ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rosamunde คำสาปกุหลาบลวง

    ลำดับตอนที่ #3 : หลังม่านควัน

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ค. 53


    present version: 17052010

    3: หลังม่านควัน

     

    ตะวันอ่อนแสงยามรุ่งเช้าฉายฉาบทาท้องทุ่งกว้าง ขอบฟ้าสีแสดทองเรืองรองตัดกับแนวขุนเขาทอดยาวสีดำทะมึน นกน้อยผกผินสู่ฟากฟ้าส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วเสนาะหู อากาศที่อบอุ่นขึ้นกว่าราตรีกลั่นอากาศให้ควบหยดน้ำค้างรินหล่นจากยอดไม้ บนพื้นเบื้องล่าง เหล่าสัตว์ป่าตัวน้อยต่างชะเง้อจากที่พำนักของตน เริ่มต้นชีวิตแห่งการดิ้นรนต่อสู้อีกหนึ่งวัน...

    ชีวิตผู้คนภายในเมืองแวร์ฟาเรนก็ตื่นขึ้นพร้อมธรรมชาติด้วยเช่นกัน - แสงตามโคมไฟดับลงแล้ว ขบวนเกวียนเคลื่อนเอื่อยเริ่มขนสินค้าผ่านประตูเมืองสู่เขตการค้าภายใน ความเงียบงันเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของผู้ที่เพิ่งพบปะกันในเช้าวันใหม่ ใบหน้าของผู้คนต่างเปื้อนรอยยิ้มสดใส และเปี่ยมด้วยกำลังใจ แม้จะรู้ดีว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นไม่ไกลจากตนเลยก็ตาม

    ทว่าสภาพจิตใจของชายหนุ่มห่างไกลจากคำว่าสดใสหรือเปี่ยมด้วยกำลังใจ

    ดวงตาสีเฮเซลค่อยลืมขึ้นมองเพดานหินสีดำ ร่างสูงนอนอยู่กลางเตียงนุ่มสีขาวยกพื้นสูง ม่านสีเหลืองนวลปักลายทองทิ้งตัวคลี่คลุมสี่ด้าน ลำแขนแข็งแกร่งขยับยันกายขึ้นนั่งเชื่องช้า ชายหนุ่มดึงม่านเปิดออกแล้วก้าวลงมายืนเท้าโต๊ะไม้สีน้ำตาลทองสว่างข้างเตียง นิ้วมือสางเรือนผมสีน้ำตาลหยักเป็นคลื่นไม่ให้ปรกใบหน้า เขาทอดมองออกไปยังหน้าต่าง - มองม่านสีเหลืองนวลเนื้อมันที่บดบังห้องนี้จากสายตาภายนอก และไม่เห็นสิ่งใดเลย

    เมื่อวาน เขาสั่งตำรวจห้านายให้ลงไปสำรวจพื้นที่ในป่า แต่จนบัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวใดกลับมา...ช่วงดึกก็คิดว่าสักประเดี๋ยวคงมีใครสักคนส่งข่าวอะไรบ้าง แต่เวลากลับล่วงเลยไปจนตีสาม เขาจึงตัดสินใจนอนพักเอาแรงสักสามชั่วโมง หวังว่าตื่นมาแล้วคงมีข่าวดี

    เคลฟเปลี่ยนเสื้อผ้า เขารีบออกจากที่พักในปราสาทกลางแล้วสั่งคนขับรถม้าประจำตัวให้พาไปยังชายป่านอกเมืองในทันที รถม้านั้นแล่นผ่านทหารที่หน้าประตูเมืองออกไปโดยเคลฟไม่แม้แต่จะแหวกม่านส่งสัญญาณทัก...ชายหนุ่มไม่ต้องการจะบอกอะไร แค่อยากไปดูให้เห็นด้วยตาตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นที่ในป่า อยากเห็นร่องรอยของตำรวจทั้งห้าที่เขาส่งไปเท่านั้น ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากใคร และรู้ดีว่าหากตำรวจทั้งห้ากลับออกมาจากป่าย่อมตรงไปหาตนแล้ว แม้จะถามทหารเหล่านี้ก็คงได้คำตอบเดียวกัน

    ล้อรถเคลื่อนมาจนหยุดนิ่งที่ชายป่า เคลฟรีบเปิดประตูกระโดดลงไปยังขอบถนนปูหิน ชายร่างสูงขบริมฝีปาก พลางสาวเท้ามุ่งตรงสู่ชายป่าที่เขาไม่เคยเข้าไปเดินสำรวจมาก่อนเลยในชีวิต สองมือชุ่มเผลอเช็ดกับกางเกงผ้าสีดำโดยไม่รู้ตัว พลันก็จำใช้หลังมือปัดหยาดเหงื่อที่รินตามไรผม ทั้งที่อากาศยังคงค่อนข้างเย็น

    รองเท้าบูทหนังหุ้มครึ่งแข้งย่ำหนักลงไปบนพุ่มไม้แกร็นและพงหญ้า แต่เคลฟยังคงไม่พบสิ่งใด...ก้าวแล้ว ก้าวเล่า จนความเงียบสงัดผิดปกติเรียกเอาความหวาดกลัวให้เข้าแทรกซึมทั่วทุกอณูของชายหนุ่ม ดวงตาสีเฮเซลหรี่ลงครุ่นคิด พยายามสงบใจตนลงให้ได้คำตอบหรือแผนการอะไรสักอย่าง ทว่าไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาเลย และนั่นยิ่งทำให้ความเครียดของเขารุนแรงกว่าเดิม

    เสียงใครบางคนเคลื่อนไหวบนพื้นป่าดังสวบ!

    สายตาคมกริบมองรอบตัวรวดเร็ว เคลฟหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้งอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่มีสัญญาณการขยับเคลื่อนไหว เขายืนนิ่ง หรี่ตากราดมองบริเวณนั้นครู่หนึ่ง ก่อนเดินตรงลึกไปในป่าจนพบต้นไม้ใหญ่ขนาดสามคนโอบ...ที่นั่น กลิ่นของดินและแมกไม้จางลงเล็กน้อย แว่วเสียงลำธารไหลรินห่างออกไป เคล้าคลอเสียงลมพัดซู่ผ่านกิ่งไม้ แต่ไม่มีเสียงร้องของสัตว์ชนิดใดเลย

    เคลฟยังคงก้าวต่อไป ระงับความรู้สึกหวาดหวั่นกับความเงียบอย่างน่าประหลาดและเสียงหัวใจที่เต้นตุบรัวหนักขึ้นทุกที ใบหน้าหล่อเหลาก้มลง คิ้วขมวดมุ่น นัยน์ตาคมเพ่งมองด้านหน้าระแวงระไว

    ลำต้นไม้ใหญ่นั้นค่อยเคลื่อนผ่านไปจากสายตาทีละน้อย ใบไม้ร่วงปูเป็นผืนพรมทั่วพื้นป่า ส่งเสียงกราวทุกครั้งที่รองเท้าตอกเหล็กย่ำไปด้านบน ส่วนเบื้องหน้าเป็นลานโล่งกว้างระหว่างพงป่าสูง มีแต่พุ่มไม้เล็กและดอกไม้ใบหญ้าต้นเตี้ยๆชูช่อไสว แสงอาทิตย์เริ่มส่องสว่างเจิดจ้าผ่านเงาร่มไม้พลิ้วไหว สาดทอเป็นลำเล็กจ้อยมากมาย มันสอดประสานกัน...ราวกับจะเบิกทาง...ราวกับจะเร่งให้เคลฟเดินมาข้างหน้าโดยเร็ว เพราะที่นั่นจะมีแต่ความสมหวัง ที่นั่นจะมีแต่เรื่องราวน่ารื่นรมย์ยินดี

    ร่างสูงก้าวออกจากม่านเงาร่มไม้โปร่ง มองภาพเบื้องหน้า...ห้วงความคิดสลับกันระหว่างสองสิ่ง วูบไหวราวฉากภาพที่เคลื่อนไปกลับ...ชายหนุ่มกลั้นหายใจยืนนิ่ง เนิ่นนาน ราวกับเป็นรูปสลักหินไร้ชีวิต ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างพร้อมกับกรามที่สั่นเกร็งและหัวใจที่เต้นระรัว หากผิวกายเย็นเฉียบซีดเผือดลงถนัดตา

    ใบหญ้าเขียวขจีเอนลู่ราบไปกับพื้น กลีบกุหลาบสีแดงสดสวยโรยพัดปลิวตามแรงลมอุ่น หมุนวนรอบลานนั้นอ้อยอิ่ง ละอองหยดน้ำกระเซ็นสายไร้ที่มาส่องสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายระยิบระยับ...ทว่าเหนือพื้นกลางลานกลับปรากฏเถากุหลาบสีเขียวปนเทาที่พันตวัดรัดห่อหุ้มบางสิ่งบางอย่างจนดูเหมือนดักแด้ขนาดยักษ์ กิ่งก้านขดงอเชื่อมต่อกลุ่มเถากุหลาบทั้งห้ากับแกนกลาง มันจัดเรียงเป็นรูปดอกไม้ห้าแฉก ที่รั้งเอาส่วนหัวมนให้นูนขึ้นสูง ส่วนปลายด้านนอกเรียวแหลมโค้งลงจรดพื้นดิน

    กิ่งก้านกระหวัดแนบแน่นแทบไม่เว้นช่องว่าง หากเมื่อเพ่งมองแทรกลงไปจะเห็นเศษผ้าขาดวิ่นพอโผล่พ้นให้เห็น

    เศษผ้านั้นเป็นสีดำสนิท ตัดกันกับผิวเนื้อซีดเซียวเบื้องล่างที่ถูกสูบเลือดจนแห้งเหือดกลายเป็นสีขาวโพลน!

    เคลฟก้าวเข้าไปใกล้อย่างไร้สติ ฝ่ามืออาบเหงื่อเย็นเฉียบดังน้ำแข็งทิ้งลงข้างตัว รองเท้าหนังตอกเหล็กย่ำผ่านพงหญ้าเอนราบเข้าไปก้าวแล้วก้าวเล่า ใบหน้าได้รูปเบือนมองรูปทรงดอกไม้ห้าแฉกมรณะนั้นที่ส่วนหัว นัยน์ตาสีเขียวปนน้ำตาลหลุบมองลึกลงไป - ส่วนที่นูนออกมานั้นไม่ใช่สิ่งใด...หากเป็นส่วนของเถากุหลาบที่พันรั้งเอาศีรษะทั้งห้าให้สูงขึ้น ใบหน้าไร้ชีวิตเหล่านั้นเอนแหงนหงายจนเห็นแต่ลำคอแข็งเกร็ง และก้านกุหลาบที่ตวัดขึ้นชูดอกไสวเป็นลำตรงแนวดิ่ง

    กุหลาบห้าดอกร้อยรัดกันเป็นเกสรของบุปผามรณะดังมาลัยวิเศษ...แต่เคลฟไม่อาจเห็นความงามใด เพราะเมื่อช่อกุหลาบและร่างมนุษย์ปรากฏให้เห็น รูปถ่ายเมื่อวานนี้ก็วาบขึ้นแจ่มชัดในมโนภาพ...มโนภาพที่ทุกอย่างล้วนเป็นม่านหมอกมัว มีแต่ดวงตาปริแตกวาววับเท่านั้นที่ทอแสงโดดเด่น เสียดแทงในจิตใจ

    ดวงตาสีขาวชุ่มฉ่ำแวววาว ที่มีดอกกุหลาบเสียดแทงออกมาผลิกลีบแย้มบานอยู่เบื้องบน

    เข่าแข็งแกร่งนั้นแทบทรุดลงกับผืนป่า ทั่วร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นอันเย็นวาบ สีหน้าของเคลฟยังคงนิ่งสงบ ภายนอกยังคงเงียบสงัด หากในใจกรีดเสียงลั่นรุนแรง กระนั้นสองขาก็ยังคงพาร่างกายที่ขัดขืนเข้าไปใกล้...ดวงตาคู่สวยทว่าอิดโรยเหม่อมองกุหลาบสีแดงห้าดอกที่ยอดสูงเทียมศีรษะ กลีบนวลสลับซับซ้อนนั้นแจ่มชัด ลมหายใจแผ่วเบาสูดเอากลิ่นอายหอมหวานชวนฝันเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เวลานั้น แววตาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มหลงคลั่งไคล้ ความคิดที่เคยเฉียบคมลบเลือนหายไป สองแขนของเขายื่นตรงไปด้านหน้า ปลายนิ้วมุ่งสู่ช่อกุหลาบ หัวใจเต้นตุบรัวจนมึนพร่าด้วยความสุขสันต์

    ...เขาอยากสัมผัส...อยากสัมผัสว่ากลีบกุหลาบสวยงามนั่นจะให้ความรู้สึกอย่างไร อยากจะก้าวผ่านเข้าไปแนบชิด ดอมดมกลิ่นหอมหวนที่พัดอวลรอบกายให้ชื่นใจ อยากโอบกอดด้วยสองแขน โอบกอดไว้ด้วยความรัก ทะนุถนอม...ก่อนจะเด็ดเอาดอกกุหลาบนั้นออกมาเก็บไว้เป็นของตน ตัดกิ่งหล่อเลี้ยงของมันให้ขาดสะบั้น ลิดเล็มหนามแหลมนั้นออกเสียมิให้บาดผิวได้ รากและกิ่งก้านของมันไม่สำคัญ เขาจะทำลายทิ้งเสีย ให้เหลือไว้เพียงดอกไม้...ดอกกุหลาบแสนงดงามน่าหลงใหล ที่จะเบ่งบานสดสวยในแจกันทองคำบริสุทธิ์ ขับเน้นความงามนั้นให้ส่องทอประกายได้ตราบนิรันดร์...

    แสงวับวามสายหนึ่งสาดส่องออกมาจากกลางช่อกุหลาบ...มีบางสิ่งล้ำค่าอยู่ที่นั่น

    เคลฟก้าวเข้าไป รู้สึกว่าสิ่งลึกลับนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่แล้วสองขาก็ชนเข้ากับกลุ่มเถากุหลาบกลุ่มหนึ่ง หนามแหลมที่ประดับทั่วกิ่งก้านนั้นบาดกางเกงเครื่องแบบสีดำจนฉีกขาดเป็นริ้วยาว ทว่าชายหนุ่มไม่ใส่ใจ เขาก้าวข้ามมันไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบลงมอง

    บัดนี้ร่างสูงยืนอยู่ที่ช่องว่างกลางกลุ่มเถากุหลาบที่พันรัดรอบร่างไร้ชีวิตทั้งห้า ศีรษะเอนหงายซีดขาวไร้สีเลือดรายล้อมรอบตัวเขา เคลฟสัมผัสกลีบกุหลาบได้แล้ว มันนุ่มนวลละไมและบอบบางเสียยิ่งกว่าเครื่องแก้วเนื้อดี ปลายนิ้วไล้รอบส่วนฐานดอกอ้อยอิ่ง กลิ่นหอมเอียนคละคลุ้งรุนแรง หากสติอันเลื่อนลอยของเคลฟสั่งให้เขาแหวกกลีบกุหลาบนั้นออก...อยากจะเห็นเหลือเกิน...

    อยากจะเห็น ว่าสิ่งล้ำค่าในนั้นคืออะไร

    "อย่า!!" ชายคนหนึ่งตะโกนลั่น

    เคลฟชะงัก รู้สึกเหมือนถูกเสียงนั้นฟาดเข้าที่ศีรษะ จึงเจ็บปวดภายในไม่ต่างกับยามถูกของแข็งทุบตีจนกะโหลกร้าว ชายหนุ่มหลับตาลง กัดฟันแน่นระงับความเจ็บปวดและอาการปวดมึนเหมือนถูกเหวี่ยงหมุนจนสุดแรง สองขาที่เคยมั่นคงซวดเซจนต้องขยับเท้าย่อตัวลงเพื่อรักษาสมดุลไว้ให้ได้ เคลฟพยายามสูดหายใจลึกยาวระงับสติพร่าเลือน เขาไม่ได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบอีกต่อไปแล้ว มีแต่รสเลือดเค็มปร่าที่จุกอยู่ในลำคอ และความเจ็บแสบจากบาดแผลที่ถูกหนามกุหลาบกรีดลึก ทั่วกายของเขาปวดหนึบ ง่วงงุนจนอยากทิ้งตัวลงนอนเสียตรงนั้น ทว่าครั้นชายหนุ่มกำมือแน่น ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบอย่างโลหะในฝ่ามือชื้นเหงื่อของตนเอง

    ลมหายใจหอบลึก เคลฟเปิดตาหรี่มองฝ่ามือที่คลายออก ฝ่ามือของเขาขาวซีดไร้สีเลือด เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายทั่วไปหมด หากมีสิ่งหนึ่งวางอยู่เหนือฝ่ามือนั้น

    มันคือแหวนทองคำวงหนึ่ง ปราศจากลวดลายใดๆ

    มือข้างซ้ายเท้าเข่า ค้อมตัวลงหอบหายใจ ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะเงยขึ้น ดวงตาสีเฮเซลปรือกราดมองรอบตัว แทรกไประหว่างต้นไม้ทุกต้น เพียรหาต้นเสียงที่ปลุกสำนึกของเขาออกจากการถูกล่อลวงอย่างลึกลับเมื่อครู่นี้ แต่ไม่เป็นผล...เคลฟมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของชีวิตใดเลย

    เสียงนั้นคุ้นหู...คุ้นนัก... ชายหนุ่มคิด พยายามนึกย้อนในความทรงจำ มั่นใจว่าเขาต้องจำได้ว่าต้นเสียงนั้นคือใคร ทว่ามันกลับถูกลบหายไปเสียอย่างนั้น นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ศีรษะปวดร้าวไม่เอื้ออำนวยต่อการขบคิด พลันดวงตาหลุบลงมองเพ่งพิศแหวนทองในมือวงเดิม

    ...มันคุ้นนัก...คุ้นเหมือนเขาเคยผูกพันบางอย่างกับมัน

    นิ้วมือพลิกแหวนวงนั้นอย่างเชื่องช้า เขามองลึกด้านในวงแหวน เห็นรอยสลักบรรจงบางเบาปรากฏอยู่ที่นั่น

    รอยนั้นจารึกเป็นชื่อของเขาเอง!

    อา... "ไม่..." ไม่จริง...เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าสิ่งที่เห็นเป็นของจริง หรือต่อให้เป็นจริงมันก็ต้องมีนัยบางอย่างแฝงมากกว่านั้น ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานที่ปรากฏอยู่ในห้วงคิดยามนี้ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน ต้องไม่ใช่...

    ...แต่แล้วจะเป็นสิ่งใดได้เล่า?

    ม่านตาสีเฮเซลเบิกกว้างด้วยความตระหนก เคลฟยืนนิ่ง แผ่นหลังเย็นวาบยิ่งกว่ายามเห็นร่างไร้วิญญาณของตำรวจทั้งห้านายนอนแน่นิ่งอยู่ในดงเถากุหลาบนี้หลายเท่านัก ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแห้งผาก ความกลัวที่แล่นทั่วนี้ไม่ได้เกิดจากการถูกคุกคามแต่อย่างใด...มันคือความกลัวต่อความจริง

    ชายหนุ่มปฏิเสธ...เขาไม่มีวันยอมรับความจริงนี้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจะเป็นจริง ก็ขอให้มันตายไปพร้อมกับเขาเถิด แม้จะต้องปิดบัง ต้องหลอกลวงใครต่อใคร ต้องทำลายอะไรลงไปมากมายกับมือ สิ่งเดียวที่เขามุ่งหวังคือจะต้องปกป้องความจริงนี้ให้เป็นความลับเท่านั้น ให้มันเป็นความลับเสียตลอดไป

    ส่วนสิ่งสืบเนื่องอื่นใด เขาจะจัดการด้วยมือของเขาเอง!

    เคลฟเอื้อมไปจับที่กิ่งกุหลาบกิ่งหนึ่ง กำแน่น แล้วหักมันออกสุดแรงโดยไม่สนใจว่าฝ่ามือเปลือยเปล่าจะถูกบาดหรือไม่ ชายหนุ่มถือกุหลาบพลางก้าวเท้าออกมาจากวงล้อมเถากุหลาบมรณะ พร้อมกันนั้นมือข้างขวาก็ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อที่อกซ้าย เขาหยิบกลักไม้ขีดไฟออกมา แท่งไม้เล็กจ้อยนั้นค่อยกรีดลงบนแถบสีแดง ประกายไฟแลบปลาบก่อนจุดติดลุกโชนมอดไหม้ ชายหนุ่มถือไม้ขีดนั้นไว้ด้วยสองนิ้ว เพ่งมองผ่านเปลวไฟวูบไหว แล้วจึงโยนมันลงไปบนพื้นหญ้าแห้งใกล้ปลายเท้าของศพตำรวจใต้บังคับบัญชาสักคน

    ชายหนุ่มจุดไม้ขีด โยนเปลวไฟนั้นลงไปเป็นครั้งที่สอง...ที่สาม...ที่สี่...ที่ห้า...จุดไฟจนกลักไม้ขีดว่างเปล่า เปลวไฟรายล้อมนั้นลุกท่วมเถากุหลาบสีเขียวอมเทาในเวลาอันรวดเร็วอย่างน่าประหลาด เพลิงสีออกส้มลามเลียไปทั่ว ท่วมสูงเทียมศีรษะ แผดเผาจนกลีบกุหลาบที่ชูช่อไสวเบื้องบนนั้นมอดไหม้บิดเบี้ยวเป็นเถ้าถ่าน เสียงแตกแล่นเปรี๊ยะดังเป็นระยะ ควันดำลอยฟุ้งขึ้นเหนือกองไฟ พาเศษเถ้าธุลีให้ลอยขึ้นไป เหลือแต่กลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพชวนคลื่นเหียนคละคลุ้งทั่วบริเวณ

    เคลฟมองอยู่อย่างนั้น...มองเนิ่นนานจนเปลวไฟเริ่มลุกลามมาใกล้ปลายเท้า เขาจึงค่อยก้าวถอยหนี หากไม่ละสายตาจากกองเพลิงแม้วินาที ชายหนุ่มมอง...สวดกล่าวคำขอโทษมากมายท่วมท้นภายในใจ ความโศกเศร้าเสียใจและสำนึกผิดในการกระทำของตนถูกส่งผ่านด้วยความเงียบงัน

    ดวงตาสีเฮเซลมองกลักไม้ขีดในมือ...มือนั้นกำแน่น เกร็งจนชาด้าน...พักหนึ่งจึงตัดสินใจโยนมันเข้าไปในกองไฟ

    ชายหนุ่มยืนนิ่งเฉย ใบหน้าคมคายเงยขึ้นเล็กน้อย มองส่วนปลายเปลวไฟที่ลามเลียสูงขึ้นสู่ฟ้า ม่านตาสีสวยส่องสะท้อนแสงไฟร้อนแรง วาววับด้วยความนัยมากมาย

    จารึกรายละเอียดทุกสิ่ง

    ตอกลึกเป็นตราบาปในจิตใจ

     

    เหนือฟากฟ้ายามตะวันเริ่มขึ้นสูง ควันไฟหนาทึบลอยคลุ้งจากป่าต้องห้ามที่อยู่ไม่ไกล แสงเพลิงลามเลียสูงเสียดฟ้าไหววาบตามแรงลมพัดอ่อนโชย กระพือก้อนเถ้าให้เคลื่อนสูงไปในอากาศก่อนจะแตกสลายเป็นเกร็ดผง กลิ่นเหม็นไหม้แสบตาอวลฟุ้งแม้จะอยู่ห่างจากจุดกำเนิดเพลิงอยู่พอสมควร แต่น่าแปลก ที่แม้ไม่มีใครคุมเพลิง มันก็ยังคงลุกลามแต่เฉพาะวงแคบนั้น ไล้เลียแผดเผาจนมอดไหม้แต่ตำแหน่งเล็กๆ ไม่ลามออกมายังชายป่าแม้แต่น้อย

    อย่างไรก็ตาม ม่านหมอกจากควันเถ้าธุลีสีเทาหม่นก็ทำให้ทัศนวิสัยของทางหลวงที่เชื่อมแวร์ฟาเรนเข้ากับเมืองอื่นนั้นเลวลงทุกขณะ ทหารรักษาการณ์ชุดสีเขียวหม่นยืนป้องดวงตาอยู่บนกำแพงที่ป้อมข้างประตูเมือง พยายามเพ่งมองอย่างไรก็ยังไม่อาจมองเห็นได้ไกลเกินกว่าอีกฟากถนน ภาพที่ปรากฏเป็นแต่พงหญ้าและเงากิ่งพัดไกววูบไหวเลือนรางราวกับไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียงความฝันเสกสร้างของเทพธิดาหรือนางปีศาจสักตนด้วยจุดมุ่งหมายซ่อนเร้นบางประการ

    มองเห็นเพียงควัน แต่ไม่เห็นต้นเพลิง

    "นั่นใคร?!" ทหารที่ยืนอยู่ด้านหน้ากำแพงฝั่งเดียวกับถนนตะโกนถาม

    ท่ามกลางความอึมครึมหม่นหมองยามสาย ร่างหนึ่งเดินลากเท้าฝ่าหมอกควันหนาทึบผ่านเข้ามาที่หน้าถนนทั้งที่การจราจรทั้งหมดเป็นอัมพาตไปนานแล้ว เรือนผมสีน้ำตาลของเขาเต็มไปด้วยเศษเถ้า ชายคนนั้นก้มลงเช็ดเอาผงสีเทาเข้มออกจากบริเวณดวงตาแล้วจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทั้งแก้มและจมูกโด่งสันยังคงเปรอะเปื้อน นัยน์ตาของเขาเรื่อแดงด้วยไอระคาย หากประกายมุ่งมั่นบนม่านตาสีเขียวอมน้ำตาลยังคงทอเด่นแต่ไกล คิ้วที่ขมวดมุ่นและความเกร็งตึงบริเวณขากรรไกรบ่งบอกความเครียดที่รุมเร้า ทว่าสีหน้าของชายคนนี้ดูผ่อนคลายอย่างน่าแปลกใจ

    "ใครเดินมาตรงนั้น" เสียงหนึ่งร้องดังจากบนกำแพง

    "ท่านเคลฟขอรับ!"

    'ท่านเคลฟ' พยักหน้า ก่อนจะไอโขลกจนตัวโยน ฝ่ามือเปลือยเปล่ามีริ้วรอยถูกบาดจนเลือดซิบทั่วไปยกขึ้นเป็นสัญญาณห้ามไว้ เรียวปากขยับกว้างช้าชัด แม้มีเสียงเพียงแผ่วเบา

    "อย่าเข้ามา..."

    คลี่ยิ้มอ่อนโยน...ยิ้มไปถึงดวงตา

    ท่านเคลฟ เกิดอะไรขึ้นขอรับทหารหนุ่มชุดสีเขียวอมเทานายหนึ่งถามรัวเร็วทันทีที่เคลฟเดินเข้ามายืนข้างๆ สีหน้าของทหารรักษาการณ์กังวลยิ่งนัก ทว่าเคลฟกลับยิ้ม ดูอ่อนแรง

    ไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรท่านเคลฟ บุตรท่านเคานท์แห่งแวร์ฟาเรนตอบซ้ำสองครั้ง เขาพ่นลมหายใจพลางยกหลังมือป้ายปัดเถ้าธุลีสีเทาเข้มเหนือคิ้ว ข้าแค่เข้าไปดูว่าในป่านั่นมีอันตรายอะไรอีกไหม และก็พบต้นไม้ประหลาด..."

    "อะไรหรือขอรับ"

    "อืม...เจ้าไม่เชื่อแน่" เสียงทุ้มหัวเราะฟังรื่นหู "กุหลาบน่ะ ท่าทางจะเป็นกุหลาบกินคนแบบเดียวกับที่ฆ่าผู้ชายคนนึงไปเมื่อวานล่ะกระมัง...ข้าเกือบจะถูกกินเสียแล้ว บุญว่าชิงเผามันทันเสียก่อนนี่ล่ะ เลยยังรอดมาถึงตอนนี้"

    เมื่อได้ยินว่ากุหลาบกินคน ใบหน้าของทหารนายนั้นก็กระตุกทันที แต่ยังคงรักษามาดสง่างามเอาไว้ได้ ให้พวกข้าช่วยไปตรวจดูไหมขอรับ

    ไม่ต้องๆชายหนุ่มยิ้มให้อย่างมั่นใจ แม้ท่าทางจะยังดูเกร็งด้วยความเคร่งเครียด พลันเขาก็ยกมือขึ้นตบบ่า ทหารรักษาการณ์สะดุ้งก้มลงมองบ่าตนนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับมายืนตรงตามระเบียบอีกครั้ง

    เคลฟลดมือลง ใบหน้าหล่อเหลาเงยมองด้านบน พยายามสบตากับทหารรักษาการณ์ทุกนาย ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง ทว่านุ่มนวล ข้าฝากพวกท่านดูแลคนผ่านไปผ่านมาแถวนี้อย่างเดิมด้วย...และอย่าให้ใครเข้าไปในป่านั้นโดยเด็ดขาด ไม่ว่าใครก็ห้ามทั้งนั้น เพราะข้าไม่มั่นใจว่าเถากุหลาบปีศาจนั่นจะหมดไปหรือยัง

    ทหารรักษาการณ์รับคำอย่างพร้อมเพรียง

    "ส่วนเรื่องไฟ...ข้าเข้าใจว่ามันคงไม่ลามออกมาจากในป่าแน่ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไป ถ้ามีอะไรขึ้นมาเดี๋ยวข้าจะมาบอกเอง"

    เคลฟกล่าวทิ้งท้าย ยิ้มให้พลางค้อมศีรษะลง ทหารทุกนายกระทำวันทยาวุธอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มจึงยืนผึ่งผายยกมือจรดหางคิ้วตอบรับ ก่อนจะเดินผละเข้าไปฝั่งในประตูเมือง มองด่านตรวจด้านข้างอย่างรวดเร็ว แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งสู่รถม้าที่เขาสั่งให้จอดรออยู่ใกล้ๆนี้

    ชายหนุ่มรีบกระชากประตูเปิดแล้วกระโดดเข้าไปนั่งด้านใน เอื้อมไปรูดม่านปิด ม่านนั้นแกว่งไกว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีทางใดที่คนภายนอกจะมองเห็นเคลฟอีก เขาจึงนั่งเอนพิงพนักเหยียดขายาวอยู่บนเบาะรถ ดวงตาคู่สวยเพ่งมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า สีหน้าที่เคยอ่อนโยนเป็นมิตรเมื่อครู่ บัดนี้กลับราบเรียบจนเย็นชา ริมฝีปากบึ้งตึงเม้มลงยามขบคิด ในความเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ เขายังไม่สั่งออกรถแต่อย่างใด

    ...เคลฟเพิ่งโป้ปดในสิ่งที่กระทั่งตัวเองยังปฏิเสธ พูดเหมือนไม่มีสิ่งใดน่ากังวลทั้งที่ในใจหวาดหวั่นแทบสิ้นสติอยู่ทุกวินาที...ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะก่อให้เกิดผลอย่างไร แต่เลือดเนื้อของตำรวจเคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็หลอมรวมมอดไหม้ลอยสู่เบื้องบนไปเสียแล้ว...มันอาจขัดกับทุกหลักความเชื่อที่ยึดถือมาทั้งหมด แต่เขาก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีก

    กุหลาบปีศาจ? ช่างเป็นเรื่องโกหกที่น่าขัน...

    ชายหนุ่มเหยียดยิ้มเยาะ ก้มลงมองแหวนทองวงนั้นในฝ่ามือตนเอง

    ...แล้วแหวนวงนี้...แหวนที่มีชื่อของเขาสลักอยู่...จะเป็นเรื่องโกหกที่น่าขันเหมือนกันไหม?

    เคลฟถอนใจเฮือกใหญ่ เขาเก็บแหวนทองไว้ในกระเป๋าเสื้อที่อกซ้าย อีกมือหนึ่งก็หยิบห่อผ้าทรงยาวสีดำที่ซ่อนไว้ในตัวเสื้อออกมา - เขาใช้มีดเฉือนส่วนหนึ่งของเสื้อตัวเองมาห่อกุหลาบนี้ไว้ระหว่างเดินทางกลับเข้าเมือง

    เพราะจากแผนการแล้ว เขาจะต้องใช้มัน

    ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ตะโกนสั่งคนขับให้แล่นตรงสู่ที่พำนักของแขกเมืองคนสำคัญที่เพิ่งเดินทางมาจากเดรฮาบ่ายวานนี้ ด้วยหวังว่าคนคนนั้นจะพอช่วยอะไรได้ อย่างน้อยก็คงรู้จักคนในเครือข่ายอะไรบ้าง

    "ออกรถ ไปหาอาเดล ไวส์มันน์!"

    มิฉะนั้น ชีวิตของเขา...คงถึงคราวพินาศโดยพลัน

     

    ทีแรกเคลฟคิดว่าการมาตามหาอาเดลที่อาคารรับรองที่ตนจัดไว้ให้คงไม่ได้ผลอะไรขึ้นมา ด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าชอบเดินท่องไปในเมือง ไม่เคยอยู่กับที่ จึงคาดว่าจะลองมาดูเสียหน่อย แล้วถามคนดูแลอาคารนั้นว่าตัวอาเดลไปอยู่ที่ไหนกัน ซึ่งคงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะหาเจอ เขาเตรียมใจไว้อย่างนี้ตั้งแต่ยามนั่งรถผ่านถนนสายใหญ่ จนกระทั่งก้าวมายืนอยู่หน้าอาคารก่ออิฐสีแดงซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทกลางเพียงหนึ่งช่วงตึก สั่นกระดิ่งหน้าบานประตูไม้โอ๊ค แล้วลองถาม

    แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจ

    "อยู่ขอรับ" คนดูแลวัยชราตอบ "ท่านไวส์มันน์บอกข้าไว้แล้วขอรับ ตอนนี้เขากำลังเตรียมตัวกลับเดรฮา"

    อาเดลบอกอะไรคนดูแล... ชายหนุ่มนึกสงสัย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับอีกประโยคหนึ่ง "กลับเดรฮา? เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ"

    "เห็นว่าท่านหญิงที่นั่นป่วย เขาจึงต้องรีบไปรักษา"

    "ขอบคุณนะขอรับ" เคลฟรีบตัดบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม เขาค้อมหลังเล็กน้อย พลันก็รีบวิ่งไปสุดทาง แทบจะกระโจนขึ้นบันไดไปชั้นสองที่อาเดลอยู่ในวินาทีเดียว รองเท้าหนังสูงครึ่งแข้งที่ยังเปื้อนฝุ่นดินย่ำผ่านผืนพรมสีแดงทอดยาว ส่งเสียงดังตึงตัง ในที่สุดก็มาหยุดที่หน้าห้องใหญ่ที่อยู่ริมด้านหน้าอาคาร บานหน้าต่างกรอบสีทองทรงโค้งสูงกลางทางเดินเผยให้เห็นภาพถนนกว้างใหญ่อันพลุกพล่านที่มีเกาะกลางถนนเป็นพุ่มดอกไม้สีเหลืองสดเรียงรายตลอดทาง

    ไม่ทันเคาะประตู มันก็เปิดออก พร้อมใบหน้าของชายคนหนึ่งที่แสนคุ้นเคย กับรอยยิ้มตามแบบฉบับที่เห็นจนชินตา...ราวกับอาเดล ไวส์มันน์ รู้ล่วงหน้าว่าเคลฟจะต้องมาที่นี่ เวลานี้ อย่างไรอย่างนั้น

    เคลฟอ้าปากจะถาม แต่อาเดลกลับหันหลังให้แล้วเดินกลับเข้าห้องอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มจึงจำต้องเดินตามเข้าไปแม้จะนึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยที่ถูกขัดคำอย่างไม่น่าให้อภัย

    ในห้องกว้างขวางผนังปิดกระดาษสีนวลลายทองสะอาดตา กระเป๋าเดินทางสองใบเปิดอ้าออกอยู่บนพื้น ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสัมภาระธรรมดาที่มีเสื้อผ้าอยู่เล็กน้อย และผู้เป็นเจ้าของกำลังจะเก็บเสื้อผ้าเก่าใส่ลงไปอีกครั้ง ส่วนอีกใบเป็นกระเป๋าบุหนังสีดำ ด้านในบุผ้าสักหลาดหนาสีดำ มีขวดทั้งใสและขุ่นหลากสีสันแปะฉลากสีขาวจัดเรียงกันมากมาย นอกจากนี้ยังมีห่อผ้าขนาดย่อมอีกหลายห่อ ติดฉลากสีขาวเขียนด้วยลายมือหวัดยุ่งเหยิง ถูกโยนไว้ลวกๆเหนือกระเป๋ายานั้น เหมือนกำลังจะจัดยาชนิดใหม่ที่ได้มาให้เป็นที่เป็นทาง แต่ยังไม่ได้ทำ

    ชายหนุ่มยืนพิงประตูรอพักใหญ่ ระหว่างนั้นเจ้าของห้องก็เดินไปนั่งจัดข้าวของใส่กระเป๋าอย่างไม่เร่งร้อน จนกระทั่งมือเรียวนั้นปิดกระเป๋ายาลงดังฉับ เคลฟจึงเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาควรจะเป็นคนออกปากก่อน ไม่ใช่อาเดล

    ทว่าสิ่งที่หลุดออกจากปากกลับไม่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ในตอนแรกเลยสักนิด

    "เกิดอะไรขึ้นที่เดรฮาหรือ"

    อาเดลลุกขึ้น ลากเก้าอี้มานั่งกลางห้อง ดวงตาสีดำหลังแว่นกรอบทองมองเคลฟนิ่ง...พักหนึ่งริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มกว้างพลางหัวเราะในลำคอ แววตาของเขาพราวระยับ ทว่าก็ยังไม่ตอบอะไร

    รอยยิ้มรู้ทันทำให้เคลฟรู้สึกเหมือนถูกหยามอยู่ในที โลหิตสูบฉีดจนใบหน้าร้อนแดง แต่ครั้นจะถอยหลังกลับไปก็เท่ากับพ่ายแพ้ หากเอ่ยถามคำถามเดิมก็ใช่ที่ และหากกล่าวขอความช่วยเหลือตามจุดมุ่งหมายแต่แรกก็ยิ่งทำให้ศักดิ์ศรีและทิฐิของตนต้องสั่นคลอน...แม้จะมีเร่งด่วนเพียงใด แต่ความรู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของคนตรงหน้าดูจะรุนแรงกว่านัก

    ข้าบอกคนดูแลไว้แล้ว ว่ากำลังจะกลับเดรฮา" เขาหัวเราะรื่น ท่าทางไม่ติดใจอะไรจนนิดเดียว "มีจดหมายส่งมาบอกว่าท่านหญิงโรซามุนเดล้มป่วยกะทันหัน...ข้าก็เลยต้องไป

    "ไม่ใช่โรซาลิเอ?"

    "ขอรับ ไม่ใช่โรซาลิเอ" อาเดลตอบง่ายๆ อย่างนั้น

    เคลฟสาวเท้าเข้าใกล้ ถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่ง และก็ยังคงนั่งเงียบ แม้จะถูกมองด้วยสายตาสงสัยกึ่งคาดคั้น...ที่จริงชายหนุ่มอยากจะรีบถามเพื่อไม่ให้ต้องเก็บความกังวลติดค้างไว้อีก แต่เพราะสีหน้าท่าทางของอาเดลดูเหยียดเยาะท้าทายอย่างนี้นี่แหละ เขาจึงไม่รู้จะเริ่มพูดออกมาอย่างไรดี...ยิ่งอาเดลจ้องมาพร้อมกับอมยิ้มนิดๆอย่างนี้ ยิ่งทำให้นึกโมโหตงิดๆขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ชายหนุ่มไม่เคยทำใจยอมรับท่าทางของเพื่อนเก่าคนนี้ได้เลยตั้งแต่สมัยเด็ก จนบัดนี้ก็ยังทำไม่ได้...โดยเฉพาะเมื่อนึกไปว่าเมื่อวานแพทย์หนุ่มเตือนตนว่าอะไร แล้วสิ่งที่ทำให้เคลฟต้องมาพบในครั้งนี้คืออะไร

    เคลฟหลับตา ขบกรามเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจบอก

    สิ่งที่ท่านเตือนเมื่อวาน มันเกิดขึ้นแล้ว...

    "...และท่านก็เผาศพพวกเขาไปแล้วสำเนียงของอาเดลเนิบนาบเหมือนเรื่องที่กล่าวไม่สลักสำคัญอะไร ทว่ารอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าในทันที

    หน้าต่างห้องพักของเขาไม่ได้หันไปทางชายป่า และยังไม่ได้ก้าวออกจากห้องเลยตั้งแต่เช้า แต่อาเดลรู้เพราะบนเสื้อผ้าเนื้อตัวของเคลฟมีคราบเขม่าปรากฏให้เห็น

    แพทย์หนุ่มค้อมตัวมาด้านหน้า ประสานมือวางไว้ระหว่างเข่า สายตาคมกริบรีดเค้นคาดคั้นให้เคลฟรีบบอกออกมาโดยเร็ว...เวลาผ่านไปพักใหญ่ เมื่อเคลฟตระหนักอีกครั้งว่าเขาควรระงับความรู้สึกไร้สาระแล้วมุ่งที่งานสำคัญอย่างที่ทำเป็นปกติกับคนทั่วไป ชายหนุ่มก็ถอนหายใจ มือแกร่งที่เต็มไปด้วยบาดแผลยื่นส่งห่อผ้าสีดำนั้นให้กับอาเดล

    "ข้าอยากถามท่านหน่อย...ข้าควรจะส่งมันไปให้วูร์เซล ฟลันเซดูดีไหม"

    ฟลันเซคือนักพฤกษศาสตร์ชื่อดังที่รู้จักกันกับอาเดล เขาคือชายผู้ลุ่มหลงในต้นไม้แทนที่จะเป็นสตรี และเป็นคนแปลกยิ่งกว่าทุกคนที่เคลฟเคยพบเห็น ชายหนุ่มไม่เคยพูดคุยกับฟลันเซเลยสักครั้ง แต่จากการสังเกตด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เคลฟก็ลงความเห็นว่า คนที่ดูเหมือนปกติแต่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สติเฟื่องได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องนัก เว้นแต่จะมีความจำเป็นต้องอาศัยชื่อเสียงของเขาด้านนี้จริงๆ

    อาเดลรับห่อผ้านั้นมาถือไว้โดยไม่ละสายตาจากเคลฟแม้แต่วินาทีเดียว คิ้วสีดำทั้งคู่ของเขาเลิกสูง พลันก็เหลือบมองห่อผ้าทรงยาวบนฝ่ามือ ก่อนจะค่อยคลี่ผืนผ้าห่อหุ้มให้คลายช้าๆ

    เหนือผ้าสีดำมีดอกกุหลาบสีแดงสด ติดกิ่งคดเล็กน้อยยาวราวสามนิ้ว

    "เดี๋ยวข้าแวะไปบอกให้ก่อนจะกลับ" อาเดลก้มหน้าลง พับผ้านั้นห่อกุหลาบไว้ดังเดิม ก่อนจะเงยขึ้นสบตา เรียวปากคลี่ยิ้มบางเบา "...แต่ท่านจะให้ข้าบอกเขาว่าอะไรหรือ"

    เคลฟชะงัก...รู้ดีว่านัยของคำถามนั้น หมายความว่าเขาจะต้องเล่าความจริงบางประการให้อาเดลฟัง แลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือในสิ่งที่เขาเองไม่สามารถทำได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่เขาพูดไม่ได้...บางสิ่งที่ยังทอดตัวนอนนิ่งในกระเป๋าเสื้อที่อกซ้ายอยู่ในขณะนี้

    ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเลือกจะเล่าเรื่องเดียวกันกับที่เคย ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบยิ่งนัก "ข้าเข้าไปในป่า อยากจะดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมคำสาปกุหลาบ...และข้าก็พบกับกุหลาบกินคนเข้า มันพยายามจะพุ่งเข้ามารัดทำร้ายข้า ทีแรกข้าพยายามต่อสู้ จนหักก้านดอกก้านนี้มาได้ แต่กุหลาบปีศาจนั่นก็ยังไม่หยุดเสียที ข้าจึงตัดสินใจเผามันเสียตรงนั้น ก็เลยรอดมาได้"

    "ข้าจำเป็นต้องเชื่อเรื่องที่ท่านเล่าไหม" อาเดลย้อนคำ

    "ไม่จำเป็น" ตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงห้วนกระชาก แต่ปฏิกิริยาของผู้ฟังกลับเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ

    เถากุหลาบกินคน กุหลาบปีศาจ...ช่างเป็นเรื่องเหลือจะเชื่อรอยยิ้มของแพทย์หนุ่มเปลี่ยนไปมาก มันไม่ได้ดูสดชื่นหรือดูเหนือกว่าอย่างเคย แต่กลับกังวลราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นธุระของตน ท่านว่าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เพราะกุหลาบไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คือกุหลาบ จะกินคนหรือไม่กินคนมันก็เป็นแต่กุหลาบ คนธรรมดาไม่มีทางรู้เลย

    แม้เรื่องที่เล่าจะเป็นเรื่องโกหกยิ่งกว่านิยาย ทว่า "อาเดล...ถึงข้าจะไม่ได้เล่าเรื่องจริงทั้งหมด แต่เรื่องที่มีคนตายด้วยกุหลาบเป็นความจริง เจ้าควรเชื่อ..."

    "...เขาอาจจะตายก่อนจะมีกุหลาบแทงเข้าร่าง หรือเขาตายเพราะกุหลาบ อาจเป็นไปได้ทั้งสองทาง...ข้าคิดว่าอย่างนั้น" แพทย์หนุ่มโต้กลับ คิ้วค่อยเคลื่อนหากันเป็นปม สีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่ปิดบัง หากน้ำเสียงเชื่องช้ายานคาง "ตราบใดที่ท่านไม่ได้เห็นว่ากุหลาบนั่นกำลังฆ่าคนจริงๆ จะให้ปักใจเชื่อสักอย่างหนึ่งคงไม่ได้หรอก"

    "เพราะอย่างนั้น ข้าเลยอยากให้ฟลันเซช่วยพิสูจน์ว่ามันเป็นอย่างไหนกันแน่อย่างไรล่ะ" เคลฟมองมุ่งมั่น "ข้ารู้ว่านักวิทยาศาสตร์อย่างเขามีวิธีทดลอง น่าเชื่อถือ...เรื่องนี้จึงต้องพึ่งพาเขา"

    อาเดลเงียบไป ม่านตาสีดำสนิทมองหน้าชายหนุ่ม สื่อว่ารู้กันโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ

    ในความเงียบยามนั้น ภายในใจเคลฟร้อนรน...สัมผัสได้ถึงน้ำหนักแหวนวงนั้นที่อกซ้าย มันใกล้หัวใจนัก ทว่าเย็นเยียบแห้งแล้งเหลือคณา เขาควรจะทำอย่างไรดี นอกเหนือจากเรื่องคำสาปกุหลาบที่เปิดเผยได้แล้ว หลักฐานชิ้นนี้ ชายหนุ่มจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหรือ...จะต้องปล่อยให้ตนเองขบคิดกังวลหวาดระแวงอะไรไปจนชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ

    แต่ครั้นจะเงียบเฉย ปล่อยให้มันล่วงเลยผ่านไป ก็เท่ากับว่าเขาทรยศต่อตนเองและเจ้าของแหวนนี้ เท่ากับว่าเขาทรยศต่อคนรัก และความรักของตนเอง เรื่องปิดบังที่สั่งสมมาเนิ่นนานจะทับถมกันมากขึ้น แล้วในที่สุดน้ำหนักของมันก็จะทำลายเส้นสายที่ผูกพันกันให้ขาดสะบั้นลงไป ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม

    ...สิ่งใดสำคัญกว่ากัน...นี่คือสิ่งที่เขาจำต้องเลือก ในตอนนี้ ในวินาทีนี้

    พลันดวงตาสีเฮเซลก็หลุบลง...ดวงตาสีเขียวที่มีเส้นสายสีน้ำตาลพาดพันอยู่เต็มหลุบลง

    "เจ้ามีกระดาษกับปากกาไหมอาเดล ข้าจะขอเขียนจดหมายฝากถึงโรซาลิเอสักหน่อย"

    อาเดลทำหน้างุนงง แต่ชั่ววินาทีเดียว เขาก็พยักหน้าราวจะเข้าใจ "มีสิ..." มือนั้นเอื้อมไปหยิบกระเป๋ายาขึ้นมาวางบนโต๊ะชิดผนังข้างตัว เปิดช่องหนึ่งที่มีกระดาษสีขาวอยู่เต็ม กับปากกาและหมึกดำหนึ่งกระปุก ทุกอย่างถูกนำมาวางที่กลางโต๊ะก่อนที่อาเดลจะเก็บกระเป๋านั้นออกไป แพทย์หนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อย มองหน้าเคลฟอย่างกังวลด้วยท่าทางใส่ใจคนรักของเขาดูแปลกเกินไป ทว่าไม่เอ่ยอะไร

    เคลฟขยับมานั่งกลางโต๊ะ รับปากกามาจรดหมึกแล้วตวัดขีดเขียนลงไปโดยไม่กล่าวแม้คำขอบคุณ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจรุนแรงหลายครั้ง ปลายนิ้วที่จับปากกาสีดำยังคงลากจรดลงไปไม่หยุดหรือขาดจากกันแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ความรู้สึกท่วมท้นบางอย่างรินทะลักออกมาจากเบื้องลึกในใจที่ถูกปิดไว้เนิ่นนาน สีหน้าของเคลฟดูเคร่งเครียด หากถ้อยคำมากมายเกินจะกล่าวยังไม่หมดสิ้น เขายังหยุดไม่ได้

    ในห้องกว้างอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงลากปากกาบนกระดาษดังถี่รวดเร็ว จังหวะของมันบางครั้งก็ห้วนกรรโชกรุนแรง บางคราก็บางเบาอ่อนหวาน ราวกับว่าจิตใจของผู้เขียนกำลังอยู่ในภาวะสับสนยากหยั่งถึง...

    ดวงตาหลังแว่นกรอบทองจับจ้องทุกอิริยาบถ หวาดหวั่น กังวล ทว่าไม่เอ่ยขัดเลยแม้สักคำ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×