คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สายลมพัดพา
ตอนที่ 2: สายลมพัดพา
มองจากท้องฟ้ายามทิวามืดมิด ภายใต้จันทราครึ่งดวงทอแสง เมืองเอสพราเดลฝั่งใต้ดูดังผืนป่าดารดาษด้วยหิ่งห้อย แสงสว่างทอระยับจากเปลวไฟประดับหลากสี ปล่องไฟเล็กจ้อยส่งกลุ่มควันบดบังคล้ายม่านหมอกยามเช้า ต่ำลงคือถนนธารมนุษย์ที่หลั่งไหลจากทุกสารทิศเพื่อชมเทศกาลประลองศาสตราครั้งเดียวในรอบสิบปี
ความสุขสนุกสนานปลุกความรู้สึกปลอดภัยให้เอ่อท้น สิ่งพึงกังวลคงไม่ปรากฏในยามนี้ ด้วยนี่เป็นเทศกาลครั้งสำคัญที่เหล่ามิจฉาชนก็ควรหย่อนใจบ้างสักครา
ทว่า เกล็ดน้ำตาลหอมหวานนี้ หาได้ฉาบทาผลแอปเปิ้ลสดฉ่ำ...
แสงไฟริมทางส่องสว่างทั่วพื้นที่ แต่ไม่อาจทอดยังตรอกซอยมืดมิด งานรื่นเริงภายนอกเหนี่ยวรั้งความสนใจของผู้คนให้หยุดเพียงนั้น เชื่อแต่สิ่งที่ตนรับรู้ และเข้าใจว่าคงไม่เป็นอื่นอีก...สายตาที่มองล้วนถูกมอมเมาด้วยความรื่นรมย์ฉากหน้า เสพสิ่งงดงามจนไม่ระวังภัยใดๆ
สุดเส้นทางมืดมนสายหนึ่ง โลหิตแดงฉานหลั่งรินเงียบเชียบ ไหลหยดร่วงจากขอบหลังคาสู่พื้นนองน้ำเน่า คราบของเหลวสีแดงข้นกระจายในน้ำโสโครกสีเหลืองข้นเป็นฟอง เปลี่ยนกลิ่นพิษเหม็นคลุ้งให้เจือจานด้วยคาวเลือด
ชายร่างสูงเหลือบมองธารโลหิตข้นด้วยดวงตาที่วาววับต้องแสงจันทร์ดังหยาดน้ำฝนอันเย็นเยือก เขาย่อตัวลงคุกเข่าเพื่อสำรวจทุกกระเป๋าของร่างไร้ชีวิต หากไม่พบสิ่งใดต้องสงสัย จึงถอนใจยาว ผ่อนดวงจิตให้สงบนิ่ง และหลับตาลงชั่วขณะ ก่อนจะถอดถุงมือข้างขวาออกเหน็บกระเป๋าเสื้อ พลันใช้มือซ้ายปลดมีดพกจากเข็มขัดหนังหนาที่พะรุงพะรังด้วยอาวุธคล้ายกัน แล้วจึงกรีดใบโลหะสีแดงซีดกับหลังข้อต้นนิ้วกลาง เรียกเลือดหยดเล็กจากบาดแผล ไหลเลอะแหวนเงินคร่ำคร่าสลักรูปดวงอาทิตย์
ทันทีที่สัญลักษณ์หัวแหวนเรืองแสงแดงอ่อนจาง ปลายมีดพกสีคล้ายกันในมือซ้ายก็สัมผัสมันดังกริ๊ก
ชายในชุดเครื่องแบบเปื้อนเลือดกระชับหมวกคลุมศีรษะอย่างชาวใต้ ทอดลงมองศพที่ถูกเฉือนหลอดเลือดใหญ่บริเวณลำคอด้วยสายตาสงบนิ่ง พลันตวัดมีดพกสีแดงเรื่อเรืองปาดผ่านแอ่งโลหิตและผิวหนังบางส่วนของร่างที่จวนเจียนจะพลัดหล่นจากหลังคา
เขาเหยียดกายยืนตรงช้าๆ จ้องมองเปลวเพลิงที่วาบผ่านรอยบาดของคมมีดคล้ายมันเป็นเชื้อไฟชั้นดี ก่อนใช้เท้าเขี่ยแผ่นหลังหนาของร่างที่ถูกเผาผลาญทีละน้อย จนร่วงลงพ้นสายตา
บุรุษร่างสูงเพรียวดึงหมวกคลุมให้แน่นหนาอีกครั้ง หลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก...สะกดอารมณ์ทั้งมวลที่เผลอพลั้งให้ดับสูญ
กระแสอากาศหนาวเย็นพัดวูบ...เถ้าธุลีสาดโปรยจากซอกตึกว่างเปล่า
เขากำมือซ้ายแน่น แน่นจนสั่นเทา พลางย่อลงทิ้งน้ำหนักที่ขาขวา...
ทันใดก็หันหลังขวับ ซัดมีดพกในมือซ้ายพุ่งไปสุดกำลัง!
กล้ามเนื้อดีดให้ทั้งร่างทะยานไปเบื้องหน้า ฝ่าเปลวไฟร้อนแรงแดงฉานที่พวยพุ่งจากหน้าอกซ้ายของผู้ลอบติดตามอับโชค แผดเผาเร็วรี่เหลือเพียงเศษเถ้าร่วงกราว ในชั่วพริบตา ชายร่างสูงปราดกระชากมีดพกที่ลอยคว้างกลางอากาศมาถือไว้มั่นด้วยมือขวา พลันเสือกเข้ากลางหน้าผากของฝ่ายตรงข้ามที่ยังเหลืออยู่อีกคน!
ผู้โชคร้ายร้องโหยหวนได้เพียงไม่กี่วินาที ทั้งร่างก็ถูกเผาไหม้เป็นเศษฝุ่น
ชายร่างสูงยืนนิ่ง ขณะบรรจงถือมีดมรณะด้วยสองมือ คิ้วสีจางมุ่นเกร็ง กังวลถึงที่มาของศัตรูเหล่านี้...
ใครกันที่ส่งหน่วยลอบสังหารมาตามล่าตลอดเวลา?
ครั้งแรกที่ประสบนั้นเอาตัวแทบไม่รอด จนครั้งต่อๆมานั่นล่ะที่เริ่มคุ้นชิน กลายเป็นว่าทุกวันจันทร์ งานอดิเรกของเขาจะเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง...มันบ่อยเสียจนเขารู้วิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการรับมือหน่วยลอบสังหาร และยังได้รู้ถึงอำนาจซ่อนเร้นในศาสตราที่พกติดกายโดยบังเอิญอีกต่างหาก
ศัตรูอาจเปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีไป ทว่ามีหลายสิ่งที่เหมือนกัน ไม่มีใครมีหลักฐานแสดงตัวตน ไม่มีสิ่งของใดๆพกติดตัวนอกจากอาวุธ และดูเหมือนคนพวกนี้พร้อมจะสลายกลายเป็นธุลีได้ทุกเมื่อ เขาเคยลองพยายามเค้นความจริงดูหลายครั้ง หากคนเหล่านี้ก็ชิงกลายเป็นฝุ่นผงไปเสียก่อน โดยที่ไม่มีโอกาสได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเลย
ครั้งหลังๆ เขาจึงกำจัดพวกมันอย่างเร่งรีบ ด้วยไม่หวังจะได้รู้ความจริงใดๆอีกแล้ว...และเพื่อไม่ให้คนรอบข้างต้องมารับเคราะห์จากผู้คนลึกลับเหล่านี้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หากไม่นึกเอะใจแต่ในห้อง อาจมีผู้โชคร้ายถึงคราวชะตาขาดมากกว่าสาม
ชายร่างสูงทอดถอนใจ ปลดอาภรณ์คลุมกายภายนอกที่เปื้อนคราบเลือดออกทั้งหมด แล้วนำมีดพกที่ถือไว้ปาดผ่านทุกชิ้น...สะเก็ดไฟแลบชั่วขณะ ก่อนที่ชิ้นส่วนผ้าจะลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
มือขวาเปล่าเปลือยยกขึ้นปาดเหงื่อ เสยปอยผมสีจางที่ปรกตาขึ้น แล้วหันหลังเดินกลับสู่ถิ่นฐานของตน โดยไม่ใส่ใจซากจากการปะทะแม้แต่น้อย...ไม่แม้แต่จะเหลือบตากลับมามอง
เพราะนับแต่นี้ไปอีกเจ็ดวัน ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
เพราะทุกครั้ง...ละอองผลึกมนุษย์จะถูกสายลมบนหลังคาพัดพาให้หายไปในชั่วคืน
Y
เสียงบทเพลงรื่นเริงแห่งงานเทศกาลดังกระหึ่มทั่วเมืองเอสพราเดล
เครื่องดนตรีเฉพาะแคว้นส่งทำนองหลักแว่วหวาน คลอเคล้าจังหวะหนักแน่นของกลองสัญญาณการศึก...กองทัพในปรินซ์นิโคลัสและเหล่าคีตธรอิสระร่วมกันบรรเลงท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ปลุกเร้าอารมณ์สุขล้นหลากหลายให้เกิดขึ้นทุกผู้คน
พื้นอิฐสีจางกรอบนอกจัตุรัสกว้างคือเส้นแบ่งความนิ่งสงบจากความอึกทึกวุ่นวาย เว้นให้ลานน้ำพุเป็นแหล่งพักพิงของเหล่าผู้เหนื่อยล้า รูปสลักหินสีดำของเทพเจ้ากลางแอ่งน้ำพุกว้างดูสูงศักดิ์ชวนศรัทธาหากห่างไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง พุ่มดอกไม้สีส้มแดงขับให้ภาพรอบกายดูสดใสขึ้น ทว่าละอองจากสายน้ำเบื้องบนที่กระเซ็นต้องผิวกลับเย็นจับจิต
ร่างบางผอมในชุดคลุมกันลมสีน้ำตาลอ่อนนั่งทอดถอนใจอยู่ริมขอบน้ำพุกลางตลาด ม่านตาสีน้ำเงินกลมโตสวยสดลอบมองบรรยากาศโดยรอบเป็นระยะ แต่ไม่นานก็หลุบลงมองพื้น นิ่งเฉย ปล่อยให้คลื่นความคิดสับสนซัดถาโถม
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า?”
เสียงจากเบื้องหน้าเรียกให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ร่างเพรียวบางในเสื้อสีขาวปล่อยชายนอกกางเกงผ้าหนาสีกากีดูปราดเปรียวดังสายลมพัดพา ผืนผ้าคลุมสีดำพัดพลิ้วเปื้อนฝุ่นยาวถึงรองเท้าหนังด้านเข้ารูป โครงหน้าสวยคมขับผิวพรรณผุดผาดเรืองรองแม้หมวกคลุมศีรษะจะบดบังถึงดวงตา จมูกโด่งเรียวรับกับโหนกแก้ม ผมยาวสีดำดุจไข่มุกนิลร่วงลงเคลียปรกคางเล็กบางและลำคอระหงที่พ้นผืนผ้า และที่ดูโดดเด่นเหนืออื่นใดคือรอยยิ้ม...
ริมฝีปากแดงแย้มยิ้มงดงามจับใจ...
“ข้า...” ครั้นจะตอบก็ไม่อาจเรียบเรียงเนื้อความเป็นคำพูด เขาค้อมตัวลงเท้าศอกกับสองเข่า นิ่งเงียบ ทุกวลีที่อยากบอกจุกอัดในลำคอ
ด้วยกิริยาดังนี้ บุคคลตรงหน้าจึงเหยียดรอยยิ้มแสดงความมุ่งมั่น เดินเรื่อยลงนั่งไขว่ห้างเคียงกัน พลันเอียงศีรษะน้อยๆ เปล่งวาจาราวล่วงรู้ความคิด
“เจ้าเจอคนที่กำลังตามหาแล้วสินะ”
ทั่วกายกระตุกเกร็ง สองมือกำชายผ้าคลุม เรียวปากสีชมพูสดเม้มแน่น ก่อนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ และตอบรับสั้นๆ
“ใช่”
คนข้างตัวเอนหลังลง ใบหน้างามเงยขึ้นมองฟ้า “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ทำอย่างที่เคยบอกไปนั่นล่ะ ข้าไม่มีทางเลือก”
“ไม่มีใครอับจนหนทางขนาดนั้นหรอกน่า เพียงแต่ทางที่มีอยู่เจ้าอาจจะไม่อยากเลือกเท่านั้นเอง”
เพียงประโยคเดียวเสียดแทงจิตใจ หันไปจ้องตอบดวงตาสีเทาสว่างที่มองผ่านเงามัวอย่างผู้เหนือกว่าด้วยความขัดข้อง “ข้าทำมาแล้วทุกอย่าง...ทุกอย่างจริงๆ แต่ก็ไม่เคยช่วยอะไรได้เลย!” สูดหายใจเข้าแรงระงับอารมณ์ “ข้ามันสิ้นหวัง! สิ้นหวังแล้ว!! ข้าลงทุนเดิมพันชีวิตตนเองกับมันมาไม่รู้กี่ครั้งครา ในที่สุดก็อับจนปัญญาหาทางแก้ไข ถ้าครั้งนี้ยังไม่สำเร็จอีกข้าคง...”
นึกท้อถอย หมดเรี่ยวแรง ไม่อาจพูดต่อได้อีก ความทุกข์เศร้าสั่งสมแผดเผาจนน้ำใสเริ่มรื้นในตา
สัมผัสมือบางประคองใบหน้าแผ่วเบา เบือนให้หันมาจับจ้องดวงหน้างามทอแสงเรือง ขณะม่านตาสีเทาสุกสว่างมองลึกถึงที่สุดแห่งจิตใจของผู้ท้อแท้
นิ้วเรียวไล้เรือนผมขาวบริสุทธิ์พักหนึ่ง ก่อนโอบรั้งศีรษะของบุรุษผู้โดดเดี่ยวในทุกหนทางเข้ายังเนินอกนุ่ม ลำแขนใต้ผ้าขาวพาดผ่านแผ่นหลังขยับทั้งร่างให้แนบชิด ปลอบประโลมชายหนุ่มร่างผอมที่สั่นสะท้าน มอบกายบางเป็นที่พำนักให้หยาดน้ำตาอุ่นได้หลั่งริน
“นั่นมันเพราะเจ้าดื้อรั้นจะเก็บทุกสิ่งไว้แต่ผู้เดียวต่างหาก แม้คนอื่นจะไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยก็ยังพอช่วยอะไรได้บ้าง” ดวงตาดังดาราพรายปิดลง เรียวปากโค้งยังฉาบด้วยรอยยิ้มดุจแม่พระผู้อารี
“อย่าแบกรับทุกอย่างเพียงลำพังอีกเลย”
กลองสัญญาณศึกให้จังหวะหนักแน่นเคร่งขรึม
เสียงสะอื้นไห้ของชายผมขาวที่เงียบเชียบกว่ายามกระซิบ ถูกกลบด้วยสรรพเสียงกึกก้องของงานเทศกาลรื่นเริง เพลงประจำงานมีหมู่แตรประโคมเป็นพักๆ ประกอบให้สำเนียงฟังดูสนุกสนาน ขณะที่บทสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะแห่งความสุขของผู้คนรอบกายแว่วดัง...ผ่านสายลมพัดพา
ครั้นหยาดน้ำตาเริ่มเหือดแห้ง สตรีในชุดดำจึงจับสองบ่าให้ผละออก “นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ขืนมัวร้องไห้จนพลาดไปอีกครั้งจะเสียชื่อหมดนา” เธอหัวเราะเบาๆ โอบแขนขวารอบคอชายข้างกาย พยุงให้ลุกยืนช้าๆ มือซ้ายยกขึ้นเกลี่ยปาดความชื้นใต้ขอบตาคล้ำ แล้วจึงก้มหน้าลงมองสบตา พยักหน้าเป็นกำลังใจให้ด้วยท่าทางเชื่อมั่น
บุรุษผู้สิ้นหวังทำได้เพียงฝืนยิ้มเงียบๆ กระนั้นเขาก็ก้าวตามออกไป
ชายหนุ่มปัดปอยผมสีขาวปรกหน้าออก เงยหน้ามองสู่นภามืดมิด ดวงดาวเจิดจรัสทอแสงระยิบระยับ อาบแสงนวลของจันทราครึ่งดวงดุจดังเคย ดวงตะวันยังคงลับหาย และไม่มีวี่แววว่าจะหวนกลับมาในเร็ววัน
หากครานี้...กลับมีสองมืออบอุ่นคอยปลอบโยน
...หยิบยื่นแสงสว่างริบหรี่ท่ามกลางความมืดมิดอันเดียวดาย...
Y
ชายร่างสูงในชุดสีเข้มชุ่มเหงื่อเบียดผ่านผู้คนที่เดินสวนทางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมา มองซ้ายขวา แล้วค่อยๆลากเท้าเดินเลี่ยงออกจากย่านตลาดอันคับคั่งด้วยสีหน้าแปลกๆ
ทันทีที่หลุดพ้นจากความวุ่นวายมาอยู่ในซอยแคบระหว่างตึก ชายหนุ่มก็แตะมือยันกำแพงอิฐ ค้อมหลังลงหอบหายใจ พลางเหลือบตามองด้านหลังเป็นระยะ ครั้นมั่นใจว่าไม่มีใครตาม ก็สูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ นับหนึ่งถึงสามในใจ แล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วลัดเลาะซอกแซกผ่านช่องทางแคบด้วยความชำนาญ จนในที่สุดก็มาโผล่ข้างหอพักของทหารฝั่งตะวันตกเฉียงใต้
เขายืนเกาะเสาไม้ที่ทางเข้า หอบแฮ่กอีกพักใหญ่ ยกหลังมือขวาขึ้นปาดหน้าผากพร้อมรั้งแถบผ้าให้คาดศีรษะสูงขึ้น หากความแสบจากหลังนิ้วก็ทำให้ต้องชะงัก ยิ้มแห้งๆ แล้วเดินโซเซเลาะกำแพงเข้าไปในอาคาร แต่เพราะความเหน็ดเหนื่อยมึนงง ส่วนสูงกว่ามาตรฐานจึงพาศีรษะโขกเข้ากับขอบป้ายไม้ดังโป๊ก!
โอย... ชายหนุ่มโอดครวญในใจ ยกมือกุมศีรษะที่ปะเข้ากับเหลี่ยมมุมของแผ่นไม้หนานั้น แล้วชักกลับมาตรวจดูรอยเลือด แต่ไม่พบอะไร จึงฉีกยิ้มโล่งอก พลางเดินลากเท้าเชื่องช้าทั้งที่สมองยังคงปวดหนึบจากแรงกระแทก
ร่างสมส่วนดูปราดเปรียวเอนกายไถไปกับผนังสีเข้ม ดวงตาสีฟ้าหม่นที่เหลือเพียงข้างซ้ายหลุบลงมองพื้นปูไม้เก่า พยายามหลบทุกสายตาที่อาจมองมาด้วยความสงสัย และหวังว่าคงจะพาร่างกายเข้าไปนอนพักในห้องส่วนตัวได้ทันเวลา ก่อนที่ความเหน็ดเหนื่อยจะกัดกินสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง
“อ้าว กลับมาแล้วหรือท่าน?”
เอ๊ะ เสียงนี้...
ชายหนุ่มชะงักกึก พลันหันไปมองช้าๆ
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้นี่เองคือผู้ทักข้ามโถงกลางอาคาร เขายิ้มทักทายแบบมีเลศนัย ก่อนละสายตาสู่นาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เรียกความสนใจให้ผู้เพิ่งมาถึงหันมองตามด้วย...หน้าปัดเหนือลูกตุ้มสีทองแกว่งไกวบอกเวลาเก้านาฬิกายี่สิบนาที
“ขอรับ ข้ากลับมาแล้วท่านผู้ดูแล” บุรุษผมฟางกระพือคอเสื้อเปียกชื้น พลางยกมือนวดศีรษะ ส่งรอยยิ้มบริสุทธิ์ให้คู่สนทนา “พอดีข้าเหม่อไปหน่อย กว่าจะเดินกลับมาได้ก็ต้องฝ่าผู้คนอยู่นานโข แถมอากาศแถวนั้นยังชื้นอีกต่างหากเลยเปียกชุ่มขนาดนี้” ว่าพลางก็หัวเราะเบาๆ และเดินรี่ผ่านสู่บันได
“เดี๋ยวก่อน ทาลีส”
ทาลีสยิ้มค้าง ขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงักนิ่ง ลมหายใจที่สงบลงกลับเริ่มหอบถี่ด้วยความรู้สึกเย็นวาบทั่วร่าง ชายหนุ่มเหลือบหาทางหนีทีไล่ แต่รอบข้างกลับมีเพียงกำแพงและพื้นกว้างโล่ง ส่วนบันไดยังอยู่อีกไกล คงต้องก้าวยาวๆราวห้าหกก้าวกว่าจะไปถึง
คิ้วสีจางมุ่นเขม็ง ดวงตาเรียวหรี่เกร็ง ความสงสัยกังวลอัดแน่น หากแสร้งแสดงท่าทางภายนอกให้ดูสบายๆ เขาครุ่นคิดประมวลโอกาสความเป็นไปได้ทุกทาง ก่อนที่สีหน้าจะผ่อนคลายลง แล้วหมุนกายกลับไป
“มีอะไรเหรอครับท่านผู้...”
...ประโยคคำถามนั้นจำต้องเงียบลงทันทีที่สังเกตเห็นความไม่ปกติบางอย่าง
ม่านตาสีฟ้าหม่นเพียงข้างเดียวกลอกมองรวดเร็วไม่ให้ทันสังเกต แล้วเบิกตาน้อยๆ พร้อมเผยอปากเป็นเชิงสงสัยว่าผู้ดูแลหอพักฝั่งหรดีต้องการสอบถามสิ่งใด
ชายผมสีเทาตามอายุยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา เค้าร่องรอยแห่งเวลาบนใบหน้ายิ่งปรากฏชัด “ข้าก็แค่สงสัยว่าทำไมท่านจึงกลับมาช้าขนาดนี้ เพื่อนท่านที่ชื่อฟินเดรอนออกไปตั้งนานแล้ว”
ทาลีสยืนนิ่ง กะพริบตาปริบๆ
“เออใช่! ข้าบอกให้เขากลับมาที่ห้องตอนเก้าโมงนี่นา” หันไปมองหน้าปัดอีกรอบ ก่อนจะสะดุ้งโหยง
“ตายละ...ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปพักสักครู่ก่อนนะ เดี๋ยวไปไม่ทันดูงานประลองเจ้าฟินเดรอนข้าคงแย่แน่ๆ เจ้านั่นเป็นคนต่างถิ่น เพิ่งมาที่นี่วันแรกเสียด้วย ข้าไม่น่าลืมเวลาปล่อยให้เขาเดินทางไปคนเดียวเลยจริงๆ” ก้มหน้าเล็กน้อย กัดฟันแยกเขี้ยว แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้งอย่างเร่งรีบ พลันเดินผละหนีกึ่งก้าวกระโดด กระโจนพุ่งขึ้นบันไดหลบไป
ในทางเดินมืดสลัวที่มีเพียงแสงตะเกียงส่องสว่าง ชายร่างสูงทิ้งน้ำหนักพิงกำแพงอีกครั้ง พยุงกายให้ก้าวผ่านแต่ละขั้นบันไดขึ้นไปอย่างมั่นคง ปล่อยให้แผ่นไม้เก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแทนการเคลื่อนไหวของเขา เปลือกตาหลับลงรวบรวมสมาธิ สูดลมหายใจหนักแน่น และก้าวเดินต่อไปแม้สติรู้ตนจะเริ่มลางเลือน
ครั้นลืมตาขึ้น ภาพที่มองเห็นก็คล้ายถูกบดบังด้วยหมอกมัว สั่นพร่า และเลือนรางจนไม่อาจพิจารณารายละเอียด ชายหนุ่มจึงหลับตาลงอีกครั้ง หมายให้ความเคยคุ้นพาทั้งร่างที่ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทนสู่ห้องพักส่วนตัวแทนความคิดที่เริ่มสะเปะสะปะ...ปนเปกับจินตนาการอันเกิดจากการคาดการณ์ต่างๆนานา
กล้ามเนื้อทั่วร่างปวดแปลบจากการฝืนใช้เต็มกำลังในเวลาอันสั้น กระตุกสติกลับคืนสู่ร่างเพียงชั่วครู่ ชายหนุ่มยืนค้อมไหล่ เท้าศอกซ้ายกับผนังเบื้องหน้า เพียรสงบลมหายใจให้เป็นปกติมากที่สุด พลางเอื้อมมือขวาขยับลูกบิดประตู แล้วใช้แรงเหวี่ยงของบานพับผลักเข้าไป
เขาเอียงศีรษะไปทางขวา เบือนนัยน์ตากวาดสังเกตทั่วทั้งห้องด้วยความหวาดระแวง กระนั้นก็ไม่พบสิ่งใดผิดแผกไป นอกจากถุงขนมหลากสีสันที่วางกองอยู่บนโต๊ะที่ข้าวของเรียงเป็นระเบียบมากขึ้น...จนละม้ายคล้ายคลังสรรพาวุธ
ด้วยความคิดอันว่างเปล่า ทาลีสปรือตาลงด้วยความเหนื่อยล้าสะสม กระชากประตูปิดดังปัง แล้วปลดเข็มขัดหนักอึ้งออกวางแปะบนโต๊ะ พลางเดินเปะปะไปนอนคว่ำกลางเตียงโดยไม่สนใจจะถอดรองเท้า
แพขนตาสีฟางหลับพริ้ม แผ่นอกกระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอขึ้น หากภาพที่เห็นเมื่อครู่ไม่อาจทำให้จิตใจสงบลงได้ ใบหน้าผ่อนคลายจึงดูเครียดตึงขึ้นเล็กน้อยในฉับพลัน
ทว่าความสับสนในห้วงคิดไม่อาจเอาชนะความเหนื่อยอ่อนทางกาย...ไม่นานนักชายหนุ่มก็จำต้องพ่ายแพ้ต่อความต้องการพักผ่อนของตนเอง
หน้าต่างบานเดิมเปิดกว้าง ม่านสีเข้มพลิ้วไหวตามแรงลมพัดพา แสงจากจันทร์ครึ่งดวงที่ลอยเด่นส่องเห็นเข็มขัดหนังหนาที่เพิ่งปลดวางเมื่อครู่ค่อยเลื่อนไหลผ่านขอบโต๊ะร่วงลงสู่พื้น...เสียงที่เกิดขึ้นไม่ดังพอจะปลุกผู้เป็นเจ้าของในภวังค์ลึกให้ตื่นได้
แรงกระแทกผลักให้มีดพกเลื่อนหลุดออกจากปลอกโลหะสีทองคร่ำคร่า
ใบมีดสีแดงอ่อนจางทอแสงจันทร์เป็นประกายนวลตา...
Y
------
*อาจมีรีไรท์สำนวน แต่เนื้อหาก็แบบนี้แหละ- -"
(ทำไมขนาดตัวอักษรมันใหญ่เบิ้มขนาดนี้...)
อนิจจา ยิ่งเขียน แต่ละตอนยิ่งสั้น? ฮ่าๆๆ ชะรอยจะเหลือหนึ่งบรรทัดในตอนสุดท้ายเป็นแน่แท้...
ความคิดเห็น