คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Tales from Reverie 2: จดหมายจากแดนไกลกว่า กับ...? 1.1
คำเตือนสำหรับตอนนี้: รวมพลมุขแป้กประจำปี=[]=!
____________________________________________________________________
กาลครั้งหนึ่ง...ณ จรูญจรัสนครอันโอฬาร ที่ซึ่งปราสาทขาวอันไร้ราชธวัชแห่งกษัตริย์ยังคงยืนหยัดผงาดกล้าท้าทายความเป็นไปในแผ่นดิน ที่ซึ่งความเสื่อมถอยเริ่มย่างกรายเข้ามาทีละน้อย หากความพยายามของบุคคลทั้งหลายก็ช่วยชะลอกาลเวลาแห่งความสิ้นหวังนั้นไม่ให้มาเยือนรวดเร็วเกินไป กระนั้นการดิ้นรนฝืนสู้กับโชคชะตาของเหล่ามนุษย์ก็ไม่อาจผลักไสให้ความเสื่อมผ่อนปรนต่อพวกเขาอยู่ดี
"ประชุมโว้ย ประชุม!" เสียงเรียกโหวกเหวกของหญิงสาวสวยในชุดกาวน์สีขาวเพราะลืมถอดเก็บดังขึ้น ณ ห้องโถงกลางสุดแสนจะอเนกประสงค์ของปราสาทใหญ่แห่งเนฟัลธอส บุรุษในเครื่องแบบเสนาบดีแบบลำลองซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่เดินผ่านประตูยกมือขึ้นทักทายผู้ที่เหมือนจะยึดครองตำแหน่งประธานไปแล้ว ก่อนจะใช้มือเดิมกุมขมับด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้ากับความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นแน่ๆในอีกไม่กี่วินาที
วันนี้การประชุมองคมนตรีไม่มีเอกสารใดๆเลยสักแผ่น แต่กลางโต๊ะใหญ่ที่ไม่รู้เอามาตั้งไว้ตอนไหนมีอาหารเครื่องดื่มกับหนังสือการ์ตูนและเครื่องเล่นเกมกองอยู่เต็ม...ราวกับจะย้ายแหล่งกบดานมาอยู่ที่นี่ทั้งเดือนอย่างนั้นแหละ
คนรับงานเรียกประชุมองคมนตรีทั้งสิบเอ็ดลบหนึ่งทำงานของตนได้ดีเยี่ยม...ดีเยี่ยมจริงๆ ดีเยี่ยมมากมากกก ทั้งที่ตั้งท่าทางเสียดิบดีตอนรับจ๊อบนี้ และช่างน่าตื่นตะลึงที่พ่อมดประจำราชสำนักลอสสอธข่มขู่คุกคามคว้าตัวประชากรทั้งสิบจากทั่วทุกสารทิศมารวมไว้ได้ครบภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที หนึ่งเดียวที่ขาดหายไปคือสตรีผู้มีเชื้อสายชาวมณฑลซิลจ์ เพราะคุณเธอเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าต้องกลับไปเยี่ยมบ้านกะทันหัน
ไม่ต้องสงสัยเลย...ที่เสร็จเร็วกว่ากำหนดถึงห้านาทีคงเพราะอยากจะได้เวลาไปหาจ๊อบอื่นที่รับเงินได้เนื้อๆอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แถมยังทำให้เหยื่อผู้โชคร้ายทั้งสิบไม่สามารถขยับตัวหรือหาข้อโต้แย้งใดๆได้ พร้อมกับข้ออ้างว่า เป็นการป้องกันขั้นต้นไม่ให้เกิดการขัดขืน
ที่น่าสะพรึงขวัญคือข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้ถึงร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเก้าเก้าเก้า
ผลคืองานสำเร็จด้วยดี และเวทที่ร่ายซัดสะบัดแหลกอย่างไม่สนใจพระราชกฤษฎีกาจากนครหลวงก็ทำให้เหล่าองคมนตรีทั้งสิบต้องเคล็ดขัดยอกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเป็นทิวแถว เว้นแต่คุณซัลเทรีย ลิธิส สตรีผู้มีพลังเหนือมนุษย์ และแข็งแกร่งยิ่งกว่าชายใด ที่ฟื้นตัวได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ในวินาทีนี้หล่อนกำลังนั่งไขว้ห้างเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำสนิทตัดสีชุดด้วยมาดนางพญา
"สวัสดีจ้ะสาวๆ" ซัลเทรีย ผู้ยึดครองที่นั่งหัวโต๊ะเริ่มต้นบททักทาย หล่อนโปรยยิ้มแด่เพื่อนพ้องธิดาราตรีของเธอ โดยไม่แม้แต่จะชายตาไปมองเหล่าชายหนุ่มที่อุตส่าห์นั่งกันพร้อมเพรียงหน้าสลอนเต็มอีกครึ่งโต๊ะที่เหลือ
ถ้าเป็นการประชุมทั่วไป ยามที่ประธานในการประชุมไม่สนใจไยดีอะไรกับคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไรเล่า? ขอรับรองว่าคงไม่มีใครเหมือนและสามารถเทียบเคียงบุรุษทั้งห้านี้ได้เลย...
พระมหาคูบัว ผู้ควรดำรงอยู่ใต้ร่มผ้ากาสวพัสตร์ บัดนี้กำลังประกอบอาการสำรวม ค้อมศีรษะเป็นเชิงให้ความเคารพแด่ประธานในการประชุม ทว่าเสียงกรนเบาๆกลับดังขัดความน่าเลื่อมใสศรัทธาเสียอย่างนั้น
ผู้ที่นั่งข้างๆก็ไม่ได้แตกต่าง ท่านนายพลวูล์ฟกัง รัดคอน เอสเมอรัลด้า ก้มหน้านิ่งเหมือนชายชาติทหารที่เคร่งขรึม หากใต้โต๊ะนั้นกลับมีหนังสือรวมรูปภาพดาราสาวราคาพันกว่าเหรียญเงินซุกซ่อนอยู่ นัยน์ตาที่ควรดุดันเช่นผู้บัญชาการอัศวินทั่วไปฉายแววไม่ต่างอะไรกับเมื่อเด็กอายุสามขวบมองของเล่นชิ้นใหม่
บุรุษฝั่งตรงข้ามกับประธานในการประชุมคือคนที่มาถึงเป็นอันดับสุดท้าย พลอากาศตรีเจย์ อิสฟาเกล เสนาบดีแห่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยกแขนขวาขึ้นวางบนโต๊ะเพื่อเท้าคางอย่างไม่พึงสำรวมกิริยา สองหูมีสายสีขาวเล็กๆลากมาบรรจบยังเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่ ถ้าฟังดีๆจะได้ยินเสียงเพลงจังหวะกระแทกหูดังแว่วออกมา
ถัดไปทางซ้ายของเจย์ นายพารากอน วอชิงตัน พ่อค้าร่างสมบูรณ์นั่งหลังตรงนิ่งเฉย เพราะสิ่งที่แอบอยู่ใต้เงามืดของโต๊ะยาวคือเครื่องเล่นเกมแบบพกพา นิ้วหัวแม่มืออันเชี่ยวชาญทั้งสองขยับรวดเร็วเพื่อบังคับให้เหล่าสมาชิกทีมรีอัล เอลทริออสในเกมรับส่งลูกบอลอย่างว่องไว
ชายหนุ่มคนสุดท้ายแห่งจตุราชา มาร์ควิซเจมิไน ทีกริด ขุนนางแห่งวุฒิสภาเนฟัลธอสเป็นผู้เดียวที่ดูจะได้เรื่องได้ราว คือเขาไม่นั่งนิ่งก้มหน้ามองอะไรใต้โต๊ะ ไม่หลับ และไม่แสดงทีท่าต่อต้านการประชุมด้วยการยัดหูฟังมาป้อนเพลงซ้ำๆซากๆเข้าสู่สมอง หนุ่มร่างเล็กแต่กำยำไม่ได้ทำทุกอย่างที่ว่านั่นเลยสักอย่าง...เพราะเขาเล่นยกหนังสือวรรณกรรมมหากาพย์ขึ้นมาอ่านหราบนโต๊ะเลย!
ประดุจว่า ตราบใดที่ท่านที่ปรึกษาส่วนพระองค์หรือดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ไม่ยอมย่างเยื้องยุรยาตรมา พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจอะไรกับสตรีผู้ยึดครองตำแหน่งประธานชั่วคราวเลยสักนิด
เสียงสนทนาทางฝั่งหญิงสาวดังขึ้นเป็นระยะๆด้วยความสงสัยว่าทำไมจึงยังให้รอนานขนาดนี้ เวลาผ่านไปตั้งสองนาทีแล้วยังไม่ยอมโผล่มาอีก มันเสียเวลาอันมีค่า และช่างไร้ความรับผิดชอบเสียจริงๆ!!
กาลครั้งนี้...ชักไม่ค่อยแน่ใจว่าจรูญจรัสนครจะดำรงต่อไปได้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
ø
"มีอะไรก็ว่ามาเร็วๆสิคะคุณเจ้าเมือง คุณอาร์ด-รี~" แพทย์สาวใจร้อนลากเสียงยาวทันทีที่สองร่างบอบบางผิดบุรุษก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าสวยของที่ปรึกษาหนุ่มเผยยิ้มน้อยๆ ขณะเดียวกันดวงหน้าหวานของท่านเจ้าเมืองก็กลับไม่ต่างอะไรจากมนุษย์จิตหลุด นัยน์ตาสีเข้มดูเลื่อนลอยแปลกๆจนน่าสงสัยว่าที่ปรึกษาแห่งเนฟัลธอสทำอะไรลงไปกันแน่...
ไม่ บางทีการไม่รู้อะไรเลยอาจดีกว่าทราบความจริงทั้งหมดแล้วรู้สึกสยดสยอง
"ผมจะไม่บอกอะไรหรอก" ท่านที่ปรึกษายังยิ้มไม่หยุด "อยากจะทราบสาเหตุที่เรียกประชุมพวกคุณครั้งนี้ ก็โปรดถามท่านเจ้าเมืองเองครับ"
เจ้าเมืองจิตหลุดสะดุ้ง คราวนี้ฉายแววแห่งความสมประกอบขึ้นมาฉับพลัน
เป็นการโยนมหาเทพซวยวิบัติไปสู่คนอื่นระดับมืออาชีพ...
"ว่าไงล่ะคะ คุณเจ้าเมืองที่รัก" หญิงสาวรูปร่างชวนมองสะบัดผมเอียงคอแล้วคลี่ยิ้มหวาน "ที่เรียกพวกเราทั้งหมดมานี่...มิทราบว่ามีจุดประสงค์อะไรหรือ"
"เมื่อครู่นี้ ราชทูตจากจักรวรรดิและมณฑลซิลจ์มาเจรจาเร่งด่วนเพื่อเปิดเส้นทางการค้าเสรีผ่านแคว้นของเรา" ดยุคเปรยอย่างงุนงงและแปลกใจ ปกติแล้วเจย์จะเป็นผู้ยึดครองตำแหน่งประธานหัวโต๊ะ แต่ทำไมคราวนี้จึงกลับกลายเป็นนั่งอยู่อีกฟากเสียล่ะ...ทว่าคำถามในใจก็ได้รับคำตอบโดยพลัน อาการไร้ชีวิตผิดปกติของจตุราชาทั้งห้าไม่ใช่เรื่องที่จะสังเกตได้ยากอะไร
"เราลองแหย่ดูแล้ว ดูท่าทางจะเพราะเมกะโปรเจคต์กำแพงกั้นทางใต้ของนครหลวง ขอให้ทุกคนช่วยกันคิดด้วยนะว่าควรจะขูดรีดพวกนั้นยังไงไม่ให้น่าเกลียด"
หลุดประโยคเด็ดออกมาแล้วก็รีบเผ่นจากไป ส่วนทางด้านที่ปรึกษานั้น...หายไปจากห้องโถงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้
"อ้าว แล้วกัน ตกลงจะให้เราคิดวิธีขูดรีดจักรวรรดิเหรอเนี่ย" สตรีผู้มีเรือนผมดำขลับดังขนนกกาน้ำกับตาสีเดียวกันมองอย่างงงๆกับคำสั่งกลายๆที่ไม่สมบูรณ์
"ช่างมันเหอะเอลล์" ซัลเทรียหลับตาถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้นตบโต๊ะดังปัง! "คุณจตุราชา ช่วยกรุณาทำมาหากินกันหน่อยสิคะ"
หนุ่มๆไร้สติสะดุ้งเฮือก ข้าวของที่เตรียมมาเพื่ออู้โดยเฉพาะถูกเก็บเรียบไปสู่เงื้อมมือของสาวผมดำผู้ไม่ใคร่ออกปากอะไร ถ้าเธอเป็นชายคงเรียกว่าพวก 'พูดน้อย ต่อยหนัก' แต่เพราะเธอเป็นหญิง จึงไม่ค่อยได้ต่อยอะไรกับใครนัก เนื่องจากหมัดเล็กๆของหญิงสาวแห่งกระทรวงวิทยาศาสตร์อาจล้มช้างได้ทั้งตัวหากเจ้าของมีจิตตั้งมั่นพอ
นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...เหล่าธิดาราตรีคงเป็นปรมาจารย์กังฟูกลับชาติมาเกิดแหงๆ
"พอได้แล้ว พวกเจ้าจริงจังกันหน่อย" ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์ที่อายุเพิ่งเข้าสามสิบต้นๆลุกพรวดขึ้นตวาด เนื่องเพราะแม้องคมนตรีหนุ่มทั้งห้าจะสะดุ้งได้สติและสูญเสียข้าวของในมือไป แต่อุปกรณ์สำรองยังมีล้นเหลือ
พระมหาคูบัว 'จำวัด' อีกแล้ว เสนาบดีอิสฟาเกลเสียบหูฟังจากเครื่องเล่นเพลงขนาดเท่าฝ่ามือแล้วหลับตานิ่ง นายพลเอสเมอรัลด้าคว้าหนังสือนิยายแนวดอกลิลลี่ขาวปลิวไสวมายลโฉม พ่อค้าวอชิงตันหยิบเครื่องเล่นเกมอีกเครื่องมาไว้ในมือ และมาร์ควิซทีกริดหยิบเล่มสองของวรรณกรรมไตรภาคมาอ่านต่อ ที่สำคัญคือคราวนี้วัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายไม่ได้ซุกซ่อนใต้โต๊ะอีกต่อไป แต่กลับผงาดท้าทายสายตาของหญิงสาวที่กำลังอารมณ์เสียอยู่บนโต๊ะเลย!
แพทย์สาวเริ่มชี้หน้าด่ากราด "มิทราบว่าคุณๆจะมาอู้หรือจะมาทำงานกัน ฮะ!?! ไอ้พวกจตุราชา นี่ถ้าฉันเขี่ยพวกแกออกไปได้โลกนี้คงสงบสุขขึ้นเยอะ" ประกาศจบก็กรี๊ดลั่นยาวนานราวหนึ่งนาที ธิดาราตรีอีกสี่เบ้หน้า
ส่วนจตุราชานั้น...ยังเฉย เพราะชิน
"คุณก็เริ่มแสดงความเห็นก่อนสิครับ ซัลเทรีย"
เจย์ถอดหูฟังข้างซ้ายออกผุดยืนขึ้นจากอีกฝั่งแล้วพูดขัดเสียงกรีดร้อง ดวงตาคู่เรียวสะกดทุกเสียงให้ชะงักงัน ใบหน้าหล่อเหลาเป็นอันดับสองจากการลงคะแนนทั่วเมืองหันไปยังทุกคนใน 'ฝ่าย' ตน ส่งสัญญาณเป็นเชิงว่า 'เลิกกวนteenเหอะ ขี้เกียจโดนด่าแล้วว่ะ'
"เรื่องที่ว่าคือจะขูดรีดจักรวรรดิยังไงไม่ใช่เหรอครับ เอ้า ใครก็ได้ช่วยเสนออะไรมาซักอย่างสิครับ ตอนนี้ข้าสมองตัน ยังนึกไม่ออกแฮะ" จากสโลแกน มีเจย์ที่ไหน มีอู้ที่นั่น ทันทีที่ชายหนุ่มประกาศจุดยืนของตนจบก็นั่งลงอีกครั้งก่อนจะหลับตาเสียบหูฟังกลับที่เดิม...
"..." ไม่ใช่แค่ธิดาราตรีเท่านั้นที่อึ้ง แต่จตุราชาทั้งสี่ที่ถูกเสียงแข็งดึงสติกลับสู่โลกก็หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
ซัลเทรียถอนใจเฮือก "ให้เวลาทำใจกันก่อนห้านาที แล้วค่อยว่ากัน"
-ห้านาทีผ่านไป-
สภาพห้องประชุมฉุกเฉินไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม
แม้เหล่าจตุราชาจะถูกหญิงสาวผมดำดุจแม่มดนาม เอลล่า บาร์ทซ์ ค้นสัมภาระจนสิ้นลาย เครื่องเล่นเพลงสิบเครื่องและหูฟังอีกยี่สิบของเจย์ หนังสือมหากาพย์ไตรภาคครบเซ็ตพร้อมออพชั่นเสริมหกเล่มของท่านมาร์ควิซ หนังสือรวมรูป และนิยายรวมยี่สิบเล่มของนายพลวูล์ฟกัง เครื่องเล่นเกมทั้งสิบสองของพารากอน และ ไม่น่าเชื่อ เจ้าของการ์ตูนสูงเท่าหัวเข่าที่กองอยู่กลางโต๊ะคือพระมหาคูบัว...
"นี่พวกคุณจะมาทำงานหรือมาทำอะไรกันแน่" หญิงสาวดูสูงศักดิ์ที่นั่งเคียงข้างมาร์ควิซเจมิไนพ่นลมอย่างปลงกับชีวิต หล่อนมีโครงหน้าได้รูปล้อมกรอบด้วยเส้นผมที่เพิ่งตัดแต่งทรงใหม่ให้สั้นแค่ระดับคางเรียวมน โหนกแก้มและหน้าผากที่รับกันกับจมูกโด่งรั้นเหมาะกับดวงตาเรียวใต้คิ้วโก่งคันศรที่ฉายแววแห่งความฉลาดเฉลียว ม่านตาสีน้ำเงินเกือบดำเหล่ไปทางบุรุษทั้งห้าที่ทำท่าทางซังกะตายไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตไร้วิญญาณ
ต้องมีอะไรสักอย่างที่คนพวกนี้ไม่บอกให้รู้
"ความบันเทิงเล็กๆน้อยๆเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับบุรุษเพศ" เสียงห้าวของท่านนายพลที่เหยียดตัวตรงเบ่งบารมีข่มดังขัด ดวงตาโตหวานที่ไม่ได้เหมาะกับเค้าหน้าเหลือบมองสตรีผู้ดำรงยศเคาน์เตสเหยียดๆ น่าแปลกที่ชายผู้ดูเหมือนจะมีอายุสมองน้อยกว่าหรือเท่ากับสามขวบจะแผ่อิทธิพลสมยศทางทหาร
พระมหาคูบัวกุมเศียรกับเพื่อนร่วมชะตากรรม "แต่ความบันเทิงของบุรุษอายุสี่สิบที่ไหนเป็นนิยายยูริล่ะโยม..."
"แล้วไหนละว่า 'ถ้าจะดูโศกาดูรในหมู่สงฆ์ก็ในการร้องขับทำเพลง ถ้าจะดูความบ้าในหมู่สงฆ์ก็ในการเต้นรำ ถ้าจะดูความเป็นเด็กในหมู่สงฆ์ก็ในอาการยิงฟันหัวเราะ'*" ชายร่างเล็กกำยำทว่าสูงยศเอนหลังพิงพนักก่อนขัดคอคนเป็นพระเป็นเจ้า "ข้าสงสัยว่าควรต้องเติม 'ถ้าจะดูความไร้สาระในหมู่สงฆ์ก็ในการมีการ์ตูนในครอบครองสูงกว่าหัวเข่า' ไปด้วยนะ"
อันที่จริงคือการ์ตูนในครอบครองสูงกว่าศีรษะต่างหาก แต่ก็นะ... "พิโธ่ ที่โยมว่ามาน่ะไม่ใช่พระในศาสนาที่อาตมาอุทิศตนหรอก" พูดปัดๆทั้งที่สีผ้าก็ยังฟ้อง
แม้ว่าทุกคนในที่นี้จะคิดเช่นนั้น หากก็เถียงไม่ได้ว่าในยามอยู่ต่อหน้าสาธารณชน ภิกษุที่ปฏิบัติตนไม่ค่อยเหมือนภิกษุก็ดำรงตนเป็นเยี่ยงอย่างอันดีได้สมบูรณ์แบบ ส่วนสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์รูปนี้คือ ท่านมีความใฝ่ฝันจะบวชอุทิศตนแด่ศาสนาตลอดชีวิตตั้งแต่อายุสิบห้า และเนื่องจากมีความตั้งมั่นเช่นนั้นท่านจึงถูกผู้ให้ทุนการศึกษาของเขตการปกครองพิเศษหนึ่งในมณฑลซิลจ์ปฏิเสธไปโดยปริยาย ใครล่ะจะให้ทุนเรียนต่อถึงปริญญาเอกกับคนที่สุดท้ายแล้วจะหันเหตนเข้าสู่ร่มแห่งพระธรรมสัมมา?
"อาตมาต้องศึกษาวิถีทางโลกพอประมาณจากนิยายภาพพวกนี้ เพื่อเวลานำไปเทศนาแก่เด็กๆ พวกเขาจะได้รับฟังอาตมาด้วยหัวใจที่เปิดกว้างอย่างไรล่ะ"
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่จตุราชาไม่เคยลงคะแนนเสียงชนะกลุ่มธิดาราตรีได้เลยสักทีแม้ว่าอีกฝ่ายจะมาประชุมเพียงคนเดียวก็ตาม...เอกบุรุษทั้งห้าไม่เคยมีความเห็นที่ลงรอยกันเลย ซ้ำร้ายจะแตกคอกันเองเป็นห้าฝักห้าฝ่าย การรวมตัวของคนเหล่านี้เป็นกลุ่มอันทรงอิทธิพลต่อเนฟัลธอสจึงยังคงเป็นปริศนาที่หาคำอธิบายไม่ได้
"งานค่ะงาน!" แม่สาวซัลเทรียส่งเสียงแว้ดทันควัน "ตอนนี้ทำตามคำสั่งของท่านเจ้าเมืองก่อนเถิดเจ้าค่ะ"
จตุราชาทั้งห้าถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อพบว่าหนทางอู้ถูกปิดกันเสียแน่นหนาด้วยคำพูดของพวกตนเสียแล้ว ธิดาราตรีทั้งหกลบหนึ่งกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อพวกตนสามารถกำราบความพยศของบรรดาชายหนุ่มผู้เพี้ยนไม่มีใครเกินได้ในที่สุด และเพราะองคมนตรีทั้งสิบสวมวิญญาณคนเอาการเอางานขึ้นมากะทันหัน บรรยากาศการประชุมจึงเปลี่ยนจากไร้สาระเป็นจริงจังในบัดดล
เจย์ประสานแขนกอดอกเอนกายพิงพนักเก้าอี้หนังนัยน์ตาเรียวดำขลับที่สะกดคนมานักต่อนักหรี่ลงเหยียดมองสาวเจ้าผู้ยึดครองตำแหน่งประธานในการประชุม "เริ่มที่สาเหตุของการติดต่อจากจักรวรรดิครั้งนี้ก่อนเถอะ ถ้าที่ดยุคบอกมาเป็นจริงก็แปลว่าหนทางที่ง่ายที่สุดของจักรวรรดิในการสื่อสารกับไนธ์คือผ่านแคว้นของเรา ทะลุชารา แล้วเลี่ยงซาร์กาลกับเอเลียสผ่านด่านเข้าแคว้นหลวง"
บอกเล่าเรื่องราวโดยสังเขปแล้วประกาศความคิดตนต่อทันใด "ข้าสงสัยว่าทำไมจักรวรรดิถึงไม่ติดต่อกับอิลซามาร์ที่มีเมืองท่าอยู่หลายเมือง ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องย่นระยะทางด้วยการมายังแคว้นของเรา ที่สำคัญคือ ถ้าผ่านทางนั้น ระยะในการฝ่าทะเลทรายจะสั้นกว่าเมื่อเดินทางจากเนฟัลธอส แต่ข้อเสียของการผ่านอิลซามาร์คือมีโอกาสจะล่วงล้ำเข้าไปในเอเลียส...ซึ่งข้าสงสัยอีกนั่นแหละว่าแล้วมันไม่ดีหรือไงที่จะติดต่อค้าขายกับแคว้นการค้าอย่างนั้น"
มาร์ควิซเจมิไนยกมือขึ้นเป็นเชิงขอให้ความเห็น เสนาบดีกระทรวงไอซีทีพยักหน้าอนุญาต ประดุจว่ายึดตำแหน่งประธานหัวโต๊ะกลับมาได้แล้วโดยพฤตินัย "ระยะการเดินทางบนบกจากอ่าวทางตะวันออกของเราใกล้กว่าเมื่อเดินทางจากเมืองท่าของอิลซามาร์"คนไม่ค่อยพูดเริ่มต้นไล่เลียงความจริง "แถมยังไม่ต้องกังวลกับเรื่องทหารชายแดนทางใต้ของเนฟัลธอสที่มีชื่อเสียงด้านการซักไซ้เพื่อจับตามองพวกนอกกฎหมาย"
กล่าวมาเช่นนั้น ข้อสงสัยของเจย์ก็เป็นอันกระจ่างในทันใด พวกนอกกฎหมายที่ทหารชายแดนเนฟัลธอสใต้จับได้ว่าลักลอบค้าอาวุธเถื่อนและยาเสพติด เกือบร้อยละร้อยคือชาวเอเลียส
เอเลียสเป็นตลาดการค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก บรรดามือสังหารเดินเวียนว่อนไปทั่วเมืองโดยไม่มีใครกล้าจับกุมเพราะผู้ปกครองเมืองหนุนหลัง เหล้ายา มีดดาบ และผู้หญิงเป็นของที่หาได้ง่ายๆสำหรับแคว้นแห่งการค้านั้น ยามที่ดวงอาทิตย์ยึดครองท้องฟ้า นครหลวงของเอเลียสอาจดูเงียบสงบ ทว่าในยามราตรีกลับกลายเป็นแดนเถื่อนสนธยาที่ควันบุหรี่และกัญชาอบอวลไปทั่ว
"จักรวรรดิมีเรื่องพวกนั้นมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหามาเพิ่มจากต่างแดน" ท่านมาร์ควิซทำเสียงเยาะเย้ยเพื่อนร่วมอุดมการณ์ "เอเลียสเป็นที่ที่ไม่น่าเข้าใกล้ที่สุดสำหรับคนธรรมดาทั่วไปในโลกสว่างอย่างเรา"
เจย์แทบสำลักอากาศ
ถ้าเจมิไน ทีกริด ดำรงตนอยู่ในโลกสว่าง เขาคงเป็นนักบัลเล่ต์แสนสวยจากเอเลียสเลยล่ะกระมัง...
“ช่างหัวเอเลียสมันเถอะ” อดีตนักบินนึกสยองกับความคิดของตัวเองเมื่อครู่ “สรุปว่าไงๆ เพื่อไม่ให้เสี่ยงเสียชื่อ สุดท้ายแล้วจักรวรรดิก็ต้องมาตายรังที่เนฟัลธอส ว่างั้น”
“แม่นแล้ว” ผู้ที่แผ่อิทธิพลมืดอยู่ทุกวี่ทุกวันยกนิ้วพร้อมรอยยิ้มหวานให้
ทันใด ท่าทางผิดวิสัยของขุนนางแห่งสภาสูงทำให้ทุกคนในที่ประชุมเริ่มเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง...
ถ้าจักรวรรดิต้องใช้เส้นทางผ่านเนฟัลธอสเพื่อติดต่อกับนครหลวงเข้าชารา ก็ต้องเดินทางผ่านทางด่านโลเธนซา และเมื่อเดินทางผ่านด่านโลเธนซา มาร์ควิซของเราก็สามารถเรียกค่าคุ้มครองได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“เอาง่ายๆ” คนได้ผลประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องเอนกายมาเท้าโต๊ะ คิ้วหนาเหยียดด้วยอารมณ์จริงจัง “ข้าจะแบ่งค่าผ่านด่าน 50% ให้เนฟัลธอส ส่วนภาษีท่าเรือน่ะเก็บอย่างเดิมก็ได้ แต่ต้องจำกัดจำนวนไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
ประวัติศาสตร์ที่ว่าคือ เดิมทีมณฑลซิลจ์เป็นเขตหนึ่งของอาณาจักรไพดัสทางใต้ของธรีอาดิม แต่แล้วด้วยเส้นทางเปิดใหม่นี้เองที่จักรวรรดิส่งคนมากมายมาอยู่อาศัย จบลงด้วยการปะทะของทหารกับประชาชน และกลายมาเป็นอาณานิคมโพ้นทะเลของจักรวรรดิจูคาไฮเนนในที่สุด
“70% ให้เนฟัลธอส” เคาน์เตส โนนา จีเวล ผู้งามสง่าและมีนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มลองต่อรอง ตอนแรกจำได้ว่าจะหาทางรีดไถจักรวรรดิไม่ใช่หรือไร แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลายเป็น...
“โอเค” มาร์ควิซหนุ่มตอบตกลงด้วยอารมณ์แช่มชื่น “มีใครจะแย้งอะไรบ้างไหม”
แน่ล่ะ ใครจะกล้าโต้แย้งกับหนึ่งในผู้มีอิทธิพลสูงสุดของแคว้น ที่สามารถพลิกผันสนธิสัญญาทวิภาคีระหว่างจักรวรรดิและเนฟัลธอสให้กลายเป็นสนธิสัญญาระหว่างเนฟัลธอสกับโลเธนซาเสียหน้าตาเฉย ...เว้นเสียแต่
“90!” ซัลเทรียตะโกนแทรกความเงียบงัน นัยน์ตาสีน้ำตาลหวานหลังแว่นไร้กรอบส่อประกายอำมหิต นิ้วเรียวดุจลำเทียนประสานกันกลางโต๊ะ
“มากไปหน่อยรึเปล่าครับ” เจมิไน ทีกริดเต๊ะมาดเข้มทว่านบนอบ ราวกับหญิงสาวสวยสง่าวัยสามสิบต้นๆผู้นี้แก่เสียเต็มประดา “ถ้าจ่ายน้อยไปมีโจรมาลักพาตัวทูตของจักรวรรดิไปใครล่ะจะมารับผิดชอบ”
ก็ไอ้โจรที่ว่านั่นน่ะอยู่ในความปกครองของมันเองไม่ใช่รึไง...ทุกคนในที่ประชุมพร้อมใจกันคิดเงียบๆ
“90 และเจ้าต้องดูแลความปลอดภัยในชาราให้ด้วย” เคาน์เตสโนนาทำหน้าเคร่งยืนยันเจตนารมณ์ “ส่วนภาษีท่าเรือของจักรวรรดิให้ลดจาก 300 เหรียญทองต่อลำ เป็น 150 เหรียญทอง”
“ช่างเหอะ” มาร์ควิซหนุ่มเบ้หน้าถอนใจเฮือก “ไม่ต้องมีอะไรเข้ากระเป๋าข้า เงินที่ได้ยกให้แก่ลูกน้องหมด ข้าช่างเป็นขุนนางที่ทุ่มเทจริงๆ”
“หัดเป็นคนดีมั่งเถอะโยม...” ท่านพระครูยอกย้อน
“อ้อ อย่าลืมจำกัดจำนวนและประเภทเรือด้วยนะ” เอลล่า บาร์ทซ์ที่เงียบมานานนึกขึ้นได้ ดวงตาเรียวสวยกลอกไปมองศิลปินกับนักบวชสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้ยังไม่ได้เสนอความเห็นอะไรเลยในการประชุมครั้งนี้ “ชาบลิสว่าไงจ๊ะ”
“ถามฉันทำไม” ชาบลิส หญิงสาวผมสีชมพูจัดจ้า เจ้าของผลงานแบล็กเมล์อมตะที่ยังคงแปะโชว์อยู่หน้าปราสาททำหน้าแปลกๆ “โรซาริโอก็นักบวช พวกฉันรู้เรื่องพวกนี้มากไปก็รกสมองเปล่าๆ”
เงียบไปพักหนึ่งจนเอลล่าชักเริ่มนึกขออภัยที่ถาม หากชาบลิสกลับเอ่ยต่อ “...ฉันเห็นด้วยกับที่ว่า ควรจำกัดจำนวนของเรือแต่ละประเภทที่จะเข้ามาในอ่าวด้วย ไม่ใช่แค่เทียบท่า แต่ต้องดูแลทั้งน่านน้ำเลย ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับเมื่อปี 693 ที่จักรพรรดิรากูเอลใช้กองเรือที่ 13 ปิดปากอ่าว ส่งทหารรุกเข้ามาในแม่น้ำ ยึดเมืองหลวงของที่นั่นที่เป็นเมืองอกแตกไปน่ะ”
ทีแรกบอกว่ารู้มากไปก็รกสมอง แต่ทำไมถึงจำได้กระทั่งศักราชและรายละเอียดเหตุการณ์
“แต่สถานการณ์ไม่เหมือนกันนะ เนฟัลธอสไม่ใช่จะยึดง่ายๆอย่างซิลจ์ หนึ่งคือเราไม่ติดทะเล สองคือมีกำแพงสูงแข็งแรงหลายชั้นมาก ถ้าไม่อาศัยนักเวทคงไม่มีทางบุกเข้ามาได้แน่” เป็นตาของนักบวชประจำวิหารแห่งแสงอาทิตย์นามโรซาริโอจะโชว์พลังบ้าง “และเราก็มั่นใจว่าลอสสอธคงไม่ช่วย โดยเฉพาะพ่อมดผู้แสนดีของเราก็ไม่รับงานที่ส่งผลเสียต่อเนฟัลธอสอยู่แล้ว”
“อย่ามั่นใจอะไรขนาดนั้น...” เคาน์เตสโนนาแย้ง “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้นั่นน่ะ”
“นี่เจ้ารู้จักนัมเบอร์สิบเก้าดีพอรึเปล่าถึงพูดออกมา” เจย์ขัด ดวงหน้าที่ไม่ค่อยจะมีสาระเคร่งเครียดกะทันหัน “เรื่องเล็กๆน่ะจริง ว่าไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก แต่เรื่องใหญ่แบบนี้ ถ้าเราไม่ไว้ใจกันเองเป็นอันดับแรก ใครล่ะจะมาช่วยเรา?”
“เรื่องของบีเทรเยอร์ ข้ารู้เหมือนกันว่ามีอยู่” ซัลเทรียเปรย อันบีเทรเยอร์นี้คือคนทรยศ แต่การใช้ศัพท์ต่างภาษาทำให้ลดความรุนแรงลงไป “แต่หวังว่าคงจะไม่ใช่พวกเราหรอกนะ”
“ข้าบอกแล้วไงว่าถ้าเราไม่ไว้ใจกันเสียก่อน ก็ไม่มีใครมาช่วยเราได้หรอกครับท่าน อย่าลืมสิว่ามาอยู่ที่นี่กันเพราะอะไร” นัยน์ตาดุจรัตติกาลของบุรุษหัวโต๊ะฉายแววเย็นเยียบอย่างที่หาโอกาสเห็นได้ยากนัก “หวังว่าข้าคงไม่ต้องบอก แต่ถ้าเราเริ่มไม่ไว้ใจกันเมื่อไหร่ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความพินาศ”
“มีเหตุผลอะไรมายืนยันรึเปล่า?” เอลล่าทำหน้าสงสัย หากคำตอบที่ได้รับกลับผิดความคาดหมาย และผิดไปจากบุคลิกตามปกติของเจ้าของคำพูดยิ่งนัก
“ข้าเคยทรยศคนอื่นมาแล้วเพื่อจะมาอยู่ที่นี่ หวังจะลบความผิดให้เลือนไป...” ภาพศีรษะที่มีรูพรุนของคู่หูนักบินยังคงติดตา ใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนไม่ไยดีกับสายตาของคนอื่นดูกลายเป็นคนละคน นี่ไม่ใช่พลอากาศตรีเสนาบดีประจำกระทรวง แต่เป็นนาวาอากาศโทผู้มีเส้นสายใหญ่โตในกองทัพหลวง ผู้ต้องละอนาคตของตนไปสู่สิ่งอื่นที่สำคัญกว่านั้น...มาก
“ข้ายังจำความรู้สึกนั้นได้ไม่ลืม จากตอนนั้นเป็นต้นมา ทั้งชีวิตของข้าก็เหลือเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวเท่านั้นที่ข้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ มองหน้าข้าสิ! ดูสิว่าข้ากล่าวความเท็จอยู่รึเปล่า ข้าจะทรยศจุดมุ่งหมายเดียวที่หลงเหลือไปเพื่ออะไรกัน” ชายหนุ่มท้าทายให้ลองจับผิดด้วยน้ำเสียงแทบจะตะคอก มือขวากำแน่นสั่นเทา คิ้วหนาขมวดจนเกือบเชื่อมชิดกัน ริมฝีปากบางเม้มสนิทด้วยอารมณ์นำพา
ส่วนคำตอบที่ได้นั้นหรือ...
เจย์หลับตาถอนใจแล้วลุกขึ้นเดินไปยังประตูใหญ่ “...แต่ช่างเหอะ นี่มันหกโมงแล้ว แยกย้ายกันกลับบ้านได้”
ไม่มีใครรับมุข
องคมนตรีทั้งสิบไม่หลงเหลืออารมณ์อยากหัวเราะ ไม่หลงเหลืออารมณ์จะทำตัวไร้สาระอย่างที่เพียรปฏิบัติกันมาอีกต่อไป ความจริงที่พยายามจะลืมเลือนกลับวูบวับเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำซาก ทุกวันนี้ที่สิ่งที่กระทำมาโดยตลอดส่งผลไปในทางที่ดีก็เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ใช่หรอกหรือ แม้จะบางครั้งนึกสนุกเฮฮาไปนิด แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการเล่นละครไร้บทให้ดูกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นมาทาบทับคนเดิมที่ฝันร้ายยังคงวนเวียนหลอกหลอนซ้ำเติมมิรู้หน่าย
อีกครั้งที่พวกเขาต้องตัดสินใจ
“แล้ว เฮ้ย เอลล่า คืนของของพวกเรามาซะทีได้มั้ย”
อดีตนักบินแห่งกองทัพหลวงหันกลับมาทวงของด้วยใบหน้ากวนประสาทเป็นที่สุด มุมปากกระตุกยิ้มเยาะหน้าตาไม่สู้ดีของพวกพ้อง “โธ่...คิดอะไรกันไปให้มากมี ตอนนี้ยังบ้าได้ก็บ้ากันไป รอให้ถึงเวลานั้นก่อนเหอะ มีหวังรอยเหี่ยวตีนกาคงประทับเต็มหน้าสวยๆของคุณซัลเทรียเลยล่ะครับ”
“ปากดีนักนะ!” หญิงสาวชุดกาวน์พรวด หล่อนเริ่มโมโหจนเนื้อตัวสั่นเหมือนกำลังเดินลุยไฟ แยกเขี้ยวขู่แฮ่แบบไม่พึงสำรวมกิริยา
“ระวังหน่อยครับ เดี๋ยวได้กลายร่างกลางห้องนี่ผมไม่รู้ด้วยนา...” มาร์ควิซที่ลุกจากเก้าอี้นานแล้วสวนกลับแทนเพื่อนแล้วรีบไฟอาฆาตของสตรีหัวโต๊ะเผ่นออกนอกประตูปราสาท
บรรดาชายหนุ่มค่อยๆย่องออกจากห้องประชุมจำเป็นด้วยความเงียบกริบขณะที่สาวๆทั้งห้าหันหน้าไปปรึกษาอะไรกันก็ไม่รู้ ที่แน่ๆคือหลังจากนี้อีกไม่กี่วินาที ในห้องโถงกลางของปราสาทเนฟัลธอสคงไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแน่นอน
ตูมม!!
ไม่กี่อึดใจ เสียงของอะไรบางอย่างระเบิดก็ดังออกมาจากห้องประชุมที่เพิ่งปิดลง ประกายไฟแลบเปรี๊ยะผ่านช่องประตูชวนให้หวาดผวายิ่งนัก นี่ถ้ารอบปราสาทมีค้างคาวบินว่อนกับต้นไม้แห้งตายคงดูคลับคล้ายคลับคลากับที่พำนักของผีดูดเลือดชอบกล...แถมบางวันยังมีคนชุดคลุมดำหายตัวแวบไปนู่นไปนี่ มีเสียงร้องโหยหวนแว่วให้ได้ยินทุกสามวินาทีอีก
เฮ่อ
อะไรมันจะสมบูรณ์แบบปานฉะนี้...!
-ปิดการประชุมวันที่หนึ่ง-
...ยังเหลืออีกสองวัน ถึงจะตัดสินใจอะไรไม่ได้ก็ยังมีเวลาถมเถไป...
(เพียงแต่หวังว่า คงไม่มารีบเร่งกันตอนใกล้เส้นตายอย่างเคยหรอกนะ)
ø
*จาก กามนิต (ภาคพื้นดิน) ฉบับเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
ความคิดเห็น