คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Tales from Reverie 3: พ่อมดมหาภัย 1.0
จริงหรือที่ชีวิตย่อมเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสูญไป ผู้เป็นอมรรตัยชนในโลกนั้นไม่มี
แต่ไฉนข้าจึงยังดำรงเล่า ทั้งบรรดาผู้ร่วมเดินทางต่างล้มหายตายจากหรือแก่ชรากันไปหมดสิ้นแล้ว ตัวข้าผู้ผ่านฤดูใบไม้ผลิกว่าสามร้อยหนในแผ่นดินนี้ และอีกหลายพันในแผ่นดินก่อน จึงยังมีชีวิตไม่ต่างจากเดิม วันเวลาผันผ่านไม่อาจทวีผลพลอยแห่งอายุขัยได้กระนั้นหรือ
หรือเหตุเพราะข้าไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างแท้จริง จึงไม่อาจดำรงอยู่อย่างแท้จริง และไม่อาจดับสูญไปอย่างแท้จริง
เหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา แม้ข้ารู้คำตอบแก่ใจแล้วก็ตาม
1605850[บศ] หอสมุดแห่งลาวัลลา
บุรุษผู้ไร้ตัวตน และไม่มีวันคู่ควรกับนามอันทรงเกียรตินั้น
ø
วันเดือนปีที่ผ่านมา...
ครั้น สายลมยังพัดพลิ้ว เกลียวคลื่นสาดริ้วริ้ว เมื่อครั้งสงคราม ใหญ่นา บัดนั้นความสุขรื่น กลายกลับมิหวนฟื้น สู่ห้วงคำนึง
ไม่มีตำนานใดๆเล่าขาน ไม่มีสายตาใดพบเห็น ไม่มีโสตประสาทใดได้ยิน เพียงดวงจิตของคนสองคนประจักษ์แจ้งซึ่งเหตุการณ์ในกาลก่อน ณ อีกห้วงแห่งมิติ ที่ซึ่งปัจจุบันละทิ้งสายลมโชย ลงดื่มด่ำกับหมู่มัจฉาแหวกว่าย ณ เบื้องลึกมหานที
โลหิตรินอาบทั้ง ปฐพี แสงส่องสาดทอทวี ทั่วหล้า หากผู้สละชีวี สิ้นห่วง ด้วยหนึ่งผู้อ่อนล้า บ่ไร้ความหวัง
จากยามนั้นจวบยามนี้ ดั้นด้นข้ามทะเลจากพราก สู่อีกฝั่งฟากแห่งท้องสมุทรที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มา ครั้งนั้นยังตื่นตาด้วยทั้งชีวิตพบเห็นเพียงหอคอยขาว ยึดถือบุคคลผู้สละชีวิตไปกับแผ่นดินเดิมเป็นสรณะ ดุจเปลวประทีปนำทางสว่างแก่มวลมนุษย์ ความหวังที่ยังเหลืออยู่คืออุทิศตนเพื่อธำรงความสงบสุข
ทว่า เมื่อกาลเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยนไป ผลจากการลงทุนลงแรงด้วยชีวิตกลับกลายเป็นสูญเปล่า ยามความรักความทุ่มเทพินาศลงกับตา ด้วยเวลาอันเนิ่นนานหาส่งผลต่อเขาไม่ สาวน้อยแรกรุ่นนางนั้นกลายเป็นอิสตรีผู้เปี่ยมอำนาจ และผ่านพ้นสู่วัยกลางคน แต่คู่ชีวิตของนางยังคงเหมือนเดิมไม่ว่ากาลจะผันแปรไปเพียงไร ยังให้นางหวาดหวั่น หวาดกลัวเขา ทารกน้อยย่อมเติบใหญ่เป็นเด็กหนุ่ม นารีสะคราญย่อมต้องแก่ชรา แต่เขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ข้ามมหาสมุทรแห่งความจากพราก เขาไม่เคยล่วงเกินนาง ไม่แม้แต่จะต้องกาย แม้ว่านางจะปรารถนาสัมผัสนั้นเพียงใด ด้วยนึกรู้ว่าตนเป็นเพียงเงา เงาสะท้อนของผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตที่บัดนี้หลับใหลอยู่ใต้บาดาล และไม่มีวันจะหวนกลับมา
ใบไม้ผลิผันผ่านพ้นสองร้อยห้าสิบเจ็ดหน ชีวิตสมรสก็ขาดสะบั้น เขาสารภาพความจริงต่อนาง จากนั้นจึงจากไป ออกเดินทางทั่วทั้งแคว้น ทั้งอาณาจักร ทั้งผืนทวีป ทั้งมหาทวีป โดดเดี่ยวเดียวดายและไร้หวัง หลุดพ้นจากความเป็นจริงสู่ห้วงแห่งความคิดของตน จมปลักอยู่กับอดีตอันแสนหวาน ละทิ้งซึ่งกาลอันเนิ่นนาน ปล่อยทุกสิ่งผ่านล่วงเลย
เกือบสองร้อยปีที่แทบสิ้นสติ ก็พานพบกับมหานครในสายหมอก ที่ไร้แล้วซึ่งกาล ทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ ได้พบเจอผู้คนหลากหลายจากทั่วทั้งจักรวาล ความรู้สึกผิดบาปทั้งมวลจางลงโดยไม่รู้ตัว จนค้นพบจุดหมายแห่งชีวิต เขาจึงลาจากนครลึกลับนั้นสู่แผ่นดินอันสดใสอีกครา
ผู้กำเนิดจากความหวังจุดโคมแห่งตนอีกครั้ง เพื่อสานต่อความฝันของผู้หลับใหลให้อยู่ยงชั่วฟ้าดินสลาย เขากลายเป็นผู้ทรงภูมิปัญญา มีเสียงเล่าลือมากมายถึงความยิ่งใหญ่ กระนั้นก็รู้ดี ว่าความยิ่งใหญ่ที่ผองชนยกย่องมิใช่ตน แต่เป็นบุรุษในตำนานผู้มอบชีวิตนี้มาต่างหาก
เขามีชีวิตในฐานะตัวแทน เป็นเพียงเงาสะท้อนในแผ่นดินใหม่ ผ่านเลยมากึ่งพันปี
จุดหมายของชีวิตบัดนี้เปลี่ยนไปแล้ว จากที่อยากสร้างความสุขแก่คนอื่น จากที่อยากมอบความหวัง กลับกลายว่ามีเจตนาเพื่อให้ผองชนได้จดจำ ไม่ใช่ในนามอันทรงเกียรติของใคร แต่เป็นตนเอง
จะระลึกจนวันตาย อุทิศกายทำสิ่งดี...
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงนิทาน หรืออาจเป็นแค่ความฝันเฟื่อง ทว่าในความฝันนั้นย่อมมีความจริงแฝงเร้น ขึ้นอยู่กับผู้พิจารณ์ว่าจะเล็งเห็นซึ่งสิ่งใด
ø
ความวุ่นวายในมหานครเนฟัลธอสยิ่งเพิ่มพูนหลังจักรพรรดิเจดีไดอาห์ลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาทวิภาคี (ไตรภาคี...ถ้านับเขตโลเธนซาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเนฟัลธอสด้วย) เรือลำใหญ่จอดเทียบท่าอยู่ไม่ขาด ผู้คนมากมายจากจักรวรรดิโพ้นทะเลทะลักสู่จรูญจรัสนครในเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังการเจรจาครั้งที่สอง
ไม่ต้องสงสัยเลย ถึงเนฟัลธอสจะปฏิเสธ กองเรือนั้นก็ต้องมาอยู่วันยังค่ำ...โชคดีที่องคมนตรีทั้งสิบเอ็ดลบหนึ่งตัดสินใจได้เฉียดฉิวเรื่องเงื่อนไขต่างๆในสัญญาข้ามสมุทร เนฟัลธอสเลยดูเหมือนจะได้ผลดีมากกว่าผลเสีย โชคดีอีกที่ข้อเสนอให้ความคุ้มครองในชาราของมาร์ควิซเจมิไนเป็นที่ถูกพระทัยขององค์จักรพรรดิ ทำให้ทั้งทุกฝ่ายไร้ปัญหา การเจรจาจบลงด้วยดี
ท่านเจ้าเมืองผู้ได้รับความกดดันแสนสาหัสนั่งก่ายหน้าผากบนม้านั่งไม้สีจางกลางสวนเมเนลหน้ามหาวิหารแห่งจันทรา นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองยอดปราสาทสูง ธงประจำปราสาทที่เพิ่งคิดขึ้นใหม่แทนธงผู้รั้งสีขาวเรียบเมื่อไม่กี่วันนี้สะบัดพลิ้วตามแรงลม สีสันตัดกับนภาครามและกลุ่มเมฆขาวสะท้อนแสงแดด
ธวัชผืนใหม่คือผ้าพื้นดำลงลายสีขาวคล้ายจันทร์เสี้ยว ปลายศาสตรา กับม่านหมอกมัว บ่งชัดถึงเนฟัลธอสในอุดมคติ เสี้ยววงเดือนแทนท่านดยุคผู้มาจากวิหารแห่งจันทรา ปลายศาสตราสื่อถึงแสนยานุภาพ และม่านหมอกมัวไล้รอบกรอบคมอาวุธหมายถึงประชาชนที่โอบอุ้มมหานครไว้ไม่ให้สูญ
"มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่ละครับ เวย์น"
เสียงทุ้มนุ่มดังแว่วจากด้านหลังเรียกให้นายเวย์น เบลเซบหันไปทันใด...ชายอีกคนยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้ ซึ่งสามารถรู้ได้ว่าใครแม้ยังไม่ทันเห็นหน้า บุรุษผู้หนึ่งจะลืมเสียงหวานของสตรีผู้เป็นที่รักไปได้อย่างไร เอ้อ แต่ถ้าบางครั้งอาจเป็นบุรุษกับบุรุษหรือสตรีกับสตรีก็ได้โปรดอย่าถือสาเลยแล้วกัน
ดวงหน้าหวานของท่านเจ้าเมืองระบายยิ้มต้อนรับ แต่คนในเงามัวกลับไม่ขยับสักก้าว อันที่จริงคือขาไม่ได้ไปไหน แต่พุ่มไม้ที่มีดอกเล็กๆสีเหลืองสลับขาวกลับสั่นไหวแปลกๆ ม่านตาสีเข้มเลื่อนจากใบหน้าในเงาของคนรักลงมองพื้นหญ้า ทว่าสิ้นหวัง ไม่มีอะไรโผล่พ้นพุ่มไม้สูงถึงเอวออกมาให้เห็น
"ที่ซ่อนอยู่นั่นใคร?" เมื่อยอดดวงใจไม่ยอมออกมาสักที ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์จึงจำต้องรุกเร่ง "ออกมาเถอะ เราไม่ทำอะไรรุนแรงกับท่านหรอก..."
ถึงแม้ประโยคสุดท้ายจะแหม่งๆ แต่ความกล้าของผู้เร้นกายก็มีมากขึ้น ใบหน้างดงามผุดผาดผิดเพศของที่ปรึกษาคนสวยโผล่พ้นผ่านเงามืดที่ทอดบดบัง ทว่าสิ่งแปลกปลอมกลับยังขยับซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ข้างๆจนใบหนาร่วงกราวจากขั้ว มองผ่านพบเงาตะคุ่มกลมๆสีดำสลับขาว ที่ดูแล้วไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ด้วยตัวเอง
และถ้ามีตัวประหลาดอะไรโผล่ออกมาอย่างลึกลับ สาเหตุคงไม่แคล้วพ่อมดหมายเลขสิบเก้าผู้ค้นคิดประดิษฐ์ธงดำเล่นอะไรแผลงๆหรือรับงานไม่บอกไม่กล่าวอีกตามเคย
สบตากับท่านที่ปรึกษาก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มแปลกๆกับการกะพริบตาปริบๆ ในวินาทีถัดมาดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ก็ยืนขึ้นมองที่ปรึกษาหนุ่มผู้ก้าวเข้าไปใกล้ๆด้วยความกล้าหาญ สองแขนเพรียวบางยื่นไปด้านหน้าหมายจะเอื้อมจับ ปลายนิ้วทั้งสิบส่งกระแสไฟดังเปรี๊ยะ นัยน์ตาสีดำขลับดูโหดเหี้ยมอย่างที่สงวนไว้แด่ท่านเจ้าเมืองผู้เดียวเท่านั้น
ทว่า...
"เฮ้ย! ไอ้เพนกวินเวร มาซุกหัวอะไรอยู่ตรงนี้ฟะ"
เสียงร้องเรียกคุ้นหูกับฝีเท้าหนักๆที่ใกล้เข้ามาทุกทีส่งผลให้บุรุษทั้งสองที่กำลังยืนค้างหันไปหา โดยไม่ได้สนใจสิ่งมีชีวิตลึกลับที่วิ่งเตาะแตะผ่านร่างบางของท่านที่ปรึกษาเพื่อหนีผู้มาใหม่ ชั่วอึดใจคนประหลาดสูงเกือบสองเมตรก็ถลาเข้ามาตะครุบเจ้าตัวกลมป้อมด้วยเงื้อมมืออำมหิต มันดิ้นขลุกขลักโดยลำแขนแข็งแรงกดไว้ ขนเส้นสั้นสีดำเริ่มชี้ผิดทิศผิดทางเพราะพยายามขัดขืนการจับกุมแบบไร้มนุษยธรรม...แม้ผู้ถูกจับกุมจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตามที
"ปล่อยตู ปล่อยตู๊!!" เพนกวินตัวกลมร้องลั่น
...
ท่านเจ้าเมืองกับที่ปรึกษาเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า! เสียงแหลมๆเมื่อกี้ดังมาจากสัตว์จำพวกนกไม่ผิดแน่ ความมีพิรุธจึงเริ่มตามมาอีกเป็นกระบุง เป็นต้นว่า ทำไมเพนกวินจึงมาอยู่บนภูเขา ทำไมเพนกวินจึงพูดได้ ทำไมพ่อมดจึงต้องตามล่าจับเพนกวิน และทำไมเพนกวินถึงไม่อยู่แถบขั้วโลกใต้...ถึงคำถามมันจะออกแนวไร้สาระ แต่ทั้งหมดก็จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดในโลกสุดพิลึกใบนี้
"ขอคำอธิบายด่วนๆเลยนะ ท่านพ่อมดหมายเลขสิบเก้า" เจ้าเมืองหน้าหวานแยกเขี้ยวขู่แฮ่ "นี่ท่านพยายามจะทำอะไรในเขตสวนเมเนลของมหาวิหารกันรึ"
"ด...เดี๋ยวสิ" พ่อมดเงยหน้าเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาขอเวลานอกก่อนก้มจับนกน้อยมัดด้วยโซ่สีเงินวาววับ เพนกวินดิ้นพราดๆสิ้นท่า ผู้จับสัตว์มากระทำทารุณก็กัดฟันแน่น
"ปล่อยตู ปล่อยตู๊!" เพนกวินน้อยยังคงโอดครวญ ร่างเล็กทำอะไรไม่ได้นอกจากกลิ้งไปมาบนพื้นหญ้า พ่อมดหมายเลขสิบเก้ายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรงๆป้าบหนึ่งแล้วตะคอกใส่เหยื่อผู้ไม่อาจหนีรอดจากกรงเล็บของสัตว์ร้ายอย่างเขา
"ถ้าไม่หยุดดิ้นข้าจะตามไปทุบคอมที่บ้านเจ้า!!"
...เงียบ
ไม่น่าเชื่อว่าประโยคเด็ดที่พิลึกพิลั่นจากบุคคลประหลาดจะสามารถพิชิตความดื้อด้านของสิ่งมีชีวิตผิดถิ่นได้ชะงัดนัก ดวงตากลมๆของมันจ้องค้าง จงอยปากพะงาบๆไม่ต่างอะไรกับปลาที่โผล่พ้นน้ำแล้วขาดออกซิเจน เรียวปากของบุรุษชุดคลุมดำแสยะอย่างได้ชัย พลันก็ทุ่มเทพลังกายทั้งหมดยกเพนกวินแบกขึ้นบ่าแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ท่านเจ้าเมืองกับที่ปรึกษาต้องเหลียวมองตามด้วยสายตางุนงงระคนปลงกับชีวิต
...ดูเหมือนปริศนาที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้ข้อใหม่จะปรากฏขึ้นมาเสียแล้ว...
ø
ภายในห้องพักของเสนาบดีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เจ้าของห้องวัยสามสิบห้ากำลังนั่งแกร่วหน้านิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์สุดที่รักซึ่งตนเคยจ้องมองน้ำลายหก ก่อนจะกระทำทุจริตทางราชการเพื่อให้ได้มา จากนั้นจึงนำ 'หนูริน' ไปปรับแต่งแทบจะยกเครื่อง กลายเป็นอภิมหาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่ประสิทธิภาพคงไม่แคล้วเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในกรมยุทธนาธิการทหารรวมกัน
หนูรินเป็นของน้องเจย์ หนูรินรักน้องเจย์ และน้องเจย์วัยสามสิบห้าก็รักหนูรินยิ่งชีวิต แม้ว่าเงินที่นำไปซื้อจะเป็นของรัฐบาลกลางก็ตาม
ก๊อกๆๆ! เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างลึกลับ ...ที่ว่าลึกลับเนื่องจากมีกริ่งไฟฟ้าอยู่ข้างประตู
น้องเจย์สงสัย ในโลกนี้จะยังมีมนุษย์ตาถั่วเซ่อซ่าจนมองไม่เห็นเครื่องอำนวยความสะดวกที่โดดเด่นจนแทบจะทิ่มแทงลูกตาเชียวหรือ?
"เชิญครับ" ไม่ใส่ใจจะรักษามารยาท นายพลว่างงานผู้อุทิศชีวิตแด่คอมพิวเตอร์ตะโกนต้อนรับแขกผู้มาเยือน หากนัยน์ตาเรียวสีดำสนิทไม่ได้ละจากหน้าจอเลยสักวินาที บัดนี้โปรแกรมดาวน์โหลดมีรายการเต็มพรืด อินเตอร์เน็ตของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารคงไม่วายอืดยิ่งกว่าหอยทากคลานคืบอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์
เสียงฝีเท้าหนักๆที่ก้าวเข้ามานั้นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเจ้าของคงสูงราวสองเมตร และสิ่งมีชีวิตที่ส่วนสูงชลูดดุจเสาธงชัยโบกสะบัดในเมืองนี้ก็มีอยู่ไม่กี่ตน(?) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่ริบุกรุกเข้ามาภายในอาณาเขตหวงห้ามของหนูรินโดยเคาะประตูแบบไม่ดูตาม้าตาเรือนั้น เท่าที่เขารู้จักก็มีอยู่เพียงตนเดียว...นอกนั้นคงไม่แคล้วเป็นสปีชีส์เดียวกับมนุษย์ล่องหน
ตุบ...! เสียงของหนักๆถูกโยนลงบนพื้นดังขึ้นอย่างลึกลับ บุคคลปริศนาผู้ไม่รู้จักกริ่งไฟฟ้าอยู่ที่นี่แล้วพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างหนักไม่ต่ำกว่าสิบกิโลกรัม
เจย์ อิสฟาเกลขมวดคิ้วสงสัยทั้งที่ยังจ้องมองตัวอักษรประหลาดๆบนจอภาพอันเป็นผลจากไวรัสคอมพิวเตอร์สำหรับยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์แห่งทัพหลวงซึ่งเขาเพิ่ง 'พัฒนา' ขึ้นสดๆร้อนๆ บัดนี้หน้าจอหนูรินกำลังมีตัวอักษรขึ้นพรืดๆแบบไม่รู้จบสิ้นเนื่องจากใส่รหัสวนลูปแล้วลืมกำกับตัวเลข ค่าความจริงจึงยังเป็นจริงตลอดเวลาทำให้การทำงานของโปรแกรมกลายเป็นแบบวนไม่รู้จบ ซ้ำร้าย ค่าที่ป้อนไปก่อนหน้านั้นยังทำให้คอมพิวเตอร์ไม่ตอบสนองต่อการป้อนข้อมูลทั้งทางคีย์บอร์ดและเม้าส์
นายพลเจย์จึงทำได้เพียงเท้าคางมองอึ้ง...ผลงานอันเปี่ยมประสิทธิภาพกำลังเล่นงานหนูรินเป็นเหยื่อรายแรก ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือไม่รู้ว่าค่าที่ป้อนไปก่อนหน้านี้จะส่งผลกระทบอะไรกับเครื่องบ้างขณะที่โปรแกรมยังคงดั้นด้นทำงานอย่างไร้จุดหมาย
สภาพอารมณ์ของเสนาบดีกระทรวงเทคโนฯจึงเปลี่ยนจากยิ้มแย้มแจ่มใสฮวบลงเป็นหงุดหงิดเหมือนยักษ์ที่กำลังลอยละลิ่วในอากาศหลังถูกเด็กชายแจ็คผลักลงมาจากยอดต้นถั่ว ตอนนี้เขาได้แต่หวังให้หน้าจอนั้นดับวูบ เพราะถ้าหน้าจอดับลงก็แปลว่าคงไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่ถ้ามันยังรันวนลูปไปเรื่อยๆ...เพียงแค่นึกคาดการณ์ตามจริงบรรยากาศที่เคยสดชื่นก็แปลงสู่สภาวะหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
ผู้มาเยือนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง และ...
ก๊อกๆๆ! ใครบางคนทะเล่อทะล่าเคาะประตูอีกหน ปัจจุบันโลกนี้มีบุคคลผู้ไม่รู้จักกริ่งไฟฟ้าอย่างน้อยสอง
...คราวนี้เจย์หันขวับ!!!
"เฮ้ย ข้างๆประตูน่ะมีกริ่งไฟฟ้าอยู่ ไม่เห็นเหรอวะ การเคาะประตูหกทีติดกันอาจทำให้ทรัพยากรประตูไม้อายุเกือบร้อยปีต้องสูญสลายเพราะมือพวกเอ็งนะโว้ย!" ประโยคติดกันเป็นพรืดบ่งบอกถึงอารมณ์ผิดปกติของผู้พูดชัดเจน เจ้าของห้องโมโหถึงกับลงไม้ลงมือระรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์เพื่อระบายอารมณ์พลางพ่นลมพรืดออกทางจมูก ยกมือขึ้นด้วยท่าทางเหมือนจะสางผมทั้งที่บนศีรษะนั้นล้วนเกือบเกรียน...
ใบหน้าเอ๋อๆสวมแว่นหนากรอบดำของผู้กำลังยืนหน้าซีดอยู่ตรงประตูยิ่งกระตุ้นให้เจย์อยากถอดรองเท้าหนังพื้นโลหะปาใส่หน้า คนคนนี้เป็นชายที่มีส่วนสูงระดับมาตรฐานซึ่งเมื่อเทียบกับอีกสองหน่อในห้องแล้วกลับกลายเป็นเตี้ยไปถนัดตา น้ำหนักเกือบเท่าข้าวสารสี่กระสอบซึ่งเมื่อเทียบกับอีกสองหน่อในห้องแล้วกลับกลายเป็นอ้วนไปถนัดใจ ความกวนประสาทมีอยู่ล้นพ้นซึ่งเมื่อเทียบกับอีกสองหน่อในห้องแล้วกลับกลายเป็นน้อยนิดไปเสียอย่างนั้น...
ที่บุคคลผู้นี้มีดีกว่าอีกสองคนในห้องคือ ประสิทธิภาพในการถอดรหัสซึ่งจำต้องใช้ความสามารถทางสติปัญญาสูงมาก และนั่นก็กลับทำให้เขาไม่สามารถใช้สมองอันปราดเปรื่องไปทำอย่างอื่นได้อีกเลย ส่วนสาเหตุที่กริ่งประตูถูกมองข้ามผิดวิสัยนักถอดรหัสที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ก็เพราะรู้ว่า... "เอ่อ เผอิญครั้งก่อนที่ผมมาห้องนี้กริ่งประตูมันเสียน่ะครับ ครั้งนี้เลยกลัวถูกไฟช็อตอีกหน"
เสนาบดีหนุ่มถึงกับเหวอ "อ้าว แล้วทำไมไม่บอกผม"
"ก็ผมคิดว่าคุณคงรู้อยู่แล้วว่ามันเสีย แต่คุณอาจจะอยากติดมันไว้เพื่อประดับบารมี เพื่อเป็นกับดักล่อฝ่ายตรงข้าม เพื่อแกล้งคนไม่ดูตาม้าตาเรือ และในเมื่อคุณอาจคิดเช่นนั้น ผมก็เลยเลี่ยงไปด้วยการเคาะประตูเป็นรหัสดีกว่า เพื่อความสุขสวัสดีมีชัยเหนือใครในโลกหล้าฟ้ามิเทียมทันพระจันทร์ไม่หม่นหมองคลองไม่แห้งเหือดเลือดไม่..."
"เงียบปากไปเลยไป! รำคาญ..." เจย์ตะคอกตัดบทแล้วสะบัดหน้าหนี ถ้าจะเข้ามาเพื่อเสนอทฤษฎีประหลาดๆที่ความเป็นไปได้แปรผกผันกับปริมาณคำแล้วละก็ ไม่ต้องโผล่มาให้เขาเห็นเลยเสียยังดีกว่า ถ้อยคำที่ตัดความสัมพันธ์อย่างไม่ไยดีส่งผลให้นักถอดรหัสคนเก่งถึงกับน้ำตาคลอหน่วย ก่อนยกผ้าเช็ดหน้าลายทางขึ้นมากัดเพื่อบรรเทาความโศกเศร้า ภาพที่เห็นนั้นค่อนข้างชวนขนพองสยองเกล้า มันคงจะน่าเอ็นดูกว่ามากถ้าหากคนเจ้าน้ำตาจะเป็นเด็กสาวน่ารักสดใส แทนที่จะเป็นชายหนุ่มอึดถึกบึกบึนผู้กุมชะตาของทั้งเมืองไว้หลายครั้งหลายหนอย่างนี้
เสียงใครบางคนกระแอมไอเรียกความสนใจดังขึ้นกลางห้อง
"เอ่อ...สวัสดี เจย์ สุดยอด"
สิ่งมีชีวิตยุคโบราณที่ถูกลืมตัดสินใจเอ่ยขัดจังหวะความไร้แก่นสาร ชุดคลุมสีดำสนิทเหมือนเครื่องแบบปรากฏต่อสายตาอันงุนงง ใบหน้าไร้เพศไร้อายุดูหงุดหงิดไม่ต่างอะไรกับนายพลอิสฟาเกล พ่อมดผู้โผล่มาได้ทุกเรื่องทุกสถานการณ์กำลังยืนกอดอก สายตาพยายามส่งสัญญาณให้คนอื่นๆในห้องใส่ใจกับร่างแปลกๆที่กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนพื้น
อนึ่ง 'สุดยอด' ไม่ใช่คำชมแด่นายเจย์ หากเป็นฉายาที่นักถอดรหัสประจำเนฟัลธอสประสงค์จะให้คนอื่นเรียกตน
...ช่างเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในวังวนแห่งการป้อยอเสียนี่กระไร
“โอย...เข้ามาแป๊บเดียวก็โดนด่า เป็ดนึ่งมะนาว!” ‘สุดยอด’ บ่นอุบอิบก่อนจะตั้งท่าทางเอาการเอางานขึ้นมากะทันหัน “ผมจะมาแจ้งรหัสสำหรับแฮ็คฐานข้อมูลราคาไข่ไก่เท่านั้นเองแหละ”
อนึ่ง เมนูสารพัดสัตว์ปีกคือคำอุทานติดปากของนักถอดรหัสประจำเมืองผู้นี้ อาทิ เป็ดนึ่งมะนาว เป็ดย่างซีอิ๊ว เป็ดหนังกรอบทอดกระเทียม ไก่อบภูเขาไฟ ไก่ทอดจิ้มแจ่ว ไก่ย่างส้มตำ และกระทั่ง ห่านดินกินหญ้า ห่านบ้ากินคน ก็ยังมี
...และรายการอาหารเหล่านี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่เลยสักครั้ง
เจย์แทบประสาทกระเจิง มือขวาที่ชักสั่นเพราะความโมโหยกขึ้นกุมขมับพลางกัดฟันกรอด “แล้วมิทราบว่าไอ้ฐานข้อมูลราคาไข่ไก่มันจะมีประโยชน์อันใดกับตูข้าล่ะโว้ย ความหวังของแม่ไก่ทั่วเนฟัลธอสมันอยู่ในกำมือของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไร ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่รู้จักเอาไปบอกกระทรวงเกษตรฯมั่งล่ะครับ เอะอะอะไรก็อ้างเจย์ๆๆๆๆลูกเดียว ไม่เคยคิดเลยรึไงว่าผมจะเสียหายแค่ไหน แค่ที่คุณมา...”
“เอาน่า บ่นเป็นคนแก่ไปได้” ประโยคตัดบทของคนอายุมากกว่าอาณาจักรธรีอาดิมทำให้คนฟังถึงแก่กาลช็อกซีนีมี่ หมายเลขสิบเก้าสะบัดมืออย่างสะดีดสะดิ้งอันมีความหมายโดยนัยว่า ‘ถ้าไม่หยุดข้าจะร้องกรี๊ด’ พลันหงายมือชี้นิ้วไปยังเจ้านกน้อยตัวกลมขนนุ่มสีดำขลับที่กำลังดิ้นขลุกขลักเพื่ออิสรภาพและสวัสดิภาพของตนอย่างสิ้นหวังด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยคำถาม
เจย์หลับตาแน่นเพื่อบรรเทาโทสะ...คนพวกนี้มันบั่นทอนปัญญาเกินไปแล้ว เรื่องราคาไข่ไก่กับเพนกวินหลงทางมันใช่เรื่องที่ควรจะมาปรึกษาเสนาบดีกระทรวงไอซีทีเสียที่ไหนล่ะ!?!! นายพลหนุ่มจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ ก่อนที่จะเผลอหลุดบ่นแว้ดเหมือนป้าแก่ๆออกไปอีก
“อ้าว ไม่ตอบอีก” มันยังคงไม่รู้ตัวอีกนั่นเอง “ข้าบอกไปรึยังว่าเพนกวินตัวนี้พูดได้ด้วยนะ”
เจ้าของห้องเงียบไปพักใหญ่
สีหน้าของคนที่เพิ่งสูญเสียหนูรินสุดที่รักไปไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้ายามมีเมฆคิวมูโลนิมบัสสูงห้ากิโลเมตรมาบดบัง
ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับกริ่งไฟฟ้า รหัสเจาะฐานข้อมูลราคาไข่ไก่ เพนกวินพูดได้เหนือเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์ ...มันบั่นทอนเกินไปแล้วจริงๆ!!
ø
ราชธวัชดำโบกสะบัดเหนือปราสาทขาว สายลมรุนแรงยังคงพัดผ่านเหนือน่านฟ้า ชีวิตผู้คนยังคงดำเนินไปอย่างเร่งรีบ ไม่ต่างอะไรกับความเร่งร้อนในการแปรเปลี่ยนของโลกทั้งใบ ฝูงนกสีขาวบริสุทธิ์ที่แพขนส่องประกายล้อแสงอาทิตย์ผกโผเร็วรี่ผ่านยอดปราสาทสูง แมกไม้ในสวนเมเนลบานสะพรั่ง ไอแดดอุ่นตกกระทบสร้างความปีติให้บังเกิดแก่จรูญจรัสนคร
ฤดูหนาวอันรุนแรงผันผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นกำลังสำแดงสะพรั่ง และอีกเพียงเดือนเศษๆก็จะผันแปรเป็นฤดูร้อนอันแสนทารุณ...
และแม้บรรยากาศโดยทั่วไปของเนฟัลธอสจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีสมดังฤดูแห่งความหวัง แต่ภายในโถงปราสาทที่มีแต่ทางเดินโล่งๆกับเสาซึ่งไม่น่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง กลับมีอารมณ์ขุ่นมัวเข้าครอบครองจนสิ้น
แพขนตาสีดำสนิทกะพริบแผ่วเมื่อเสียงผรุสวาทแว่วมาในภวังค์ไม่ขาดสาย คิ้วหนาเข้มมุ่นอย่างหัวเสียระคนงุนงงขณะลืมตาตื่นจากสภาวะหมดสติชั่วขณะด้วยผงวิเศษสูตรเฉพาะของหมายเลขสิบเก้า พลันพยายามขยับตัว ก่อนสติจะรับรู้ว่าทั้งร่างของตนกลับสู่สภาพมนุษย์เช่นเดิมแล้ว ความตกใจแล่นพล่านทั่วร่างพาลให้พยายามดิ้นหลุดจากพันธนาการ ทว่าไม่สำเร็จ ทั้งมองไปรอบข้างก็กลับอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก และมีผู้คนที่ดูจะเป็นบุคคลสำคัญของเมืองยืนรายล้อมอยู่เต็มไปหมด
นี่มันที่ไหนกันล่ะ?
“ข้าไม่ได้เจตนาจะสร้างความปั่นป่วนในเมืองเสียหน่อย!” เสียงทุ้มๆแสนคุ้นหูเพียรแก้ตัว “แค่ไล่จับเพนกวินไม่เห็นมันจะเดือดร้อนอะไรใครตรงไหนเลย”
“ใครว่าคนอื่นไม่เดือดร้อน? ตรองดูสักหน่อยได้ไหมท่านเซรูลีน” เสียงหวานนุ่มอำมหิตแย้ง “ในสถานที่ที่มีกฎหมายห้ามพ่อมดเข้าเมือง กลับมีบุรุษในชุดคลุมลึกลับผู้หนึ่งวิ่งพล่านไล่ตามและตะโกนด่าเพนกวินลึกลับไปทั่ว จะให้คนอื่นคิดว่าอะไร...คนไข้จิตเวชหลุดออกมาจากสถานบำบัดแล้วลักพาเพนกวินออกมาจากสวนสัตว์หรือครับ”
นั่นแหละ ใช่เลย... หญิงสาวพยายามจะเอ่ย แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า
“อ้าว ก็แล้วทำไมล่ะ ชุดข้าก็ออกจะรุ่มร่าม แถมมีเชือกหนาถืออยู่ในมืออีก ถ้าคิดอย่างนั้นก็ถูกแล้วนี่ท่านที่ปรึกษา” คนไข้จิตเวชหลบหนีทำหน้าตายยอมรับข้อสันนิษฐาน “ถ้าข้าทำให้ทุกคนสงสัย ก็ปล่อยข่าวอย่างที่ท่านว่าตะกี้ไปเลยสิ”
“ท่านควรระวังสักหน่อย ไม่เช่นนั้นเราอาจมีปัญหากับนครหลวงมากไปกว่านี้”
“มันจะมีปัญหามากไปกว่านี้ได้ด้วยเรอะ”
ท่านที่ปรึกษาพ่นลมหายใจรุนแรงเพื่อดับอารมณ์โกรธ ...โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ฆ่าความโกรธได้ย่อมอยู่เป็นสุข หนึ่งในคำสอนจากศาสนาของท่านพระมหาคูบัวมีประโยชน์เสมอในสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์กวนประสาทที่มีจุดกำเนิดจากพ่อมดมือหนึ่งแห่งยุคสมัยผู้สุดแสนจะน่าเคารพนับถือยิ่งนักสำหรับคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของเขาเพียงผิวเผิน
พลันพ่อมดมือหนึ่งแห่งยุคสมัยก็แสยะยิ้ม “เดี๋ยวนะ ถ้าลองคิดในอีกแง่หนึ่ง ถ้านครหลวงรู้แค่ว่ามีพ่อมดเดินเพ่นพ่านไล่จับเพนกวินอยู่ในเมือง สิ่งที่กษัตริย์จะทรงทำจะเป็นอะไรล่ะ...ยึดเพนกวินมาเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ จับพ่อมดนั่นมาประหาร พร้อมออกมาตรการยาวเป็นหางว่าวเพิ่มให้เนฟัลธอส และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือประกาศกฎอัยการศึก ไม่ก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเนฟัลธอสเป็นกบฏต่อแผ่นดิน...”
คนเจ้าเล่ห์ใช้สมองต่อเนื่องตามคำแนะนำ “หรือข้อสอง ถ้านครหลวงรู้มากกว่านั้น คือรู้ว่า ข้า เดินเพ่นพ่านไล่จับเพนกวินอยู่ในเมือง สิ่งที่กษัตริย์จะทรงทำจะเป็นอะไรล่ะ...ยึดเพนกวินมา...”
“หยุดก่อนได้ไหม!!” อีกเสียงขัดด้วยอารมณ์เหมือนจวนเจียนจะระเบิด “ประเด็นของเรื่องมันไม่ใช่เพนกวินจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่อยู่ที่ว่าท่านไม่ควรจะวิ่งผ่านใจกลางเมืองให้เป็นที่สะดุดตาต่างหาก”
“แล้วจะปฏิเสธการมีอยู่ของเพนกวินตัวนี้เหรอท่านเจ้าเมือง ท่านจะใจร้ายกับสัตว์ที่หลงมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างนี้ไม่ได้นะ เพนกวินต้องกินปลา และต้องอยู่ในที่ที่ใกล้น้ำและอากาศเย็นพอ ถ้าหากปล่อยมันไปไม่ไยดีที่นี่ อนาคตของเพนกวินคงต้องดับสูญ มันจะอยู่รอดในสถานที่ที่ร้อนซาดิสต์สลับหนาวนรกอย่างนี้ได้ยังไงกัน”
“โอย...ข้ามเรื่องอนาคตของเพนกวินไปก่อนได้ไหม” ท่านเจ้าเมืองโอดครวญ “เราขอแค่ท่านลงนามในสัญญานี้ ว่าจะไม่ออกไปประกาศฐานะตนเองเด่นชัดขนาดนั้น ง่ายๆคือไม่ให้ชาวเมืองได้เห็นท่านในสถานะพ่อมดหมายเลขสิบเก้าอีกเป็นอันขาด”
บทสนทนาเงียบไปพักหนึ่ง หมายเลขสิบเก้ากำลังตัดสินใจ และ...
“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนไหมล่ะ?” คนที่ดำเนินทุกสิ่งโดยทุกฝ่ายซึ่งรวมตัวเองต้องได้ประโยชน์เริ่มเสนอ “ลองคิดดูนะ ถ้าข้าปกปิดตัวตน...ถ้าเกิดนครหลวงคิดว่าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ หรือข่าวการเพ่นพ่านของพ่อมดหมายเลขสิบเก้าไปไม่ถึงที่นั่น สถานะของเนฟัลธอสที่ว่ามีลอสสอธเป็นผู้สนับสนุน ก็จะไม่เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของรัฐบาลกลาง ความเกรงใจของเขาต่อเราจะลดลงไปบางส่วนเลยนะ...ท่านต้องการอย่างนี้หรือ”
เปิดโอกาสให้เว้นวรรคครุ่นคิดพักหนึ่ง
“ถ้าท่านปกปิดตัวตน...ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ท่านว่ามา เพราะรัฐบาลกลางก็รู้อยู่แล้วว่าท่านอยู่ที่นี่ รู้อยู่แล้วว่าท่านสนับสนุนรีบอลโดซ์ ความเกรงใจของรัฐบาลกลางต่อเราในเรื่องการสนับสนุนจากลอสสอธไม่ได้หายไปพร้อมกับการอันตรธานของท่านเสียหน่อย แต่เพื่อไม่ให้รัฐบาลกลางมีข้อกล่าวหาเราเพิ่มขึ้น และเพื่อไม่ให้รัฐบาลกลางส่งคนเข้ามาตรวจสอบการมีอยู่ของท่าน นอกจากนี้ เพื่อให้รัฐบาลกลางกริ่งเกรงว่าเนฟัลธอสไม่ได้มีดีเพียงการสนับสนุนของลอสสอธ ท่านก็ควรทำตามสิ่งที่เราเสนอไปนะ” ท่านดยุคโต้ยาวเหยียด ตีหน้าเคร่งขรึมน่าเชื่อถือตามวาจาตน
“นั่นก็เรื่องหนึ่ง” หมายเลขสิบเก้ายอมรับ “แต่ถ้าลอสสอธสนับสนุนเนฟัลธอสเต็มตัวอย่างโจ่งแจ้งล่ะ...รัฐบาลกลางจะไปกล้าทำอะไร ข้าไม่เห็นผลเสียต่อเนฟัลธอสสักนิด”
ท่านเจ้าเมืองลอบสังเกตแววตาและสีหน้าท่าทางของคู่สนทนาแวบหนึ่ง ก่อนตอกกลับ “แต่เราว่า...ลอสสอธ คงไม่ใช่พวกเดียวที่มีเวทมนตร์ในแผ่นดินนี้แน่ ใช่หรือไม่?” หากปฏิกิริยาของพ่อมดไม่ได้ยืนยันการสังเกตนี้ ดยุคหนุ่มจำต้องร่ายต่อไป “ถ้าหากข้อสันนิษฐานของเราเป็นจริง การเปิดเผยตนในวันนี้ของท่านจะทำให้ฝ่ายนั้นเปิดเผยตัวตาม ซึ่งมันก็เพียงพอต่อการสรุปแล้ว เราไม่ต้องการให้ทางรัฐบาลกลางวางแผนต่อต้านเราด้วยเวทมนตร์เต็มพิกัด ทำให้เขาประมาทเราไว้ได้จะเป็นการดี”
คนฟังกิตติมศักดิ์ชักเครียด...
มิทราบว่าเขาจะถกแถลงกิจการบ้านเมืองที่ผิดกฎหมายเช่นนี้ต่อการรับรู้ของคนต่างถิ่นทำไม
“พอเรื่องนี้ก่อน ถือว่าท่านยอมรับละกัน” ท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์รีบหักคอก่อนอีกฝ่ายมีโอกาสแย้ง พลันเปลี่ยนประเด็นซัก “ว่าแต่เจย์ ไปถึงไหนแล้ว”
เจย์ อิสฟาเกล? เครือญาติใกล้ชิดคนใหญ่คนโตที่กุมอำนาจในกองทัพหลวง?! “ข้าทำสำเร็จแล้ว...มันแก้ไขอะไรไม่ได้เลยด้วย” เสียงห้าวซังกะตายตอบคำถาม “แต่ตอนนั้นหงุดหงิดไปหน่อย เลยกดคีย์บอร์ดมั่วไป แล้วมันก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”
อึ้งกับความบังเอิญที่ทำลายจุดหมายเริ่มต้นอยู่ราวสองนาที...
“...แล้วทำไมคอมพิวเตอร์ถึงกลับมาใช้ได้อีกล่ะ!” ท่านเจ้าเมืองว้ากใส่ชายหน้าตาหล่อเหลาในชุดเครื่องแบบเสนาบดีซึ่งกำลังยืนมองอย่างไร้อารมณ์และไร้ความเข้าใจในทุกสิ่ง “สรุปว่าเผลอกดมั่วแล้วดันใช้ได้ แล้วถ้าฝ่ายเราโดนบ้างล่ะ...ใครมันจะไปมีโอกาสแก้ไขได้ ถ้าแม้แต่ท่านยังไม่รู้วิธี”
เสนาบดีหนุ่มเงยหน้ายอมรับความจริง “แต่ถ้าจะเอาไวรัสไปปล่อย ก็ไม่เห็นจะต้องมีวิธีแก้เลยนี่หว่าครับ อีกอย่าง มันก็แค่ก่อกวน ถึงจะมีโอกาสลามมา พอสักวันแก้ได้ข้อมูลก็ไม่ได้หาย ไม่เห็นต้องกังวล” ท่าทางเขาจะสนิทสนมกับท่านเจ้าเมืองในระดับที่สามารถพูดจาเล่นหัวกันได้เลยทีเดียว
"อะไรกัน นี่เจ้าประมาทถึงขั้น..."
“อ้าว ไหงงี้” คนต่ำศักดิ์กว่าเถียงขวับ “เวลาเจ้าเอาระเบิดไปหย่อนเมืองสักสิบลูก เจ้าจะต้องเป็นธุระไปซ่อมเมืองให้เขาไหมล่ะ”
“แล้วถ้าเกิดระเบิดที่ว่าบังเอิญถูกลมพัดปลิวมาตกในเนฟัลธอสล่ะ ใครจะรับผิดชอบ?”
“ระเบิดมันออกจะหนัก ลมบ้าอะไรจะแรงพอพัดมันข้ามทวีปมานี่ได้เล่าครับท่าน”
“เอ่อ...” ไม่มีผู้ใดสนใจเสียงแปลกปลอมจากคนแปลกหน้า แม้คนแปลกหน้าผู้นั้นจะไม่สมควรอยู่ฟังบทสนทนานี้ก็ตาม
“แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง...ข้าถามว่าใครจะรับผิดชอบ”
“ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั่นแหละต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่มีใครใช้ให้เอาไวรัสมาติดเครื่องตัวเองเสียหน่อยนี่” เสนาบดีย้อนศรด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองเต็มประดา ฟังวินาทีเดียวก็รู้ว่ากำลังประชด
“คำเตือนก็เตือนอยู่ปาวๆๆว่าไม่ควรเซฟอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วถ้ายังจะทำอีกข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วล่ะ โธ่ อนาคตของเนฟัลธอสจะต้องมาตกอยู่ในมือประชาชนที่ไม่เคยแม้แต่จะระวังตัวสักปลายก้อยเลยหรือไร ท่านเจ้าเมืองนี่น้า น่าจะใส่ใจกับการพัฒนาการศึกษาของเนฟัลธอสซะบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เดินแรด เล่นเกม จีบที่ปรึกษาตัวเองทั้งวี่ทั้งวันไม่ยอมทำงาน...”
เริ่มทนฟังไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ
“ขออภัยค่ะ เอ่อ...ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าไม่มากก็น้อย ใช่ไหมคะ” ทันทีที่ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ หญิงสาวก็ตัดสินใจตัดบทสนทนาด้วยการแสดงตนว่าอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นเสนาบดีผู้สรรค์สร้างไวรัสคอมพิวเตอร์อาจถูก ‘แรดขวิดตาย’ ดังคำเขาว่า ลักษณะประโยคที่กลับมาเป็นกึ่งทางการขัดความไร้สาระที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้ทุกสายตาจับจ้องยังเธอภายในไม่ถึงวินาที
หญิงสาวหลับตารวบรวมความมั่นใจ ก่อนประกาศ
“ข้าพเจ้า เบลลาเร่ ชีเอลา แม่มดหมายเลขสิบห้าแห่งลอสสอธ ผู้มีอำนาจเหนือสรรพสัตว์ ขอแสดงความเคารพแด่ท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ค่ะ”
เธอมองไปรอบๆ...ไม่มีใครได้นั่งเก้าอี้นอกจากท่านเจ้าเมืองซึ่งมีที่ปรึกษาคนงามยืนเคียงข้างเพราะมีร่างในพันธนาการของสตรีแปลกหน้าอย่างเธอนอนหลับใหลไม่ได้สติ ฝั่งหนึ่งของท้องพระโรงปราสาทมีสตรีหกคนยืนเรียงเป็นลำดับ ส่วนอีกฝั่งมีบุรุษอยู่ห้า พอจะทราบมาอยู่บ้างว่าเป็นองคมนตรีทั้งสิบเอ็ด
แต่ใครบางคนที่นั่งบนพื้นพรมขนาบสองข้างของเธอนั้นคุ้นตามาก หนึ่งคือร่างสูงเหมือนตึกระฟ้าในชุดคลุมเครื่องแบบสีดำ ส่วนอีกหนึ่งคือชายร่างท้วมสวมแว่นดำกรอบหนาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ไม่เหมาะสมต่อสถานที่
และในวินาทีที่ชายผู้แต่งตัวผิดกาลเทศะหันมา หญิงสาวก็เบิกตาโพลงร้องลั่น
“ปานาส วีเบิร์ต จริงๆด้วย!!”
ทุกคนพร้อมใจกันขมวดคิ้วกับนามแปลกหู เว้นแต่หมายเลขสิบเก้าที่ยังรักษาอาการไม่รู้ร้อนรู้หนาว...เพียงแต่บุรุษหนึ่งเดียวผู้น่าจะเป็นเจ้าของนามกลับแสร้งขมวดคิ้ว ตีหน้าสงสัยไปตามสำนวนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเสียอย่างนั้น...
ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ถอนใจเฮือก “แล้วจุดประสงค์ในการมาของท่านล่ะครับ คืออะไร”
ห้องโถงอเนกประสงค์ที่ประดุจศาลประกาศิตความเป็นความตายเมื่อครู่ บัดนี้เปลี่ยนบรรยากาศเป็นห้องสอบสวนผู้ต้องหา ดวงตาสีเข้มที่มองแล้วชวนให้กดดันของท่านเจ้าเมืองจับจ้องอีกฝ่าย ยังให้หญิงสาวจำต้องบอกสาเหตุการมาในครั้งนี้โดยผู้ถามไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก
“ดัชเชสเรเนียมีพระบัญชาให้มาตามหมายเลขสิบเก้ากลับลอสสอธค่ะ” สรรพนามแทนตัวบุคคลดูเหมือนเป็นหุ่นยนต์อย่างไรบอกไม่ถูก...หญิงสาวที่มีโทนสีขาวสลับดำในตัวพูดด้วยเสียงสูงเย็นเยียบ ความเงียบตามติดมาประมาณสิบวินาที ก่อนที่ผู้มีสิทธิ์ขาดเหนือทุกสิ่งในมหานครจะเอ่ย
“แต่ทางเราคงปล่อยให้กลับไปไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณหมายเลขสิบเก้าขณะนี้อยู่ในความคุ้มครองของเรา ถ้าองค์ดัชเชสทรงประสงค์จะให้เขากลับไปจริงๆ ต้องให้พระองค์ท่านเสด็จมาที่นี่เอง ไม่อย่างนั้นต้องมีเอกสารอย่างเป็นทางการมาครับ”
ดยุคยิ้มตามมารยาท แต่ก่อนที่จะได้ซักต่อไปนั้น...
เปรี้ยง!!
เสียงบางอย่างปะทุกลางห้อง ตามมาด้วยกลุ่มควันสีเขียวใบไม้เจือกลิ่นหอมจางลอยฟุ้ง ลมที่ไม่มีอยู่จริงพัดให้ควันทึบแสงหมุนวนเป็นเกลียวทรงกรวยคว่ำ ทันใดแสงสีขาวก็สว่างวาบ! ก่อนที่วัตถุทรงกลมสีเขียวจะเสมือนถูกขว้างเต็มแรงออกจากปลายเกลียวที่ทอดยาวไปถึงเพดาน
โชคร้าย...วัตถุประหลาดหล่นลงมาบนศีรษะของนักถอดรหัสประจำเมืองดังโป๊กพอดิบพอดี!!
ความอลหม่านระเบิดออกพลัน! ทุกชีวิตที่อยู่ในท้องพระโรงราชวังเนฟัลธอสเร่งรีบสุดชีวิตเพื่อปฐมพยาบาลเรียกคืนสติของจำเลยที่บัดนี้ดับวูบไปแล้ว
เสียงเอะอะโวยวายอึกทึกราวมีคนในห้องสักร้อย หากเมื่อมองสิ่งประหลาดที่ยังไม่มีใครขยับมันออกไปจากใบหน้าของชายร่างท้วมได้ เบลลาเร่ ชีเอลา ก็ระลึกทันใดว่าเคยเห็นมันที่ใดมาก่อน...เธอถลาเข้าไปใกล้ทั้งที่โซ่ยังพันแน่น ขยับเอนตะแคงก้มหน้า ใช้แก้มประคองขอบของมัน แล้วจึงกระซิบ
“ออกไปก่อน...”
เพียงเอ่ยจบ ร่างสูงของพ่อมดหมายเลขสิบเก้าก็ผละมากระชากโซ่สีเงินให้แม่มดออกห่างจากจุดหมายเมื่อกี้ เขากระตุกลากโซ่อย่างไม่ปรานี แล้วจึงโยนร่างเธอลงโครมจนคางกระแทกกับพื้นห้อง ราวกับน้อมนบเป็นทาสต่อดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ที่ยืนผงะกับสิ่งที่หมายเลขสิบเก้าทำกับเชลยจากถิ่นเดียวกับตัวเอง
บรรยากาศเงียบสงบไปชั่วครู่ ความสนใจของเหล่าองคมนตรีกำลังคลอนแคลนด้วยความไม่เข้าใจในกิจธุระของชาวลอสสอธทั้งหลาย
“เบลลาเร่ ถ้าเจ้าจะทำอะไรก็ให้มันจบเป็นเรื่องๆไปสิ!” พ่อมดพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนตะโกน วิธีการพูดดูจริงจังเหมือนเป็นคนละคน “ข้าแนะนำว่าเจ้าอยากรู้อะไรให้ถามเขาซะนะเวย์น เบลเซบ แต่ข้าว่าให้เขาชี้แจงในสิ่งที่เขารับมอบหมายมาให้หมดก่อนดีกว่า”
หมายเลขสิบเก้าเหยียดตัวตรงประกาศด้วยสายตาเคร่งเครียด “ข้ายืนยันให้ได้ว่านี่คือเบลลาเร่ ชีเอลา ตำแหน่งถูกต้องตามที่เขาว่าจริง แต่ดัชเชสเรเนียก็ไม่มีสิทธิ์จะตามข้ากลับไปเป็นการส่วนตัวแบบนี้ อย่าลืมว่าข้ากับปานาสเป็นสิบเก้ากับยี่สิบ” เขาสบตากับเบลลาเร่ “ตะกี้คือผู้นำสาส์นอีกคนใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
และในวินาทีเดียวกัน ทั้งวัตถุลึกลับที่มาเยือนและบุคคลที่มันทับอยู่ก็อันตรธานไปกับตา!
“ทำอะไรน่ะครับหมายเลขสิบเก้า” ท่านที่ปรึกษาคนงามที่ยืนนิ่งชมเทศน์มหาชาติแสนไพเราะฉบับท่านดยุควิ่งมายังจุดที่นายนักถอดรหัสประจำเมืองเคยนอนแผ่พังพาบอยู่ ควันสีเขียวลอยคละคลุ้งชวนมึนงง เขาตระหนักได้ว่าเหตุการณ์นี้อยู่เหนือการควบคุม จึงส่งสายตาเป็นเชิงไล่ให้เหล่าองคมนตรีที่ไม่อาจยังประโยชน์อันใดออกไปเสีย
มันแสยะยิ้มชั่วร้าย “ถามสิบห้าดูท่าทางจะได้เรื่องกว่ามาซักไซ้อะไรจากข้านะ” ว่าแล้วม่านตาสีน้ำทะเลอันมีนัยแอบแฝงก็เลื่อนไปจับจ้องยังแม่มดที่มองกลับอย่างตื่นตกใจ “ถอยไปไกลๆ...อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญพอจะได้เฉียดใกล้คนอย่างท่านเจ้าเมืองและท่านที่ปรึกษาแห่งเนฟัลธอสเลยว่ะ”
ท่านที่ปรึกษาแห่งเนฟัลธอสเงยหน้าขึ้นมองคนพูดวาจาถากถางอย่างโจ่งแจ้งเมื่อกี้อย่างงงๆ
เพราะความหมายทางตรงของประโยคเมื่อกี้ ไม่ใช่สิ่งที่หมายเลขสิบเก้าต้องการจะสื่อแน่นอน
ตามปกติแล้วพ่อมดหมายเลขสิบเก้าจะเป็นคนประเภทล่องลอยไปมา งานการเหมือนจะไม่ทำ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างมาก และใจดีเหลือเชื่อผิดกับท่าทีกวนประสาทที่ชวนให้ถีบส่งอยู่เนืองๆ ฉะนั้น จากบทวิเคราะห์ของท่านที่ปรึกษา หมายเลขสิบเก้าน่าจะปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ...แต่พอสังเกตสีหน้าท่าทางของดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ กลับไม่พบความสงสัยในการกระทำของพ่อมดเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาเริ่มลังเล
“เราขอถามอีกครั้งนะท่าน” ดยุคเอ่ยพลางมองร่างบางที่ถอยหนีความน่าสะพรึงกลัวของเพื่อนร่วมชาติตัวเอง “จุดประสงค์ในการมาของท่านคือสิ่งใดกันแน่ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่อาจอนุญาตให้คนในความคุ้มครองของเรา ณ ปัจจุบันกาลกลับไปยังประเทศของเขา”
“ข้าบอกท่านไม่ได้” เบลลาเร่ยืนยันด้วยหน้าตางงสุดขีด “ข้าบอกท่านไม่ได้จริงๆ”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าหากท่านยังยืนยันในประโยคนั้น การสนทนาครั้งนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด” ท่านเจ้าเมืองพูดเนิบๆ “แต่เราว่า...เราน่าจะปลดโซ่นั่นออกก่อนนะ”
“ไม่ได้! ข้าไม่ให้เจ้าทำแน่” หมายเลขสิบเก้าแย้งด้วยความโกรธเคืองผิดวิสัย เขากอดอกยืนตรงนิ่งสนิท นัยน์ตากลอกไปมาคล้ายพยายามส่งสัญญาณบางอย่าง “และข้าก็ไม่แนะนำให้ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ต้องลงไปปลดพันธนาการให้ทูตที่ไม่ยอมเจรจากับท่านหรอก”
ใบหน้าของเบลลาเร่เริ่มปรากฏความหวาดหวั่นนอกเหนือไปจากงุนงง อย่างไรก็ตาม เธอยังคงยืนยันในคำตอบ “ข้าบอกท่านไม่ได้ ข้าได้รับมอบหมายมาอย่างนี้ ข้าบอกท่านไม่ได้เด็ดขาด”
“ดัชเชสเรเนียมอบหมายไม่ให้ท่านบอกเรื่องราวที่จะมาเจรจากับเราให้เราได้รับทราบหรือนั่น” ท่านเจ้าเมืองหัวเราะแล้วยิ้มหวานแบบเจือด้วยความโหดทั้งที่ทุกคำพูดไม่ได้ชวนให้คิดอย่างนั้นเลยสักนิด สบตาเยือกเย็นกับหมายเลขสิบเก้านิดหนึ่ง “ถ้างั้น เราควรจะทำอย่างไรกับท่านดีล่ะ อ่า...เริ่มด้วยสิ่งที่เราเอ่ยไปตะกี้จะดีไหมนะ”
แม่มดฝืนยิ้มรับเพราะงงกับนัยแปลกๆ ทว่าหมายเลขสิบเก้ารีบโต้ “อย่าได้คิดแม้แต่จะทำแบบนั้นเป็นอันขาด”
ท่านที่ปรึกษาคนงามไม่อาจยั้งความสงสัยได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจพิสูจน์ข้อสันนิษฐานโดยเร็ว “ถ้าแค่ปลดโซ่เท่านี้พวกท่านยังไม่ยอมทำละก็...ผมทำเองก็ได้นะครับ”
มือเรียวสัมผัสโลหะสีเงิน
พลันประกายไฟสีน้ำเงินไร้ที่มาวาบขึ้น! นัยน์ตาของเบลลาเร่เหลือกถลน ทั้งร่างดิ้นพราดๆราวกับปลาถูกทุบหัว ทว่าท่านที่ปรึกษาผู้ตื่นตระหนกกลับยังยึดโซ่โลหะนั้นไว้สุดกำลัง เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีก่อนที่อาการประหลาดของแม่มดสาวจะหยุดลง เหลือเพียงร่างกายไร้สติที่นอนปวกเปียกสงบนิ่งอยู่กลางท้องพระโรงอันสง่างาม
ทันทีทันใด...ร่างสูงเกือบสองเมตรของพ่อมดหมายเลขสิบเก้าก็ทรุดลงตึง ดวงตาเบิกกว้าง กัดฟันกรอดด้วยขัดใจ
“เวรเอ๊ย!” เขาสบถพลางทุบกำปั้นลงกับพื้นสุดแรง “ข้าบอกว่าอย่าทำก็อย่าทำไง ที่ข้าพูดอะไรเทือกนั้นไปน่ะ แค่ถ่วงเวลาให้ไอ้คนที่หายไปกลับมาเอง โดยไม่ให้เบลลาเร่รู้เรื่องของคนอย่างพวกเจ้าต่างหาก ก็รู้ๆอยู่ว่าคนอย่างพวกเจ้าแตะต้องพวกเราที่ไม่ใช่สิบเก้ากับยี่สิบแล้วจะเป็นยังไง”
ที่ปรึกษาแห่งเนฟัลธอสจ้องมองร่างแน่นิ่งตรงหน้า เขารู้อยู่ว่ามันเพราะอะไร แต่ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดผลจึงรุนแรงเพียงนี้
เมื่อสังเกตกิริยาทั้งมวลของคนทั้งสอง หมายเลขสิบเก้าจึงเบ้หน้า “งั้นรู้ไว้ซะว่าข้าไม่...ข้าไม่อยากให้คนในควันเขียวนั่นได้ทีสืบความจริงเรื่องนี้” ถอนใจเฮือกใหญ่ “เพราะฉะนั้น...”
หน้าตาที่ไม่บ่งบอกสิ่งใดเงยขึ้นมองผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งเนฟัลธอสทั้งสองอย่างอ่อนแรง
“ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น ข้ารับผิดชอบให้ไม่ได้แล้วนะ เจ้าพวกเด็กดื้อ!”
ø
++++++
ตอนนี้ยังรวนๆเรื่องการลำดับเหตุการณ์และบทสนทนาที่ชอบออกอ่าวออกทะเล
ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าเดิม+ดูไร้สาระดีเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ
ความคิดเห็น