าจะกล้าเผาศพได้อย่างไร ถ้าที่นั่นมีใคร..." เคลฟชี้แจง พลันดวงตาก็เบิกกว้าง "เดี๋ยว...ไม่! ข้าได้ยินเสียงคนเรียก ตอนนั้นที่..." ที่เขาจะเดินเข้าไปหยิบแหวนทองจากใจกลางกุหลาบ แหวนทองที่สักชื่อเขา...จะพูดไม่ได้ "...ข้ากำลังจะจุดไฟ มีคนตะโกน บอกว่า 'อย่า' แต่ข้าไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า ไม่มีที่ให้ซ่อนตัว"
"ข้าว่า..." อาเดลหรี่ตา มองผ่านแว่นกรอบทอง เลนส์นั้นสะท้อนแสงเป็นฝ้าขาวบดบังแววตา "เป็นไปได้ไหม ที่ฮันส์ เองเกล เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้"
"ถ้าข้าเชื่อคำของอิซาคที่เจ้าเล่าให้ฟัง ก็มีโอกาส"
"หมายความว่าอย่างไร...ถ้าเจ้าเชื่อ?"
"ข้าจะเชื่อได้อย่างไร..." เคลฟเอนหลังพิงพนัก ท่าทางน่าเกรงขามเริ่มปรากฏ "ถ้าเป็นฮันส์ เองเกล จริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยให้มีคนรู้ว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะวิธีง่ายๆแบบที่เจ้าเล่า...ฮันส์อาจจะยังไม่เฉียบขาด แต่เขาเก่งพอที่จะไม่ทำแบบนั้น"
"อาจจะจริง..." เรียวปากบางขยับยิ้มอย่างพึงใจที่เพื่อนสามารถสรุปความได้ถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลอีกอย่างจากตน "ถ้าอย่างนั้นข้อสรุปมันก็ง่ายนิดเดียว..."
"หึ" เคลฟแค่นหัวเราะในลำคอ "ถ้ามัน 'ง่ายนิดเดียว' ก็ดีน่ะสิ"
ทั้งสองคนจ้องตากัน ก่อนที่อาเดลจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มไม่สื่อความอย่างเคย
"เจ้าจะไปให้เขาเก็บถึงที่ หรือจะขอร้องเขาออกมาคุยดีๆข้างนอก"
สองทางเลือกนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าอาเดลก็คิดไม่ต่างจากเคลฟ...ไม่มีทางเลือกอื่นที่พอจะเป็นไปได้อีก นอกจากคาดคั้นเอาจากอิซาค วาฟเฟนชมิดท์ คนนั้น ทางอื่นล้วนแล้วแต่มีเรื่องประหลาดมากเกินไป
ความจริงแล้วอิซาค วาฟเฟนชมิดท์ ไม่ได้ต่างอะไรจากฟรีดริช ไอน์ฟัล มากนัก เพียงแต่อิซาคไม่ใช่คนที่พึ่งพาอำนาจเงิน และไม่ทำอะไรรุนแรงพร่ำเพรื่ออย่างฟรีดริชเมื่อคราวยังมีชีวิตอยู่...ความน่ากลัวของเขาอยู่ที่คำสั่งที่รัดกุมไม่ให้เหลือแม้แต่หลักฐาน กับคนมีฝีมือใต้บัญชาที่ไม่ได้มีแต่ทหารทางการอย่างเดียว รวมไปถึงสหายร่วมเป็นร่วมตายที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ...ในเดรฮา เมื่อปราศจากฟรีดริช ไอน์ฟัลแล้ว ก็เหลือแต่กลุ่มของอิซาคที่ยังควบคุมหลายอย่างได้อยู่เพียงกลุ่มเดียว และไม่มีประโยชน์ที่จะพึ่งหวังตำรวจในเรื่องที่เกี่ยวพันกับคนเหล่านี้ เพราะผู้บัญชาการที่นี่ก็คือกลุ่มเดียวกับอิซาค วาฟเฟนชมิดท์...
แล้วเขาจะทำอย่างไร...หากเป็นในแคว้นของเคลฟ เขายังพอจะจัดการอะไรได้อยู่บ้าง แต่นี่มันแคว้นชวินเดล ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของชายหนุ่ม...และเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าฟรีดริช ไอน์ฟัล ผู้ทรงอิทธิพลที่เป็นมิตรกันดีกับตนจะด่วนจากไป...นี่เขาจะทำอย่างไร
ได้แต่หวังว่าคนอย่างอิซาคจะพอพูดคุยได้อยู่บ้าง
แต่แล้วเขาก็ตระหนัก...เคลฟมองคนตรงหน้า สังเกตสายตาท่าทางที่กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง
"ถ้าเจ้า..."
"ไว้คุยทีหลัง" อาเดลขัดคำ "เอาเรื่องสำคัญให้หมดก่อน เจ้าลืมไปหรือยังว่ามาที่นี่เพราะอะไร"
โรซาลิเอ...
ความคิดของเขากำลังทบทวนข้อสงสัย เนื้อความในจดหมายที่อาเดลเขียน แหวนวงนั้น...และเสียงร่ำไห้ในห้องทำงานของฟรีดริช ไอน์ฟัล
"ข้าเห็นแล้วว่าโรซาลิเอไม่ได้ป่วยหนักอย่างที่เจ้าว่า" เคลฟพูด "เธอไม่ป่วยเลยด้วยซ้ำ ทำไมเจ้าเขียนมาอย่างนั้น"
พลันเสียงฝีเท้าวิ่งเร็วก็ดังขึ้นด้านนอกห้อง ก่อนประตูจะถูกกระชากออกกระแทกกำแพง นางพยาบาลคนหนึ่งชะโงกเข้ามาบอกว่า "อาจารย์คะ มี..."
"ที่ฉุกเฉินใช่ไหม" พยาบาลสาวพยักหน้า "เดี๋ยวข้าตามไปนะครับ"
ทันใดที่นางพยาบาลลับไปจากสายตา อาเดลก็ลุกขึ้นไปคว้าเสื้อคลุมอีกครั้ง ก่อนหันมาตอบ
"ข้าคิดว่าเจ้าควรจะมาหาเธอบ้าง ไม่ว่าเธอจะป่วยหรือไม่ก็ตาม"
สองขาก้าวไปยังประตู พลันก็ชะงักเมื่อมือหนึ่งยุดชายเสื้อคลุมนั้นไว้ "เดี๋ยว!" ดวงตาสีดำเหลือบมอง แว่นกรอบทองสะท้อนแสงขาวเป็นม่านหมอกทึบทึม
"แล้วเจ้า...พอจะคิดสงสัยใครบ้างไหม" เคลฟค้อมไหล่พูดรัวเร็ว
และริมฝีปากของอาเดลก็เริ่มคลี่ยิ้ม...ยิ้มที่ไม่สื่อความใดๆ หากแฝงแววเหยียดๆในที
รอยยิ้มที่ผู้มอง...เกลียดเป็นที่สุด
"นั่นเป็นหน้าที่ของเจ้า...ไม่ใช่ข้า"
เคลฟนั่งรออยู่อีกเกือบสามชั่วโมง จนกระทั่งเวลาใกล้เที่ยง เขาจึงเดินลงไปดูที่ห้องฉุกเฉิน ครั้นเห็นว่าในนั้นยังวุ่นวายและไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จสิ้น ก็ออกจากสถานพยาบาลผู้ต่อต้านมาขึ้นรถที่ให้รออยู่ตั้งแต่เช้า พลางขอโทษขอโพยคนรถที่ต้องทนรอนานเนื่องจากอาเดลถูกเรียกตัวตลอดเวลา
คนรถผู้นี้ติดตามเขามาจากแวร์ฟาเรน หน้าที่ของเขานอกจากขับรถพาเคลฟไปที่ต่างๆแล้ว ยังต้องคอยรับส่งข้อมูลข่าวสารกับทางนั้นเป็นประจำทุกวัน โดยอาศัยโทรเลขระหว่างเมืองเป็นหลัก ส่วนรายละเอียดของข่าวจะส่งจดหมายตามไปในวันต่อมา
ชายหนุ่มเงยมองเพดาน ถอนหายใจยาวนาน รถม้าค่อยเคลื่อนออกจากสถานพยาบาลช้าๆ ส่งเสียงกุกกักเป็นจังหวะแผ่วเบา
รถม้าค่อยเคลื่อนเร็วขึ้น จนกระทั่งผ่านออกจากย่านชุมชนไปไกล บัดนี้ทิวทัศน์รอบข้างมีแต่ไร่สวนเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดคือวัวสีน้ำตาลแดงฝูงหนึ่งที่ยืนเล็มหญ้าอยู่ห่างออกไปเกือบห้าร้อยเมตร...ไม่ต้องสงสัยว่าคงไม่มีใครได้ยิน
"วันนี้มีข่าวอะไรบ้างไหมครับ" เคลฟตะโกนถามคนขับรถอีกฝั่งของผนังที่มีกระจกใสบานเล็ก
"ที่เดรฮาไม่มีอะไรขอรับ นอกจากกระจกหน้าต่างบ้านท่านอิซาค วาฟเฟนชมิดท์ ถูกมือดีฟาดแตก"
ใครกันมันกล้าทำแบบนั้น... "แล้วที่แวร์ฟาเรน?"
"วูร์เซล ฟลันเซ ตายแล้วขอรับ"
"อะไรนะ!" เคลฟร้องลั่น เขาแทบจะกระโจนมาเกาะหน้าต่าง ก่อนจะกระชากให้เปิดออกแล้วยื่นหน้าไปด้านนอก ด้วยความเร็วรถแล่นทำให้ลมพัดแรงผ่านจนเส้นผมสีน้ำตาลเป็นลอนยาวระคางสะบัดกระจาย "วูร์เซล ฟลันเซ...เขาตายได้ยังไง"
"เห็นว่าเหมือนกับคดีคำสาปกุหลาบ ตอนนี้ท่านเองเกลสั่งสืบพยานอยู่ขอรับ"
"เจ้าแน่ใจนะ"
"ขอรับ"
ลมหายใจของเคลฟแทบขาดห้วง...นี่มันอะไร เขามาเดรฮาเพียงวันเดียวกลับเกิดเรื่องนั้นขึ้นได้ เกิดเรื่องระหว่างทางด้วยซ้ำ...แล้วเขาจะทำอย่างไร
มือขวาล้วงในกระเป๋าเสื้อที่อกซ้าย...นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี ในเมื่อความรักต่อโรซาลิเอของตนยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความจริงที่ว่าชายหนุ่มได้พบแหวนทองวงนั้นซึ่งเป็นแหวนหมั้นที่เขามอบให้แทนคำสัญญาว่าจะขอเธอแต่งงานตั้งแต่เมื่อราวห้าปีก่อน ก็ทำให้จิตใจของเคลฟต้องถึงคราวปะทะกัน
ระหว่างกล่องสลักลายสีทองงดงามที่ตั้งใจจะมอบให้ กับแหวนทองวงเก่า
ระหว่างความรักที่มั่นคง กับความจริงเรื่องคำสาปกุหลาบ
...เขาควรจะเลือกอะไร...
ร่างสูงถอนหายใจ กางสองแขนพาดกับพนักที่นั่ง ก้มหน้าลงมองพื้น ครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับการตัดสินใจ เคลฟเขียนบอกโรซาลิเอไว้แล้วว่ากลับไปจะให้ของชิ้นหนึ่ง และเขาจะผิดคำมั่นสัญญานั้นไม่ได้...เขาจะต้องให้ เขา...จะต้องเลือก
"โรซาลิเอ!" เคลฟร้องทักทันทีที่ก้าวเข้ามาในโถงของคฤหาสน์ไอน์ฟัล
โถงที่สูงติดหลังคานั้นเบื้องบนเป็นเพดานภาพเขียนปูนเปียกรูปสรวงสวรรค์ประดับโคมระย้ามากมายซึ่งไม่ได้จุดไว้เพราะแสงสว่างนั้นเพียงพอ พื้นโถงทั้งหมดเป็นหินอ่อนสีขาวอมชมพูขัดมันเกลี้ยงเกลา ผนังทุกด้านประดับด้วยภาพเขียนสีที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจ
โรซามุนเดไม่ได้อยู่ที่นั่น มีแต่ผู้เป็นพี่นั่งเดียวดายอยู่ที่หัวโต๊ะด้านหนึ่งของโต๊ะยาวกลางห้อง อาหารบนโต๊ะมีสำหรับพอรับประทานได้สามคนซึ่งล้วนแต่ประกอบจากของชั้นดี โรซาลิเอกำลังรินไวน์ลงในแก้วของตน ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของเคลฟก็วางขวดลงแล้วหันไปมองด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
"กลับมาแล้วเหรอคะเคลฟ" ดวงหน้านวลกระจ่างวันนี้งดงามกว่าเคยด้วยดูอิ่มเอิบมีเลือดฝาด ม่านตาสีมรกตล้ำลึกทอประกายงดงามยิ่งกว่าอัญมณี "ท่านไปหาอาเดลมา...ธุระอะไรหรือคะ"
เคลฟมองที่นั่งข้างโรซาลิเอซึ่งว่างอยู่...ทว่าเลือกนั่งลงตรงข้าม เขาหัวเราะเบาๆก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"แค่ไปเยี่ยมเพื่อนเก่า ดูว่างานของเขาเป็นอย่างไรน่ะ ตั้งแต่อาเดลจบเป็นแพทย์ข้าก็ยังไม่เคยได้คุยกับเขานานๆอย่างนี้เลย โชคร้ายไปหน่อยที่เขางานยุ่งโดนเรียกตัวบ่อย ข้าเลยกลับมาที่นี่ช้าไปนิด"
"หรือคะ..." ริมฝีปากสีชมพูอิ่มสวยยิ้มน้อยๆ "ท่าทางท่านจะเหนื่อยมาเหมือนกัน ทานอาหารก่อนเถอะนะคะ"
หญิงสาวว่าดังนั้นก็หยิบขวดไวน์มาบรรจงรินใส่แก้วใสของเคลฟที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง หยาดน้ำสีแดงคล้ำเรื่อเรืองลึกล้ำไหลรินลงสู่ภาชนะใสที่ขับเน้นสีสันงดงามให้ส่องประกายล้อแสงแดด เคลฟหลุบตามองไวน์แดงที่ไหลผ่านจากปากขวดลงสู่แก้ว จวบจนหยดสุดท้ายเมื่อปริมาณไวน์นั้นพอเหมาะพอดี เขาจึงกล่าวขอบคุณ แล้วจรดปลายนิ้วหยิบแก้วนั้นขึ้นสูดกลิ่นอายเฉพาะตัว ก่อนจะเริ่มจิบทีละน้อย โดยยังไม่แตะต้องอาหาร
"โรซาลิเอ...ที่ข้าบอกไว้เมื่อเช้า ข้ามีของจะให้เจ้า" เสียงทุ้มรื่นหูทำลายความเงียบ เรียกให้ใบหน้างามเงยขึ้นมองเขา แก้มขาวเนียนขึ้นสีเรื่อเมื่อชายหนุ่มส่งยิ้มอันอบอุ่นให้
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้อย่างสง่างาม เสื้อเชิ้ตสีแดงหม่นขับเน้นให้ดวงตาสีเฮเซลเปล่งประกายดึงดูดจนโรซาลิเอต้องกลั้นหายใจมองตาม จนกระทั่งใบหน้าหล่อเหลานั้นสบตาห่างกันเพียงเล็กน้อย เคลฟคุกเข่าที่ข้างเก้าอี้นั้น ก่อนจะดึงมือซ้ายที่เพรียวงามนั้นมากอบกุม แนบไว้กับหัวใจ
"โรซาลิเอ...ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป" เคลฟเอ่ยเสียงชัดเจน หนักแน่นดุจหินผา ประกาศความรักมั่นคงยิ่งกว่าที่เขาเคยปฏิญาณในกาลก่อนมา "ไม่ว่าเจ้าจะสุข จะทุกข์ จะเป็นเช่นไร หรือต้องเผชิญกับอะไร ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...จะร่วมเผชิญอุปสรรคนานัปการกับเจ้า...ตราบจนชีวิตนี้จะหาไม่"
หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูสดนั้นจะสั่นระริก หยดน้ำใสเริ่มไหลปริ่มจากดวงตาคู่งาม จนเคลฟต้องใช้ปลายนิ้วป้ายซับน้ำตานั้นจากแก้มนวลอย่างแผ่วเบาราวกับสายลมอุ่นที่พัดโชย
"เจ้าจะยินดีให้ข้าเดินร่วมทางกับเจ้าไหม...โรซาลิเอ"
"ค-ค่ะ..." โรซาลิเอตอบรับเสียงสั่นเครือ "ข้ายินดี...ข้ายินดี..."
เคลฟขยับมือเล็กน้อยให้ของชิ้นนั้นปรากฏบนฝ่ามือ เขาหยิบมันไว้ด้วยปลายนิ้ว อ่อนโยนราวกับเป็นของล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตตน ราวกับจะแตกสลายได้หากพลั้งเผลอหลุดมือไป...
แหวนวงนั้นเคลื่อนผ่านนิ้วนางข้างซ้ายของหญิงสาวที่เบิกตากว้าง ใบหน้าขึ้นสีซีดลงถนัดตา ลมหายใจของเธอหยุดนิ่งไปชั่วขณะ สรรพเสียงรอบข้างถูกตัดขาดหายไป เช่นเดียวกับภาพทั้งหมดในสายตา เหลือเพียงแต่แหวนวงนั้นและมือบางของเธอเหนือฝ่ามืออบอุ่นของเขา
"เคลฟคะ..." โรซาลิเอพูดตะกุกตะกัก มือนั้นสั่นเทา หากเคลฟยังฝืนสวมแหวนจนประดับบนนิ้วเรียวอย่างงดงามอีกครั้ง พลันชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเฮเซลสบตากับเธอ มันฉายแววแห่งความมุ่งมั่นรุนแรง อย่างที่หญิงสาวไม่เคยเห็น...จากคู่หมั้น...จากคนรักของเธอ
"ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะต้องเผชิญกับอะไร ข้าจะรักเจ้าตลอดไป" เคลฟพูดด้วยน้ำเสียงที่เก็บความสั่นเล็กน้อยไว้ไม่หมด ฝ่ามือของเขามีเหงื่อออกซึมชื้น ทว่าทันใดม่านตาสีเฮเซลก็กลับเข้าสู่ห้วงแห่งความรักและหลงใหล จับจ้องดวงหน้าของหญิงสาวผู้เป็นที่รักที่ยังคงงดงามอย่างเคย หากบัดนี้กลับท่วมท้นด้วยความรู้สึกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ความกลัว
เคลฟแน่ใจแล้ว...แน่ใจว่าความรักของเขาเป็นของจริง เพราะแม้คู่หมั้นจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จิตใจของเขาก็ยังคงสงบ เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ไม่แปรเปลี่ยนไป...
ชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวไว้มั่น พลันก็ยันร่างขึ้นมองตาเธอในระดับเดียวกัน – น้ำตายังไม่เหือดหายไปจากใบหน้างดงามนั้น ตรงกันข้าม มันกลับรินล้นอาบแก้มราวกับทำนบกั้นเขื่อนแห่งความรู้สึกได้ถูกทลายลง เสียงสะอื้นเริ่มดังแว่วจากลำคอระหง จนเคลฟเริ่มเม้มปากอย่างหวั่นใจ ชั่วขณะหนึ่ง...ก่อนจะประทับตราจุมพิตปลอบโยนบางเบา
"ข้ารักเจ้า โรซาลิเอ" เคลฟปฏิญาณ อีกครั้ง...และอีกครั้ง เขาโอบกอดเธอให้พักพิงอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง โรซาลิเอชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนที่ลำแขนกลมกลึงจะกอดตอบอย่างแรง น้ำตาไหลซึมเปียกผ่านเสื้อเชิ้ตสีแดงหม่น ร่างบอบบางสั่นเทิ้ม สะอื้นจนตัวโยน แต่ความอบอุ่นจากเคลฟก็ยังคงอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันหายไป
ชายหนุ่มคว้ามือซ้ายของเธอมากุมไว้ ดึงให้สัมผัสที่อกซ้าย ให้รับรู้แรงของหัวใจที่ยังเต้นตุบรัวอยู่ภายใน ให้รับรู้ความรักล้นปรี่ที่ยังคงภักดีไม่เสื่อมคลาย เขาสัญญา...สัญญา...อ้อมกอดนี้จะไม่จากไปไหน จะอยู่กับเธอคนนี้เท่านั้น จะปกป้องเธอด้วยชีวิต โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ดวงตาสีเฮเซลหลุบลง พิศมองแหวนที่นิ้วนางซึ่งเกร็งจิกยึดเสื้อที่แผ่นอกของตน แหวนนั้นเป็นสีทอง...สีทองอร่ามงามเรียบไม่ได้ประดับอัญมณีใดๆ แหวนวงนี้ที่เขาเลือกจะมอบให้เมื่อห้าปีก่อน และบัดนี้มันกลับมาสู่ผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง
เคลฟเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอบอุ่นอ่อนโยน...ชายหนุ่มยังไม่ได้รับคำตอบ ความสงสัยยังคงอัดแน่นอยู่ภายใน และไม่มีวันหายไปจนกว่าจะถึงวันนั้น อย่างไรก็ตาม เขาได้เลือกแล้ว
และเคลฟก็เชื่อ ว่าทางเลือกของเขา ถูกต้องเสมอ
ความคิดเห็น