ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nueve Cuatro Tres!

    ลำดับตอนที่ #5 : Tales from Reverie 1: จดหมายจากแดนไกล 2.0

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 51


                ในท้องพระโรงปราสาทปราศจากผู้คน โคมไฟค่อยหรี่ลงจนดับสนิทไล่จากโถงในสุดถึงประตู เสียงฝีเท้าหนักบนพื้นปูแผ่นหินสีขาวขรุขระนอกเขตปราสาทสูงดังแว่วไกลออกไป


                เหลือเพียงความว่างเปล่า...และเจ้าของสถานที่ที่กึ่งนอนกึ่งนั่งเหยียดขาอยู่บนโต๊ะทำงานเจ้าเก่า ซึ่งบัดนี้ข้าวของที่เคยวางอยู่ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นถูกโยนทิ้งแผ่รัศมีรอบโต๊ะ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มาแต่ต้น


                ...แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพียงรู้สึกว่ารายละเอียดหลายอย่างของเหตุการณ์วันนี้มันแปลกพิกลจนหวาดผวา


                ม่านตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปยังประตูหน้าห้องทรงอักษรอย่างเหน็ดเหนื่อยกับความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง พยายามเค้นความคิดสืบหานัยแอบแฝงของเรื่องราวทั้งหมดในรอบวัน

     

                ตั้งแต่เช้ามีเหตุการณ์ประหลาดๆที่ผิดปกติบ้างไหมหนอ?
     

    ø

     

                กลางวันแสกๆ แถบภูเขาสูงทางเหนือของแคว้น มีกำแพงโบราณทอดยาวเหยียด ด้วยหมายปกปักรักษามหานครจากชนป่าเถื่อนที่บุกยังด่านนอกอยู่เนืองๆ แต่เมื่อนานมาแล้ว ศัตรูทางเหนืออย่างเผ่าสุริยันอามาทราสจากแคว้นซาร์กาลก็กลับเข้ามายึดครอง พร้อมสถาปนาผู้เป็นหัวหน้าขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์...ด้วยความร่วมมือของชาวเมืองนั่นเอง


                ถูกแล้ว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์บาแนลล์เป็นชาวเผ่าสุริยัน ทว่าปัจจุบันความยิ่งใหญ่ของราชสกุลแห่งสุริยเทพีกลับเหลือน้อยเต็มที


                ใต้เงาไหวของกิ่งต้นหลิวพลิ้วตามลม จู่ๆก็มีเสียงระเบิดตูมดังสนั่น พร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง เนินเตี้ยๆซึ่งเคยมีหินกับทรายสีส้มหม่นและต้นไม้แคระแกร็น บัดนี้เหลือเพียงเศษซากปลิวกระจาย และไม่กี่วินาทีก้อนหินขนาดใหญ่เท่ารถบรรทุกก็ตกกลับสู่ที่เก่าด้วยความเร่งประมาณ
    9.8 เมตรต่อวินาที ยกกำลังสอง


              โครม
    !!


                หินเจ้ากรรมตกสู่พสุธา พร้อมทำลายเครื่องขนย้ายมวลสารที่โผล่มาอย่างไร้สาเหตุให้เหลือแต่น็อตสองสามตัวกลิ้งขลุกขลักออกมาหมดท่า กับกลุ่มก้อนสายไฟฟูลเลอรีนหลอมเหลวส่งควันร้อนดังฉ่า...เทคโนโลยีชั้นสูงถูกอารยธรรมยุคหินถล่มทับจมธรณี


                ผู้รอดชีวิตเหลียวกลับไปมองอนุสาวรีย์คนกล้าด้วยความสยดสยอง ดวงตาที่ฝ้าฟางด้วยฝุ่นประกอบอารามตื่นตกใจหันมองซ้ายขวาระกะเศษหินเศษไม้ พลันยกนาฬิกาข้อมือที่มีระบบบอกพิกัดในตัวขึ้นดู...นครหลวงแห่งแคว้นเนฟัลธอสอยู่ไปทางใต้อีกนิดหน่อยเท่านั้น แต่
    'นิดหน่อย' ในแผนที่อัตราส่วนใหญ่มหึมาที่โปรแกรมระบุระยะทางเสียหาย ย่อมหมายถึงการเดินเท้าเป็นวันๆ


                ยังมองไม่เห็นทางไป จึงกดอีกปุ่มที่นาฬิกาเรือนเดิมเพื่อติดต่อคนที่ควรจะมาถึงล่วงหน้า


             
    "เฮะ? มาถึงแล้วเรอะ อยู่ไหน" เสียงคนแก่หงำเหงือกที่ไม่ยอมตายสักทีทักทันใด "อย่าบอกนะว่าเครื่องขนย้ายฯนั่นน่ะเจ๊งไปแล้ว...รุ่นทดลองเบอร์เนลลี 1.0 จะพังไปก็ไม่แปลกหรอก"


                ชายปริศนาหน้ามืด...สรุปว่าไอ้เครื่องเวรที่รับคำสั่งให้โผล่ไปหน้าประตูเมือง แต่ดันรวนหย่อนระเบิดแถวๆกำแพงโบราณด่านนอกนี่ เป็นรุ่นทดลองของเครื่องขนย้ายฯเก๋ากึ้กตั้งแต่สมัยริเริ่มคิดค้นหรอกเรอะ!


                อาการนิ่งไม่ตอบเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฟาก
    "เออๆ ไม่ต้องพูดต่อ รู้แล้วว่าอยู่ไหน เดี๋ยวข้าจะไปรับนะหนูน้อย อย่าใช้นาฬิกานั่นมากนักล่ะ เดี๋ยวไฟชอร์ตขึ้นมาอนาคตจะดับวูบ"


                เปรี๊ยะ...วูบ!


                เหมือนวาจาสิทธิ์ของกษัตริย์โบราณ หลังพล่ามจบ นาฬิกาก็ดับวูบ จอมืดสนิทไปในทันที!!


                ชายในชุดคลุมสีน้ำตาลอ่อนเริ่มรู้สึกตัวจริงจังว่าเดือดร้อน แต่หนทางเดียวที่ทำได้คือรออยู่เฉยๆ คล้ายเจ้าหญิงคนงามผมยาวสลวยร่างระหง บนหอคอยมืดมนสูงลิบ ที่ครวญเพลงเสียงหวาน หวังให้มีเจ้าชายหนุ่มรูปหล่อขี่ม้าขาวกวัดแกว่งดาบวาววับ มาปลดปล่อยเธอจากการคุมขัง ของยายแม่มดแก่หง่อมหนังเหี่ยวยานใจชั่วโฉดทมิฬหินชาติ...


                เหมือนจะเป็นความคิดที่ดี

     

                แต่...เมื่อจิตสำนึกเริ่มทำงาน ร่างในชุดคลุมกันลมจึงเริ่มย่ำฝ่าผืนดินกึ่งแล้งและลมปนทรายแสบผิว เพราะอย่างน้อยการเดินต้วมเตี้ยมก็น่าจะให้ผลดีกว่ารอคอยให้พ่อมดสุดอู้มาพาตัวเองไปยังจุดหมายด้วยความหวัง ซึ่งบัดนี้กระฉอกหายไปกับชีวิตของนาฬิกาเรือนรักแล้ว

     

                ชายต่างถิ่นผู้มาจากสภาฯแห่งรีบอลโดซ์ก้มหน้าหลับตาย่ำเท้าต๊อกๆ โดยไม่มองสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่มองทาง และไม่ได้ดูพื้นที่เท้าตัวเองเหยียบย่ำลงไป ซึ่งนับว่าดีมาก เพราะหากเขาลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่ บรรยากาศจะไม่ต่างอะไรกับการวิ่งด้วยความเร็วประมาณเจ็ดร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งที่ผู้เดินทางไม่รู้สึก แต่มีพลังจากภายนอกมาทำให้มิติระยะทางสัมพัทธ์เปลี่ยนมาตรฐานไป


                แม้ไม่มีใครรู้ ประกอบกระทั่งอาคันตุกะหนุ่มก็ยังไม่นึกเอะใจ


                อย่างไรก็ตาม...
    'เจ้าชาย' ก็ได้ปฏิบัติงานของตนแล้ว
     

    ø

     

                สภาพนครเนฟัลธอสหลังเวลาสิบห้านาฬิกาไม่ต่างอะไรกับเมืองร้าง ไม่มีประชาชนธรรมดากล้าออกมาเดินตามท้องถนน เหลือเพียงเหล่าผู้พิทักษ์นคราจากห้าสถานีฯใหญ่ ผู้พิทักษ์ในเครื่องแบบสีม่วงอัญชันเดินตรวจตราตามทางแน่นขนัด ในมือของพวกเขาไม่มีอาวุธใดๆ นอกเหนือจากปืนพกตามปกติ และวิทยุสื่อสารแบบเดิมๆ


                หน้าที่ของผู้ตรวจตราเหล่านี้ก็คือ ทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครออกมาจากบ้านตั้งแต่เวลานี้จนถึงหกนาฬิกาในวันถัดไป...แม้ไม่รู้สาเหตุแต่ก็ต้องทำ ห้ามปริปากบ่น ที่สำคัญคือ มีข่าวจากที่ปรึกษาของท่านเจ้าเมืองว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการเฉลิมฉลองบางอย่างแด่ท่านเจ้าเมืองและอาคันตุกะจากต่างแดน ฉะนั้นหากอาคันตุกะผู้นั้นประสงค์จะสัญจรบนทางหลวง ก็จำต้องมีการอารักขา เบื้องต้นคือให้ประชาชนชั้นในงดใช้ทางทุกกรณี ส่วนในชั้นนอกของเมืองจะจำกัดการใช้เพียงถนนบางสายเท่านั้น


                ทางด้านผู้บัญชาการอัศวินหนุ่มวัยขึ้นเลขสี่นาม วูล์ฟกัง เอสเมอรัลด้า ก็กลับฮึดขยันขึ้นมาผิดปรกติวิสัย ชายร่างสูงที่นานครั้งจะมีบุคลิกองอาจบัดนี้อยู่บนหลังม้าสีน้ำตาลเข้ม คุมหน่วยผู้พิทักษ์ที่เขาเป็นผ.บ.รักษาการณ์ เคลียร์ถนนหนทางบริเวณสถานราชการชั้นสอง ศีรษะสวมหมวกเกราะทรงเหลี่ยมสีเงินด้าน คลุมกายด้วยผ้าสีดำปักลายสีขาวรูปดวงอาทิตย์รัศมีเจิดจ้า


                ในขณะเดียวกัน ขุนนางจากเขตเหนือ มาร์ควิซ เจมิไน ทีกริด กำลังสั่งคนงานจากเขตโลเธนซาที่เดินทางผ่านจุดเคลื่อนย้ายของหมายเลขสิบเก้าเจ้าเก่าให้ประดับประดาชั้นสองด้วยผ้าหลากสี ส่วนเคาน์เตสผู้งามสง่าอีกคนก็กำลังยืนกอดอกชมเจ้าหน้าที่ของตนจัดดอกไม้พราวแสงริมถนนใหญ่


                เวลานี้ เขตสถานราชการชั้นสองซึ่งได้รับคำสั่งให้ปิดทำการ ได้กลายสภาพเป็นสรวงสวรรค์ผักชีโรยหน้าไปเสียแล้ว...โดยท่านเจ้าเมืองไม่มีโอกาสแม้แต่จะล่วงรู้การตระเตรียมงาน


                ชายร่างบางยิ้มกริ่มให้กับทั้งมหานครจากหอระวังภัยของประตูเมืองชั้นสอง เขากลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อจินตนาการสีหน้าของบุคคลสำคัญของเมือง ทันทีที่พบว่า ทั่วทั้งเมืองชั้นในนั้น มีรูปถ่ายท่านดยุคขนาดสองเท่าของตัวจริง แปะหราอยู่ทุกประตูหน้า ราวกับเป็นยันต์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น

     

     

                ในปราสาทแห่งเนฟัลธอส โต๊ะทำงานของท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าผู้ครองเนฟัลธอส ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ ซึ่งก็คือคนที่นอนแผ่เหมือนปลากระแบนตากแห้งอยู่ตรงนั้นเอง ความคิดของท่านโลดแล่นในเกมจับผิด ที่จับอย่างไรความผิดปกติก็ยังล้นเหลืออีกเป็นตัน


                ที่ปรึกษาส่วนตัวนำจดหมายนี้มาให้ท่านโดยบอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน...แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเร่งด่วน หากยังอ่านข้อความไม่ออก หน้าที่หนึ่งของการตกอยู่ใต้เงื้อมมือของเจ้าเมืองเนฟัลธอสคือ ต้องตรวจสอบทุกอย่าง ฉะนั้นหากมีข้อบกพร่องอันเป็นอุปสรรคในการสื่อสาร ย่อมต้องแก้ไขก่อนส่งผ่านสายตา


                ต่อมา...เหตุการณ์เมื่อยามเที่ยง

     

              "ข้าได้ยินว่าเจ้าไขปริศนาเรื่องหนึ่งไม่ออกอยู่ใช่ไหม? ที่ปรึกษาสุดที่รักของเจ้าบอกข้ามาน่ะ"


              "และข้าได้ยินมาว่า ปริศนานั่นเกี่ยวกับภาษาแปลกๆที่อ่านไม่ออก ดังนั้นข้าก็เลยอยากจะช่วยเจ้า...อย่างน้อยข้าก็เป็นเสนาบดีไอซีที คิดว่าน่าจะทำอะไรได้อยู่บ้าง


                เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องนึกต่อ

     

                บทสนทนานั่นไม่เข้ากับลักษณะนิสัยของเจย์ เป็นไปไม่ได้ที่เจย์จะอาสาช่วยเหลือท่าน และจากคำของเจย์ ที่ปรึกษาของท่านไปบอกว่ามีจดหมายมา ทั้งที่กระทรวงไอซีทีไม่มีธุระกงการอะไร หากเจย์จะมาช่วย นั่นถือเป็นการหักหน้านักถอดรหัสประจำเมืองอย่างไม่อาจให้อภัยได้


                ดังนั้น จุดประสงค์ที่เกิดเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยง จึงน่าจะเพราะมีใครบางคนต้องการให้องคมนตรีของท่านมารวมตัวกัน เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ที่ก็ยังไม่อาจทราบ


                อีกประเด็น
    เรื่องในสวนเมื่อตอนบ่าย หากพ่อมดหมายเลขสิบเก้า ถูกส่งมาจากลอสสอธจริงๆ เขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้บุกรุกเขตราชสถานเป็นอันขาด ด้วยข่ายกันมนตร์ภายนอกของพระมหาคูบัว เจ้าแห่งเวทย์ป้องกันทั้งมวล ผู้ที่จะสามารถเปิดข่ายป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ใช้มนตราคือกลุ่มองคมนตรี ตัวท่านเอง และที่ปรึกษา...หากพ่อมดลอสสอธจะเข้ามา ย่อมต้องผ่านการรับรู้ของคนเหล่านี้ แต่ตัวท่านเองกลับไม่รู้


                คิดอีกที ท่านไม่ได้เห็นที่ปรึกษาของท่านเลยตั้งแต่เช้า กระทั่งตอนเข้ามาดูภาพชุลมุนวุ่นวายเมื่อกี้ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา


                ...ดังนี้ สันหลังของท่านดยุคก็เย็นวาบเหมือนใครเอาไนโตรเจนเหลวมาราดบาดเข้ากระดูก เนื้อแทบลอกเป็นชิ้นๆ ม่านตาเบิกกว้างด้วยความสะพรึง ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริก ฟันขาวกระทบกึกๆ ราวหลงทางกลางแผ่นน้ำแข็งทางเหนือ แล้วมีหมีขาวตัวยักษ์กระโจนตะปบขย้ำเป็นภักษาหาร


                ท่านเจ้าเมืองมองไปด้านหน้า ในความมืดมิดที่ท่านเป็นคนบัญชาต่อมหาดเล็ก มีเงาตะคุ่มของบางอย่างอยู่หลังช่องประตูที่ลืมปิด ฝีเท้าของมันหนัก และย่างใกล้เข้ามาทุกที ร่างของมันสูงกว่าท่านราวสามเท่า ทุกย่างก้าวมีเสียงดังกังวานคล้ายโลหะกระทบกับพื้น


                แสงสว่างที่ลอดผ่านจากช่องเล็กจำนวนมากทำให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นยานพาหนะประหลาดทรงกลม ทำด้วยโลหะสีเงินด้านไร้รอยเชื่อมต่อ หน้าต่างติดฟิล์มหนาปรากฏเป็นแถบกลางตัวยาน มีขาเดินทำด้วยโลหะเงาวับต่อกันด้วยสลัก ตัวเท้าเป็นแผ่นโลหะทนแรงกระแทกสีดำมันวาว ที่น่าจะเป็นวัสดุเดียวกับพระแสงดาบประจำราชวงศ์บาแนลล์

     

              เสียงโลหะกระทบครั้งสุดท้ายดึงกึง เจ้าสิ่งประหลาดหยุดลงตรงหน้า ควันขุ่นลอยฟู่ ดยุคหนุ่มเพ่งพิศพร้อมตัดความคิดเตลิดเปิดเปิง ทันใดส่วนที่น่าจะเป็นปากของมันก็เปิดอ้า! ลิ้นยาวแข็งแลบออกมา ปะทะกับพื้นดังสนั่น แสงสว่างจางๆวาบจากช่องปากเผยให้เห็นร่างหนึ่งยืนทอดเงา พลันร่างนั้นก็เคลื่อนมาตามพื้นเอียงลาดลื่น เข้าประชิดตัวท่านเจ้าเมืองในชั่วพริบตา


                "ข้าขอกราบสวัสดีท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ ณ เนฟัลธอส" เสียงแหบทุ้มบาดหูกล่าวในความมืดที่มีฉากหลังเป็นยานทรงกลมกับแสงหลอนๆรำไร


               
    "ท...ท่านเป็นใคร!?!" ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ชี้นิ้วร้องเสียงหลง ถอยกรูดสุดขอบโต๊ะแคบๆ อำนาจการตะโกนของท่านเจ้าเมืองจุดโคมทั้งหมดในปราสาทให้สว่างพรึ่บพร้อมกัน แสงนวลวูบไหว สะท้อนร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่สูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร ผมดำแซมเงินสั้นเกรียนแบบทหารหมวกเกราะ นัยน์ตาสีดำสนิทวาววับเบื้องหลังแว่นตากรอบสีเงิน ชายผู้นี้ค่อนข้างผอม ผิวสีแทนผิดจากชาวรีบอลโดซ์ทั่วไป และที่สำคัญคือ เขามีรัศมีของนักวิชาการเปล่งประกายเจิดจ้า...


               
    "ข้าพเจ้าคือ แพลอส เซรูลีน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งแคว้นรีบอลโดซ์ ได้เดินทางมาในฐานะผู้แทนของท่านนายกรัฐมนตรี วาเลนทิน เทอเร็น เพื่อตอบตกลงในสาส์นฉบับก่อนของท่านขอรับ..." นักวิชาการผิวสีกล่าวช้าๆด้วยน้ำเสียงทางการมากๆ...ร่ายอารัมภบทยืดเยื้อยาวนาน แล้วจึงเข้าสู่เนื้อหาอีกเกือบสิบนาที ซึ่งเมื่อจับใจความแล้ว ก็ได้ไม่มากไปกว่าส่วนนำเรื่องไม่กี่ประโยคแรกเท่าใด


                ท่านเจ้าเมืองลงจากโต๊ะมายืนตัวตรงระหว่างฟังคำบรรยายชวนง่วง พลางปาดเหงื่อที่เพิ่งแตกพลั่กให้พ้นหน้าผาก รอยยิ้มเครียดๆลอบผุด

     

                แพลอส เซรูลีน อยู่ที่นี่...แล้วรีบอลโดซ์ที่ไหนมันจะยิงหัวรบนิวเคลียร์มาถล่มกันรึ?


                เมื่อการบรรยายวิชาการว่าด้วยการตอบตกลงจบลง ท่านก็จำต้องกล่าว "ข้าขอขอบคุณท่านมากที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลถึงสถานที่แห่งนี้" ปากพูดไป ใจเตลิด "และยินดีอย่างยิ่งที่แคว้นของเราทั้งสองร่วมอุดมการณ์เป็นหนึ่งเดียว"

     

                นายเซรูลีนทำหน้านิ่งตอบรับ คุยต่อกันอีกสองสามคำตามมารยาท ก่อนชักสีหน้าลังเลแปลกๆชวนสงสัย พลันลองถาม "แล้ว...ไม่ทราบว่าท่านดยุคได้พบกับท่านทวด...เอ่อ พ่อมดประจำราชสำนักแห่งดัชเชสเรเนียหรือยังขอรับ"


                ใบหน้าและน้ำเสียงกวนประสาทโผล่ขึ้นในบัดดล ท่านเจ้าเมืองตอบรับ


                ...แต่เอ๊ะ
    "ทวด!?" หลุดอุทานด้วยความลืมตน


                รัฐมนตรีแพลอสค้อมศีรษะด้วยอาการคล้ายสำนึกที่พลั้งพูดอะไรออกไปเช่นกัน
    "ขอรับ...ท่านผู้นั้นมีนามว่า เออาร์ธอร์น เซรูลีน แห่งลอสสอธ พ่อมดประจำราชสำนักแห่งองค์ดัชเชสเรเนีย"


                ดยุคหนุ่มผงะ คิ้วสีจางเริ่มขมวดเป็นปมยุ่ง ทว่าแพลอสกลับยิ้ม อย่างมีมารยาท "ท่านอาจไม่เคยได้ยินนามที่แท้จริงของเขา แต่ท่านอาจเคยสดับสมญา 'พ่อมดหมายเลข 19' มาก่อน นั่นเป็นสมญานามที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อเรียกขาน" ทั้งหมดคือคำอธิบาย แม้ว่าจะไม่ได้อธิบายถึงความเกี่ยวพันทางสายเลือดว่าพ่อมดพิลึกว่าเป็นทวดของรัฐมนตรีกระทรวงวิทย์รีบอลโดซ์ได้ยังไง


                สงสัยเรื่องนี้ และสงสัยอีกอย่างว่ารัฐมนตรีแห่งรีบอลโดซ์มีพาหนะเป็นเจ้ายานประหลาดสีเงินที่บุกเข้ามาถึงเป้าหมายกันทุกคนเลยหรือ ...อย่างไรก็ตามความสงสัยเหล่านั้นก็เลือนหายไป สงสัยก็ฝ่ายสงสัย แต่หมู่นี้เรื่องประหลาดมันเกิดขึ้นกับท่านมากเกินพิกัด จนรู้ว่า จะได้คำตอบก็ต่อเมื่อคนต้นเรื่องอยากจะเฉลยเองเท่านั้น


                สภาวการณ์นี้ควรจะมีการต้อนรับอย่างที่ปฏิบัติต่อเอกอัครราชทูตจากต่างแดน หากสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองทำได้มีเพียงกะพริบตาวิ้งๆยืนยิ้มหวาน แล้วรีบหันหลังไปอีกทางเพื่อซ่อนอารมณ์ตนจากคนตรงหน้า


                หนุ่มหน้าหวานกำหมัดแน่น กัดฟันกรอด ด้วยความกรุ่นโกรธ


              ...สรุปว่าทั้งหมดก่อนหน้านี้คือแผนตบตาโดยที่ปรึกษาของท่านเองล่ะสินะ
    !?
     

    ø


                อีกด้านหนึ่งของมหานคร

     

                พ่อมดแสนดีผู้น่ารักหมายเลขสิบเก้า กำลังปฏิบัติตามหน้าที่ลึกลับซับซ้อนที่ได้รับการจ้างวานมาอยู่นั่นเอง...ด้วยเหตุว่าในโลกที่กำลังจะกลายเป็นทุนนิยมเสรีนี้ไม่มีอะไรจีรัง ฉะนั้นถ้ามีเงินมาใช้จ่ายได้สะดวกมือก็จะดีกว่า

     

                อุดมการณ์มีไว้ทำไมมี เงินต่างหากสำคัญที่สุด


                มองไปเบื้องหน้า ชายหนุ่มอายุเก่าแก่กว่าห้าร้อยปีก็นึกขำ ร่างสูงผอมนั้นกำลังเดินท่อมๆเข้าหากำแพงมหานครฝั่งเหนือ โดยไม่ได้ดูเลยว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วตนกำลังยืนอยู่ที่ไหน พอมาตอนนี้เงยหน้าขึ้นมองเห็นกำแพงสูงอันเกรียงไกร ก็ยังไม่สะทกสะท้านอะไรอยู่ดี ราวกับต่อมความรู้สึกตื่นตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงรอบกายได้เสื่อมสภาพไปนานแล้ว


               
    "เฮ้ย! ไอ้ที่ยืนขำอยู่บนนั้นน่ะ ลงมารับข้าซะ" เสียงแหบๆโทนโมโหตะโกนสั่งอย่างเคยตัวพร้อมรัวด่าตามระเบียบจนผู้ถูกเรียกสะดุ้ง...คนคนนี้เป็นพวกหูไวตาไวเกินขนาด ถึงจะห่างระยะทางรวมเกือบกิโลเมตร ก็ยังดูรู้ว่าเป็นใคร และกำลังพูดอะไรอยู่ ช่างน่ากลัวนัก


                ร่างในชุดคลุมสีจางที่กำลังยืนด่าอยู่นอกกำแพงหายวับในพริบตา เกิดเสียงแหวกอากาศเสียดหู พร้อมกับการปรากฏกายของบุรุษคนเดิมอีกครั้งเหนือกำแพงชั้นนอกสุดแห่งเนฟัลธอส
    จุดเคลื่อนย้ายหมายเลขสิบเก้าทำงานของมันอีกตามเคย โดยไม่ได้สนใจไยดีถึงความยินยอมพร้อมใจของผู้ใช้บริการเลย สักนิด


                "สวัสดี ท่านอาจารย์เครไนท์ น้ำเสียงที่เอ่ยทักนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง จริงๆนะ เขาเป็นห่วงจริงจริ๊ง...แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่รับมุข ดวงหน้าใต้เงาฮู้ดนั้นไม่ต้องดูก็รู้ว่าคงมู่ทู่บึ้งตึง

     

                "พาข้าไปหาท่านเซรูลีนซะทีสิ" ท่านอาจารย์เครไนท์กัดฟันกรอดขณะยกมือขึ้นขยับแว่นกรอบดำบางให้เข้าที่


               
    "อ้าว ก็ข้าไงท่านเซรูลีน"


               
    "ไอ้..." คำสบถด่าทอยาวเหยียดนั้นหยาบคายเกินกว่าจะเล่าได้ หากสิ่งตอบรับบนใบหน้าของ 'ท่านเซรูลีน' นั้นกลับเป็นรอยยิ้มปานน้ำหวานสุธารสทิพย์เจือด้วยกลิ่นเลือดและไฮโดรเจนไซยาไนด์จากปีศาจผู้ชั่วร้ายใต้นรกภูมิขุมที่ 18 ราวพันกิโลเมตร ที่ทำเอาคนร่ายบทสรรเสริญเมื่อครู่ต้องสะดุดถอยหลังไปสองสามก้าว ลังเลว่าจะวิ่งหนีไปตอนนี้ดีหรือไม่ดี


                ทว่าไม่ทันได้ตัดสินใจ...เวทชุดเดิมก็ถูกร่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ความมืดและโลกหมุนๆเข้าครอบงำประสาทสัมผัสทั้งมวลอีกครั้ง


                และ

     

                เสียงอะไรบางอย่างระเบิดออก ชิ้นส่วนของสิ่งนั้นปะทะกำแพงแข็งดังโครม!


                "อ๊าก! ยานข้า!!!" เสียงคุ้นๆหูร้องโหยหวนเหมือนนักโทษประหารที่ถูกเชือดเนื้อแล่หนังพร้อมโรยเกลือราดน้ำกรด หวังทรมานจนตาย


               
    "อ๊า...วันนี้มันอะไรกันเนี่ย!" ใครอีกคนในห้องนั้นร้องลั่นอย่างอับจนในชะตาชีวิต


                ...ก็จะไม่ให้ร้องอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อจุดที่มาปรากฏตัวในปราสาทนั้นเป็นบริเวณห้องทำงานของท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ แถมยังทำร้ายร่างกายยานเคลื่อนย้ายมวลสารเบอร์เนลลี 2.0 รุ่นล่าสุดสุดที่รักของท่านแพลอส เซรูลีน เพราะดันผ่ามาลงพอดีใจกลางยาน อากาศที่แหวกออกไปด้วยแรงมหาศาลจึงกระแทกโลหะแกร่งกล้าเสียยับเยิน


                รีบอลโดซ์สูญเสียเทคโนโลยีรุ่นแรกและรุ่นล่าสุดไปติดๆกันในระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมง


                ต้นเหตุทำได้แค่หัวเราะแหะๆ ส่วนผู้มาเยือนอีกคนกลับทรุดลงอาเจียนไม่เป็นท่าเพราะการเคลื่อนย้ายฉับพลันด้วยเวทติดๆกันในเวลาไม่ถึงนาที ในขณะที่รัฐมนตรีแพลอส แขกผู้ได้รับเชิญจากต่างเมืองกำลังน้ำตานองหน้า ไขว่คว้าชีวิตของเบอร์เนลลี 2.0 ที่ถูกพรากจากไป ด้วยน้ำมือของพ่อมดฝีมือฉกาจ ทิ้งให้ท่านเจ้าของห้องเหม่อมองไร้วิญญาณกับฝุ่นธุลีที่ฟุ้งทั่วกัน


                สายตาทั้งสามคู่จ้องมองไปยังคนคนเดียว...


               
    "เอ่อ...ค่อยๆคุยกันดีๆก็ได้นะ" พ่อมดผู้ยิ่งยงถอยกรูดไปทางประตู ทว่าหนทางหนีนั้นกลับถูกปิดเนื่องจากใครคนหนึ่งยืนขวางอยู่ ร่างสูงหันหลังกลับไป พบว่าใครคนนั้นเป็นชายผู้มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าสตรี แต่นัยน์ตาดำขลับกลับจ้องมองแบบกินเลือดกินเนื้อเป็นคู่ที่สี่


               
    "ทำอะไรลงไปน่ะ...คุณเออาร์ธอร์น เซรูลีน!!" บุรุษรูปงามเค้นเสียงอย่างน่าสะพรึงกลัวที่สุด พ่อมดสะดุ้งสุดตัว ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงของคนคนนี้หรอก แต่เพราะชื่อ...ชื่อที่เขาเลี่ยงจะไม่ใช้ เนื่องจากมันทำให้หวนคิดไปถึงใครคนหนึ่งที่จากไปเมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบัน เมื่อใดที่ได้ยินชื่อนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ดีๆแน่แท้ทีเดียวเชียว


                แววตาที่ส่องสะท้อนวาววับเหมือนพยัคฆ์ร้ายจะขย้ำเหยื่อ


             
    "ตอบมาสิครับ!! จดหมายนั่นน่ะ...คุณอ่านอะไรให้พวกเขาฟังกันแน่!!!"


                โอ้ลัลล้า นั่นไงล่ะ


                กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ

     

                มนุษย์ต่างสายพันธุ์ที่สูงเกือบสองเมตรอายุเก่าแก่กว่าโบราณสถานทั่วไปแทบจะเบ้ปากร้องไห้เมื่อได้ยินคำเค้นความจริงจากคนงามแสนงาม แต่ด้วยความรับผิดชอบที่มีอยู่เต็มตัวทั่วไปทุกอณูในทุกๆเซลล์ จึงทำให้เอ่ยข้อความหนึ่งโดยไม่คิด "เรียกทุกคนที่ฟังเมื่อกี้มาสิ แล้วข้าจะอธิบายให้ฟังเอง" ว่าจบก็เอียงคอน้อยๆ ส่งยิ้มสดใสหวังคลายความเครียด


              ทว่า... "เป็นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ!" เสียงแหบห้าวน่าสะพรึงดังมาจากด้านหลัง ม่านตาสีน้ำทะเลกลอกกลับไป ในมือของญาติผู้มีศักดิ์เป็นเหลนมีปืนสั้นอยู่กระบอกหนึ่ง


               
    "ใช่" ท่านอาจารย์เครไนท์เสริม พลันแย่งปืนกระบอกนั้นจากเพื่อนร่วมแคว้นมาถือด้วยสองมือ เลเซอร์นำวิถีเล็งบริเวณทัดดอกไม้อย่างแม่นยำ นิ้วผอมเรียวขยับปลดเซฟ แตะแผ่วเบาที่ไก...


                คนทำเรื่องป่วนช็อกค้าง มองหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่พบ จะลอบหลบกระสุนก็ไม่ได้เพราะมีลำแสงนำวิถี จำตัดสินใจ ยกมือทั้งสองขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ "ก็ได้ๆ"


                เครไนท์ลดปืนลงแล้วส่งต่อให้เจ้าของที่กำลังยืนทำหน้าถมึงทึงไม่แตกต่าง


               
    "รีบพูดเถอะท่าน" เจ้าของบ้านรีบพูดทันทีที่หายจากอาการอึ้ง


                ...พ่อมดหมายเลขสิบเก้ารีบสูดลมหายใจเข้าลึกปลอบขวัญตัวเอง...


                และแล้ว เจ้าจดหมายเก๊ๆที่อ่านออกไปเมื่อเกือบสองชั่วโมงก่อน ก็ถูกกลั่นกรองผ่านปากแต่ไม่ผ่านสมอง ถ่ายทอดสู่ผู้รับฟังทั้งสี่ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกทุกโลก...
     

    ø

     

                ทันทีที่ฟังจบ ใครบางคนก็เคาะประตูสุดแรง ก่อนเปิดพรวดเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต

     

                ท่านซีทีครับ แล้วจะให้เปิดถนนได้เมื่อไหร่?!” พูดด้วยเสียงอันดัง แม้ยังไม่ทันสังเกตสิ่งแวดล้อม ทุกคนในห้องหันไปมอง...ร่างเล็กล่ำสันของท่านมาร์ควิซดูโดดเด่นเหนือคำบรรยาย ซึ่งเขาก็ไม่รั้งรอจะให้ใครเอ่ยถาม จึงตีหน้ายิ้มอ่อนโยนหัวเราะแหะๆแล้วกระชากประตูปิดดังปัง

     

                ชาวรีบอลโดซ์ทั้งสองชักสีหน้าแปลกๆ สมองเฉียบแหลมครุ่นคิดว่องไว แต่อากัปกิริยานั้นไม่อาจรอดจากสายตาของท่านที่ปรึกษา ที่เพิ่งเสียท่ากับแผนการที่ผิดพลาดไปหลายส่วนจนเสียงบเกินกำหนด...หากปล่อยให้ผู้มาเยือนนึกระแวงการเป็นพันธมิตรอันเปิดเผยแล้ว รีบอลโดซ์อาจไม่ใช่มิตรที่ดีโดยตลอดนัก


                ท่านที่ปรึกษาถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตีหน้ารำคาญนั่งลงโครมบนเก้าอี้บุนวมตัวเดียวในห้องทำงานของเจ้าเมืองหนุ่ม

     

                ฝ่ายรีบอลโดซ์บอกว่าจะมาวันที่ห้า แต่กลับส่งจดหมายด่วนเปลี่ยนแผน และมาก่อนเวลาหลายวัน...สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? อาจหมายถึงว่าต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วและลับที่สุด ถึงขั้นว่าไม่อาจทำตามกำหนดการได้เพราะอาจมีใครอื่นล่วงรู้ หรือบางทีอาจเพราะมีเรื่องวุ่นวายที่ไม่อาจเปิดเผยอยู่ในรีบอลโดซ์ จึงต้องรีบเพื่อขอความช่วยเหลือบางอย่าง...

     

                ทั้งสองข้อสันนิษฐานล้วนไม่ใช่เรื่องดี


               
    "ที่จริงแล้วผมวางแผนจะจัดงานเฉลิมฉลองในเมืองเป็นการต้อนรับท่านผู้มาเยือนทั้งสอง ที่จะมาให้การสนับสนุนเรื่องทุนวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลครับ" เรียวปากสวยเริ่มว่าตามความคิดที่โลดแล่นรวดเร็ว "ผมจึงจำต้องกำกับดูแลให้องคมนตรีทั้งสิบเอ็ดทำงานในเวลาอันจำกัด และนั่นหมายถึงต้องไม่มีใครรบกวนพวกเขา ไม่เว้นประชาชนในเมือง และท่านดยุคเอง"


                ดวงตาไล่สังเกตสีหน้า พูดช้าๆน่าเชื่อถือ หมายปัดความผิดจากตัว "แต่พ่อมดหมายเลขสิบเก้ากลับ...เปิดเผยสาส์นนั้นต่อองคมนตรี แม้จะผ่านการดัดแปลงก็จริงอยู่ แต่นั่นย่อมทำให้ผู้มีปัญญาในที่นั้น ซึ่งเราไม่รู้ว่าใคร คาดได้แน่ถึงปฏิกิริยาของรีบอลโดซ์ การเป็นพันธมิตรของท่านจะล่วงรู้ถึงพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน"


               
    "นั่นไม่แปลก..." ท่านอาจารย์เครไนท์ขัดขึ้น ราวไม่สังเกตนัยที่สื่อไปเมื่อครู่ หรืออาจเพราะนัยนั้นเป็นที่คาดการณ์อยู่แล้ว "ช้าก่อนท่านที่ปรึกษา ไม่ทราบว่า ท่านทราบหรือไม่ เรื่องที่พ่อมดหมายเลขสิบเก้ารับงานดูแลความปลอดภัยของทูตแห่งรีบอลโดซ์คือข้าและท่านเซรูลีน"


                แววตาที่ฉายชัดด้วยความประหลาดระคนตระหนกหมายความว่า 'ไม่รู้'


                "เอ๊ะ..." คราวนี้เป็นเสียงแหบๆจากรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์ "เรื่องแผนการของท่านน่ะช่างมันเถอะ แต่ข้าเขียนเรื่องท่านพ่อมด ระบุไปในจดหมายด้วยตนเองแล้ว"


                "แต่เดี๋ยว...ท่านเซรูลีน ท่านไม่ได้เข้ารหัสไว้ใช่ไหม? ทำไมผมอ่านแล้วไม่เห็นมีเรื่องนั้นเลย"


                "ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น ท่านที่ปรึกษาแห่งเนฟัลธอส"


                แววตาของที่ปรึกษาจอมบงการเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ไม่ต่างอะไรกับท่านเจ้าเมืองที่แทบจะน้ำลายฟูมปากถ้าไม่ระวังกิริยาต่อหน้าแขกบ้านแขกเมืองผู้เป็นเหยื่อทั้งสอง


                ดวงหน้าสวยกว่าสตรีกัดฟันกรอดอีกครั้ง


                พลันเสียงอะไรบางอย่างแหวกอากาศคล้ายระเบิดดังมาจากประตูห้องซึ่งบัดนี้กระจัดกระจายกลายเป็นเศษไม้ไปเรียบร้อย ร่างสูงๆของคนในชุดคลุมสีดำยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มแห้งแล้งอย่างสำนึกผิด...


                พ่อมดยืนนิ่งยิ้มพรายสะกดความสนใจอยู่เกือบสองนาที ก่อนตีหน้าขึงขัง
    "อันที่จริงคือจดหมายนั้นไม่ได้เข้ารหัส (เป็นการเปิดเผยว่าแอบฟังอยู่ตั้งแต่ต้น) และแน่นอนว่าเป็นภาษากลางของอาณาจักร ไม่ใช่ภาษาถิ่นรีบอลโดซ์"


               
    "แล้วมัน...อะไรกันครับ?" ที่ปรึกษาหนุ่มถามคำถามที่คนในห้องทั้งสี่อยากจะเอ่ย


                พลันพ่อมดหมายเลขสิบเก้ากับรัฐมนตรีแพลอสก็ทำหน้าปลงโลกก่อนจะเฉลยพร้อมๆกัน


               
    "ถ้าท่านเข้าใจผิดเพี้ยนได้อย่างนั้น คงเพราะลายมือของคนตระกูลเซรูลีนนั่นแหละ


              ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ยืนนิ่ง...ด้วยตกใจขนาดหนัก


               
    "ขอรับ ข้าอ่านลายมือของเหลนของหลานของปู่บุญธรรมของข้าออกไม่ทั้งหมด เลยไม่ทราบว่าในนั้นเอ่ยถึงข้าอยู่ด้วย" ลำดับญาติทำให้เริ่มงง แต่ดูเหมือนใจความจะกระจ่างแจ้งชัด


               
    "แต่ความผิดพลาดเรื่องวันเวลาของพวกข้าเป็นความจริง" เครไนท์ยอมรับ โดยแพลอส เซรูลีนไม่ได้ปฏิเสธ ซึ่งนั่นหมายถึงเป็นความจริงอย่างแน่แท้ หรืออย่างน้อยก็ดีกว่า 'จริง' ตามมาตรฐานของพ่อมดประจำราชสำนักแห่งลอสสอธคนนั้น "ทางรีบอลโดซ์ทดสอบเครื่องขนย้ายฯก่อนหนึ่งวัน แล้วบังเอิญเครื่องของข้าพังไปเมื่อมาถึงที่นี่ และท่านเซรูลีนก็โผล่มาผิดที่เลยกลับไปไม่ได้"

     

                แต่นั่นไม่ใช่ข้อยืนยันเรื่องการมาผิดวันเสียหน่อย...หรือจงใจให้รู้กันเช่นนี้อยู่แล้ว?


                รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ทำหน้าเบื่อโลก รับกระดาษจากผู้มีศักดิ์เป็นทวดมาอ่านเบาๆ

     

                "27 มีนาคม บาแนลล์ศักราช 943
                เรียน ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เบลเซบ, เวย์น
                ข้าพเจ้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งรีบอลโดซ์ แพลอส เซรูลีน ผู้แทนของนายกรัฐมนตรีแห่งรีบอลโดซ์ วาเลนทิน เทอเร็น น้อมรับสาส์นฉบับก่อนจากท่าน เนื่องด้วยแคว้นทั้งสองของเรามีอุดมการณ์หาต่างกันไม่ ห้าวันหลังจากวันที่ระบุข้างต้น ข้าพเจ้าจักเดินทางไปยังจรูญจรัสนครพร้อมกับรองนายกรัฐมนตรี อิซาค เครไนท์ โดยยานขนส่งเคลื่อนย้ายมวลสาร ยังบริเวณกำแพงเมืองเนฟัลธอส แลจักมีบุคคลผู้ดูแลการเดินทางครั้งนี้คือ เออาร์ธอร์น เซรูลีน ล่วงหน้าไปก่อน โปรดชี้แจงเรื่องราวในเจตนาของท่านให้เขาได้ทราบด้วยเถิด
               
    C., Palos"

     

                พื้นๆ เพียงนี้ เท่านั้น

     

                ท่านเจ้าเมืองแทบจะกรีดร้องด้วยความอนาถในดวงชะตาตน ไม่ต่างอะไรกับท่านที่ปรึกษาที่กุมขมับด้วยความเครียด แต่เครไนท์กลับทำสีหน้าเหมือนมีเมฆมืดมนมาบดบัง


               
    "เดี๋ยวนะ...ต้องมายังกำแพงเมืองเนฟัลธอสรึ? แล้วทำไมถึง..."


                "ข้าขออภัยด้วยจริงๆ เครื่องเบอร์เนลลีทั้งสองคงอ่านลายมือข้าผิดไปน่ะขอรับ" แพลอส เซรูลีนก้มหน้านิ่งดังเด็กๆ แต่คนนามสกุลเดียวกันที่แก่กว่ากลับหัวเราะอย่างหน้าไม่อาย


                "ทีหน้าทีหลังให้ข้าเขียนก็ได้นะ" รองนายกรัฐมนตรีแห่งรีบอลโดซ์ อิซาค เครไนท์ส่ายศีรษะเอือมระอา


                "ข้าต้องขออภัยด้วยเช่นกัน" พ่อมดค้อมคำนับตามประเพณีแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มกริ่มแบบเจ้าเล่ห์สุดๆ...แผนการสุดท้ายต้องทำให้สำเร็จคุ้มค่าจ้าง แม้ว่ามันจะทำให้ทั้งคนว่าจ้างเดือดร้อนก็ตาม ทว่าอย่างน้อยเขาก็คงรอดตัวจากความพิโรธของท่านเจ้าเมือง


                ร่างบุรุษที่บอบบางกว่าปกติทั้งสองถูกสองแขนแกร่งของพ่อมดกระชากให้เข้ามาใกล้กันก่อนที่เวทจะถูกร่ายผ่านสองมือจนคนทั้งคู่แน่นิ่ง ท่านที่ปรึกษาผู้สงบอยู่เกือบตลอดเวลาร้องลั่น หากมันสายไปเสียแล้ว ฉับพลันร่างในเงื้อมมือมัจจุราชหมายเลขสิบเก้าก็หายวับไปในหมอกควันสีทองระยิบระยับ

     

                บัดนี้ก็ปราศจากภัยรบกวนจากเนฟัลธอส หมายเลขสิบเก้าเปลี่ยนท่าทีจากเจ้าเล่ห์สู่จริงจัง...พึมพำคาถาสั้นๆป้องกันการลอบฟังชั่วขณะ อธิบายความว่า ที่เขาแจกแจงงานดังนั้นแก่องคมนตรีเป็นเพราะไม่ต้องการให้ว่างงานส่งใครมาแอบฟังต่างหาก

                ทว่า เมื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ ก็กลับต้องนึกถึงวันพรุ่งนี้ที่ยังไม่ได้วางแผนอะไรไว้...

                ...ขอกลับลอสสอธตอนนี้เลยได้ไหม องค์ดัชเชสเรเนีย?!

     

    ø

     

    The Letter from the Land Far-away ___End

     
    ++++++
    ยังงงๆอยู่ ดูเครียดเกินไปหน่อยด้วย ลักษณะว่าที่ปรึกษาวิตกจริตไปนิด แต่ก็ประมาณที่ลงน่ะแหละ
    ถึงจะรีไรท์ใหม่ก็คงไม่ต่างจากนี้มากนักหรอก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×