ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nueve Cuatro Tres!

    ลำดับตอนที่ #6 : Tales from Reverie 2: จดหมายจากแดนไกลกว่า กับ...? 1.0

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 51


    *คำเตือนประจำตอน: 39
    (สำหรับผู้ไม่ชำนาญด้านตารางธาตุของคุณเมนเดเลเยฟ: Y)
    ____________________________________________________________________

                บรรยากาศมหานครเนฟัลธอสกลับเข้าสู่สภาวะปกติในทันทีที่งานเฉลิมฉลองแขกบ้านแขกเมืองจบลงด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุขและน้ำตาแห่งความปีติ เมื่อวานนี้สภาพความตื่นตระหนกของท่านเจ้าเมืองเป็นที่เฮฮาอย่างมาก แถมมีรูปถ่ายเก็บไว้พร้อม ด้วยน้ำมือของนักข่าวสาวผมสีชมพูแปร๊ดที่พยายามทำตัวเป็นปาปาราซซี่...หนึ่งในกลุ่มธิดาราตรี


                และบัดนี้ รูปเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้รับการนำไปติดบอร์ดประจาน เอ้ย
    ! ประชาสัมพันธ์หน้าประตูปราสาทโดยฝีมือของคนถ่ายรูปนั่นเอง เป็นโชคดีของท่านดยุคที่ไม่ค่อยมีใครย่างเท้าเข้ามาในเขตชั้นหนึ่งนัก เว้นสายตาของบรรดานักบวชประจำวิหารที่จำต้องทนมองไปพลางๆ


                ไม่ใช่ว่าศาสนาหลักของเนฟัลธอสจะห้ามความรักในเพศเดียวกัน แต่ฉากชวนสะท้านของท่านเจ้าเมืองกับที่ปรึกษาที่อุตส่าห์หลุดออกมารูปหนึ่งนั้นไม่อาจทำใจได้...นับ่ว่าโชคดีอย่างยิ่ง ที่คนนอกเขตชั้นหนึ่งไม่ต้องทนเห็นภาพอันน่าอนาถตายามท่านที่ปรึกษาซัดลูกบอลไฟฟ้าเข้ากลางหน้าผากท่านดยุคจนสลบเหมือด เขาจึงต้องรับผิดชอบ ด้วยการถูกบังคับให้ไปนอนเฝ้าไข้เป็นการส่วนตัวทั้งวันทั้งคืน

     

              ...จนรุ่งเช้า


                วันนี้เป็นวันพุธที่
    2 เมษายน สถานราชการชั้นสองเปิดทำการตามปกติ หากยามเช้าตรู่แบบนี้ บริเวณดังกล่าวของจรูญจรัสนครก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองร้าง


                ทว่าแม้ในยามตะวันยังไม่ส่อง ไก่ยังไม่ขัน ท่านที่ปรึกษาคนงามก็สะดุ้งตื่นตรงตามเวลาด้วยเคยชิน ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะพยายามขยับห่างจากคนที่กอดตนแน่น แม้จะทำได้อย่างยากลำบากเพราะแขนของท่านเจ้าเมืองนั้นอุดมด้วยกล้าม จะดิ้นแรงขนาดไหนก็ไม่มีทางหลุดออกมาโดยเจ้าของแขนไม่ตื่น


                ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ยังคงพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมพระพาหา แต่โอกาสสัมฤทธิ์ผลนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ จากนาฬิกาชีวภาพ เวลานี้น่าจะประมาณสี่นาฬิกาหน่อยๆ ถ้าคนข้างๆยังกอดเขาหมับไม่ปล่อยแบบนี้ ทั้งปราสาทอาจเข้าสู่กลียุคได้


               
    "ปล่อยผมเถอะครับ..." ตัดสินใจเข้าสู่บทอ้อนวอนร้องขอชีวิต ร่างบางหันไปซุกอกร่างที่บางเหมือนกันแต่หนากว่าหน่อยแล้วเงยหน้าขึ้นกระซิบ "เวย์นครับ ได้เวลาตื่นแล้วนะ"


              "โลชา...อย่าปายจากช้าน~"


                เสียงตอบกลับที่เหมือนเรียกชื่อตนในอ้อมแขนตามด้วยสิ่งที่เหมือนจะตัดตอนมาจากเพลงสักเพลงทำเอาที่ปรึกษาชักเครียดกว่าเก่า ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์กล้าเรียกชื่อเล่นเขาออกมาได้ยังไง ถึงจะนอนเตียงเดียวกันเพราะถูกคุณพ่อมดผู้แสนดีจับมาไว้ในสภาพนี้อีกเป็นคืนที่สอง แต่เขา อเล็กเซย์ ไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรถึงขั้นจะ 'ขึ้นเตียง' แล้วอนุญาตให้อีกฝ่ายร้องเรียกชื่อเล่นตนแบบนี้...จริงๆนะ

     

                คิดแล้วก็ขัดเอง จริงหรือที่เขาไม่ได้พิศวาสนายเบลเซบ? ในเมื่อก็ยังปล่อยให้มันกอดอย่างสุขสบาย แถมไม่อยากจะปลุกตื่นก่อนเวลาเสียด้วย ถ้าเป็นคนอื่นทำแบบนี้ หัวใจคงได้หยุดเต้น สมองหยุดทำงานไปนานแล้ว


                นอนนิ่งสับสนในตัวเองอยู่ราวห้านาที

     

                สายตามองเหม่อ ท้องนภาดำมืดที่มองผ่านม่านกั้นเตียงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินสว่าง อรุณรุ่งที่คืบคลานเข้ามาทำให้เริ่มกระวนกระวายใจ...เพราะมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดเร็วๆนี้


                โครม
    ! "อุ้ก!"


                ลางสังหรณ์ช่างแม่นเป๊ะเสียนี่กระไร...คราวนี้ใครร่วงหล่นลงจากสรวงสวรรค์มาที่นี่


                คนนอนไม่รู้เรื่องพลิกตัวไปทางขวา ทำให้คนในอ้อมกอดแน่นรัดรอบตัวจำต้องขยับตาม กลายเป็นว่าร่างของท่านที่ปรึกษาคร่อมอยู่เหนือเจ้านายของตน...บัดนี้ม่านอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ถ้าเอื้อมมือไปปัดก็จะรู้ว่าคนข้างนอกเป็นใคร แต่ถ้าม่านเปิดออกมาเมื่อไหร่ฉากอันชวนล่อแหลมนี้ก็จะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเองเช่นกัน


                อ้อมแขนแกร่งคลายลงทว่ามือซุกซนของบุรุษผู้หลับใหลกลับล้วงเข้าไปลูบใต้เสื้อนอนของบุรุษผู้อยู่บนด้วยสัญชาตญาณ
    ! อเล็กเซย์แทบหัวใจวายตายกับแผนที่พลาดไปสองรอบในรอบสามวัน เขาต้องรีบตัดสินใจก่อนที่จะถูกขย้ำคาเตียง ซึ่งถ้ามีพยานพิสูจน์ก็อาจดีกว่าตกเป็นเหยื่อลับๆ...มือเรียวจึงพยายามเอื้อมไปยังม่าน แต่ร่างหนากว่านิดหน่อยกลับคว้าหมับแล้วกดลงแน่นกับเตียง! ฝ่ายเริ่มถูกกระทำพยายามไม่ดิ้น หากคล้อยตามแรงสัมผัส ขอเพียงแค่คนด้านล่างปล่อยมือ ขอแค่ปล่อย...ปล่อย...ปล่อยมือของเขาออกไปเท่านั้น

     

                โธ่เว้ย! ทำไมดูดพลังคนอื่นเขายังทำได้ แต่พอกับดยุคนี่กลับขยับตัวแทบไม่ไหวทุกที!


                มีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยก่อนที่สัญชาตญาณสัตว์ป่ากระหายผู้ชายของคนตรงหน้าจะตื่น ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองผู้หลับใหลเริ่มพลิกตนเองให้มาอยู่ด้านบนบ้าง ที่ปรึกษาหนุ่มก็รีบเอื้อมมือไปเปิดม่านออกทันใด
    !!


                "M'...excu…ser" (...ปร..ประทานโทษครับ)

     

                เสียงพึมพำภาษาต่างด้าวจากคนนอกเตียงดังขึ้นเบาๆด้วยความอึ้งตะลึงงันกับสภาพน่าหวาดเสียว นัยน์ตาของคนอุทานเบิกกว้างไม่ต่างอะไรจากคนที่เริ่มถูกล่วงละเมิดมากขึ้นเรื่อยๆอยู่บนเตียง ที่พึ่งสุดท้ายของที่ปรึกษาหนุ่มปรากฏขึ้นตรงหน้านี้แล้ว...


             
    l'aide!" (ช่วยด้วย!)

     

              จากที่ฟังเมื่อกี้น่าจะเป็นภาษาของอีกฟากตะวันตกของผืนทวีป ก็เลยเจรจาภาษาเดียวกันกลับไป ไม่รู้ว่าที่ตะโกนไปจะถูกต้องสมบูรณ์รึเปล่า คาดว่าแค่ฟังรู้เรื่องก็คงพอ


                แต่...ทำไมคนข้างหน้าจึงไม่ยอมช่วยดึงท่านดยุคออกไปเล่า

     

                "ดึง 'มัน' ออกไปทีครับ...เอาคนบนตัวผมออกไป คุณได้ยินมั้ยมองซิเออร์อะไรก็แล้วแต่ ช่วยผมด้วย!!!"

     

                คราวนี้พอประโยคยาวๆซึ่งไม่ใช่ภาษาของบ้านเกิดถูกเอ่ยขึ้น 'มองซิเออร์อะไรก็แล้วแต่' ก็รีบลุกจากพื้นขึ้นมารวบรวมพลังถึกกระชากร่างของท่านเจ้าเมืองออกจากเตียง กระเด็นไปติดแหมะเหมือนจิ้งจกยังอีกฟากฝั่งของห้องพอดิบพอดี!


                ที่ปรึกษานิ่งอึ้ง...ค้าง...ตะลึงฉับพลัน...กับเรี่ยวแรงมหาศาลของชายในชุดโทนสีขาวขนาดพอดีตัวข้างเตียง เอวคอดสวยกับกล้ามพองามทำให้ชวนกระอักกระอ่วนใจยามมอง ประกอบกับผมที่หวีเรียบแปล้กับใบหน้าที่ดูเหมือนจะดูแลอย่างดียิ่งทำให้รู้สึกแปลกๆเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมองสลับกับภาพจิ้งจกตัวใหม่ซึ่งกำลังร่วงลงมาแหมะอยู่กับพื้นปูพรมอย่างเชื่องช้า


                ช่างน่าสงสารดยุคแห่งเอสเตรลลาร์เหลือเกิน ถ้าเขาเป็นคนถีบเองคงจะเจ็บตัวน้อยกว่านี้แล้วแท้ๆ ไม่น่าเลย...


                ...ไม่น่ายั้งเท้าตัวเองไว้เลย ให้ตายเถอะ
    !!


                "Je jamais vous remercier!" (ผมจะขอบคุณคุณอย่างไรดีนี่!) ที่ปรึกษาหนุ่มที่หลุดออกมาจากปลาหมึกยักษ์รีบจัดการกับเสื้อผ้าตัวเองแล้วคว้ามือชายแปลกหน้ามาเขย่าๆด้วยความขอบคุณอย่างสูง บุรุษผู้นั้นทำหน้าเหรอหรา รอคอยจนหยุดเขย่าแล้วเอ่ยขึ้น


               
    "เอ่อ...ประทานโทษครับ ผมพูดภาษาธรีอาดิมกลางได้" คนพูดพูดไปก็ชักใจไม่ดี เขาโผล่มาในห้องแถมยังเหวี่ยงเจ้าของห้องไปแปะกับกำแพงแบบนั้น เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง... แต่สภาพเหมือนจิ้งจกไม่มีปุ่มสุญญากาศที่เท้าของท่านดยุคมันช่างชวนฮาเหลือคณาแสน ในขณะเดียวกันภาพติดตาเมื่อกี้ก็ชวนให้ใจเต้นตึกตักเสียเหลือเกิน


                สภาพที่เห็นไม่ใช่ว่าใครจะพบได้ง่ายๆ ฉะนั้นผู้ได้ยลจึงควรถือเป็นบุญตา...ร่างของที่ปรึกษาส่วนพระองค์อยู่ในชุดนอนหลวมๆสีดำสนิท คอเสื้อแขนยาวแบบสวมหัวสามารถเผยให้เห็นได้ไปถึงไหนถึงไหนยามก้ม กางเกงนอนขายาวก็ถูกหัตถาแห่งท่านเจ้าเมืองดึงรั้งกรอมสะโพก มือเรียวยกขึ้นสางเส้นผมดำขลับยาวระบ่า ก่อนจะควานหาหนังยางที่หลุดร่วงอยู่บนเตียงมารัดลวกๆ คิ้วที่แทบชิดติดกันขมวดมุ่นด้วยหงุดหงิดกับปฏิบัติการเอาตัวเข้าแลกเมื่อครู่ พลันหาววอดอย่างไม่พึงสำรวมกิริยา


                มองอย่างไรก็สวย ทั้งที่เป็นชายหนุ่มเพิ่งตื่นนอนแท้ๆ หากแม้จะสวยเซ็กซี่ชวนมองให้น้ำลายยืดเพียงไหน บรรยากาศที่คุนิดๆกับกิริยาท่าทางนั้นบอกว่าชายคนนี้ยังคงเป็นชายเต็มร้อย ไม่ได้คิดว่าคนมองจะรู้สึกอย่างไร เพราะเนื้อแท้แล้วโครโมโซมเพศก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง


                เพียงแต่ผู้มาเยือนจากต่างแดนคนนี้คิด...คิดมาก...คิดมากๆเสียด้วย


               
    "สวัสดีครับ มิทราบว่าท่านคือ...?" ประโยคคำถามด้วยภาษาธรีอาดิมกลางของผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำองค์ดยุคเปรยขึ้นกลบเกลื่อนฉาก หากแขกที่บุกมาถึงในห้องนอนกลับยิ้มแปลกๆ แววตาที่ทอดมองดูระยิบระยับชอบใจบอกไม่ถูกจนคนถูกมองอุทานออกมาแล้วเดินถอยหลังสามก้าวตามสัญชาตญาณ


                ตูมม!!! "อุ๊บส์!"


                เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น เรียกความสนใจจากผู้มีสติในห้อง ไม่นับท่านเจ้าเมือง เนื่องจากรายนั้นยังคงนอนเกะกะอยู่ริมกำแพงอีกฟากของห้องบรรทม ท่านที่ปรึกษาทำหน้าเครียดมากขณะจ้องมองร่างหนึ่งที่โผล่มาในห้องพร้อมกับควันขุ่นโขมงสีเขียวปนน้ำตาล


               
    What a nuisance! (ท่านที่ปรึกษาเริ่มติดเชื้อ) นี่มันอะไรกัน...วันคนต่างชาติถล่มห้องนอนรึ?


                ร่างที่ปรากฏขึ้นมานั้นอยู่ในชุดกระโปรงเข้ารูปสีเขียวใบไม้ระยิบระยับยาวแค่เข่า คลุมด้วยโค้ทขนหมีขาวลอสสอธ ผมยาวถึงกลางหลังสีน้ำตาลดัดปลายเป็นลอนดูเก๋ไก๋เข้ากับหมวกปีกกว้างสีเขียวใบไม้ประดับขนนกสีขาว ลำคอระหงประดับด้วยสร้อยไข่มุกสีนวล แขนขวาสะพายกระเป๋าถือสีดำลงลายเงินใบย่อมด้วยกิริยาอย่างผู้ดี เธอสวมถุงน่องละเอียดสีดำ และรองเท้าบูทส้นสูงทำจากหนังมันวาวสีดำยาวครึ่งแข้ง


                ...ดูทั่วสรรพางค์แล้วก็อดจะคิดไม่ได้ว่า เจ้าหล่อนหลุดออกมาจากปราสาทราชวังของบรรดาคุณหญิงคุณนายที่ไหนกัน


               
    "Oh, Good morning Monsieur Gaston… Oops! Sorry, that should be Mademoiselle Geneviève André Gaston." หญิงสาวผู้มาเยือนกล่าวด้วยน้ำเสียงยานคาง ก่อนที่เสียงหัวเราะคิกคักกับตนเองจะตามมา...ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของคนที่ดูเหมือนจะมีนามว่าอังเดร กัสตอง


                เยเนวีฟ? อังเดร กัสตอง
    ? ผู้ชาย?


                โอ้ ไม่นะ


                ที่ปรึกษาผู้มีนามว่าอเล็กเซย์ทำหน้าเซ็งโลก
    "Err… Excuse me, Ma'am. Could you tell me your…"


                "ดิฉันคือ เนอร์ธัสมารี เวนเซสลอส (Nerthusmarie Wenceslas) ราชทูตจากจักรวรรดิจูคาไฮเนน (Joukahainen) ค่ะ ท่านอาร์ด-รี" หล่อนชิงตอบด้วยภาษาธรีอาดิมกลางก่อนที่คำถามอย่างสุภาพสมบูรณ์จะจบ


              หา...อะไรนะ
    ?!


               
    "เนอร์ธัสมารี เวนเซสลอส ราชทูตจากจักรวรรดิจูคาไฮเนนค่ะ" หล่อนย้ำคำด้วยภาษากลางธรีอาดิมอีกครั้งทั้งที่ 'ท่านอาร์ด-รี' ไม่ได้ถาม...คงเพราะสีหน้าของท่านที่ปรึกษาที่เหมือนกับยัดผลไม้หนามแหลมทั้งลูกเข้าปาก ขณะนึกขอบคุณบิดามารดาที่เคารพ ผู้ทำให้ชื่อของเขาไม่ได้อ่านยากจนเกินไปนัก


                กระนั้น ไม่ถึงสิบวินาที ชื่อเต็มของสตรีผู้นี้ก็หดหายไปจากสมองหมดสิ้น


                เหลือคำเดียวที่เขาจำได้จากประโยคแนะนำตัวดังกล่าวคือ จูคาไฮเนน


                จูคาไฮเนน จักรวรรดิที่ปกครองโดยพระมหาจักรพรรดิเจดีไดอาห์ ถือว่ายิ่งยงที่สุดในทวีปใหม่ เสียแต่อยู่ห่างไกลไปทางอีกฟากฝั่งของทะเลแห่งความสงบราบเรียบ ถ้าเดินทางไกลแสนไกลออกจากชายฝั่งรีบอลโดซ์ทางตะวันออกแล้วตรงไปทางตะวันออกเรื่อยๆจะพบพานกับแผ่นดินนี้


                จักรวรรดิจูคาไฮเนนมีแสนยานุภาพที่เกรียงไกรกว่าธรีอาดิมหลายเท่านัก แม้ว่าวิทยาการต่างๆจะยังสู้เนฟัลธอสและรีบอลโดซ์ไม่ได้ก็ตาม ทว่าปริมาณของยุทโธปกรณ์ทำให้สามารถเข้าควบคุมดินแดนมากมายเกือบทั่วทั้งทวีปใหม่ อย่างมณฑลซิลจ์ที่ติดกับชายแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของธรีอาดิมก็นับเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ


                เสียแต่ปัญหาใหญ่ของที่นั่นคือ...ภาษา ท่านช่างสรรหาแต่ละคำได้มากมายหลายพยางค์ยิ่งนัก กว่าจะออกเสียงครบหนึ่งคำก็แทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่


                ระหว่างพยายามจดจำชื่อเต็มๆของราชทูตจากจักรวรรดิตรงหน้าให้ประทับลงไปในสมองที่เต็มไปด้วยรอยหยักของตน ชายหนุ่มหน้าสวยก็หันไปพบว่า...


               
    "เฮ่อ...เราขอกล่าวต้อนรับ และอรุณสวัสดิ์ ท่านหญิงเวนเซสลอส ท่านเซอร์กัสตอง"


                เสียงทักทายยามเช้ามาจากท่านเจ้าเมืองที่ยืนขึ้นพิงกำแพงสโลเสลเพราะศีรษะยังมึนกับการปะทะอย่างรุนแรง ดวงหน้าหวานกว่าบุรุษทั่วไปยิ้มแห้งๆให้กับคนที่เกือบจะเป็นเหยื่อเมื่อไม่นานมานี้ "ขอโทษทีนะโลชา พอดีลืมบอกว่าทั้งสองท่านนี้จะมาเจรจาเรื่องของเขตแดนประเทศน่ะ ท่านเซอร์กัสตองมาจากมณฑลซิลจ์ ส่วนเลดี้เวนเซสลอสจากจักรวรรดิ"


                ว่าแล้วก็จัดแจงคุยจ้อกับผู้มาเยือนทั้งสอง โดยไม่ได้สนใจหนุ่มร่างบางที่แทบจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมงสถานการณ์จึงกลับจากฟ้าเป็นเหวขนาดนี้ ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ถูกทรยศ ถูกปิดบังจากกิจสำคัญ ถูกล่อหลอกให้เสียเวลา เสียความปลอดภัยในชีวิต ถูกคุกคามทางสายตาโดยคนต่างชาติต่างภาษา...เพราะท่านเจ้าเมืองเองงั้นหรือ!?!


                ท่านเจ้าเมืองพาผู้มาเยือนทั้งสองออกไปจากห้อง โดยทิ้งอีกชีวิตหนึ่งเอาไว้ให้เดินตามติดตามหน้าที่ ดวงหน้าสวยพยายามสบตาคนที่แทบจะลืมที่ปรึกษาของตัวเองเสียสนิท นี่ถ้าเกิดเนฟัลธอสไม่มีเขาสักวัน ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ จะมีชีวิตอยู่อย่างไรนะ


                พลันในวินาทีนั้นเอง ร่างบอบบางน่าทะนุถนอมในชุดนอนสีดำก็วิ่งถลันกลับเข้าไปในห้องบรรทม


              ...ด้วยใบหน้าอาบน้ำตา
     

    ø

     

                ราวห้านาฬิกา จันทรเทพผู้ยึดครองฟากฟ้ายามราตรีขับเคลื่อนรถม้าสีขาวเลื่อนลอยผ่านไปยังอีกฝั่งฟากของผืนทวีป ความมืดที่เคยปกคลุมทั่วทั้งมหาจรูญจรัสนครได้ลับหาย ดาวประกายพรึกลาเลือนทางตะวันออกยามพระอาทิตย์เริ่มทอแสง อาบทาทุกชีวิตในแว่นแคว้นแห่งภูผาและสมุทร ดังอำนวยพรสู่ครรลองแห่งความสุขในวันใหม่


                ท่านเจ้าเมืองเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของแคว้นเนฟัลธอสโดยไม่มีที่ปรึกษาคู่ใจ เลดี้เวนเซสลอสจากแผ่นดินใหญ่โพ้นทะเลผู้มาพร้อมกับตัวแทนจากมณฑลซิลจ์คือเซอร์กัสตองทำให้บรรยากาศของการ
    'เชื่อมสัมพันธไมตรี' ในคราวนี้ดูกดดันอย่างน่าประหลาด


                สตรีสูงศักดิ์พยายามหว่านล้อมให้เปิดเส้นทางการค้าเสรีแก่จักรวรรดิ ตัดผ่านบริเวณจรูญจรัสนครเพื่อตรงเข้าสู่ทะเลทรายกว้างใหญ่ของแคว้นทางตะวันตกของเนฟัลธอส อันจะเป็นทางลัดสู่นครไนธ์และนครเจ้าการค้าเอเลียส หล่อนสร้างสภาพแวดล้อมจนหลอดเลือดในสมองแทบระเบิดตูมตาม ดยุคหนุ่มแทบจะตอบตกลงไปในทันที...


                ...หากฉุกคิดไปถึงบทเรียนเก่าๆจากท่านที่ปรึกษาที่ว่า ถ้ายอมให้อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าผ่านเข้ามาในแคว้นโดยเสรีแล้ว ในอนาคตมณฑลต่อไปของจักรวรรดิจูคาไฮเนนอาจเป็นเนฟัลธอสก็ได้ จึงยังคงสงวนท่าทีไว้ พลางแอบปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเพราะบรรยากาศเริ่มเหมือนมียมทูตถือเคียวมาบินข้างเคียงนิดๆ


                ทางด้านเซอร์กัสตองก็ไม่แพ้กัน แม้เขาจะพูดจาจีบปากจีบคอจนท่านเจ้าเมืองแทบถอยหลังกรูด ทว่าน้ำคำช้าๆเนิบๆก็ชวนกดดันไม่แพ้เสียงโทนออกแหลมของเลดี้เวนเซสลอส ไม่ว่าในโลกนี้จะมีแม่น้ำและทะเลมหาศาลเท่าไหร่ บุรุษแต่เพียงเปลือกนายนี้ก็ยังชักพามาหว่านล้อมราวกับดยุคแห่งเอสเตรลลาร์เป็นเพียงปลาตัวจ้อยในกระชัง


                ดยุคหนุ่มเพิ่งรับรู้ว่าสิ่งที่ท่านที่ปรึกษาต้องเผชิญนั้นไม่ใช่แค่เล่นๆ มันอาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากกว่านี้ แต่จะดีกว่าถ้าคอของท่านเป็นคอที่ขาด ไม่ใช่คอของคนอีกมากมายหลายสิบล้านในแคว้นที่ตนถูกบังคับให้มารับผิดชอบ...ภายใต้ดวงหน้าสวยดุจสตรีในตำนานและร่างบอบบางชวนถนอมของเลดี้เวนเซสลอส ซ่อนเขี้ยวยาวโง้งและเล็บคมกริบไว้อีกมหาศาล แพรวพรายไปด้วยชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมที่เฉือนกันกับมือชั้นเซียนแทบไม่ลง


               
    "เราขอให้องคมนตรีแห่งแคว้นได้ปรึกษาหารือกันก่อนจะตกลงตามสัญญาที่ท่านทั้งสองร่างไว้ ส่วนการตัดสินใจเรื่องราวเหล่านี้ขอให้ท่านที่ปรึกษาของเราเป็นผู้รับผิดชอบ" ท่านพยายามตัดบท


                ทว่าหญิงสาวเจ้าเสน่ห์กลับโปรยยิ้มพราย หวานและดูเหมือนอบอุ่น แต่หากไม่ระวังเขี้ยวของอสุรกายที่ซ่อนไว้มิดชิดอาจกลับมาแว้งกัดผู้ลุ่มหลงในรสวจีได้
    "แต่...ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันค่อนข้างมั่นใจว่าท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์คือผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจมิใช่หรือ แล้วถ้าใช้เวลานานกว่านี้ โอกาสที่จรูญจรัสนครจะได้เปิดการค้าข้ามสมุทรกับทางจักรวรรดิอาจไม่มีอีกแล้วนะคะ"


                มันเหมือนหลอกด่า...ถ้าท่านไม่รีบตัดสินใจในตอนนี้ นั่นหมายความว่าของลดแลกแจกแถมที่อาจได้จะไม่มีให้ และถ้าท่านไม่ตัดสินใจ...ก็แปลว่าดยุคผู้ครองนครท่านนี้ไม่มีน้ำยาในการบริหารราชการแผ่นดิน


               
    "ยิ่งไปกว่านั้น จักรวรรดิจะเป็นผู้เปิดเส้นทางถนนสายใหม่ในแคว้นชาราเอง ทางเนฟัลธอสย่อมได้รับประโยชน์จากความสะดวกในการติดต่อกับแคว้นทางตะวันตกและนครหลวงขอรับ" ด้านเซอร์กัสตองเริ่มปฏิบัติงานขู่กรรโชกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเชื่องช้า ฟังเผินๆเหมือนเนฟัลธอสจะได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง แถมจักรวรรดิเสียอีกที่ดูเหมือนจะต้องควักเนื้อมากมาย


                แต่...เดี๋ยวก่อน ถ้าจักรวรรดิไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย แล้วจะส่งคนข้ามน้ำข้ามทะเลเสี่ยงอันตรายมาไกลทำไม
    ? ถ้าจักรวรรดิไม่ได้ผลกำไรมากกว่า เรื่องอะไรจะต้องพึ่งพาไปถึงขุนนางซิลจ์ ที่มีสถานะเป็นเพียงอาณานิคมหนึ่งเท่านั้น


               
    "เราขอนอกประเด็นของเราสักนิด ได้ข่าวว่านครหลวงแห่งกษัตริย์จะสร้างกำแพงใหญ่ปิดกั้นชายแดนทางใต้ของแคว้นอิลซามาร์กับมณฑลซิลจ์ ทอดยาวถึงแคว้นรีเนนกับอาณาจักรไพดัสด้วยนี่นา..." ท่านเจ้าเมืองลองเปรยสถานการณ์ล่าสุดขึ้นมาด้วยใบหน้าของผู้ที่อ่อนต่อโลก ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง คล้ายไม่รู้กระทั่งว่าข่าวบ้านการเมืองที่ได้ยินมาเป็นจริงหรือไม่


               
    "ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกันขอรับ ดูเหมือนทางนครหลวงไนธ์จะยังไม่รีบตัดสินใจอะไรในเรื่องนี้" บุรุษจากต่างแดนว่าด้วยคำพูดที่เนิบเย็นจนชวนผวา ปฏิกิริยาของผู้มาเยือนทั้งสองยังคงนิ่งสนิท เรียบกริบเหมือนไม่มีอะไรแปลกประหลาดเกิดขึ้น


                ...ทว่าปฏิกิริยาตอบรับอันเฉยเมยเช่นนี้สิที่ท่านว่าแปลก
    ! ทั้งที่พูดทื่อๆตรงๆแบบนั้นก็ยังนิ่งเฉย ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธแน่ชัด ซึ่งนั่นคงหมายความว่าเนฟัลธอสน่าจะได้เปรียบ ต้องเก็บประเด็นนี้ไว้ รอให้ที่ปรึกษาของท่านฟื้นขึ้นมาจากอารมณ์ 'งอน' ที่ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยรวมพลวางแผนขูดเลือดขูดเนื้อจากผู้มีอำนาจมากกว่า หึๆๆ


               
    "ถ้าอย่างนั้นเราควรต้องปรึกษากับองคมนตรีทั้งสิบเอ็ดก่อน เพื่อมติที่เป็นเอกฉันท์ และ..." ดยุคจำเป็นเผยยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง "เพื่อไม่ให้ประชาชนแห่งเนฟัลธอสมีโอกาสหาจุดอ่อนว่าเราเป็นเผด็จการแบ่งแคว้นใส่กระเป๋าตนน่ะ"


                สิ่งที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มทางการค้ากับคำพูดทีเล่นทีจริง "เช่นนั้นทางจักรวรรดิก็อาจจำต้องรอ และผู้มาเจรจาคนใหม่ก็อาจมิใช่ดิฉัน ไม่แน่ว่าราชทูตผู้นั้นอาจนำกำลังทหารมายังแคว้นอันจรูญจรัสของท่านเพื่อเบิกทางไปสู่ใจกลางอาณาจักรธรีอาดิมนะคะ"


                และปฏิกิริยาสะท้อนกลับก็คือรอยยิ้ม...สุดแสนจะจริงใจเท่าที่ท่านเจ้าเมืองผู้เริ่มเครียดจะปั้นออกมาแปะไว้บนกล้ามเนื้อหน้าได้


               
    "ถ้าเช่นนั้นเราก็จำต้องรอไม่ต่างกัน เพราะแม้ผู้มีอำนาจสูงสุดในนครนี้จะเป็นเรา แต่ผู้ตัดสินใจไม่ได้มีเพียงเราคนเดียว หากเป็นประชาชนของแคว้น ซึ่งมีทั้งวุฒิสภาอันประกอบด้วยตัวแทนจากผู้ครองเขตย่อย และสภาราษฎรที่มาจากการคัดสรรโดยประชาชนเป็นผู้ช่วยกำหนดอนาคต"


                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นในทุกพยางค์ เน้นย้ำอีกครั้งหนึ่ง "ถึงเราจะเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจนั้นมิได้มาจากเราเพียงผู้เดียว" จบประโยคด้วยน้ำเสียงทอดยาวเหมือนแฝงอะไรให้คิด และดูเหมือนเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของตนแบบหยิ่งๆในที

     

                แม้ว่าจริงๆแล้วในสมองคนพูดจะกลวงเปล่า และเริ่มก่นด่าขุดบรรพบุรุษของผู้มาเยือนทั้งสองมาฉีกเนื้อกระซวกตับเล่นก็ตาม


               
    "ในเมื่อท่านประสงค์เช่นนั้นทางจักรวรรดิก็ยินดีค่ะ" ทำเหมือนกับเนฟัลธอสเป็นผู้มาติดต่อ เป็นผู้ตกอยู่ใต้อำนาจ อย่างนั้นแหละ "การประชุมสภาไม่น่าจะใช้เวลาเกินสามวัน...ใช่ไหมคะท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ แล้ววันนั้นการเจรจาครั้งใหม่จึงจะเริ่มต้นอีกทีค่ะ" ทำเหมือนกับเนฟัลธอสตอบตกลง ยินยอมถูกกำหนดเวลาโดยจักรวรรดิ อย่างนั้นแหละ


                คำตอบมีเพียงอากัปเผยยิ้มจางเท่านั้น

     

                ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับทั้งสองฝ่ายที่กำลังรอเวลา เพื่อการตัดสินใจที่เฉียบคมที่สุด

     

    ø

                "เป็นอะไรไปอีกล่ะ" เสียงห้าวลึกพึมพำพลันก็หัวเราะหึๆ "อย่าบอกนะว่าเจ้า 'ลงไม้ลงมือ' มากเกินไปหน่อยจนออกมาจากห้องไม่ได้?"


                ไอ้ประโยคล่อแหลมนั่นมันอาร้ายย! คนถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่าถูกกระทำร้องลั่นในใจ


               
    "ไม่ใช่นี่นา เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่รู้จู่ๆทำไมถึงร้องไห้วิ่งเข้าห้อง ทิ้งให้เราลุ้นแทบเฮือกตอนทูตสองคนนั่นพยายามหว่านล้อมให้รับปากน่ะ" ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร...แต่ทำไมเขาต้องเงยหน้าขึ้นไปพบเจอกับคนที่ไม่สนใจด้วยล่ะ "แต่เฮ้...เดี๋ยวนะ ที่ท่านทูตสองคนโผล่มาในห้องก็ฝีมือเจ้าใช่มั้ย!?"


                "อ๋อแน่นอน ในโลกหล้านี้จะมีใครโปรฯกว่าข้าอีกล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ในการยุยงส่งเสริมแล้วตลบหลังเป็นก้างขวางคอนั้นถนัดนักแล" ยิ่งประโยคหลังนี่อีก มันไปเข้าใจว่าท่าน...อะไรกัน ไม่มีทาง คนที่ไม่เคยบอกอะไรเขาเลยสักอย่างน่ะนะ

     

                ไม่มีทาง


               
    "แต่ข้าว่าเขาก็ออกจะเป็นคนมีเหตุมีผลนี่นา ทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้"


                "ไม่รู้สิ" คนคนนั้นทำเสียงขาดห้วงเหมือนครุ่นคิด "อืม..."

     

                เสียงถอนใจของสุดยอดตัวป่วนประจำแคว้นดังขัดผู้มีศักดิ์เป็นดยุคจากการแต่งตั้ง "นี่ รู้มั้ยว่าบอลของ 'เจ้านี่' น่ะ ฆ่าคนธรรมดาได้ทีละห้า ไม่เคยสงสัยอะไรเลยรึไงว่าทำไมตัวเองถึงรอดมาได้ หือ" และหลังจากประโยคชวนให้หยุดหายใจมันก็หัวเราะหึๆอีกครั้ง "ไม่เคยสงสัยอะไรเลยรึไงที่ 'เจ้านี่' ยอมให้เจ้า 'กก' อยู่ได้ทั้งคืนโดยไม่ขัดขืน ไม่เคยสงสัยเลยรึว่ามันเพราะอะไร?"


                คนแกล้งนอนหลับชักหายใจขัด คำถามนั้นน่าสนใจเป็นอันมาก เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเพราะอะไรพลังของเขาถึงทำอันตรายคนคนนี้แทบไม่ได้...ความสงสัยบดบังอาการ 'งอน' เมื่อครู่ได้อย่างชะงัด


               
    "รู้มั้ย นายเวย์น ว่าเจ้ากับเจ้านี่เป็นพวกเดียวกัน" คำประกาศจุดยืนของพ่อมดต่างถิ่นช่างชัดเจนยิ่งนัก...


                "แล้วพวกเดียวกันน่ะมันอะไร" ในที่สุดคำถามที่นายอเล็กเซย์พยายามส่งกระแสจิตเทเลพาธีไปหาก็ได้รับการเอ่ยออกจากปากของคู่สนทนาคนนั้นจนได้ หัวใจใต้ซี่โครงเริ่มกระตุกแปลกๆ สังหรณ์ใจว่าประโยคถัดไปคง...


               
    "อืม ก็เจ้าสองคนน่ะเป็นมนุษย์เหมือนกัน จะต่างกันยังไงล่ะ"

     

                ปฏิกิริยาตอบรับคือความเงียบสงบ


                ท่านดยุคเริ่มต้นโอดครวญโหยหวนด้วยความปวดร้าว
    "นี่ข้าดูไม่เหมือนผู้เหมือนคนขนาดนั้นเลยเรอะ"


                "ใช่" เป็นคำตอบรับสั้นๆอันไร้ความกระจ่างอย่างสิ้นเชิงที่เรียกเสียงขู่แฮ่ๆจากอีกฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บุรุษผู้สูงน้อยกว่าสองเมตรนิดหนึ่งจึงต้องรับผิดชอบเสริมประโยคให้สมบูรณ์ขณะที่ผู้ฟังแทบกลั้นหายใจรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ...


             
    "เจ้าน่ะ ดูยังไงๆมันก็ แ-ร-ด ชัดๆ"


                ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทุกอย่างชะงักงัน


                สภาพในห้องคราวนี้กลับคืนสู่ความเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คนด่าฉีกยิ้มกว้างอย่างสะใจกับหน้าตาเบื่อโลกอย่างยิ่งยวดของคู่สนทนา ที่ปรึกษาหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจได้ว่า ถ้าหากวันใดวันหนึ่งเนฟัลธอสปราศจากเขา เกียรติยศของดยุคแห่งเอสเตรลลาร์คงถึงแก่กาลราพณาสูร


               
    "นี่คุณกล้าว่าดยุคแห่งเอสเตรลลาร์อย่างนี้ได้อย่างไรครับ! คุณเออาร์ธอร์น เซรูลีน"


                ท่านที่ปรึกษาทนไม่ได้อีกต่อไปที่พ่อมดสติแตกใช้คำรุนแรงกับท่านเจ้าเมืองถึงเพียงนี้ แม้ว่ามันจะเป็นความจริงอันโหดร้าย แต่แน่นอนว่าความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่ต้องพูดออกมาใครๆก็รู้กันทั่วทั้งเมืองอยู่แล้ว และหนึ่งในหน้าที่ของที่ปรึกษาส่วนพระองค์ที่อุตสาหะวิริยะทำมานานเกือบสองปีก็คือ จงปกปักรักษาเกียรติยศแห่งผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน


                ดวงหน้าสวยอาบน้ำตาที่เงยหน้าจากหมอนนั้นยังคงงดงามไร้ที่ติ เธอช่างสง่างามแม้จะนอนแผ่อย่างสิ้นท่า เธอมีอำนาจสะกดคนให้ใหลหลงได้เพียงกราดตามองประดุจนางเมดูซ่า เกศาสลวยยาวประบ่าสีดำขลับที่เริ่มยุ่งเหยิงตัดกับผิวพรรณขาวเนียนราวน้ำนมติดตรึงใจ น้ำอุ่นๆที่ยังคงไหลรินจากดวงเนตรดุจรัตติกาลของเธอยิ่งสะกดให้ผู้มองเงียบกริบ ดวงจิตแทบหลอมละลาย หากไม่รั้งตนคงต้องถลันไปซับน้ำตาให้ทันใด

     

                สรุป นี่เป็นการปลุกด้วยวิธีไร้สาระเหนือใครในปฐพี

     

                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์รีบถลาเข้าไปหาร่างบางที่บางกว่าตนหมายจะซับน้ำตาให้ โดยมีฉากหลังเป็นพ่อมดยิ้มยิงฟันกวนประสาท แต่ลูกไฟสีฟ้าสดใสกลับผุดจากอากาศธาตุมาปรากฏในฝ่ามือของท่านที่ปรึกษา ผู้มีเจตนาจะปลอบประโลมจึงหยุดค้างอยู่แค่ขอบแท่นบรรทมของตน


               
    "ขอบคุณมากครับท่านดยุคที่อุตส่าห์เป็นห่วงผม ทั้งที่ในสายตาของท่านผมคงช่วยอะไรแคว้นนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว" พูดพลางเหยียดรอยยิ้มเหมือนเยาะตนเอง "และในเมื่อผมคงช่วยอะไรท่านไม่ได้อีก ต่อจากนี้ก็คง..."


                "พูดอะไรอย่างนั้นล่ะโลชา" ชื่อเล่นที่ออกจากปากบุรุษผู้นี้ทำให้ผู้ฟังชะงักวาจาที่เหยียบย่ำน้ำใจของทั้งสองฝ่าย พ่อมดร่างสูงผู้ควรเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินของห้องยังคงยืนอยู่ทนโท่ไม่สะทกสะท้าน สองมือเริ่มค้นๆข้าวของที่ซุกซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทเพื่อหาอะไรบางอย่าง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ปล่อยให้บรรยากาศการง้องอนถึงในห้องนอนดำเนินต่อไป


               
    "หน้าที่ก็ยังต้องเป็นหน้าที่ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็เท่ากับหน้าที่ของเจ้ายังไม่อาจละทิ้งได้" ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ยื่นคำขาด นัยน์ตาสีน้ำตาลส่องประกายจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต "ในเมื่อเราเลือกให้เจ้ามาอยู่คู่เราในสถานะนี้แล้ว ย่อมจะเป็นอื่นไปไม่ได้ โลชา...ถึงเราจะคิดมากกว่านั้น แต่มันไม่ใช่สิ่งสมควรเช่นที่ทั้งเราและเจ้าก็คงรู้ดี ดังนั้น หน้าที่ย่อมยังคงเป็นหน้าที่ หน้าที่ของเจ้าคืออยู่คู่เรา คอยเป็นหัวใจ และในขณะเดียวกันคือมันสมอง แทนเราผู้ยังไม่ประสากับเรื่องราวมากม..."


                "จดหมายที่ท่านราชทูตทั้งสองส่งมาอยู่ที่ไหนครับ" 'โลชา' กัดฟันแน่นเพราะที่ท่านเจ้าเมืองเอ่ยมามันชักนอกเรื่องนอกราวเพ้อเจ้อเข้าไปใหญ่ ใบหน้ารูปไข่เริ่มขึ้นสีเรื่อ ไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรืออาย หรือบางทีอาจทั้งสองอย่างปนกัน "เห็นบอกว่าส่งมาให้แล้ว แล้วทำไมไม่ส่งอะไรมาให้ผมดูเลยล่ะ ทั้งที่ผมเป็นที่ปรึกษาแท้ๆ"


                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ นายเวย์น เบลเซบ ผู้ช่ำชองทางเกมคอมพิวเตอร์มากกว่าโลกทำหน้าเหรอหราจนน่าประเคนลูกถีบให้ซักฟอด


             
    "อ้าว...ก็วางอยู่หัวเตียง เราก็คิดว่าเจ้าเห็นแล้วน่ะสิ" ท่านเจ้าเมืองประกาศความจริงให้โลกรู้ "แล้วที่เดินออกไปน่ะเพราะขืนให้ราชทูตสองคนนั่นเห็นสภาพเจ้าเข้า สักพักคงคิดยกเรื่องนี้มาดักทางไม่ให้ข้าขยับตัวได้ชัวร์ๆ"


                ท่านที่ปรึกษาสะดุ้งเฮือก...


                สรุปว่าเรื่องทั้งหมด มันเป็นเพราะเขาเลอะเลือนเองใช่ไหมนี่
    ?!

     

                แล้วนึกไปนึกมา ทำไมเขาถึงออกอาการ 'สาวแตก' ได้ขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าอาการเหล่านั้นหมายความว่า...


                ...


                ...ว่าอะไร
    ? ไม่รู้!! ไม่อยากรู้ด้วย!!!


                "อ้อ เมื่อกี้ที่เราไปคุยกับเขามาน่ะ ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก แค่ขอเวลาคิดอีกสามวัน ฝากเจ้าช่วยเรียกประชุมองคมนตรีทีสิ แล้วตัดสินใจแทนเราด้วยละกัน เกิดเราพลาดขึ้นมาคงไม่ดีแน่ๆ"


                "ครับ ถ้าอย่างนั้น...การประชุมองคมนตรีจะเริ่มขึ้นในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้า" ที่ปรึกษาผู้กำลังสับสนในตัวเองอย่างหนักเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยสำเนียงเนิบช้าชวนสยอง ไม่ต่างอะไรกับเซอร์อังเดร กัสตอง ที่เพิ่งลาไปยังห้องรับรองไม่นานมานี้ สองตาตวัดมายังสองจำเลยผู้ช่างสรรหาวิธีการปลุกแบบเหนือชั้น...เหนือชั้นจริงๆ


                คิดสะระตะในหนึ่งวินาทีก็ยื่นข้อเสนอ
    "แต่ผมจะเป็นเพียงผู้ให้ข้อมูลเสริมเท่านั้น เวย์นครับ ท่าน ต้อง เป็นผู้ตัดสินใจนะครับ ส่วนคุณหมายเลขสิบเก้า" เผยยิ้มหวานบวกเย็นอันน่าหวาดหวั่น โดยเฉพาะเมื่อปรากฏบนใบหน้าสวยๆอย่างนี้ยิ่งไม่ต่างอะไรกับราชินีซาดิสม์


               
    "ช่วยเรียกองคมนตรีทั้งสิบเอ็ดมาประชุมด้วยครับ ด่วนมาก บอกพวกเขาว่าถ้าไม่มาผมจะจ้างให้คุณใช้รูปจากกล้องที่เพิ่งแอบถ่ายผมไปเมื่อครู่มาแบล็กเมล์...ผมแน่ใจว่าต้องมีรูปคนอื่นๆด้วย ใช่ไหมครับ คุณพ่อมดที่รัก"


                ได้ทีรีบขี่แพะไล่... ไล่จนเขาแพะแทบจะเสียบทะลุปอดของหมายเลขสิบเก้าให้เลือดในอกหลั่งไหลออกมาพานพบกับโลกภายนอก พ่อมดยังไม่ตอบรับ แต่ใบหน้ากึ่งหญิงกึ่งชายกึ่งแก่กึ่งหนุ่มที่ระบุอะไรไม่ได้กลับเริ่มมีสีหน้าเหมือนถูกขังอยู่ในห้องมืดมานานสามล้านปี


               
    "ค่าจ้างแบบเหมาทั้งหมดคือ สามพันสามร้อยเหรียญทองสำหรับมาครบทุกคน สามพันห้าร้อยเหรียญทองถ้ามาอย่างน้อยสิบคน น้อยกว่านี้จะไม่ได้ค่าจ้างแบบเหมาทั้งหมด" ประโยคเหล่านี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ "แล้วถ้าต้องแบล็กเมล์ จะได้เงินต่อหัวหัวละร้อยเหรียญครับ เลือกให้ดีๆนะครับว่าจะให้ใครไม่มา ถ้าคนไม่มาเป็นคุณอิสฟาเกลจะได้เงินเพิ่มห้าสิบเหรียญ ถ้าเป็นนายพลเอสเมอรัลด้าจะได้เพิ่มสี่สิบ ถ้าเป็นคุณลิธิสจะ..."


                "ขอรับ!" ตัดสินใจตัดบทตอบตกลงก่อนที่เงื่อนไขจะพิสดารไปกว่านี้ พ่อมดแสร้งยิ้ม "ข้าจะทำให้ ค่าจ้างไม่ต้อง ส่วนเรื่องจะให้ใครไม่มาน่ะ ข้าตัดสินใจจะตัดธิดาราตรีไปสักคนแล้วกัน ไม่ต้องแบล็กเมล์เว้นจะจำเป็น องคมนตรีจะได้โหวตกันแฟร์ๆห้าสิบ-ห้าสิบบ้างซะที"

     

                ยิ้มหวานเย็นกลายเป็นยิ้มอบอุ่นชวนฝัน "ขอบคุณมากครับสำหรับความร่วมมือของคุณ"

     

                พลันท่านที่ปรึกษาขยับคลานมายังขอบเตียงอันเป็นที่สิงสถิตของดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ คอเสื้อกว้างที่ร่นลงมาทำให้คนมองชวนวาบหวิว พ่อมดรีบหันหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้จินตนาการของตนเองจะสร้างความเสื่อมเสียมากกว่านี้


                แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว...


                มือเรียวบางยกขึ้นลูบไล้นวลแก้มเนียนของบุรุษหน้าหวาน ขยับร่างตนเองขึ้นคร่อมตักดยุคหนุ่มแล้วโอบรอบลำคอด้วยท่าทางยั่วยวนอย่างร้าย หากนัยน์ตาคู่สวยที่สะกดคนมองได้สนิทกลับไม่ละสายตาไปจากผู้ที่ควรเริ่มรู้สึกตัวว่าเป็นส่วนเกินเมื่อนานมาแล้วเลยสักวินาที ท่านที่ปรึกษาเอนศีรษะซบไหล่ที่กว้างกว่าของท่านเจ้าเมือง...ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์


               
    "เวย์นครับ พาผมไปอาบน้ำทีนะ" หนุ่มร่างบางน่าถนอมกระซิบข้างหูของคนที่สติหลุดโลกไปแล้ว ร่างสูงเพรียวโอบอุ้มคนบนตักกระชับยังอ้อมอกก่อนจะเดินออกจากห้องบรรทมไปด้วยท่าทางไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ ม่านตาเลื่อนลอยน่าสงสัย แม้จะไม่ต้องสงสัยว่าจุดหมายปลายทางคงเป็นห้องสรงน้ำ แต่ก็อดจะนึกไม่ได้ว่าเจตนาแท้จริงของคนที่ถูกอุ้มนั้นคืออะไรกันแน่


                ในวินาทีนั้นเองก็แว่วยินเสียงประตูถูกเปิดออก ตามมาด้วยเสียงอะไรหรือใครสักคนถูกโยนกระทบน้ำดังโครม
    !


              "จ๊ากก!!!"  เสียงที่ร้องโหยหวนเหมือนอะไรถูกเชือดดังขึ้นจากทิศที่ตั้งของห้องสรงน้ำส่วนพระองค์เป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานตามทฤษฎี และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นของใคร สำเนียงโอดครวญลั่นเดิมๆที่ได้ยินจนชินหูนั้นเป็นของดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ผู้ยิ่งยง...ไม่ผิดแน่ ไม่มีใครปล่อยให้เสียงดูแย่ขนาดนั้นหรอกในยามถูกคนรักอาละวาดใส่


                พ่อมดประจำราชสำนักลอสสอธหลับตานึกภาพสยอง คิดพลางก็ส่ายศีรษะพรึ่บพรั่บเพื่อไล่ภาพอันชวนฝันร้ายแล้วเดินออกจากห้องบรรทมร้างๆไปปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อ โดยไม่ได้คิดใส่ใจเลยว่า สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวทั้งหมดมีที่มาจากตนเองทั้งสิ้น


                บทสนทนาน่าสะพรึงขวัญผสมเสียงโหยหวนยังคงดังมาจากฝั่งห้องสรงน้ำอย่างต่อเนื่องราวเครื่องจักรในอุดมคติ และเมื่อผู้ถูกคุกคามร้องครวญเป็นระลอกสาม หมายเลขสิบเก้าก็รีบวิ่งออกไปจากประตูปราสาทชั้นล่างสุด ด้วยความไม่อยากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างท่านเจ้าเมืองและที่ปรึกษาคู่นี้อีกต่อไปแล้ว


                ให้ตายเถอะ...ใช้วิธีขู่กรรโชกให้ตอบรับคำสัญญาที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้กับคนที่ตัวเองรักแบบนี้


              ...มันพวกวิปริตชัดๆ
    !!
     

    ø


    The Letter from the Land Far-far-away and…? ___End

    ++++++

    รีไรท์แล้วดีขึ้นได้แค่นี้ เพราะคิดไม่ออก
    แต่อ่านแล้วฮา...คนเราสามารถทำตัวไร้สาระในที่รโหฐานได้อีก= =

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×