ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nueve Cuatro Tres!

    ลำดับตอนที่ #4 : Tales from Reverie 1: จดหมายจากแดนไกล 1.0

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 51


                กาลครั้งหนึ่ง...ยังมีมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาใหญ่ทั้งลูก นามว่า จรูญจรัสนคร มหานครแห่งเนฟัลธอส


                เมื่อมองจากฟากฟ้า ผังสองมิติของมหานครคล้ายกับหอมใหญ่ผ่าขวาง คือเป็นวงชั้นซ้อนกัน แต่ละชั้นมีกำแพงสูงกั้น และจัดวางประตูสับหว่างไม่ให้ข้าศึกบุกเข้ามายึดพระราชวังบนยอดเขา ปัจจุบันเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง ได้โดยง่าย

     

                สองข้างฟากพายัพและอาคเนย์ของปราสาทใหญ่คือมหาวิหารแห่งจันทรเทพ (โรห์น) และมหาวิหารแห่งสุริยเทพี (แพนเทร่า) ที่กั้นกลางระหว่างปราสาทกับวิหารแห่งศาสนจักรทั้งสองคือสวนเมเนลที่มีอยู่แทบทุกชั้นของตัวเมือง จากพระทวารพระราชฐานทางตะวันตกเฉียงใต้ไปยังชั้นที่สองจะพบกับเขตของสถานราชการ อันประกอบไปด้วยที่ทำการกระทรวง วิทยาลัย ศูนย์บัญชาการทหาร และรัฐสภาของแคว้น คือสภาขุนนางและสภาประชาชน


                เจ้าเมืองเนฟัลธอส หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้ครองแคว้น ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ หนทางกรุยกรายกลีบกุหลาบอาบยาพิษของท่านอาศัยโชคช่วยจนไม่น่าเชื่อ เท่าที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวเมืองคือ พระมหากษัตริย์ทรงพาชายหนุ่มที่ผิวพรรณสะอาดสะอ้านผิดบุรุษมาเชือด...เอ้ย! แนะนำตรงหน้าลานน้ำพุข้างโรงพยาบาลประจำเมือง แล้วตรัสว่า นี่คือเจ้าเมืองคนต่อไป

     

                คณะองคมนตรีแคว้นได้ก่อตั้งขึ้นตามลำดับ และดำรงอยู่อย่างลึกลับจนไม่อาจยืนยันว่ามีอยู่จริง ซ้ำความเห็นยังแตกเป็นสองฝ่าย เป็นบุรุษห้าและสตรีหก โดยชื่ออย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มย่อยคือ จตุราชา และ ธิดาราตรี จึงเท่ากับว่าอำนาจหลักขององคมนตรีตกอยู่กับสตรีโดยปริยาย

     

                ทุกวันนี้ชาวเมืองต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ท่านเจ้าเมืองแทบจะไร้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจ แต่กลับรู้จักเลือกใช้คน อย่างองคมนตรีที่ท่านคัดสรรซึ่งคล้ายเลือกแบบ 'หลับหูหลับตา' ก็ทำงานในส่วนของตนได้ดีเยี่ยม...ทำให้เมืองหลวงเก่าแห่งนี้คงรักษาความรุ่งเรือง ยิ่งกว่าเมืองหลวงปัจจุบันไม่รู้กี่เท่าตัว


                มหานครจรูญจรัสก็เกือบจะเรียกได้ว่าสงบสุขอยู่แล้วเชียว


              ถ้าหากว่า...


                "บังอาจมาก!!" ท่านเจ้าเมืองในชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูผุดลุกขึ้นทุบโต๊ะปึงจนท้องพระโรงปราสาทสั่นกึกๆ ขยุ้มขยี้เส้นผมสีอ่อนเมื่อพบว่าปัญหาตัวโตกลางกระดาษกรอบเหลืองใหญ่กว่าคุณภาพกระดาษมาก บวกกับที่ปรึกษาส่วนตัวได้สั่งให้มหาดเล็กลากท่านออกมาจากทางเดินไปห้องอาบน้ำ อันมีนัยบ่งชี้ความเร่งด่วนของสถานการณ์


                ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะมานั่งที่นี่ ท่านก็พยายามเสาะแสวงหาตัวที่ปรึกษาสุดที่รัก(?) ทว่าไม่มีใครเห็น ขนาดคาดคั้นเจ้ามหาดเล็กหูกางผอมลีบแล้ว มันก็ยังอุตส่าห์ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เห็น เพียรซักไซ้จนหงุดหงิด...คนรับคำบ้านไหนไม่เคยเห็นคนสั่ง มันไร้ความจริงชัดๆ!


                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ ชายหนุ่มวัยยี่สิบกลางๆ ผมสีอ่อน ตาสีเข้ม ผิวขาวเนียนละเอียด กายสูงเพรียว ในชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูลายแมวน้อย เดินวนไปวนมาด้วยความโมโห และก็มาสิ้นสุด ณ ที่ซึ่งท่านถูกลากออกมาเมื่อครู่ ทางเดินไปห้องอาบน้ำ

     

                ทว่าเงาของอะไรบางอย่างที่ปิดกั้นอยู่ทำให้ท่านดยุคต้องชะงัก

     

                ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพดานสูงเกือบสิบเมตร สลับกับวัตถุทรงกลมประหลาดคล้ายยานอวกาศในนิยาย ซึ่งก็ไม่รู้มันโผล่มาได้อย่างไร...แต่สงสัยก็ฝ่ายสงสัย หมู่นี้เกิดเรื่องประหลาดมากจนเริ่มปลงอนิจจัง นัยว่า ถึงพยายามแค่ไหนย่อมไม่มีวันได้คำตอบ หากไม่มีใครประสงค์จะเฉลย

     

                ร่างสูงเพรียวของท่านเจ้าเมืองพยายามดันๆเจ้าวัตถุแปลกปลอมกลมเกลี้ยงขนาดยักษ์ให้ขยับ จนยอมละความพยายาม ยืนนิ่ง มองโลหะมันวาวเปรอะรอยมือจากการออกแรงไร้สาระด้วยสายตาว่างเปล่า

     

                ด้วยความอัดอั้น สงสัย หงุดหงิด อยากอาบน้ำ รุมเร้าเข้าด้วยกัน...ท่านแผดเสียงร้องว้ากลั่นทันใด


                เปรี๊ยะ...โครม
    ! เสียงแปลกๆเรียกสายตาเสยมอง


                และทันใดนั้นเอง

     

                โคมระย้าด้านบนก็ค่อยๆร่วงลงอย่างงดงาม...ดุจพฤกษาหลากสีในฤดูใบไม้ร่วง
     

    ø

     

                หลังจากที่ช็อกจนไม่เหลือคราบเค้าความเป็นดยุค ประกอบกับท่านที่ปรึกษาใส่เกียร์เผ่นหายไปไหนไม่รู้ ท่านเจ้าเมืองก็จำต้องมาพินิจกับเนื้อความในจดหมาย ม่านตาสีน้ำตาลไล่มองทีละตัว นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่พักใหญ่...จนกระทั่งความอดทนพังทลาย นิ้วมือทั้งสิบสั่นเกร็ง แทบจะล้มเลิกความตั้งใจ ขยำแผ่นกระดาษเจ้ากรรมปาทิ้งทีเดียว


                นี่ขนาดท่านช่ำชองศาสตร์และศิลป์หลายแขนง ประสิทธิภาพทางสมองก็ไม่ได้ย่อหย่อน ยังไม่อาจจะตรัสรู้ได้เลยว่าภาษายึกยืออันมีสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เป็นพื้น กับตัวอักษรนานาอารยธรรมทั่วโลกรวมกันนั่นน่ะ คุณผู้เขียนมันมีเจตนาจะสื่อความหมายอันใดมิทราบ?


                หรือนี่เป็นอุบายของเจ้านักถอดรหัสตัวป่วน ที่วางแผนล่อหลอกให้ท่านต้องใช้บริการ...ฝันไปเถอะ! ขืนเอากระดาษแผ่นนี้ไปแล้วมันสะเพร่าทำหายขึ้นมาล่ะจะยุ่งยาก โดยเฉพาะ เมื่อพิจารณาจากลักษณะภาษาที่ใช้แล้วสร้างเป็นข้อสันนิษฐาน ถ้าเกิดเป็นสารจากมนุษย์ต่างดาวที่กำลังประกาศสงครามกับโลกทั้งใบขึ้นมาจะยิ่งยุ่ง


              ...ดูเหมือนท่านจะเริ่มเพ้อเข้าจริงๆ...


                ร้องโอดโอยในใจ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ในเมื่อนักถอดรหัสประจำเมืองไร้ประสิทธิภาพในการเก็บรักษาข้อมูล ส่วนพ่อมดเมืองนี้ก็ถูกพระราชกฤษฎีกาขับไสไล่ส่งออกไปหมดแล้ว ถ้าจะบากหน้าไปพึ่งพาเวทมนตร์สงสัยท่านจะต้องถูกคว่ำบาตรจากนครหลวงล่ะกระมัง...ถึงแม้ตอนนี้จะถูกคว่ำบาตรไปแล้วก็ตามทีเถอะ


                ด้วยขนบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ก่อนอื่นควรคิดถึงที่มาของกระดาษแผ่นนี้ก่อน

     

                จู่ๆมันก็ร่วงจากอากาศมาแหมะบนโต๊ะ แปลว่าต้องมีผู้ใช้เวทมนตร์อยู่เบื้องหลัง แต่ในเมื่อที่ปรึกษาส่วนตัวของท่านซึ่งเก่งฉกาจกว้างขวางยังจับต้นทางไม่ได้ แปลว่าผู้ใช้เวทคนนั้นต้องเก่งระดับหนึ่งในตองอูเลยทีเดียว


                ปัญหาก็คือ มันอ่านไม่ได้นี่สิ...ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมสีแดงแล้วถอนใจเฮือก


                บางทีคงต้องใช้บริการนักถอดรหัสหลุดโลกนั่นแล้วล่ะ

     

    ø

     

                "เฮ้ยๆ ท่านเจ้าเมือง...ไอ้คุณท่านเจ้าเมืองโว้ย!" เสียงหนึ่งเอะอะโวยวายมาจากย่านราชการชั้นสอง อย่างไม่ให้เกียรติและไร้ความเคารพอย่างสูง

     

                บัดนี้เป็นเวลาพักกลางวันพอดี บรรดาข้าราชการจึงเดินกันขวักไขว่เพื่อหาอาหารใส่ท้องยามแดดเปรี้ยง อย่างไรก็ตามที่ว่างส่วนหนึ่งก็ถูกกันไว้ให้กับการเดินทางของผู้ครองแคว้น ในรูปลักษณ์ของหนุ่มหน้าหวาน ผิวพรรณละมุนละไม ในชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูลายแมวน้อย เพราะโคมระย้าเจ้ากรรมดันพร้อมใจกันร่วงมาปิดทั้งทางเดินไปห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัวของท่านเสีย


                เจ้าของเสียงเมื่อครู่คือชายหนุ่มร่างสูงราว 180 เซนติเมตรหน่อยๆในชุดเครื่องแบบเสนาบดี แต่กลับสวมหมวกลวดลายประหลาดเหมือนเด็กมัธยมปลาย กำลังยืนอยู่กลางแดดจัดยามเที่ยงวัน ปีกหมวกดำสนิทด้านหน้าส่งเงามาบดบังโครงหน้าเสียจนไม่รู้ว่าเป็นใคร


                ชายผู้นั้นถลาวิ่งชนผู้คนแตกกระเจิง แต่ก็ช้าเหลือเกินเมื่อเทียบกับความเร็วในการยุรยาตรของท่านเจ้าเมือง ประดุจมิติเวลาผกผัน คล้ายกับกรณีศึกษาองคุลิมาล...เขาพยายามจะร้องเรียกให้หยุด ทว่าท่านเจ้าเมืองดูจะเคร่งเครียดกับชุดของตัวเองจนไม่อาจใส่ใจกับเสียงใด


                แม้ว่าในที่สุดชายหนุ่มจะใช้ความเพียรแหวกว่ายผ่านกระแสชนไปถึงทางเดินของดยุคเบลเซบ เหงื่อโชกเครื่องแบบสีดำสนิทแนบเนื้อ ทั้งที่อากาศในเมืองนี้แสนจะร้อนและแห้งอย่างซาดิสม์ การมีเหงื่อช่วยระบายความร้อนจึงถือเป็นลาภอันประเสริฐทีเดียว


                ปัก...ฝ่ามือหนักตบเต็มแรงที่ไหล่บางของท่านเจ้าเมืองให้ทรุดเอียงไปข้างหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงหอบจากคนที่อุตส่าห์วิ่งมาจากอีกฟากของกำแพงเมืองชั้นสอง


                "เรียกแล้วไม่หยุดเลยนะครับ ไอ้เวร..." หอบแฮ่กๆพลางยกมือซ้ายถอดหมวกแล้วสะบัดแขนลงควั่บ รอยยิ้มแห้งจากความเหนื่อยแสยะเล็กน้อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนแล้วใช้มือข้างที่เคยตะปบไหล่ท่านดยุคมาเสยผมเปียกชุ่มลวกๆ

     

                ทั้งที่เหนื่อย โทรม หอบไม่เป็นท่า แต่บุรุษผู้นี้ก็ยังคงดูดีอยู่นั่นเอง...นี่คือพลอากาศตรีเจย์ อิสฟาเกล เสนาบดีหนุ่มไฟแรงแห่งกระทรวงไอซีที ชายผู้นี้ยึดครองความเป็นใหญ่สำเร็จในเวลาไม่นาน หลังถูกหน่วยงานที่สังกัดไล่ออกมาทำคอมพิวเตอร์แทนที่จะบินตรวจตราตะเข็บชายแดน เหตุเพราะขาดความสนใจในงานของตน มัวแต่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ปล่อยให้เครื่องบินขับไล่เหาะเหินตามระบบอัตโนมัติไปเองตามยถากรรม แล้วถูกศัตรูยิงตก


                ...จึงมีตำนานเล่าขานถึงวีรบุรุษ ที่กระเสือกกระสนหนีตายจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนแถบเทือกเขามาถึงมหานครแห่งไนธ์ ซึ่งก็ไม่ได้ใกล้กับชายแดนฝั่งหรดีเลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไมนายทหารผู้นี้จึงดั้นด้นใช้เวลานานสองปีจนคดีคนหายกลายเป็นคดีคนตายกว่าจะมาถึงเมืองหลวง...ทำไมจึงไม่รีบติดต่อหน่วยที่ใกล้ที่สุดเพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

                ทว่า มีข่าวลือจากคนวงใน ว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นความอัปยศของกองทัพหลวง ที่นักบินมือต้นๆพกโน้ตบุ๊คไปเล่นเกมในอากาศยาน ที่ร่วงลงขณะคอมพิวเตอร์ส่งเสียงดังกระหึ่มโดยมีคำว่า 'Game Over' ตัวโตปรากฏอยู่กลางมอนิเตอร์


                เจย์ อิสฟาเกล เป็นบุรุษในฝันของสาวๆหลายคน ด้วยนัยน์ตาเรียวคมได้รูป ม่านตาดำขลับดังฟ้าคืนเดือนมืด เส้นผมสีดำสนิทตัดรองทรงสูง กับผิวพรรณละเอียดออกโทนสีน้ำผึ้งกระชากหัวใจของใครมานักต่อนัก เสียแต่ว่าเขา พลอากาศตรีกิตติมศักดิ์ผู้มีใบมรณบัตรอยู่ในครอบครอง บ้ากีฬา บ้าเพลงร็อค บ้าเกม และบ้าการ์ตูนชนิดเหนือใครทัดเทียม จนกลายเป็นว่า ตะเพิดผู้หญิงทุกคน รวมถึงเลดี้ผู้สูงศักดิ์และสูงวัยกว่าท่านหนึ่ง ที่เข้ามาในชีวิตเสียจนสิ้น เนื่องจากสตรีสคราญล้วนรับไม่ได้ที่เขาสนใจกัปตันทีมรีอัล เอลทริออส มากกว่าจะไยดีในความรักและความเอาใจใส่ของพวกเธอ


                ท่านเจ้าเมืองแทบช็อกอีกระลอกเมื่อพบว่าคนที่อุตส่าห์ดั้นด้นฝ่าฟันอุปสรรคมาถึงทางเดินของตน ซึ่งกำลังใส่ชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูลายแมวน้อย กลับเป็นเจย์ ผู้ซึ่งเป็นที่โจษจันว่าอู้งานและชอบหนีหน้าไม่มีใครเกิน แต่นี่วิ่งเข้ามาหาเองเสียอย่างนั้น...ท่านเจ้าเมืองหลับตาหยีพลางสะบัดหน้าพรึ่บพรั่บ โดยหวังว่าภาพหลอนนี้จะหายไปจากประสาทการมองเห็น


                "ทำอะไรวะนั่น?" เจย์ขมวดคิ้วทำหน้าเหยเกระคนงุนงง


                แต่เสียงนี้มัน...มันยังดังมาจากภาพหลอนที่ว่า ท่านเจ้าเมืองจึงจำต้องยอมรับความจริง เปิดตาขึ้นช้าๆขณะช็อกระลอกที่พันล้านในรอบวัน


                ภาพหลอนยิ้มเผล่ "ข้าได้ยินว่าเจ้าไขปริศนาเรื่องหนึ่งไม่ออกอยู่ใช่ไหม? ที่ปรึกษาสุดที่รักของเจ้าบอกข้ามาน่ะ"

     

                มิน่าล่ะที่ปรึกษาส่วนตัวของท่านถึงรีบเผ่นหายวับไปอย่างกับใส่แหวนจอมมารเมื่อเช้า(หรือเปล่า?)อย่างนั้น! ...คิดไปท่านเจ้าเมืองก็ยิ้มชั่วร้าย วางแผนจัดการขั้นเด็ดขาด หมายเผด็จศึก(?)ที่ปรึกษาคนงามให้สาสมกับความผิดครั้งนี้


                ...ว่าแต่แผนของเจ้าเจย์นี่มันจะเป็นอะไรกันเล่า?


                สุดท้ายท่านเจ้าเมืองกลับนึกหวาดผวา


                เจย์เหลือบลงมองพื้น เหมือนจะไม่มีพิรุธ "และข้าได้ยินมาว่า ปริศนานั่นเกี่ยวกับภาษาแปลกๆที่อ่านไม่ออก ดังนั้นข้าก็เลยอยากจะช่วยเจ้า...อย่างน้อยข้าก็เป็นเสนาบดีไอซีที คิดว่าน่าจะทำอะไรได้อยู่บ้าง" พลันรอยยิ้มทรงเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มไฟแรงผู้อายุเกินเกณฑ์รับตำแหน่งมานิดเดียว ท่านเจ้าเมืองหายใจไม่ทั่วท้อง "ข้าคิดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ขึ้นมา เจ้าน่าจะลองเรียกระดม 'พวกเรา' ดูสักครั้ง เผื่อว่าหลายหัวจะดีกว่าหัวเดียว"


                ใช่... หลายหัวดีกว่าหัวเดียว


                แต่ขืนไอ้หลายหัวที่ว่ามันกะจะมาฉะกันเอง เผลอๆหัวเดียวก็ยังจะไม่เหลือรอด!


                "เจ้าจะให้ข้าเรียก 'องคมนตรี' มารวมกัน?" ท่านเจ้าเมืองถามอย่างสงสัยระคนหวาดหวั่น แต่เจย์กลับพยักหน้าอย่างเคร่งเครียดอย่างที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต


                "ใช่ แต่ขอหนึ่งอย่าง..." คิ้วหนาขมวดมุ่นจริงจัง "อย่าเรียกพวกธิดาราตรีมานะเว้ย!"


                ทันทีที่นายเจย์ประกาศจุดยืน ท่านเจ้าเมืองก็แทบจะพูดอะไรไม่ออก ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างแทบถลนเมื่อเห็นร่างของใครบางคนกำลังเดินเฉิดฉายอยู่เบื้องหลังคู่สนทนา


                "ธิดาราตรีอะไรกันจ๊ะคุณเด็กติดเกมแช่อิ่ม..." เสียงหวานเย็นดังมาจากด้านหลัง ทำให้เจ้าของฉายาสันหลังวาบ ก่อนจะหันไปตวาดลั่นกลบเกลื่อน


                "ใครวะเด็กติดเกม? โธ่ ...แล้วเจ้าล่ะ คุณลิธิส ท่าน ผ.อ.ว.พ. สุดสวย ได้ข่าวว่ากลุ้มใจที่บุรุษทุกนายที่เข้าใกล้พากันเข็ดขยาดที่... "


                "หุบปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของเจ้าไปซะ!” พลันเปลี่ยนอารมณ์เป็นเสียงกระซิบพรากวิญญาณ เจย์ ยอมรับมาซะเถอะ แกน่ะเป็นเกย์จริงๆใช่มั้ยล่ะถึงปฏิเสธผู้หญิงทุกคนไปหมด" สรรพนามบุรุษที่สองเปลี่ยนไปแล้ว หญิงสาวผิวสีออกแทนยิ้มเหี้ยมเกรียมมาแต่ไกล ทั้งที่อีกนานกว่าเจ้าหล่อนจะเฉิดฉายมาถึง หากรัศมีแห่งความไม่ลงรอยกันกลับระเบิดออกตูมราวกับไฮโดรเจนตริเตียมจนคนรอบข้างหลบลี้หนีกันไปหมด สถานราชการชั้นสองกลายเป็นบริเวณรกร้าง


                "ไม่ใช่ครับ!" โปรดสังเกตลักษณะการใช้คำที่เปลี่ยนไป ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววโมโห "ถ้าข้าเป็นเกย์จริงๆคงไม่..."

     

                "เลดี้วานา ใช่มั้ยล่ะ?" ท่าน ผ.อ.ว.พ. ตำแหน่งตัวย่อนิยามโดยเจย์ที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอย่างยิ่ง เดินมาถึงพอดีพลางยิ้มแพรวพรายเหมือนรอยยิ้มของแม่มด เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลไหม้พลิ้วสยาย นัยน์ตาหวานสีน้ำตาลสวยที่ดุโหดเหมือนอเธน่าซ่อนหลังแว่นใสไร้กรอบ ทรวดทรงองค์เอวอิ่มเอิบชวนมอง ประกอบกับผิวพรรณนวลเนียน และชุดสีขาวเหมือนพระแม่ผู้เมตตาดูตัดกันกับบุคลิกที่คล้ายนางลิลิธ กลางวันแดดจัดเช่นนี้กายหล่อนก็ยังเย็นเยียบ เครื่องสำอางไม่หลุดละลาย และยังไม่มีวี่แววแห่งความเหนื่อยสักนิด


                "ใช่ปะ?" ยังคงต่อล้อต่อเถียงยั่วประสาทไม่หยุดหย่อน ไม่สมกับวัยของคุณเธอที่เลยเลขสามนำหน้ามานานโข


                "ไม่ใช่!" ...ซึ่งความประพฤติของรายนี้ก็สมวัยพอกัน


                "โธ่ พวกผู้ชายปากแข็ง แสร้งถอนใจเฮือกใหญ่ อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าเจ้า..."


                ...ลมอบอุ่นพัดหวิววูบมา พาให้ใบไม้ร่วงจากสวนเมเนลผ่านบริเวณร้างผู้คนรอบกาย


                ตัดสินใจร้องทักหลังช็อกจริงจังไปหลายนาที "ซัลเทรีย"

     

                "อะไรคะ?" ซัลเทรียดัดเสียงเอียงคอชะม้อยตาสงสัย


                ห้วงคำนึงประหวัดไปถึงชายหน้าหวานในชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูชวนขำทันใด


                "ท-ท่านเจ้าเมืองหายไปไหนแล้ววะ!?!"


                นัยน์ตาเบิกกว้าง


                นิ้วชี้ไปรอบกาย


              แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า...


    ø

                เสียงย่ำฝีเท้าหนักๆยามบ่ายดังเป็นระยะไม่ขาดสายรอบสวนเมเนลหน้ามหาวิหารแห่งสุริยัน ชายหนุ่มหน้าหวานอยู่ในสภาวะกดดันอย่างหนัก สรุปผลการทดลองจากกลุ่มตัวอย่างเมื่อครู่คือ ความพยายามจะให้องคมนตรีทั้งสิบเอ็ดมารวมตัวกันแบบราบรื่นไร้ปัญหาภายใต้ปัจจัยปกติ มีความเป็นไปได้ต่ำกว่าศูนย์


                แต่ทั้งนี้ เมื่อมนุษย์อับจนซึ่งความหวัง ก็ย่อมกรุยทางที่ดูไม่น่าจะมีได้สำเร็จอยู่เสมอ
    พอนึกออกว่าท่านที่ปรึกษาเคยเปรยกลายๆถึงพ่อมดหมายเลขสิบเก้า ที่ไม่ชอบให้คนอื่นเรียกชื่อตัวเอง และพำนักอยู่แถวๆแคว้นรีบอลโดซ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใด ทำให้เริ่มคิดว่า การพึ่งพาอำนาจต่างดินแดนอาจเป็นหนทางในการแก้ปัญหาที่ถูกต้องก็ได้

     

                มือเรียวล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบแผ่นกระดาษเหลืองกรอบมาอ่านทวนอีกครั้ง ยิ้มเศร้าพลางถอนหายใจเฮือก เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันคือภาษาอะไรกันแน่ สองหูหลอนแว่วเสียงแผ่วเบาเรียกชื่อตน 'ท่านเวย์น เบลเซบ...ท่านเวย์น เบลเซบ' ซ้ำๆอยู่เพียงนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงเป็นเพียงเสียงเพรียกจากความคิด แม้จะรู้ชัดว่าท่านไม่ได้กำลังทบทวนชื่อตัวเอง และกระทั่งเสียงนั้นจะดังขึ้นเรื่อยๆก็ตาม


                ท่านเจ้าเมืองทรุดนั่งลงกับม้านั่งในสวนอย่างหมดหวัง มือซ้ายก่ายหน้าผาก หลับตาแน่นและกัดฟัน หัวเราะและโกรธตนเอง ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ด้อยความสามารถทางสติปัญญา น่าอดสูนัก เพียงจดหมายแผ่นเดียวก็กลับไขไม่ได้


                ดยุคหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม ลมเบื้องบนพัดกลีบเมฆลอยเลื่อนผ่านฟากฟ้า แต่จู่ๆเงามืดก็บดบัง แสงอาทิตย์ลับหาย พลันนภาสีครามสดใสก็หายวับไป


                หายไป เหลือแต่ความว่างเปล่าไร้ภาพสีดำทะมึน


                ...

     

                "ใครเอาอะไรมาปิดตาเนี่ย?!"


                ท่านเจ้าเมืองร้องว้ากหลังถูกขัดจังหวะความเครียด เสียงหัวเราะทุ้มเย็นดังหึๆ ยิ่งทำให้โมโห พลันผ้าสีดำก็สะบัดออก...ทำให้ท่านต้องเบิกตากว้างตะลึงพรึงเพริศ เพราะใบหน้าของใครสักคนที่ไม่รู้จักกำลังชะโงกมองด้านบนอย่างสะใจโจ่งแจ้ง นัยน์ตาสีน้ำทะเลวาววับเหลือบเห็นสาส์นลึกลับ เริ่มฉงน แล้วเอื้อมมือแกร่งไปกระชากเอาแผ่นกระดาษออกมาจากมือของดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ


                "เฮ้ย!!" ท่านดยุคร้องว้ากอีกครั้ง แต่ชายแปลกหน้าส่งสัญญาณให้เงียบ


                ร่างสูงของคนแปลกหน้าเดินห่างจากม้านั่งสู่แนวกำแพงปราสาท เขา ซึ่งท่านเจ้าเมืองคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ อยู่ในชุดคลุมสีดำสนิททั้งตัว ฮู้ดใหญ่กว้างรั้งปิดหน้าตาจนเห็นแต่เงา ข้างซ้ายมีแท่งยาวคล้ายฝักดาบนูนออกมาจากผ้า มือหนายกขึ้นเกาศีรษะใต้หมวกคลุมแกรกๆขณะลองอ่านสารเจ้าปัญหา พลันก็เลิกฮู้ดต่ำ เปิดให้เห็นเส้นผมสีดำที่รวบเป็นหางม้าด้วยโบสีดำ ขลิบด้ายเงินเป็นอักษรบางอย่างที่เล็กและไกลเกินไปจนอ่านไม่ออก สักพักใหญ่ชายผู้นั้นก็หันกลับมายินดี แววตาลิงโลด ใบหน้าคมเศร้าฉายประกายปีติชัดเจน


                ชายหนุ่มเริ่มพูดพลางปัดปอยผมที่ตกมาปรกข้างแก้มออกไป "โธ่ ท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ ถ้าท่านเอามาให้ข้าเสียตั้งแต่แรกก็คงไม่เครียดจนคิดไม่ตกอย่างนี้แล้วล่ะ ข้าอ่านมันออก เพราะ..."


                "ท่านอ่านออก?" ท่านเจ้าเมืองผุดลุกขึ้น แทบจะร้องฮูเลลั่นเมือง สองแขนกำมือแน่นแล้วยกชูขึ้นฟ้าอย่างได้ชัย รีบถลาเข้าไปใกล้ร่างสูงกว่าทันที เหลือบไปเห็นอักษรสีเงินที่โบผูกผม... '19'


                "ใช่" ชายลึกลับยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิ "เพราะนี่มัน..."


                "มันอ่านว่าอะไรหรือท่าน?" ดยุครีบถามขัดประโยคที่ชายแปลกหน้าพยายามจะพูด ด้วยอารามรีบร้อนและตื่นเต้น ท่านจับบ่าร่างสูงกว่าแล้วเขย่าๆจนข้าวของที่ซุกไว้ใต้ผ้าคลุมสีดำของชายแปลกหน้าแทบจะเทร่วงลงพื้นโครม


                คิ้วมุ่น ม่านตาสีน้ำทะเลฉายแววแปลกๆ ยื่นกระดาษแผ่นเดิมส่งไปให้


                คำแปลของจดหมายนี้ได้เขียนไว้แล้ว...แต่ผู้มองก็ต้องตะลึงอึ้งค้างอีกหน ตัวอักษรทั้งหมดคล้ายจะเป็นภาษาเดียวกับอีกหน้าหนึ่ง เพียงแต่อักขระด้านนี้มีหางตวัด และมีเหลี่ยมมุมน้อยกว่า


                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์กัดฟันกรอด "ปัญหาไม่ใช่ว่าเราถอดรหัสไม่ได้ แต่มันอยู่ที่เราอ่านมันไม่ออกต่างหากล่ะ!!"

     

                ชายลึกลับเอียงศีรษะยิ้มยิงฟันขาวเป็นระเบียบ "เอาน่า...ท่านดยุค ข้าเชื่อมั่นว่าความรู้ทางภาษาศาสตร์ของท่านเหนือกว่าใครในมหานคร แต่โลกนี้ยังคงมีสิ่งที่ท่านไม่รู้อีกเยอะ" ยกมือขึ้นตบบ่าท่านเจ้าเมืองจนทรุด "ไว้ข้าจะอธิบายเรื่องจดหมายนี่เมื่อท่านพาข้าไปจิบน้ำชาเล็กน้อยในปราสาท เป็นการต้อนรับพ่อมด หมายเลขสิบเก้า ไงล่ะขอรับ ดีไหม ฮ่าๆๆ"


                ท่านเจ้าเมืองโอดครวญอยู่ในใจ...มันแขกที่ไม่ได้รับเชิญชัดๆ!


                "อ้อ เกือบลืมไป..." ม่านตาระริก กราดมองทั่วชุดคลุมอาบน้ำสีชมพูลายแมวน้อยด้วยสีหน้าอมยิ้ม ฉับพลันพ่อมดหมายเลขสิบเก้าก็ยื่นขยุ้มผ้าสีดำพร้อมกับรองเท้าหนังมันขลับมาให้ตรงหน้า


               
    "เปลี่ยนซะ นี่คือของสมนาคุณจากที่ปรึกษาของท่าน"


                ท่านเจ้าเมืองรับไปพิจารณา มันคือเสื้อแขนยาวสีดำตกแต่งด้วยลวดลายสีทองที่แขนและปกเสื้อ กางเกงสีดำเรียบๆ และรองเท้าหนังสีดำมันวับ สรุปโดยรวมคือ ขยุ้มผ้าดูไม่ได้นี่คงจะเป็นหนึ่งในชุดเครื่องแบบที่ปรึกษาของท่านยามออกงานพิธีที่นานๆใช้ทีล่ะกระมัง


                ไม่พูดสิ่งใดออกจากปาก ไม่มีแม้แต่คำถามว่าทำไมพ่อมดถึงอ่านจดหมายนั่นออก... ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ถอดเสื้อคลุมออกตรงนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นชุดที่ชายแปลกหน้าเพิ่งมอบให้ทันที
    ! พ่อมดนิ่งอึ้งหลับตาหยีแล้วหันหลังขวับ เนื่องจากไม่ประสงค์จะยลภาพที่อาจหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิตอันนานแสนนาน


                ใจร้อน ไม่ค่อยยอมคิด แต่ผลออกมาใช้ได้ทุกครั้ง นี่แหละหนา สิ่งมหัศจรรย์อันดับหนึ่งของโลก ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ

     

                และทันใด มุมปากของพ่อมดหมายเลขสิบเก้า ก็กลับแสยะยิ้มชั่วร้าย...

     

     

                สภาพโต๊ะเสวยในท้องพระโรงเพดานสูงลิบไม่ต่างอะไรกับขยะกระดาษกองพะเนิน ลมเย็นแสบผิวที่พัดผ่านช่องหน้าต่างยิ่งทำให้กระดาษบางปลิวร่อน แสงไฟจากโคมระย้าที่ซ่อมแซมแล้วสะท้อนกับเส้นผมของคนทั้งสิบเอ็ดที่จมอยู่ใต้กองกระดาษมหึมา ขยับยุกยิก นานๆทีจะโผล่ขึ้นมาสูดอากาศแล้วร้องโหวกเหวกโวยวายถึงผลงานที่ตนค้นพบ


                เจย์ที่กำลังซุ่มเงียบอ่านบทความวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์เริ่มหอบเพราะขาดอากาศ โผล่ศีรษะขึ้นมาเหนือกองกระดาษ พลันมองไปรอบๆก็เห็นเพื่อนพ้องทั้งสิบ ทุกคนพร้อมใจเหลือบลงมองสำเนาข้อความที่อ่านไม่ออกในแผ่นกระดาษโน้ตเล็กๆซึ่งที่ปรึกษาของท่านเจ้าเมืองแจกให้ทุกคน...อีกรอบ


                "ได้อะไรขึ้นมาบ้างมั้ยครับทุกคน" เสียงต่ำๆดังมาจากร่างเล็กที่ได้รับการโหวตว่าหน้าตาดีที่สุดในเมือง นัยน์ตาของเขาเรียวเล็ก และร่างของเขาก็เล็กกว่ามาตรฐาน แต่ที่แน่ๆคือชายคนนี้มียศสูงมิใช่ย่อย มาร์ควิซ เจมิไน ทีกริด แห่งสภาสูง


                ท่านมาร์ควิซผู้นี้เป็นพวกบ้ามหากาพย์ และคลั่งไคล้ในยานพาหนะทุกชนิดเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ จนถึงกับมีเรื่องกับเสนาบดีกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการสะกดชื่อยี่ห้อจักรยานยนต์ นอกจากนี้ ท่านยังมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง การสร้างภาพชั้นเยี่ยม


                "ไม่ได้" เสียงแหลมจากหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากอีกฟาก "แล้วถามแบบนี้น่ะ มิทราบว่าคุณทางนั้นได้อะไรบ้างรึยังคะ?"


                "โธ่...ระดับเทพอย่างคุณซัลเทรียยังหาอะไรไม่เจอ แล้วไอ้คนจนๆต่ำศักดิ์ด้อยปัญญาอย่างกระผมมันจะไปเจอมั้ยล่ะครับพี่น้อง!?" ชายร่างท้วมคนหนึ่งตะโกนตอบแล้วหัวเราะร่า


                "สต๊อป! พวกโยมจะหาอะไรกันไปอีกนานแค่ไหน อาตมาอุตส่าห์คิดว่าโยมๆจะสังเกตกันบ้าง เสียงแห้งๆกับสรรพนามแปลกๆ เป็นของพระธุดงค์ประจำเมือง พระมหาคูบัว ไม่เห็นหรือ ว่าตัวเลขกับสัญลักษณ์คณิตศาสตร์ทั้งหมดในจดหมายนี่ใช้แทนเครื่องหมายวรรคตอน..."


                ตอนแรกๆที่ท่านธุดงค์มาปักกลดที่สวนเมเนลข้างตลาดก็มีเสียงเล่าลือกันถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย แต่สักพักเมื่อเวลาผ่านไป คำเล่าลือก็เงียบหาย เหลือแต่เสียงโจษจันถึงความลุ่มลึกของท่านพระครู...และการประพฤติอย่างสามัญ ไม่ได้เชิดชูตนเองตามฐานะทางปัญญา


                "ฮะ? นี่เจ้าแงะโค้ดได้อีกแล้วเรอะ!" เจย์ลุกยืนพรวดอุทานลั่น ไม่สนใจว่าสรรพนามที่ควรใช้เรียกพระเรียกเจ้าเป็นเช่นไร กระดาษรอบตัวเขากระจายไปทุกทาง "ขนาดโค้ดเคลียร์34-SICตอนนั้นข้ายังใช้เวลาแงะทีละตัวตั้งนาน" คำพูดของเสนาบดีกระทรวงไอซีทีเป็นเชิงยกยอสติปัญญาของท่านพระครูนั้น...ฟังไม่รู้เรื่องสักนิด

     

                พลันความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดปิ๊งขึ้นมา "เดี๋ยวก่อน บางทีมันอาจจะเป็น..."

     

                ปัง ...ปังๆๆ!! ใครบางคนทุบบานประตูงดงามที่ขัดด้วยกองกระดาษหนาปึ้ก "เปิดหน่อย เปิด! บ้านไหนเมืองไหนเขาล็อกเจ้าของบ้านไม่ให้เข้ากันเนี่ย"


                เจย์มองขวับด้วยสายตาขุ่นเขียวเพราะถูกขัดจังหวะ "นี่ไม่ใช่บ้านเจ้า มันวังเก่าของกษัตริย์ บ. บ. ต่างหาก!"


                "เออน่า แต่เราก็นอนที่นี่ทุกคืน เปิดประตูเร็วๆ! พวก..."

     

                เพียงจบคำ ประตูใหญ่ก็ถูกพลังช้างสารดันเปิดออก


                กระดาษปึกบนสุดกระเด็นไปไกลประดุจกระสุนปืนไรเฟิล แผ่นกระดาษกระจายไปทั่วประดุจอาวุธรูปคล้ายดาวของสายลับตะวันออก กระดาษแผ่นริมลื่นไถลสู่พื้นเหมือนหิมะถล่ม กองกระดาษมหึมาทลายราบลงในพริบตา


                คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำสิบเอ็ดชีวิตให้จมอย่างสิ้นหวังอยู่ใต้มัน!


                "อะไรกัน...ตะกี้เข้าไปอาบน้ำใหม่อีกรอบหนึ่งแล้ว ออกมาเดินเล่นแผล็บเดียวทำไมกองพะเนินขนาดนี้ไปได้ล่ะ" เจ้าของบ้านจากการครอบครองปรปักษ์บ่นอุบอิบในยามใช้สองเท้าแหวกเขี่ยกระดาษ


                บรรดาคนทั้งสิบเอ็ดค่อยขยับไปรวมกันที่อีกฟากของท้องพระโรง ขณะชายแปลกหน้าในชุดคลุมสีดำเดินลากเท้าไปหาช้าๆ

     

                พร้อมกันนั้นเจ้าของปราสาทที่เพิ่งพังประตูตัวเองเข้ามา ก็ยืนอ้าปากค้างเป็นรอบที่พันล้านกับอีกหนึ่งในวันนี้


                "ใครเอากระดาษพวกนี้มาสุมไว้กัน?!" ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ชักหงุดหงิด เสียงงึมงำที่ตอบกลับมาได้ใจความว่า พ่อมดตัวแสบเป็นคนเคลื่อนย้ายมาให้ ตามคำสั่งของท่านที่ปรึกษา ที่จนบัดนี้ยังไม่เห็นทั้งหัวทั้งเงา


                "รีนาทูร่า!" พ่อมดหมายเลขสิบเก้ากล่าวคาถาสั้นๆด้วยน้ำเสียงเรียกความสนใจ แผ่นกระดาษหายวับ มือขวาชูจดหมายแผ่นเหลืองกรอบขึ้นสูง ก่อนชี้แจงที่มาแห่งตน "ข้าได้รับคำสั่งจากท่านดัชเชสเรเนียแห่งลอสสอธ เพื่อมาถอดรหัสในครั้งนี้"


                รองเท้าบูทหนังหนายาวถึงเข่ากระแทกปึงกับพื้นปูพรม ชายหนุ่มยืดอกมาดมั่น ดังผู้นำสารจากพระเป็นเจ้ามาป่าวประกาศแก่มวลมนุษย์ บรรยากาศจากวิธีการใช้เสียงยิ่งทำให้ดูตื่นเต้น กระทั่งเจย์ที่นึกโกรธเมื่อครู่ก็ยังยอมเงยหน้าขึ้นมาฟังตาแป๋ว


                "ฟังให้ดี..." วางเสียงขึงขัง คนเดียวที่อ่านออกเพียรระงับอาการขำก๊าก


                "27 มีนาคม บาแนลล์ศักราช 943


                เรียน Duke of Estrellar; Belsebus wayna …ขอแทรกความเห็นส่วนตัวด้วยนะ ทำไมคนเขียนมันต้องเขียนชื่อท่านเจ้าเมืองอย่างกับสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่"


                พ่อมดบ่นพร้อมหลุดหัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่สำรวมกิริยาเพราะอดไม่อยู่ จนเมื่อเจอสายตาขุ่นเขียวของท่านมาร์ควิซเจมิไนแห่งสภาสูงที่อุตส่าห์ละภารกิจของตนมานั่นละ เลยเลิก

     

                "ข้าพเจ้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯแห่งรีบอลโดซ์ แพลอส เซรูลีน ขอแจ้งท่านว่า แคว้นของเราทั้งสองมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ห้าวันหลังจากวันที่ระบุข้างต้น ขีปนาวุธนำวิถีทำลายล้างสูงจะถูกส่งยังนครของท่าน หากท่านมิตอบกลับ และหากท่านตอบกลับและต่อต้านเรา รีบอลโดซ์จักเป็นปรปักษ์ต่อท่าน ทว่าหากท่านละทิ้งความคิดเหลวไหลเพ้อเจ้อนั้น แล้วเข้าร่วมกับเรา รีบอลโดซ์จักเป็นมหามิตร ด้วยแสนยานุภาพของเรา มหานครของท่านย่อมอยู่ยืนยงตราบฟ้าดินสลาย


                ลงชื่อ
    C., Palos"


                เจย์ผงะหงายหลังก่อนจะปล่อยบทความเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์หลุดจากมือ ซัลเทรียเบิกตากว้างด้วยความตะลึง และวูล์ฟกัง ผู้บัญชาการอัศวิน หนึ่งในสมาชิกองคมนตรี ก็กลับลุกยืนขึ้นทันทีที่พ่อมดอ่านจดหมายจบ นายทหารวัยกลางคน หันไปทางท่านเจ้าเมือง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดผิดวิสัย...อย่างที่ดยุคเบลเซบไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ในชีวิต


                "จะให้ข้าเตรียมรบเมื่อไหร่ ขอได้โปรดสั่งการมาด้วย"


                เหล่าธิดาราตรีทั้งหก และจตุราชาอีกสี่ หันมามองอัศวินหนุ่มเป็นตาเดียว พลันพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมเพรียง


               
    "อา...เราขอบคุณทุกท่านเป็นอันมาก" ดยุคหนุ่มซาบซึ้งแทบปาดน้ำตา นัยน์ตาสีน้ำตาลสบตากับเหล่าองคมนตรีทีละคนอย่างมีความหมาย โดยไม่ได้สนใจอากัปกลั้นหัวเราะแทบตายของคนร่างสูงข้างตัว รวมถึงปฏิกิริยาขององคมนตรีทุกคนที่พยายามปรับสีหน้าตนเองให้ราบเรียบเป็นที่สุด จนดูจะกระตุกแปลกๆพิลึก


                "ว่าแต่นี่มันวันที่เท่าไหร่แล้วครับท่าน" เจย์ขึ้นเสียงขัดฉากประทับใจทันควัน ท่าทีร้อนรนกว่าเมื่อตอนเที่ยงขณะพยายามหาทางอ่านสารนั่นเสียอีก เมื่อมาถึงยามนี้เขาก็พยายามนึกเสียใจที่ไม่ยอมอ่านมันแต่แรก ถ้าหากเร็วอีกสักนิดคงจะวางแผนอะไรได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แต่ก็นั่นล่ะ ใครจะคิดว่า สารท้ารบ ตามแผนจะมาในรูปแบบตัวอักษรมั่วถั่วขยุกขยุยราวกับภาษาต่างกาแล็กซี...กระทั่งจะมีใครบ้าเขียนสารท้ารบด้วยลายมืออนาถขนาดนั้น

     

                พ่อมดหมายเลขสิบเก้ายิ้มอ่อนแรง "31 มีนาคม"


                และฉากที่เวย์น เบลเซบ คิดว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาเห็น ก็บังเกิดขึ้น

     

              เหล่าจตุราชาและธิดาราตรี องคมนตรีของท่าน รวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อปกป้องรักษาเมืองนี้เอาไว้...

     

                "ข้าจะตอบจดหมายนี้ไปเองว่าไม่ให้ พวกเจ้าเตรียมตัวกันด้วยก็แล้วกัน" ท่านผู้หญิงสง่างาม เคาน์เตส โนนา จีเวล แห่งกระทรวงการต่างประเทศ ในชุดยาวสีน้ำเงินเข้ม รวบผมดำขลับเป็นมวยสูงเดินออกนอกประตูปราสาท


                "อาตมาจะรีบจัดแนวทางอพยพให้กับชาวเมือง

     

                "ข้าจะไปที่ทำงาน แล้วเรียกรวมทุกคนให้เตรียม 'ที่ว่าง' ไว้เผื่อ" ซัลเทรียรีบเดินตามไปอีกคน


                ความวุ่นวายที่เกิดจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเกิดขึ้นในทันใด...ท่านเจ้าเมืองเริ่มมั่นใจว่าตนคงไม่ได้ตัดสินใจผิดที่เลือกคนเหล่านี้เข้ามาร่วมงาน ชายหนุ่มหน้าหวานเผยรอยยิ้มแห่งความสุข เพราะแม้มหานครแห่งนี้จะกำลังเสี่ยงกับอันตราย แต่เขาก็มั่นใจว่า หากคนพวกนี้ร่วมมือร่วมใจกัน ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน


                พ่อมดเหลือบมองท่านดยุคช้าๆอย่างกังวล เนื่องด้วยมีความลับอย่างหนึ่งในสารนั้นที่เขาไม่ได้บอกไป จนเริ่มนึกสงสารดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ ที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมานกับความจริงครั้งนี้


                เพราะ ข้อความในสารทั้งหมด...

     

                เขาแค่ล้อเล่นเฉยๆ
     

    ø


    +++
    ในที่สุดก็รีไรท์เสร็จสิ้น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×