คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ซ้อน
6: ซ้อน
ค่ำคืนนี้ แวร์ฟาเรนกำลังหลับใหล
ชีวิตของคนธรรมดาในเมืองล้วนเข้าสู่ช่วงแห่งการพักผ่อน หน้าต่างแทบทุกบานมืดมิด แต่โคมตามเสาริมถนนและบริเวณป้อมรักษาการณ์ยังคงมีแสงสว่าง ทหารเวรยามในชุดเครื่องแบบสีเทาเดินอย่างเคร่งขรึมบนกำแพงสูง ทอดเงาทึบทาบผ่านแสงสีอมส้มจากคบเพลิงที่ส่งเสียงปะทุเบาๆ เงาดำเงาแล้วเงาเล่าก้าวสวนกันอย่างเชื่องช้า ทว่าสม่ำเสมอ ...รวมแล้วแวร์ฟาเรนมีเวรยามเดินตรวจตราต่อเนื่องกันเป็นแถบยาวตลอดรอบเมืองไม่ต่ำกว่าครึ่งพัน มองจากภายนอกแล้วเห็นเงาดำเดินผ่านวูบวาบตลอดเวลา ไม่ต่างอะไรกับป้อมรบในสงคราม
ไกลออกไป ในความสงบร่มรื่นของผืนป่ารกครึ้ม ช่วงกลางคืนกิ่งก้านต้นไม้สายพันกันราวกับใยแมงมุมสีดำ นกกลางคืนที่มองไม่เห็นตัวส่งเสียงครวญแผ่วเบาชวนให้รู้สึกเย็นวาบ กลางป่าลึกนั้นมีหมอกควันบางเบาลอยแทรกระหว่างลำต้นสูงตระหง่าน มันไหลหนืดเอื่อยเป็นกลุ่มก้อนสีขุ่นมัว ลามเรื่อย จนในที่สุดก็ทิ้งตัวลงปกคลุมเหนือพื้นหญ้าหงิกแกร็นที่ยังคงมีรอยไหม้เกรียม
ควันนั้นมีสีชมพูระเรื่อจาง ไหลรินเรื่อยมาปกคลุมทั่วทั้งถนน สายลมหนาวเหน็บพัดกรรโชกกลางเส้นทางเวิ้งว้าง แต่กลุ่มควันนั้นยังคงลอยนิ่งราวกับแรงลมเป็นเพียงอากาศว่างเปล่า ไอม่านหมอกลึกลับแพร่ขยายออกกว้าง กลิ่นหอมประหลาดอบอวลทั่วชายป่า มันสะกดแม้กระทั่งสัตว์ตัวน้อยให้หลับใหล
เสียงนกกลางคืนแผ่วเบานั้นเงียบลงแล้ว
กระแสควันสีชมพูจางหนาทึบขึ้นทุกทีที่มันเคลื่อนเข้าใกล้เขตกำแพงเมือง ไหลเป็นระลอกพลิ้วดังเกลียวคลื่นในมหาสมุทร
พลันม่านควันก็ระเบิดออก ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ที่ใจกลางกลุ่มควัน...เกวียนเทียมวัวเล่มเล็กแล่นออกมาอย่างเชื่องช้า ส่งเสียงดังกุกกัก โลหะยึดข้อต่อขยับเอี๊ยดอ๊าดยามคนขับเกวียนกระตุกสายตะพานเป็นระยะ ล้อไม้เคลื่อนคืบคลานเข้ามาทีละน้อยจนเข้าเขตทัศนวิสัยของทหารรักษาการณ์เหนือกำแพงเมือง
ทหารหนุ่มนายหนึ่งเดินอยู่เหนือกำแพงฝั่งชายป่า แว่วเสียงเกวียนเล่มน้อยดังผ่านหู เขาขมวดคิ้ว ทันใดก็หันไปมองด้วยความแปลกใจ
"น-นั่น...!"
รองเท้าหนังตอกเหล็กหยุดกึก
สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเกวียนเทียมวัว เป็นดังนั้นจริงเพียงส่วนเดียว...สัตว์เทียมเกวียนที่ควรจะเป็นวัว แท้จริงแล้วเป็นแต่กลุ่มก้อนเงากลมหนืดสีดำมันวาวเหมือนถูกฉาบด้วยปรอทเหลวสีนิล มันคืบคลานคล้ายหอยทาก ต่างกันเพียงท่าทางชวนคลื่นเหียนนั้นไม่ได้ทิ้งคราบเหนียวไว้เป็นทาง กระนั้นก็แผ่ความหนาวยะเยือกบางอย่างให้ครั่นคร้ามทั่วสันหลัง
ทว่านั่นเทียบไม่ได้กับรูปลักษณ์ของคนขับเกวียน...
ทหารหนุ่มวิ่งถลาไปเกาะยังขอบกำแพง ค้อมหลังลงมองยังเกวียนนั้น เพ่งสายตาเขม็งเกร็งหากนัยน์ตากลับเบิกกว้าง เขากัดฟัน กลั้นหายใจ พยายามไล่มองเค้าหน้าคุ้นเคยของคนขับเกวียนลึกลับ ก่อนที่ทั้งร่างจะเริ่มสั่นเทา นิ้วมือเกร็งจิกลงกับขอบหิน ค่อยหันไปสบตากับเพื่อนทหารอีกนายที่กำลังเดินใกล้เข้ามา แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น พลางส่งสัญญาณมือเตือนให้รู้กัน
นั่นมัน...
"มีอะไร" เพื่อนทหารสาวเท้าเร็วเข้ามาถาม ทหารรักษาการณ์หนุ่มเหลือบมอง ส่ายศีรษะไม่ตอบคำ แต่ชี้ไปยังพื้นถนนด้านล่าง
ปลายนิ้วสั่นระริก
ร่างที่นั่งอยู่เหนือที่คนขับนั้นดูคล้ายมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่มีผิวหนังซีดเขียว กับบาดแผลคล้ายถูกกรีดด้วยคมหนามทั่วร่างจนเห็นรอยเลือดแห้งกรังเป็นริ้วถี่...ศีรษะงอตกของคนขับเกวียนกระเทือนเป็นจังหวะตามแรงกระแทกกับพื้นถนนราวกับกำลังหลับใหล แม้สองแขนที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าฉีกขาดจะขยับกระตุกสายรั้งเป็นระยะ
"เจ้าว่า นั่นมัน..." คำที่ต้องการพูดไม่อาจพ้นจากลำคอ ความหวาดกลัวที่ไม่อยากจะยอมรับเข้าครอบงำทั่วร่าง แต่สายตาก็ไม่อาจละจากภาพนั้นแม้เพียงวินาที
เกวียนประหลาดเคลื่อนมาเรื่อย ยังมองไม่เห็นผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลัง บัดนี้ระดับของคนขับเกวียนอยู่ตรงหน้าพวกเขาพอดี หัวใจเต้นกระหน่ำในอกด้วยความตื่นเต้นระคนพรั่นพรึง...แน่นอนว่าคนขับนั้นไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ แต่กลับยังทำงานได้อย่างขยันขันแข็ง และยัง...
ลำคอตกงุ้มที่ถูกพันรอบด้วยเถากุหลาบเหี่ยวเฉาเงยขึ้นช้าๆ ศีรษะซูบซีดขยับหันมาทีละน้อย...ทีละน้อย...ดวงตาขาวโพลนปริแตกจ้องตอบมา เปรอะเปื้อนคราบเลือด ก้านกุหลาบแห้งจนหงิกงอเสียบทะลุผ่านกลางตาดำพอดิบพอดี!
ทหารรักษาการณ์หยุดหายใจ...ไม่ใช่เพราะเขารู้แน่ชัดว่าคนขับเกวียนนั้นเป็นเพียงซากศพ แต่เพราะใบหน้านั้นเป็นของคนที่เขารู้จักดี
เขารู้แล้วว่าตำรวจทั้งห้านายที่หายไป
แท้จริงแล้ว...อยู่ที่ใด
ทหารหนุ่มหันไปมองเพื่อน อ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง...หากในเวลานั้นลมกลับพัดกรรโชกแรง พาเอาหมอกควันสีชมพูเรื่อเรืองที่เคยฟุ้งกระจายกลับมารวมเป็นลำเดียวกันอีกครั้ง ซัดเข้ามายังจุดที่เขาสองคนยืนอยู่เหนือกำแพงเมือง ไม่ต่างจากยามเกลียวคลื่นทะเลสาดโถมทับผืนทราย...
กลิ่นหอมนั้นรุนแรงชวนให้มึนพร่า กรุ่นกำจายจนแสบตา เขาอยากจะยกผ้าคลุมยาวขึ้นปิดบังใบหน้า ทว่าไม่อาจทำได้...
ครั้นสายลมพัดมาวูบหนึ่ง ร่างของเขาก็หยุดค้าง ล้มลงกระแทกพื้น...แน่นิ่ง
ในความมืดและเงียบสงัด ปราศจากการจับจ้อง เกวียนประหลาดเคลื่อนใกล้ประตูมากขึ้นทีละน้อย มันเลี้ยวอ้อยอิ่ง ผละจากถนนวกเข้ามา ผ่านใต้ความมืดของช่องกำแพงหนา มุ่งตรงสู่เมือง ขณะเดียวกันม่านควันสีชมพูระเรื่อก็ถูกลมอ่อนโชยพัดให้สลายไป ล้อเกวียนเคลื่อนขยับเสียดสีพื้นถนนส่งเสียงดังแกรกกราก หากเป็นยามปกติความดังของเสียงคงมากพอจะเรียกความสนใจจากทหารรักษาการณ์ทั้งหมด ทว่าเวลานั้นไม่มีใครที่ยังคงสติอยู่ได้
แวร์ฟาเรน...เข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับใหล
เกวียนประหลาดเล่มนั้นแปรเปลี่ยนรูปร่างดังของไหล จากตัวเกวียนไม้สภาพเก่าโทรม ค่อยยืดขยาย บิดเบี้ยว และเชื่อมต่อหลอมรวมอีกหลายครั้งหลายครา ห่อหุ้มร่างเจ้าของเกวียนไว้ภายใน ซากศพที่ขับเกวียนถูกกลืนหาย ก้อนหนืดสีดำข้นคลั่กถูกบิดขึ้นรูปใหม่…
รถม้าและอาชาพ่วงพีสีน้ำตาลตลอด ปรากฏแทนที่เกวียนนั้น
รถม้าคันงามค่อยแล่นตามถนน แสงโคมสว่างสาดต้องหน้าต่าง มือขาวผ่องประดับเล็บยาวเรียวขยับแง้มม่านบางเชื่องช้า ใบหน้าส่วนใหญ่ของหญิงสาวผู้โดยสารรถม้ายังคงอยู่ในเงามืด เธอทอดมองนิ่ง แนบฝ่ามือจรดบานกระจก ทาบทับเงาสะท้อนใบหน้าตน...บดบังสายตาจากภาพเมืองที่ดูหยุดนิ่งดังต้องมนตรา
พาหนะที่ปราศจากคนขับเลี้ยวเข้าสู่ถนนเปลี่ยว แสงโคมสูงสีขาวอยู่ไกลออกไป ทว่าก็มากพอจะส่องให้เห็นบ้านหลังหนึ่งใต้เงาไม้เขียวครึ้มตระหง่านที่ปกคลุม
ต้นไม้นานาพรรณเจริญงอกงามหลังรั้วไม้สูงที่กั้นเหมือนคอกม้า กิ่งใบพลิ้วชูช่องามไร้ระเบียบปรกสวนข้างตัวบ้านดูราวป่ารกชัฏ จนตัวตึกปูนสีขาวดูจะกลับกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมแทนเสียเอง ทว่าก็ยังมีอีกหนึ่งอย่างที่น่าประหลาดใจ...ต้นไม้ทุกต้นในเขตรั้วบ้านนี้ล้วนอยู่ในกระถาง ตั้งแต่ดอกไม้ต้นจ้อยในกระถางดินเผาธรรมดา ไปจนถึงต้นไม้สูงใหญ่ที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ในบ่อดินก่อปูน...เรียกได้ว่าไม่มีปลายรากใดได้มีโอกาสลงดินโดยเสรี
และแล้วรถม้าก็ชะลอลง...หยุดสนิท
หญิงสาวในรถเปลื้องผ้าคลุมออก ย่างลงแช่มช้อย ชายกระโปรงยาวฟูสีส้มสดใสถูกเลิกขึ้นน้อยๆ รองเท้าส้นสูงทำจากหนังชั้นดีก้าวจรดลงบนพื้นดินอ่อนนุ่ม เธอยืนอย่างงามสง่าทอดสายตาไปยังอีกฝั่งของรั้ว มองชายเจ้าของบ้านที่กำลังโอบกอดลูบไล้เกลียวก้านดอกไม้ต้นหนึ่งอย่างลุ่มหลง...คล้ายจะคลุ้มคลั่ง...เหมือนอยู่ในความฝัน
พักหนึ่ง ชายร่างผอมก็หันมา สบตาเธอเข้าพอดี ริมฝีปากบางแห้งผากส่งยิ้มกว้าง พลางเอื้อมไปรวบผมสีเทาเป็นลอนให้เรียบร้อย ถอดแว่นมาเช็ดลวกๆ ก่อนจะผละจากกุหลาบสีแดงสดในกระถางนั้นมากุลีกุจอเปิดประตูต้อนรับ
“อ้าว ท่านหญิง...มาทำอะไรที่นี่เสียดึกดื่นล่ะขอรับ! เชิญๆ เข้ามาก่อน...” มือเปื้อนดินลากรั้วประตูไม้เข้ามา ลากผิวดินครูดเป็นทาง
เธอก้าวผ่านเชื่องช้า คอยระวังไม่ให้ชายผ้าเปรอะเปื้อนอยู่ในที ทว่าไม่เสียกิริยา “พอดี...ข้าแวะมาเยี่ยมเยียนท่านลุงน่ะค่ะ แต่ดันมาถึงกลางดึกซะนี่ ก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมท่านฟลันเซก่อนอย่างนี้แหละค่ะ” เสียงใสหัวเราะบางเบา “ข้าเดาไม่ผิดว่าท่านฟลันเซต้องยังไม่นอนจริงๆด้วย”
“อา...ข้าก็เป็นอย่างนี้แหละครับ” ชายหนุ่มตอบ หัวเราะเสียงแห้ง “พอมีเรื่องอะไรเข้ามาก็เผลออดนอนมันเสียทุกที ไม่รู้เป็นบ้าอะไร”
“จริงสินะคะ” หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน “ข้าก็ได้ข่าวว่าช่วงนี้ท่านเหนื่อยมาก...มีเรื่องเยอะแยะ...”
ดวงตาเหลือบมองดอกกุหลาบสีแดงในกระถางบนชั้นวางชิดขอบรั้ว
“จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อยน่ะขอรับ” ฟลันเซเดินโซเซกลับไปที่เดิม ไม่มีทีท่าแข็งขันอย่างเมื่อครู่ ดวงตาอิดโรยเพ่งมองกลีบสลับสีแดงเข้มนิ่งงัน ก่อนจะเริ่มไล้ปลายนิ้วตามขอบกลีบดอกอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มไร้สติปรากฏบนใบหน้าอย่างผู้ทรงภูมิ “แต่พอได้อยู่ใกล้ๆ ‘นาง’ แล้ว ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทำเอาข้าลืมวันเวลาตลอดเลยล่ะครับ...มัน...มหัศจรรย์จริงๆ”
หญิงสาวอมยิ้ม สังเกตกุหลาบนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะอุทานเสียงสูง
“เอ๊ะ...ท่านฟลันเซคะ”
“อะไรหรือขอรับ”
“ข้าว่า...ข้าคุ้นๆ ‘นาง’ อยู่นะคะ ถ้าข้าจำไม่ผิด นี่คือ...”
ชายร่างผอมหันขวับทันที ใบหน้าซูบเซียวนั้นดูซื่อๆ ทว่าดวงตาที่ถูกซ่อนไว้หลังแสงสะท้อนสีขาวบนเลนส์แว่นกลับอ่านไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด เขาถอนหายใจ ยกไหล่พลางหงายสองมือมาด้านหน้า
“ก็อย่างที่ท่านคิดนั่นแหละครับ นางเป็นงานของข้า...และนางก็มีความพิเศษ ข้าทนไม่ได้หรอกครับที่จะละสายตาไปจากนางเพียงเพื่อจะไปนอน แล้วต้องพลาดโอกาสที่จะได้เห็นการเติบโตที่มีแค่ครั้งเดียวในโลก อุตส่าห์ทุ่มเทแล้วทั้งที ข้าก็ต้องทำให้สำเร็จขอรับ ท่านหญิง”
“แต่กุหลาบแบบ...แบบนี้...เลี้ยงไว้ใกล้ชิดจะไม่เป็นไรหรือคะ”
ฟลันเซมองเธอนิ่ง รอยยิ้มปลาสนาการไปจากใบหน้า...ทว่าเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวสดสวยที่ราวจะเป็นห่วงเป็นใย เขาก็หัวเราะร่วน
“ท่านหญิง...ท่านอย่าได้กังวลไปเลย เพราะถึงอย่างไรกุหลาบก็เป็นแต่กุหลาบ จะกินคนหรือไม่มันก็คือกุหลาบ” มุมปากกระตุกนิดหนึ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบลง ก่อนช้อนมองใบหน้างดงาม “ไม่ว่าจะร้ายกาจแค่ไหน ลองให้อยู่ในกระถางแบบนี้ นางจะเอาดินที่ไหนไปงอกราก จะเอาเลือดที่ไหนมาสูบไปเลี้ยงกิ่งก้านงอกออกมากินข้า? ไม่มีหรอกครับ...”
ปลายนิ้ววนไล้กลีบละมุน หยอกยั่วเย้ากับหนามแหลมที่พร้อมจะกรีดชำแรกลิ้มรสเลือดได้ทุกเมื่อ มือเรียวยาวผละจากดอกและกิ่งก้านมากอบกุมกระถาง พลางสูดรับกลิ่นหอมอย่างเคลิบเคลิ้ม ราวกับหากโลกนี้มีเพียงเขาและกุหลาบต้นนั้น แล้วทุกสิ่งเสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ฟลันเซก็คงไม่สนใจ...
ครั้นตักตวงทั้งกลิ่นหอมและความงามจนพอใจ ดวงตาสีน้ำตาลจึงชำเลืองมองหญิงสาวนิดหนึ่ง อมยิ้มขบขันเมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทางเธอยังดูกลัดกลุ้มและหวาดระแวงไม่แปรเปลี่ยน...หวาดระแวงกับกุหลาบน้อยต้นเดียว
ชายหนุ่มหัวเราะหึ
“กุหลาบนี่ข้าศึกษาแล้วขอรับท่านหญิง...มันเกิดการผ่าเหล่า ทำให้ต้องการธาตุบางอย่างมากกว่าปกติ ยิ่งมาอยู่ในดินที่ขาดสารพวกนี้เป็นเวลานานยิ่งทำให้มันเปลี่ยนไปเร็วขึ้น พอมีเลือดมากระตุ้นนิดหน่อย ก็เลยรู้ว่ามีอาหารดีๆอยู่ใกล้ๆ มันจึงเร่งการเติบโตมาหาอาหารได้อย่าง...อืม...น่าอัศจรรย์”
น้ำเสียงของเขาเล่าเรื่องชวนสะพรึงอย่างกุหลาบปีศาจได้ดูธรรมดาอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงที่ชี้แจงนั้นทำลายความน่ากลัวจนหมดสิ้น นอกจากนี้ ยังทำให้หญิงสาวตระหนักได้อีกอย่าง ว่าแม้จะแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดอย่างนี้ แต่สติของผู้พูดยังอยู่ครบถ้วนมาตั้งแต่แรก...เพราะฟลันเซมีสติมากพอจะกล่าวถึงกุหลาบเช่นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เป็นแต่ต้นไม้ดอกไม้ ไม่ใช่หญิงสาว
“ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ข้ายังไม่รู้...แต่สิ่งที่รู้นั้นก็น่าจะมากพอสำหรับทางตำรวจเขาแล้วล่ะครับ...”
ฟลันเซบรรจงยกกระถางขึ้นจากชั้น ยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว จนตัวดอกนั้นแนบชิดกับเนินอกนวลเนียนที่โผล่พ้นคอเสื้อกว้างลึกมาเล็กน้อย กลีบกุหลาบสัมผัสผิวขาวนวล ดวงตากลมโตสีเขียวสว่างจ้องตอบด้วยความฉงน สองแขนกลมกลึงทิ้งลงข้างตัว ไม่เอื้อมมาปัดป้องหรือรับไว้แต่อย่างใด
“มันไม่อันตรายหรอกขอรับ ท่านหญิงลองถือนางไว้ดูก็ได้ จับที่กระถาง แล้วก้มลงมองใกล้ๆ...ลองมองความซับซ้อนของกลีบด้านในนั้นดูขอรับ แล้วท่านจะเข้าใจ” ชายร่างผอมแนะนำ ดวงตาหลังแว่นส่งสายตาอารี ไม่ได้รุกเร้าคุกคาม
หญิงสาวค้อมศีรษะลงพินิจกลีบสลับนั้น สองมือพลันขยับจะรับไว้ ทว่าฟลันเซกลับใจเร็ว...พลั้งปล่อยมือเสียก่อนที่นางจะทันจับไว้มั่น!
เครื่องดินเผากระแทกพื้นแตกกระจายดังเพล้ง สะเก็ดเล็กใหญ่กระเด็นไปทั่ว
ฟลันเซสวมกางเกงและรองเท้าหนังหนา จึงไม่มีบาดแผลใดๆ ทว่าหญิงสาวได้ย่อตัวลงตามยามมันร่วงหล่น ครั้นชิ้นส่วนกระถางนั้นกะเทาะแตกออก มันจึงกรีดกระโปรงบางส่วนขาดเป็นแนวยาว ชิ้นหนึ่งถึงกับกรีดลึกที่ต้นขา เรียกโลหิตให้ไหลรินซึมนอกเนื้อผ้า หยดบนกลีบดอกสดสวยเป็นทรงกลมสีแดงฉานกลืนกัน
ความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวต้องนั่งลง สองขาไขว้ราบบนพื้นไปคนละทาง น้ำตารินไหลจากหางตา เรียวปากสั่นระริก ลมหายใจขัดข้องยามสัมผัสบาดแผลบนเรือนร่างตนและเพ่งพิศคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนปลายนิ้วสั่นเทา
หากเธอไม่ส่งเสียง...ไม่พูดกระไร
“ท่านหญิง...เจ็บตรงไหนหรือเปล่าขอรับ?!” ฟลันเซร้องลั่น ทรุดกายลง มือหนึ่งล้วงหยิบชุดปฐมพยาบาลที่อยู่ในกระเป๋าเหน็บเอว อีกมือควานป่ายเปะปะตามตำแหน่งที่พบร่องรอยโลหิต เมื่อพบแล้วจึงเช็ดมือกับชายเสื้อตน แล้วเลิกผ้ากระโปรงสีส้มนั้นขึ้นสูง
...กลิ่นหอมจางเจือไอควันร้อนระอุแพร่คลุ้งในอากาศ...
ชายผ้าเลื่อนออกช้าๆ เรียวขาขาวสล้างค่อยเปิดเผยต่อสายตาของชายหนุ่ม ผิวพรรณผุดผาดซ่อนเร้นนั้นดึงดูดเร่งเร้า คราบเลือดที่รินหยดจากปากแผลเป็นสีแดงขับตัดสีผิวให้งดงามโดดเด่น ดวงตาสีเข้มนั้นเลื่อนขึ้นอีก ความคิดว่างเปล่า เหม่อมองเนินเนื้อใต้ผ้าผืนบางที่เร้ากายให้ร้อนซ่าน...เขานิ่งเช่นนั้นอยู่นาน พลางสูดกลิ่นเลือด กลิ่นอายสาว และกลิ่นกุหลาบที่คละคลุ้งอบอวลหอมรุนแรง จนสติพร่าพราย
ทุกสิ่งภายนอกล้วนดูไร้ความหมาย มีแต่โลหิตสูบฉีดรุนแรงในกายเท่านั้นที่เป็นความจริง
ฟลันเซยื่นปลายนิ้วแตะหยดเลือดที่อาบโคนขาด้านในอย่างไร้สติ มึนเมาไปกับความงามลึกลับต้องห้ามที่ครอบงำทุกเหตุผลด้วยความปรารถนาซ่อนเร้น ชายหนุ่มกดไล้ผิวนุ่มละมุน ลากบรรจบขอบผ้าชั้นในสุด ทิ้งรอยเลือดเป็นทาง ย้อนจากบาดแผลสู่ความเร้นลับที่สะกดปราการความคิดผิดชอบชั่วดีให้พังทลาย...
ทั่วร่างหญิงสาวสั่นระริก สัมผัสคุกคามที่เธอไม่ปรารถนานั้นทำให้รู้สึกหวาดหวั่น ทว่าไม่กล้าขยับ พลันนัยน์ตาก็เบิกกว้างยามรู้สึกถึงมือสากที่รุกรานแนบชิด หัวใจเต้นแรงเมื่อจินตนาการว่าปลายนิ้วของฟลันเซกำลังจะก้าวล่วงสู่ที่ใด เธออยากปัดป้อง อยากกรีดร้อง อยากกล่าวปฏิเสธ อยากหนีไปจากที่นี่ แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงราวกับเธอไม่ใช่เจ้าของเรือนร่างนี้อีกต่อไป
เธออยากจะร้องไห้ อยากให้น้ำตารินไหลออกมา แต่ก็กลับทำไม่ได้...
กลิ่นกุหลาบหอมประหลาดทวีความรุนแรงทุกขณะ หากชายหนุ่มไม่มีความรู้สึก ไม่รู้ว่าตนกำลังเคลื่อนไหวอย่างไร ไม่รู้กระทั่งว่าในยามนี้ตนอยู่ที่ไหน และปรารถนาจะหยุดการกระทำเช่นนี้ แต่เขาหยุดมันไม่ได้
สองขาที่คุกเข่าสัมผัสถึงกิ่งแข็งกร้านและหนามแหลมที่เกี่ยวสากครูดทิ่มแทงผิวทะลุผืนผ้า แต่กลับไม่สามารถขัดขืนหรือปัดป้อง เพราะทั้งร่างกลับถูกดูดกลืนหายไปจากความนึกคิดเสียแล้ว มีแต่จิตใต้สำนึกส่วนลึกที่สุดเท่านั้นที่ยังเป็นของเขา และมันกรีดเตือนลั่น ว่าหากยังปล่อยไปเช่นนี้ ชีวิตของเขาจะต้องถึงแก่คราวพินาศ
ประสาทสัมผัสทั่วกายชาด้านยามกิ่งกุหลาบพันกระหวัดรวดเร็ว มันรัดรอบท่อนขาและลามเรื่อยถึงลำตัว หนาแน่นจนดูเหมือนเป็นดักแด้ขนาดยักษ์ ความอึดอัดที่เกิดขึ้นทำให้ฟลันเซเบิกตาโพลงด้วยความตระหนก เจ็บปวดกับแรงรัดและหนามแหลมที่เสียดแทงไปครึ่งร่าง ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ปรารถนาจะดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง แต่ทันทีที่คิดเช่นนั้น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากเถากุหลาบและกลิ่นหอมอวลก็กลับถาโถมจนศีรษะมึนพร่า
ฟลันเซรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในภาวะอันตรายน่าพรั่นพรึง...หากอีกใจกลับจมดิ่งไปกับความหฤหรรษ์ที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
กล้ามเนื้อเหยียดคลายและหดเกร็งสลับกันในชั่วเวลาไม่กี่วินาที ร่างของฟลันเซสั่นกระตุกจนดูเลือนไปจากสายตา ขณะที่กิ่งกุหลาบก็เลื้อยรุกรานเงียบเชียบ กลืนกินอวัยวะทีละส่วน ขา สะโพก เอว อก ลามมาถึงคอ กรีดหนามและหยั่งรากชำแรกลึก ดูดกลืนโลหิตหยดแล้วหยดเล่าจนสีผิวเริ่มเหือดจาง...และไม่นาน กิ่งอันแห้งแล้งก็ผลิใบใหม่รวดเร็วน่าอัศจรรย์
กุหลาบและร่างกายของชายหนุ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว...ความคิดของฟลันเซจางลงทุกขณะ เขาไม่รู้อีกต่อไปว่าตนคือมนุษย์หรือสิ่งใดกันแน่ ไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ไม่รู้ว่าอะไรคือตน อะไรเป็นอื่น กำแพงกีดกั้นในสายตาของเขาล้วนทลายราบ โลกทั้งใบไร้ความแตกต่าง ไม่มีอะไรดี อะไรชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหลอมรวมสู่จุดกำเนิดแห่งความไม่มี
ความตระหนักอันกระจ่างแจ้งนี้ทำให้ความสุขล้นแผ่ซ่าน หลงลืมความจริงภายนอกทั้งมวล หลงลืมทุกสิ่ง...ยามนี้วิญญาณของเขาใกล้จะหลุดลอย ทว่าเขาไม่สนใจ ด้วยมันเป็นแต่สิ่งเล็กๆในความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีเรื่องราวอีกมากให้แสวงหา...
ตุ่มดอกเล็กแข็งเสียดทะลุรูม่านตา น้ำใสซึมเยิ้ม มันเหยียดก้านขืนตรงผงาดสูง ก่อนที่ตุ่มดอกสีเขียวนั้นจะค่อยเติบโต และผลิบานแช่มช้อย เป็นกุหลาบสีแดงอันงดงาม
พลันเรียวปากสีชมพูสดก็คลี่ยิ้มในความมืด
หญิงสาวยืนขึ้นผละจากร่างแน่นิ่ง แล้วก้าวออกจากประตูบ้าน เธอสลัดกระโปรงเล็กน้อย ก่อนก้าวเข้าไปในรถม้า นั่งไขว่ห้างเหยียดขาบนเบาะนุ่ม เบือนหน้ามองอาคารหลังอื่น ระหว่างนั้น ชุดกระโปรงสีส้มฟูฟ่องที่ขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนค่อยหลอมคืนสู่สภาพเดิม ส่วนบาดแผลลึกก็จางหายไปช้าๆ จนไม่เหลือร่องรอย
ความกังวลครอบงำความคิดหญิงสาวแวบหนึ่ง...แต่แล้วความอิ่มเอมสมใจบางประการก็เข้ามาแทนที่
เธอเงยศีรษะขึ้นมองหลังคารถ หลับตาลง
ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากจะทำแบบนี้ แต่เพราะเธอมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องรีบกำจัดฟลันเซเสียก่อนที่เขาจะบอกข้อมูลทั้งหมดให้กับใครคนไหน ไม่อย่างนั้นในอนาคตเธอคงต้องลำบากขึ้นมาก...หญิงสาวยอมรับว่าครั้งนี้เธอผิดจริง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเธอได้ก้าวมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับเสียแล้ว
หยาดน้ำอุ่นใสไหลรินจากขอบตา ลมหายใจติดขัดยามทรวงอกสะอื้นแผ่วเบา หญิงสาวกัดฟันแน่น เกร็งจิกปลายเล็บกับเบาะหนังจนขาดเป็นรู ก่อนจะกรีดเสียงแห่งความรวดร้าว...ยาวนาน...
ทว่าในที่สุด...ริมฝีปากสีชมพูสดก็ค่อยคลี่ยิ้มเหยียดเยาะ เสียงใสแค่นหัวเราะแผ่วเบา
ล้อรถเคลื่อนขยับเชื่องช้า
และม่านบางก็ค่อยรูดปิดลง
"เจ้าเรียกข้ามาทำบ้าอะไรตอนนี้" อิซาค วาฟเฟนชมิดท์ คำรามอย่างหัวเสีย
เวลากลางดึก เขากำลังหลับเป็นตายเนื่องจากเพิ่งเรียกซ้อมรบใหญ่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะพักผ่อนโดยไม่กังวลเรื่องงาน แต่แล้วขณะที่กำลังหลับสนิท กำแพงห้องนอนก็กลับถูกกิ่งไม้ใหญ่ตวัดฟาดเข้า! ทั้งห้องสั่นแกว่งราวกับเกิดแผ่นดินไหว เตียงใหญ่เลื่อนเอนมานิดหนึ่ง ส่วนโคมไฟตั้งพื้นที่มุมห้องนั้นเอนล้มลงมาแตกกระจาย และนั่นก็มากพอจะทำให้อิซาค วาฟเฟนชมิดท์ จำต้องตื่นขึ้นมาอีกหนหนึ่ง
ทันทีที่รู้สึกตัว นายทหารหนุ่มก็รีบสวมชุดลำลองสีดำสนิท ก่อนจะเดินลัดเลาะหลบสายตาเวรยามของตนไปยังสวนหลังบ้าน และก็พบกับคนที่กล้าพอจะท้าทายเขาด้วยวิธีพิสดารเหนือมนุษย์แบบนี้
ชายร่างผอมผมสีเทาสั้นเกรียนสวมชุดทหารหลวมโพรก นั่งขัดสมาธิอยู่กลางสวนโล่งที่มีห้องเก็บของเล็กๆอยู่ตรงมุมกำแพง ถุงมือหนังสีดำที่ใส่เป็นประจำเหน็บอยู่กับขอบเข็มขัด มือเปล่าทาบลงกับพื้นหญ้าพลางกระดิกปลายนิ้วช้าๆ
ใบหน้าซีดเซียวแย้มรอยยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะบอกข่าวสำคัญ
"ท่านวาฟเฟนชมิดท์ ตอนนี้ข้าตายไปแล้วขอรับ"
เขาเงียบไป
"อะไรนะ"
"ท่านยังจำได้ใช่ไหมขอรับ ว่าที่แวร์ฟาเรนมีข้าอยู่..." วัลเดอมาร์พูดช้าๆ
อิซาคขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างเคลือบแคลง
เรื่องราวประหลาดพรรค์นั้น ใครมันจะลืมลง
เมื่อสองปีก่อนที่เกิดคดีใหญ่ ฟรีดริช ไอน์ฟัล ผู้เป็นบิดาของพี่น้องสาวงามหายตัวไป อิซาคกำลังจะกลับบ้าน ทว่าระหว่างทางมีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาตัดหน้า...ชายร่างผอมสวมแว่นกระโดดลงจากรถม้านั้น อุ้มร่างโชกเลือดของขุนนางหนุ่มคนสนิทของท่านไอน์ฟัลวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางร้อนรน
ชายคนนั้นออกตัวว่าชื่อวูร์เซล ฟลันเซ เป็นอดีตนักเรียนแพทย์ เขาอยู่ที่เมืองวีร์ลิชพอดีเมื่อขุนนางผู้นี้ถูกยิงเข้าที่หน้าอก พยายามจะช่วยแล้วแต่ไม่ได้ จึงเดินทางกลับมาเดรฮาโดยหวังว่าจะขอความช่วยเหลือ
'แล้วทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่...นี่ไม่ใช่ทางผ่านจากวีร์ลิชไปโรงพยาบาลเดรฮา' อิซาคแย้งเสียงเข้ม เรื่องเล่าของวูร์เซล ฟลันเซ เป็นจริงแค่ส่วนของประวัติ เพราะนายทหารหนุ่มได้ข่าวอดีตนักเรียนแพทย์ที่ทิ้งอาชีพตนไปอยู่บ้าง แต่เรื่องราวอื่นๆที่ฟลันเซเล่ามานั้นหาความสมเหตุสมผลไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
อิซาคขมวดคิ้ว อังปลายนิ้วเข้าที่จมูกของร่างโชกเลือด เพ่งมองใบหน้าที่มีรัศมีความฉลาดเฉลียว 'เขาตายแล้ว เปล่าประโยชน์ เจ้าทิ้งเขาไว้ให้ข้าจัดการต่อดีกว่า ไปได้แล้ว'
แต่ฟลันเซกลับยังคงไม่ขยับ ดวงตาสีน้ำตาลหลังแว่นฉายแววกร้าว 'ข้ารู้ขอรับว่าเขาตายแล้ว และข้าไม่ได้จะพาเขาไปโรงพยาบาล'
อิซาคเลิกคิ้ว ตัดสินใจออกปากถามตรงๆ
'แล้วเจ้าต้องการอะไร'
ในวินาทีนั้นเอง...รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มที่แฝงความนัยมืดมนก็ปรากฏขึ้น เรียวปากที่แสยะยิ้มนั้นยังคงตราตรึงในความทรงจำของเขาอยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่ตอนนั้นมันออกจะแฝงความเครียดเกร็งบางประการอยู่
'ถ้าท่านช่วยพาข้าไปที่บ้านท่าน และหาห้องลับให้สักห้อง...ข้าจะช่วยท่านทุกวิถีทางที่ข้าทำได้ ทุกๆอย่าง...'
ชายหนุ่มหรี่ตา 'แล้วเจ้าทำอะไรได้'
'พาข้าไปที่บ้านท่านก่อนขอรับ แล้วท่านจะได้เห็น'
ตอนนั้น...ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงยอมตกลงช่วยเหลือ พาฟลันเซขึ้นรถไปที่บ้านของตน จัดห้องเก็บของกลางสวนหลังบ้านให้ก่อนชั่วคราว ฟลันเซบรรจงวางร่างขุนนางหนุ่มบนพื้นปูนกลางห้องมืด แล้วถอดเสื้อของศพออกเช็ดคราบเลือดจนหมด ก่อนจะนอนลงข้างกัน
อิซาคยืนกอดอกมองที่หน้าประตู เห็นฟลันเซหลับตาลง สงสัยและหงุดหงิด ทว่ายังคงรอ
และทันใด...กระสุนปืนที่ฝังอยู่ในร่างนั้นก็ถูกดันออกมากลิ้งอยู่บนแผ่นอก ก่อนจะปรากฏลวดลายสีเขียวใบไม้สานกันเป็นผืนเดียว ทาบลงปิดรูนั้นจนสนิท ดูไม่ต่างจากรอยสักสีเขียวลายลัญจกร...พลันดวงตาสีน้ำตาลของขุนนางหนุ่มก็เบิกโพลง!
ใบหน้าอ่อนเยาว์แสยะยิ้มที่เหมือนกับฟลันเซทุกประการ
'ข้า...ข้าขอบคุณมากครับท่านวาฟเฟนชมิดท์' ศพพูดได้รีบชี้แจงระหว่างที่เขายังคงตื่นตะลึง 'ถ้าท่านมีอะไรที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ให้ข้าช่วยได้ทุกเมื่อนะครับ ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ'
เวลานั้น อิซาคนิ่งไปพักใหญ่ - เขายอมรับว่าตัวเองกำลังตกใจกับความแปลกประหลาดที่อยู่ตรงหน้า แต่มันไม่มีประโยชน์ ซ้ำยังมีคำถามหนึ่งที่ติดค้างอยู่
'ฟลันเซ ทำไมเจ้าจึงต้องการให้ข้าช่วย?'
'เพราะข้าเห็นว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์' ฟลันเซในร่างขุนนางหนุ่มกล่าว 'ท่านอาจจะไม่ใช่คนมือสะอาด แต่ท่านไม่เคยทรยศใคร ท่านมีความสามารถและอำนาจมากพอจะปิดเรื่องของข้าให้เป็นความลับ และความช่วยเหลือจากข้าน่าจะมีประโยชน์กับท่านในอนาคต ไม่มากก็น้อย'
'...ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีแต่ข้า วูร์เซล ฟลันเซ บอกมาดีกว่าว่าเจ้าต้องการอะไร...ถ้าเจ้าไม่ตอบ ก็อย่าหวังน้ำใจจากข้า การปิดบังไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ไม่เคยให้ผลดี'
'ถ้าท่านอยากจะอยู่ใกล้ใครสักคนที่เหมือนท่าน อยากจะติดตามความเคลื่อนไหวของเขา แต่ถ้าท่านมีตัวตนจริง และมีแต่ท่านเพียงลำพัง ท่านจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น...นั่นแหละขอรับเหตุผลของข้า'
อิซาคไม่เข้าใจ
'แล้วคนที่เหมือนเจ้านั่นน่ะ คือใคร'
'สองพี่น้องตระกูลไอน์ฟัล – บุตรีของท่านฟรีดริช...อย่างไรล่ะขอรับ'
คำตอบที่ได้รับทำให้รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
ไม่ว่าชายหนุ่มจะเพียรถามเกี่ยวกับความเหมือนนั้นอย่างไร ฟลันเซก็ไม่ตอบ บอกเป็นนัยแต่เพียงว่า เขาเป็นอย่างไรนางทั้งสองก็เป็นอย่างนั้น อิซาคได้แต่ครุ่นคิดสงสัย เพราะในสายตาของเขา ชายคนนี้ก็เป็นแต่คนแปลกที่มีความรู้ดี และน่าจะมีประโยชน์กับเขาในอนาคต เรื่องประหลาดที่ใช้ร่างคนตายเป็นของตนได้นับเป็นรอง และถ้าสองพี่น้องตระกูลไอน์ฟัลจะมีความสามารถแบบนี้บ้าง เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะเดือดร้อนอะไร
เวลานั้น อิซาค วาฟเฟนชมิดท์ นายทหารหนุ่มอนาคตไกล ไม่ได้รู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะมาเยือน...
"เจ้าหมายความว่า...นางไปที่แวร์ฟาเรน" ต่อจากนี้ไปคงไม่ต้องสงสัยอะไรอีก เว้นแต่ว่า...เรื่องนี้เป็นความจริง หรือเป็นเพียงสิ่งที่วัลเดอมาร์พยายามจะใช้เพื่อต่อรองกับเขาอีกครั้งหนึ่งกัน
"ขอรับ และท่านผู้นั้นกำลังจะกลับมาที่นี่" ปลายนิ้วผอมเกร็งจิกลงกับพื้นดินแน่นเพื่อระบายอารมณ์รุนแรงที่กำลังพุ่งทะยาน ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มลึกลับเริ่มมีเค้าเคร่งเครียด "ก่อนจะได้ข่าววันพรุ่งนี้ ท่านอยากจะได้หลักฐานยืนยันสักนิดไหมล่ะขอรับ"
อิซาคชั่งใจ...ไม่ตอบ แต่ก้าวเข้าหาคนตรงหน้าอีกก้าวหนึ่ง วัลเดอมาร์ถอนหายใจรุนแรงก่อนจะส่ายศีรษะ วางฝ่ามือทาบกับพื้นแล้วกะน้ำหนักเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดชกลงไปในพื้นนั้น จมลึกลงไปเกือบถึงข้อศอก แล้ววาดแขนขยับจนผิวดินกระเพื่อมเป็นคลื่นน้อยๆไม่ต่างกับยามเอื้อมลงควานหาของที่อยู่ใต้น้ำ
ท่อนแขนผอมฝืนกระชากออกจากพื้น ดึงให้สะเก็ดดินละเอียดกระเด็นตามออกมา ในมือของเขากำแว่นสายตาหักพังที่ฉาบด้วยคราบเลือดจางๆ ดวงตาสีน้ำตาลหลุบมองเลนส์กระจกที่แตกร้าว เขาหลับตาลงก่อนจะยื่นมือมาด้านหน้า ชูแว่นอันสำคัญนั้นให้อิซาคหยิบไปตรวจดู รอยยิ้มมีเลศนัยหายไปจากใบหน้า เขาพูดเสียงสั่น
"ข้าอยากรู้ว่าท่านผู้นั้นฆ่าถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะปล่อยให้เขา...ท่านจะยังยืนยันใช้วิธีถูกต้องต่อไปอีกไหม"
คำถามนั้นตอกให้อิซาคชะงัก
"ใช่...ข้าจะใช้หลักฐานทุกอย่างทำให้นางต้องยอมรับความผิดของตน มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ถูกผิดได้...เพราะถ้าข้าทำอย่างที่ข้าเคยทำ สุดท้ายแล้ว ข้าไม่เห็นว่ามันจะได้อะไรนอกจากศพอีกศพหนึ่ง กับความจริงที่หายไปตลอดกาล ข้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น"
"ให้ข้าฆ่านาง" วัลเดอมาร์สวนกลับเสียงแข็ง ดวงตาที่เคยดูลึกลับฉายแววสงบนิ่ง...หากทอประกายกร้าว "ถ้าท่านจะปล่อยไปแบบนี้ ต่อไปนางจะฆ่าอีก นางฆ่าปิดปากได้ ทั้งที่คนคนนั้นแทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของนางเลย ท่านคิดว่าถ้านางมีปัญหาจริงๆขึ้่นมา คนที่จะต้องตายจะมีอีกเท่าไหร่ นางอาจจะฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อใช้ขู่ศัตรู หรืออาจจะทำอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น...ท่านจะรับผิดชอบตรงนี้ได้หรือขอรับ"
"ข้ายังยืนยัน อย่าฆ่านาง ถ้าเจ้าข้านาง แล้วเจ้าจะต่างอะไร..."
"ข้าไม่สน!"
อิซาคนิ่งไปทันใดเมื่อวัลเดอมาร์ตะคอกใส่ นายทหารหนุ่มไม่เคยคิดว่าคนตรงหน้าจะมีวันระเบิดอารมณ์ออกมาได้ เขาตัดสินใจจะเงียบ จะฟัง...แน่ใจแล้วว่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ มีสิ่งที่ทำให้วัลเดอมาร์สูญเสียความเยือกเย็น เขาไม่เคยเห็นชายร่างผอมจ้องด้วยสายตาอาฆาตแค้น ไม่เคยเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวรุนแรงเช่นนี้...คนแบบนี้ชี้แจงเหตุผลไปคงไม่เกิดประโยชน์อันใด
อิซาคข่มความรู้สึกทุกอย่างลงไป เขาหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ทำลายความเงียบชวนกดดันที่กำลังแผดเผาในใจตน เลือกเอาถ้อยคำบาดลึกมาใช้ตอบโต้อารมณ์ของผู้ใต้บัญชาด้วยข้อสันนิษฐานที่เริ่มตกผลึกในความคิด
"เจ้าไม่สน...แล้วทำไมเจ้าไม่ฆ่านางตั้งแต่แรก เจ้าคงไม่ต้องถึงกับปล่อยให้ตัวเองตายแล้วค่อยมาขออนุญาตข้าหรอก จริงไหม?"
วัลเดอมาร์ไม่ใช่คนซื่อตรง...อิซาคแน่ใจ ถ้าทำได้วัลเดอมาร์ย่อมทำไปแล้ว ยิ่งถ้าอีกร่างหนึ่งสำคัญขนาดนั้น เขาคงไม่ยอมสูญเสียมันไปง่ายๆ
"นอกจากว่า..."
นายทหารหนุ่มใช้ความเงียบบีบคั้น ชายหนุ่มจ้องหน้าวัลเดอมาร์ที่กำลังขบกรามเป็นสันเกร็ง ร่างนั้นสั่นเทาราวกับกำลังหวาดกลัว ราวกับกำลังพ่ายแพ้
อิซาคถอนใจ ทั้งยินดีและหวั่นกลัวระคนกัน นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เขารู้สึกว่าตนเหนือกว่าชายผู้นี้ แต่ความเหนือกว่านั้นมาจากความตาย เขารู้ดี และนั่นทำให้ความกลัวเริ่มแล่นวาบ เพราะถ้าความสามารถของวัลเดอมาร์ยังสู้ไม่ได้ อย่างนี้แล้วนางจะร้ายกาจเพียงใด...เขาไม่อยากจะนึกฝัน
"ถ้าข้า..." วัลเดอมาร์เอ่ยขึ้นในที่สุด มีเค้าความลังเล ทว่าจุดหมายของเขายังไม่ถูกโน้มน้าวเปลี่ยนไป "ถ้าข้าได้มีโอกาสอีกครั้ง...ถ้าท่านให้ข้าฆ่านางได้..."
"แต่ถ้าเป็นตอนนี้ เจ้าก็รู้ตัวดี ว่าเจ้าฆ่านางไม่ได้"
"ให้ข้าพิสูจน์ไหมล่ะขอรับ" ชายร่างผอมเงยหน้า ก่อนผุดลุกยืนขึ้น ปัดเศษหญ้าเศษดินออกไปจากตัว ในมือยังคงกำแว่นสายตาไว้มั่น "ให้ข้าได้ลองอีกสักครั้ง ข้าต้องทำได้"
ลองอีกสักครั้ง...อิซาคมองคนตรงหน้าพลันก็รู้สึกหวาดกลัวความมุ่งมั่นที่เริ่มผิดเพี้ยนไปจากที่ตั้งใจ เขารู้แล้วว่าวัลเดอมาร์ต้องการอะไร แต่ถ้าจะทำอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าต้องผ่านความเลวร้าย ต้องใช้เส้นทางเดียวกับ 'นาง' หรอกหรือ...เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกของวัลเดอมาร์รุนแรงเพียงใด ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่เห็นทางออกอื่นอีก ความสำเร็จของเขาอย่างไรก็ต้องอาศัยวัลเดอมาร์ ถ้าชายร่างผอมมีสภาพเช่นนี้แล้ว ก็คงยากจะแก้ไข
ความรู้สึกของอิซาคชั่วขณะหนึ่งบอกว่า นี่เป็นอีกครั้งที่เขากำลังจะตกเป็นเครื่องมือของวัลเดอมาร์ เขาต้องต่อสู้ เขาจะยอมให้ผู้ใต้บัญชาทำตามใจชอบไม่ได้โดยเด็ดขาด มันผิด...มันผิดต่อความคิดของเขาและจุดมุ่งหมายทั้งหมด ไม่ว่าวัลเดอมาร์จะทำสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่ควรจะเลือกใช้วิธีแบบนี้
แต่แล้วจะทำอย่างไรได้หรือ?
"ตอนนี้...ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าฆ่านาง" อิซาคยื่นคำขาด "ช่วงนี้ข้าจะคอยดู ไม่ให้นางได้มีโอกาสฆ่าคนอีก ต่อจากนี้ไปถ้าไม่มีใครตายเพิ่มเพราะนาง ขอให้เจ้าทำอย่างเดิม...หาหลักฐานทุกอย่างที่คนทั่วไปจะเชื่อได้ บอกข่าวกับข้า และทำตามที่ข้าสั่ง...แต่ถ้านางยังฆ่าคน ให้เจ้ารีบมาบอกข้าว่าวิธีการของเจ้าคืออะไร แล้วข้าจะจัดการให้...เข้าใจไหม"
ทันทีที่กล่าวจบ นายทหารหนุ่มก็หันหลังเดินออกไป ทิ้งวัลเดอมาร์ให้จมอยู่ในเปลวไฟแห่งอารมณ์ที่กำลังเผาผลาญ ชายในชุดทหารหลวมโพรกยืนมอง มือเปล่ากำแว่นแตกหักจนเลนส์กระจกเสียบลึกในผิวเนื้อ ทว่าไม่มีเลือดไหลรินออกมาจากบาดแผล...เช่นเดียวกับที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แม้ภายในจะเอ่อท้นด้วยอารมณ์มากมายเพียงใด
เขาตาย...เขาถึงกับตาย...ความรู้สึกนี้ยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ความตายนั้นเจ็บปวดแสนสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตายในพื้นที่ที่ตนควบคุมได้ ทั้งที่ตนน่าจะเหนือกว่า แต่ทำไมจึงกลับถูกนางสะกดจนไม่มีแม้แต่ความคิดจะต่อต้านเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มเดินกลับไปในห้องเก็บของ ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นปูนที่เต็มไปด้วยฝุ่น สวมแว่นสายตาหักพัง พลันก็หลับตาลง จมสู่ความมืดมิดอันเดียวดาย
ตอนนั้น...เขาเคยเรียนแพทย์ พอจะรู้ตำราเกี่ยวกับความตายของมนุษย์อยู่บ้าง มีคนกล่าวว่า คนใกล้ตายจะรู้สึกผ่อนคลาย จะสบาย เมื่อตายไปแล้วทุกสิ่งก็จะดับสิ้นลง ตัวตนจะสิ้นสูญไป และนั่นก็คือจุดจบสำหรับโลกใบนี้
และเมื่อตอนที่เขาตาย...เขาก็รู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสบาย ทุกสิ่งดับสิ้นลง ตัวตนสิ้นสูญไป
ทว่า นั่นไม่ใช่จุดจบ
วัลเดอมาร์เคยคิด...ฟลันเซเคยคิด...ว่าถ้าเขาละทิ้งความสามารถของตัวเองไปเรียนวิชาแพทย์จนจบคงจะทำประโยชน์อะไรกับผู้คนได้มากกว่านี้ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยความรู้สึกที่ขัดกันกับความเป็นจริง ความจริงที่ว่าตำราไม่สามารถอธิบายทุกสิ่ง ในเมื่อเขารู้เรื่องราวมากมายที่ขัดแย้งกับคำของอาจารย์ ซ้ำยังไม่สามารถอธิบายยืนยันได้ รู้แต่ว่ามันจริง ใครเล่าจะทนรับต่อไปไหว...หากเขาจะเรียนต่อไป ก็เท่ากับปฏิเสธตัวตนของตนเอง...เขาไม่อยากสูญเสียตัวตน
...และตอนนี้ เขาก็ได้สูญเสียมันไป...เขาสูญเสียโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตในฐานะฟลันเซไปแล้ว เขาไม่มีโอกาสจะพูดคุยกับคนสำคัญของตนอีก โลกนี้ไม่มีตัวตนของเขาอีกต่อไป เขาตายไปแล้ว
ความเจ็บปวด...ความทุกข์ทรมานท่วมท้นในยามนี้ วัลเดอมาร์ไม่มีวันให้อภัย จุดหมายในชีวิตของเขาจบสิ้นลงแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่...วินาทีนี้เขาอยากตาย แต่กลับไม่รู้กระทั่งวิธีจะคร่าชีวิตตนเอง ร่างนี้ตายไปแล้ว เช่นนี้จะตายอีกได้อย่างไร
ม่านตาสีน้ำตาลลืมมองความมืด กำหมัดแน่น ก่อนจะเอื้อมมาสัมผัสกรอบแว่นที่แทบไม่เหลือสภาพบนดั้งจมูก กล้ำกลืนทุกความลังเลและจิตสำนึกอันไร้ความหมายลงไป
...เขายังมีโอกาส...
ขอแค่มีวันนั้น ขอแค่เขามองนางไม่ผิดไป ถ้าสิ่งที่คิดนั้นถูกต้อง ต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีวันแพ้ เพื่อสิ่งที่เขาต้องการ...ไม่ว่าจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพชเพียงใด เขาก็จะทำ!
คุยกันสักนิด:
สวัสดีเจ้าค่ะทุกท่าน...คุยกันท้ายตอนครั้งแรกเลยนะเนี่ย >w<
สำหรับช่วง 6 ตอนที่ผ่านมาของนิยายเรื่องนี้ คนเขียนขอแบ่งเป็นสองส่วนแล้วกันนะ ส่วนแรกคือช่วงที่เขียนก่อนเปิดเทอม เขียนโดยไม่รู้อะไรเลย (ตอนที่ 1-4) ส่วนที่สองคือช่วงที่เขียนระหว่างเปิดเทอมซึ่งเป็นการดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง (5-6)
สารภาพเลยว่าช่วงแรกนี่เขียนด้วยอารมณ์หลั่นล้า(เรอะ?) ทุกอย่างสวยงาม ชีวิตอาเดลก็เท่เหลือเกิน เลยพยายามพาดพิงเยอะๆ มันน่าสนุกดีจะตาย!
…แต่และแล้ว ความคิดคนเขียนก็เปลี่ยนไป...โทนเรื่องตอน 5-6 เลยเริ่มเบนนิดหน่อยค่ะ โลกนี้มันไม่มีอะไรสวยหรูอย่างที่คิด สุดท้ายบทของคุณฟลันเซเลยเด่นขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกนู้นนนนไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำไงได้นะ (ฮา)
ที่ผ่านมาคนเขียนต้องขอโทษด้วยค่ะที่รีไรท์ตลอด ดองตลอด...ตอนนี้ซึ้งแล้วว่าชีวิตเราไม่ได้มีโอกาสขนาดนั้น (ดูจากลักษณะการดองของเรื่องนี้น่าจะพอเข้าใจ-__-“) ขืนเรียนจบไปนิยายยังไม่จบนี่คงค้างไปงั้นตลอดกาลชัวร์ๆ
ดังนั้น ขอลุยแล้ว...เป็นไงเป็นกันค่ะ! 555
ป.ล. มีอะไรอยากบอกเล่าติชม รู้สึกยังไงกันบ้าง มีประเด็นอะไรแหม่งๆ หรือเดาอะไรไว้...เชิญได้เลยนะคะ^ ^ คนเขียนยินดีเสมอจ้า (จะกระโดดกอดด้วยเลยเอ้า!)
ความคิดเห็น