ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nueve Cuatro Tres!

    ลำดับตอนที่ #3 : Tales from Reverie 0.1: อีกหลายมุมมอง...ของผู้ไม่รู้อะไรเลย

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 51


                กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานนักหรืออาจนานเกินกว่าจะนับก็ไม่ทราบ ยังมีมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาใหญ่ทั้งลูก ภูเขานั้นเดิมชื่อขุนเขาแห่งเนฟัลธอส เมื่อมีการก่อร่างสร้างเมืองจึงได้นามใหม่ว่า จรูญจรัสนคร หรือ มหานครแห่งเนฟัลธอส ตามชื่อเดิมของสถานที่
     

    ø
     

                โชคชะตากำหนดให้ชีวิตดำเนินไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง บททดสอบทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา ตำแหน่งสูงส่งก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่หลายคนประสงค์จะครอบครอง คนเหล่านั้นต้องสละหลายสิ่งเพียงเพื่อยศถาและอำนาจ เพราะถือเกียรติศักดิ์เป็นสรณะ

     

                และทุกครั้ง เว้นบางกรณีพิเศษ ผู้ได้รับตำแหน่งและอำนาจอันสำคัญขั้นควบคุมผู้คนนับล้าน ย่อมมาจากตระกูลใหญ่ที่มีฐานะทางสังคมดีมาแต่อดีต ไม่อย่างนั้นก็คือฐานะทางเศรษฐกิจ...ประการหลังนี่แม้ไม่ใคร่สนับสนุน แต่ย่อมรู้กันดีว่า เงินสามารถซื้อสิ่งใดก็ได้ที่ไม่ต้องใช้หัวใจและจิตสำนึก


                ทว่า...ถึงคนส่วนใหญ่จะคิดอย่างนั้น แต่ต่างคนก็ต่างใจ ต่างวัยก็ต่างความคิด เมื่อมีผู้ยึดถืออำนาจบารมีเป็นสำคัญ ก็ย่อมมีผู้เหยียดหยามอำนาจบารมีเป็นสำคัญเช่นกัน


              ...ทำไมเราต้องมาอยู่ในสถานะบ้าๆนี่ด้วยล่ะ?


                ทั้งที่นึกสบายใจอยู่เสมอว่าเกิดมาไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง แล้วจะพ้นจากวงจรอุบาทว์แท้ๆ เพราะตำแหน่งแบบนี้มันงานหนัก ภาระเยอะ ถึงจะรวยมีศักดิ์ให้เชิดชู แต่ก็ไม่อุ่นใจ พลาดนิดเดียวอาจถูกฟื้นฝอยหาตะเข็บ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่จะหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดีเอาง่ายๆ


                เฮ่อ
    ! คิดเองก็จนปัญญา ใครจะไปรู้ว่ากษัตริย์พระองค์ใหม่ของอาณาจักรจะใช้วิธี 'ดรรชนีสุ่มๆ' เลือกให้คนเป็นดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ ผู้รั้งแคว้นเนฟัลธอส ถ้ารู้อย่างนี้ ไม่เสนอหน้าอยากเห็นองค์กษัตริย์เสียแต่แรกก็คงดี

     

                ...แต่ทุกครั้งที่มีคนเอ่ยคำว่า 'ถ้ารู้อย่างนี้' นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันได้อีกแล้ว


                ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวเนียนหน้าหวานใน
    'ชุดคลุมสีน้ำตาลทองรุ่มร่ามเครื่องประดับห้อยระย้าเหมือนโคมไฟหรูหราเดินได้ ที่นอกจากจะร้อนแล้วยังหนักอึ้งจนกลัวผ้าขาด' นอนตาเบิกโพลงอยู่บนเตียงไม้ฉลุลายลงทองคำโดยไม่สนใจจะเปลี่ยนชุดทรงขณะพยายามยอมรับโชคชะตาที่พลิกผันตนเองราวหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน...แต่ก็รับไม่ค่อยจะได้


                บุรุษผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครทราบ กระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้ เขาอาศัยอยู่กับนักบวชประจำวิหารแห่งจันทราแต่เล็ก หางานทำในนครชั้นถัดออกไป ตกดึกก็กลับเข้าสวนเมเนลสู่มหาวิหาร ไม่มีคุณสมบัติอะไรที่เหมาะแก่การเป็นดยุคเลยสักนิด หากความเหมาะสมที่ว่าหมายถึงสถานภาพทางสังคมและการเงิน


                เขารู้ตัวว่าสติปัญญาเป็นเลิศทั้งที่เข้าโรงเรียนเพราะกฎหมายบังคับ ความสามารถพิเศษคือ การอ่านแล้วเข้าใจได้ทุกภาษาตราบที่รู้ว่าตัวหนังสือนั้นออกเสียงอย่างไร การคำนวณยอดเยี่ยม และที่สำคัญซึ่งคาดว่าเหมาะสมกับตำแหน่งสูงๆที่สุด... คือการปล่อยงานของตนเองให้คนอื่นทำ โดยที่คนเหล่านั้นไม่คิดจะปริปากบ่นเนื่องจากตรงกับความสามารถของตนพอดี หรือจะเรียกให้ถูกคือรู้จักใช้คนให้เหมาะกับงาน กระจายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

                หรือจะเรียกอีกอย่าง ก็คือสามารถอู้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีๆนี่เอง


                นอกจากนั้นยังมีพลังแปลกๆซึ่งทำให้ผู้วิเศษเชื้อสายเอเรเซียทุกคนที่เข้าใกล้ต้องสลบเหมือด โชคดีหรือร้ายไม่ทราบที่องค์กษัตริย์ขับผู้ใช้มนตราออกจากจรูญจรัสนคร ปัจจุบันชายหนุ่มเลยไม่เหลือใครให้ทดสอบพลังว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง และไม่ต้องทำให้ใครหมดเรี่ยวแรงอีกต่อไปด้วย

     

                หรือบางทีองค์กษัตริย์อาจทรงมีจักษุทิพย์


                ใครจะไปอยากอยู่ในตำแหน่งแบบนี้ ...ดยุคคนใหม่คิดในใจแบบสวนกระแสสังคม... ถ้าต้องมารับภาระของแคว้น ดูแลคนเป็นล้าน เขายอมเป็นมนุษย์เดินดินทำงานตามร้านเกมส์ธรรมดาๆดีกว่า อย่างน้อยพอว่างๆก็ได้เล่นเกมล่ะนะ (วิซาร์ดเลเวล 79 แล้วด้วยสิ)


                พอมาอยู่ตรงนี้แล้วมันไม่มีให้เล่น
    !! อ๊าก ลงแดง ลงแดง...


                ชายหนุ่มบนเตียงพลิกตัวกระสับกระส่ายด้วยความอยากเล่นเกมขนาดหนัก(โดยลืมไปว่าแค่สั่งใครสักคนของนั้นก็จะมาถึงที่) เขาปิดตาแน่น เหงื่อไหลจนชุ่มทั้งที่อากาศเย็นเฉียบเนื่องจากลืมให้คนมาปรับอุณหภูมิ สติหลีกเร้นไปจากความจริงเล็กน้อย จมดิ่งในฝันร้ายที่ใครหลายคนคงอิจฉา


                เสียงคำรามเบาดังคร่อกๆที่ออกมาจากลำคอ หมายความว่าสัมผัสรู้ตนของเจ้าของห้องจางหายไป

     

                จางหายไปเกลี้ยงจริงๆ

     

              ...เพราะกระทั่งมีชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียงก็ไม่ได้รู้สึกรู้สา


                ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าบุรุษผู้นี้มาจากสถานที่แห่งใดในโลก เขาไม่ได้เข้าทางประตู และที่แน่นอนคือไม่ได้เข้าทางหน้าต่าง ชายแปลกปลอมผู้นั้นเดินสำรวจรอบห้องอย่างสบายอกสบายใจราวกับเป็นที่อยู่ของตน หน้าต่างที่ลืมปิดวิสูตรของห้องบรรทมเจ้าเมืองส่งภาพภายนอกผ่านกระจกแก้วนิรภัยบานใส จันทราเต็มดวงกลางดึกคืนวันเพ็ญส่องให้เห็นเค้าหน้าเรียวได้รูป และผิวพรรณผุดผาดกว่าหญิง ดวงตากลมโตสีดำสนิทเช่นเดียวกับเส้นผมสลวยที่ยาวประบ่า ถ้าไม่มีใครบอก ผู้พบเห็นคงเดาไว้ก่อนว่าเป็นสตรี


                นัยน์ตาสีนิลชายมองบุรุษบนเตียงพลางครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะมีบางสิ่งซ่อนเร้นจากสายตา...ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ ผู้ครองนครเนฟัลธอส ไม่น่าจะเป็นแค่คนเดินถนนธรรมดาอย่างที่องค์กษัตริย์ดำริ เพราะเขาสามารถบริหารบ้านเมืองได้นานเกือบเดือนทั้งที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลืออะไรเลย และในขณะเดียวกัน
    คงไม่มีใครเชื่อถืออะไรด้วย


                ร่างบอบบางสาวเท้ากึ่งย่องเข้าใกล้เตียง ดึงถุงมือสีดำข้างขวาออก พลันสัมผัสกลางหน้าผากของท่านเจ้าเมืองเพื่อตรวจสอบบางอย่าง พลางทอดถอนใจที่คนตรงหน้าถูกแตะเนื้อต้องตัวขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมตื่น...คงต้องให้มีปืนมาจ่อหัวเสียล่ะกระมัง


                แต่ชั่วอึดใจ พลังแปลกๆก็พุ่งผ่านจนจำต้องผละออก
    ! ...ดวงหน้าราวสตรีก้มลงมองฝ่ามือตนเอง มีประกายสีฟ้าอ่อนลั่นเปรี๊ยะเหมือนประจุบางเบาก่อนจางหายไปทันที


                สายตาของคนที่ยืนอยู่เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยสงสัยกลับตระหนักถึงความจริง


                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ไม่ใช่แค่อดีตคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า หากคงเป็นสิ่งมีชีวิตสักอย่างที่สามารถปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาได้อัตโนมัติทั้งที่ใจไม่ได้นึก...และถ้าปล่อยไฟฟ้าออกมาได้ นั่นหมายความว่าเซลล์ประสาทของเขาจะต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีพลังอีกหลายอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในตัว


                ตระหนักไปถึงยามเมื่อครู่ มันไม่เหมือนมีอะไรปล่อยออกมาทันที แต่เหมือนถูกดูดพลังไปจากร่างแล้วค่อยย้อนกลับมามากกว่า


                ด้วยความสัตย์จริง ความสามารถนี้ไม่เคยปรากฏบนผืนทวีป


                ...แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อนบนโลก


                โครม
    !!


                เสียงอะไรบางอย่างถูกขว้างผ่านกระจกนิรภัยเข้ามา แผ่นแก้วใสแตกละเอียดเป็นเม็ดเล็กไร้คมกระจัดกระจายทั่วพื้นห้อง ชายหนุ่มคนงามถอยหลังไปหลบอีกฟากของเตียง เวลานั้นเองร่างกำยำในชุดสีดำด้านของใครอีกคนก็เหวี่ยงเข้ามาเป็นการสมทบ สองมือของผู้มาใหม่มีปืนพกประกอบอุปกรณ์เก็บเสียง หน่วยลอบสังหารที่คาดคิดไว้มาถึงแล้ว


                ชายคนเดิมในห้องส่งลำแสงสีฟ้าซีดออกจากฝ่ามือ แต่ผู้บุกรุกชุดดำก้มตัวหลบพ้น มันจึงถูกส่งหายออกไปนอกหน้าต่าง ปืนพกในมือขวายิงสุ่มๆนัดหนึ่งเฉี่ยวขาฝ่ายตรงข้ามเหมือนเจตนาประหยัดกระสุน โดยผู้ยิงไม่แม้แต่สะท้านกับแรงปฏิกิริยา เมื่อตั้งหลักได้อีกครั้งหลังพลาดเป้า ชายชุดดำจึงรัวปืนข้างละสองนัดพร้อมกับวิ่งเข้าหาเตียงใหญ่กลางห้องอย่างคุกคาม


                ร่างบางราวสตรีหมอบลงอีกฟากของเตียงก่อนซัดลูกบอลพลาสม่าสีฟ้าสดใสอัดเข้าที่กลางหน้าผากของผู้ประทุษร้าย ลูกตะกั่วอีกนัดจึงถูกส่งจากลำกล้องในมือขวาของชายคนนั้นอย่างไม่ตั้งใจขณะที่ร่างกำยำร่วงล้มหงายหลังลงนอนทับเกล็ดกระจกไร้คม ผู้บุกรุกรายแรกกระโจนข้ามลำตัวของท่านเจ้าเมืองแล้วชักมีดพกเงินดาวดาราคมกริบของตนแทงสวบเข้ากลางอกของคนชุดดำที่บัดนี้สลบเหมือดไปแล้ว

     

                ทันทีที่โลหะชิ้นบางเสียบทะลุลำตัว ร่างกายของชายคนนั้นก็สลายไปไม่เหลือแม้เศษฝุ่น!


                ทว่าภัยคุกคามยังไม่จบสิ้น...บุรุษเจ้าของมีดสีเงินยวงราคาสูงลิบลิ่วกลับรู้สึกเหมือนมีวัตถุเย็นๆมาจ่อที่ท้ายทอย


               
    "สวัสดี ท่านควาโตรเทรส..." เสียงหนึ่งกระซิบจากด้านหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นใคร เพราะมีอยู่คนเดียว "หยุดมือของท่านไว้ก่อน อย่าเพิ่งโซ้ยพวกเดียวกันสิโว้ย!!"

     

              เงียบกันไปชั่วขณะ


                "เอาน่า ผมรู้แล้วล่ะครับ อีกอย่าง ขอให้คุณแสดงละครบ้าๆนี่ต่อไปอีกนิดจนกว่า 'เขา' จะตื่นขึ้นมาเถอะ" ควาโตรเทรสว่าพลางเหลือบมองคนด้านหลังที่ลดปืนลงเก็บแล้ว ผู้บุกรุกสมทบไม่ได้สูงกว่าเขาเลย ตรงข้ามคือกลับเตี้ยกว่าราวสิบเซนติเมตรได้ ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นขุนนางระดับสูงแห่งสภาประจำแคว้น ในเมื่อส่วนสูงของเจ้าตัวแปรผกผันกับตำแหน่งที่มี


                ขุนนางยศใหญ่ส่ายศีรษะไปมาอย่างหัวเสีย
    "ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำอะไรแผลงๆแบบนี้เลยนะ แล้วดูสิ...มันยังไม่ตื่นเลยคุณ!"


                ร่างบางหันมองตามแล้วกลืนน้ำลายอย่างสยองแทน ขนาดเสียงอึกทึกชวนให้คิดว่ามีผู้ก่อการร้ายบุกบ้าน กระแทกกระจกดังเปรี้ยง ยิงกันข้ามหัวโครมๆ คนที่นอนอยู่ก็ยังคงหลับอย่างสบายใจเฉิบ แม้จะดิ้นพราดๆไปมาเพราะฝันร้ายก็ตาม


               
    "กูว่าเลิกเล่นเหอะ เซ็งโลก" ท่านมาร์ควิซเริ่มสบถด้วยสำนวนไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านสามัญ ซ้ำร้ายคือบุคคลที่มีฉายา 'ควาโตรเทรส' กลับเริ่มเห็นด้วยกับประโยคนั้นเสียแล้ว...


                สิ่งที่ตามมาจึงเป็นความเงียบ และ


               
    "หาวว...." เสียงสูดออกซิเจนเข้าปอดโดยเร่งด่วนของคนบนเตียงทำเอาผู้บุกรุกทั้งสองสะดุ้งโหยง ดยุคหนุ่มยืดแข้งยืดขาบิดขี้เกียจไปมาแล้วพึมพำ "อีกห้านาทีครับเฮีย" ก่อนกรนคร่อกอีกครั้ง

     

                แขกไม่ได้รับเชิญจ้องมองตาปริบๆอย่างเหนื่อยหน่าย มาร์ควิซร่างเตี้ยล่ำสันถอดอุปกรณ์เก็บเสียงออกแล้วขว้างปืนทั้งสองลงพื้นอย่างสุดจะทน โดยลืมไปว่าปืนทั้งสองนั้น...


              ปังๆ..
    !! โครม! เพล้ง!!


                ลูกกระสุนถูกยิงไปคนละทิศละทาง หนึ่งถากศีรษะเจ้าของปืนไปปะทะเข้ากับกรอบรูปอีกฟากของห้องทะลุฝังลงกับกำแพง อีกหนึ่งเฉียดหน้าผากของร่างบนเตียงไปฝังกับตู้หนังสือที่ทำจากไม้ชิ้นหนาด้านหลังซึ่งบัดนี้ถล่มโครมลงมา...เทกระจาดหนังสือเก่าเก็บทั้งหมดลงบนศีรษะของผู้นอน


                เสียงโหยหวนของคนเกือบตายแถมถูกหนังสือทับดังขึ้นราวกับกระบือถูกเชือด ในที่สุดฝันร้ายก็จบสิ้นลง พร้อมเจอกับความเป็นจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่า


                ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ตื่นขึ้นเสียที...ในเวลาหกนาฬิกายามเช้า พอดีเป๊ะ
     

    ø

     

                "อย่ามาหลอกลวงกันเลยดีกว่า ความจริงเป็นยังไงก็ว่ามาเหอะ ชักเบื่อแล้วนะ"


                ท่านเจ้าเมืองคนใหม่พึมพำด้วยความเหนื่อยหน่ายภายหลังเก็บกวาดความเรียบร้อยเสร็จไปเบื้องต้น ท่านนั่งเอนกายอยู่ในห้องนอนตัวเองนานหลายชั่วโมงแล้ว จากท้องฟ้ายังมืด บัดนี้ตะวันส่องทั่ว การเจรจาก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ผู้บุกรุกทั้งสองยืนยันว่ามีใครบางคนกระโดดเข้ามาในห้องหมายจะปลิดชีวิตท่าน ทั้งคู่จึงกระโจนตามเข้ามาแล้วไล่ให้ใครคนนั้นหนีไปจนได้


                แต่ดูจากหลักฐานแล้วไม่ใช่เลย...ปืนกับอุปกรณ์เก็บเสียงก็อยู่คาสองมือของคนชุดดำที่เพิ่งถอดหมวกไอ้โม่งออก ส่วนอีกคนที่ทำหน้างามๆให้ดูขึงขังนั่นก็คงเป็นพวกเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านไม่รู้จะเค้นความจริงออกมาอย่างไร แม้จะคิดว่าทฤษฎีของตนเองถูกที่สุดเสมอมาก็ตาม


                ท่านดยุคลากสายตาสังเกตคนทั้งสอง โหงวเฮ้งของผู้บุกรุกทั้งคู่บ่งบอกว่าไม่ได้มาโดยไร้แผนการ การเดินเหินดูคล่องแคล่วว่องไว รัศมีความเฉลียวฉลาดฉายเด่นชัด และไอของความเชี่ยวชาญศาสตราวุธก็กระจายฟุ้งไปในอากาศ ถึงจะอันตราย กระนั้นแววตาก็บ่งบอกถึงความนัยที่ว่า ทั้งสองมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องนครเนฟัลธอส


                แม้จะแปลกประหลาดไปเล็กน้อยถึงมากๆ ท่านเจ้าเมืองก็ออกปากด้วยประโยคที่ทำให้คนที่เหลือในห้องอึ้งสนิท...


               
    "เอาอย่างนี้ ถ้าท่านจะไม่บอกความจริงออกมาเลยสักคำน่ะ เราจะขอให้ท่านทั้งสองช่วยงานเราด้วยนะ" ว่าพลางก็หันศีรษะไปยังคนหน้าสวยที่บัดนี้ชักเริ่มเหงื่อไหลด้วยความสยดสยอง ท่านดยุคมองพินิจพิจารณาแล้วเห็นว่าตำแหน่งที่เหมาะสมคือ 'ที่ปรึกษาส่วนพระองค์' (ดยุคในทั่วไปจะเป็นคนในราชวงศ์) ส่วนอีกคนที่ดูท่าทางสันทัดจัดเจนในการดูแลประชามากกว่า คงต้องรับตำแหน่งองคมนตรีประจำแคว้น


                ท่านบอกไปตามตรงอย่างนั้น และคนฟังก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยราวกับชินชากับเรื่องทำนองนี้เสียแล้ว ...ไม่ก็ นี่คือสิ่งที่จะเป็นไปตามแผนการซึ่งวางเอาไว้เนิ่นนานปี


                ท่านมาร์ควิซแนะนำตนว่า นามที่แท้คือ เจมิไน ทีกริด ควบคุมเขตโลเธนซาทางเหนือของแคว้น ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ยอมบอกชื่อ อ้างว่ายังไม่รู้จักกันดีพอและไม่ใคร่อยากเปิดเผย แต่ขอให้เรียกตามตำแหน่งที่จะตั้งให้แทน ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์จึงจำใจต้องเรียกว่า
    'ท่านที่ปรึกษา' ตามประสงค์


                และด้วยความจนปัญญา ท่านเจ้าเมืองเลยออกปากให้ทั้งสองช่วยไปหาองคมนตรีให้ครบสิบเอ็ดมาด้วยแล้วกัน...พลันต่อมาสั่งงานแรกแด่ เจมิไน ทีกริด มาร์ควิซผู้ทรงเกียรติแห่งสภาสูงเนฟัลธอส ผู้จำต้องรับงานสลายความแตกแยกในสภา เพื่อเสริมสร้างสันติสุขและความสมานฉันท์ขึ้นในแผ่นดิน


                ความแตกแยกในสภาขุนนางที่ว่าเกิดจากสาเหตุพื้นๆ คือ แหล่งน้ำในที่ดินของตนเองไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ทำให้บางครั้ง เขตต่างๆก็ลุกขึ้นมาจับอาวุธยึดอาณาบริเวณกันเอง...เดิมทีไม่เคยมีปัญหาอย่างนี้มาก่อน แต่เพราะการชลประทานของอาณาจักรลดประสิทธิภาพลง ทางเดินน้ำจึงไปไม่ถึงเมืองเล็กเมืองน้อย จนเกิดปัญหาขึ้นในที่สุด


                ไม่ได้ยากเกินแก้ไข...และยังเป็นโอกาสให้โลเธนซาขยายอิทธิพลอีกต่างหาก
    "ข้าจะดำเนินการให้"


                และไม่นานเกินรอ ท่านเจ้าเมืองก็เอ่ยประโยคขับไล่ไสส่ง ทำให้มาร์ควิซหนุ่มต้องระเห็จตัวเองออกไปนอกห้อง กระนั้นก็ยังไม่ไปไหน หูแนบประตู แอบฟังอยู่ตรงนั้นเอง แม้จะไม่ได้ยินเสียงเจรจากันในห้อง แต่อย่างน้อยก็รู้ความเคลื่อนไหวผ่านการสั่นสะเทือนของพื้นและเสื้อผ้าหลายชั้นนั่นล่ะนะ


                ได้ยินเสียงคนลุกจากเตียง...ต้องเป็นดยุคแห่งเอสเตรลลาร์แน่ๆ


                ได้ยินเสียงคนขยับหนีไปชนกำแพงห้องอีกฟาก ...มาร์ควิซเจมิไนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง


                ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของดยุคแห่งเอสเตรลลาร์...


              ...พร้อมกับประตูที่เปิดกระแทกใส่หน้าเต็มๆ
    !!


                ควาโตรเทรสออกมาหอบแฮ่กแล้วบ่นใส่คนฟังซึ่งกำลังหน้ามืดโซเซ "นี่มันอะไรวะเนี่ย...แม่งไปเก็บกดมาจากไหน" คำไม่สุภาพไม่ได้มีบ่อยนัก นี่ต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว


               
    "อย่าปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวกับ มัน อีกนะครับ เสี่ยงจริงๆ เสี่ยงมาก..." พูดจบก็วิ่งทั้งที่กระดุมเสื้อหลุดลุ่ยหายไปในอีกฟากของโถงทางเดิน ทิ้งให้มาร์ควิซร่างเล็กงุนงงกับบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดเกินกว่าจะรับรู้ได้


                ด้วยความไม่เข้าใจอะไรเลย ขุนนางหนุ่มจึงแง้มประตูเข้าไปมอง


                สภาพเจ้าของห้องดูไม่ต่างอะไรกับพวกแปรปรวนทางเพศที่ชอบตามตื๊อผู้หญิง แขนที่เหมือนจะเคยพยายามโอบรอบใครสักคนค้างสั่นกึกอยู่กลางอากาศ ทั้งร่างกองอยู่บนพื้นอย่างหมดท่าเหมือนถูกช็อกไฟฟ้า เสื้อคลุมสีน้ำตาลชั้นนอกวางแหมะอยู่บนเตียง เสื้อเชิ้ตตัวหลักถูกถอดออกไปแล้ว เหลือแต่ท่อนล่างที่ยังเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์กับเสื้อชั้นในสุด...


                เจมิไน ทีกริด กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ


                มาร์ควิซบรรจงปิดประตูแล้วหันหลังเผ่นป่าราบ โดยไม่ปริปากบอกอะไรทหารยามให้ระแคะระคาย เพียงตะโกนชี้แจงว่าท่านเจ้าเมืองเรียกให้เขาซึ่งเป็นองคมนตรีแคว้นคนแรกมาพบ พร้อมกับที่ปรึกษาส่วนพระองค์เพื่อให้รู้จักงาน แต่ขณะอธิบายก็ไม่ได้ลดละฝีเท้าแม้แต่น้อย

     

                อนิจจา ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก...
     

    ø

     

                ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...กาลเวลาได้ล่วงเลยไป


                ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำนั่งจิบลาเต้ร้อนในร้านกาแฟใกล้ประตูเมือง รอคอยวันเวลาที่กำหนดไว้อย่างใจจดใจจ่อ ฤดูหนาวที่ไนธ์ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับนครลึกลับลาวัลลา ไม่ได้สุดขั้วอย่างลอสสอธ แต่แน่นอนว่าหิมะสีขาวที่กำลังโปรยปรายไม่มีวันจะได้พบได้เห็นหากเขากำลังย่างกรายอยู่บนแผ่นดินเอเรเซีย ที่นั่นสวยงามกว่านัก หาก 'ทวีปใหม่' มีความหลากหลายกว่ามาก


             
    เลือกเอาก็แล้วกัน ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปในสถานะเกือบเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง หรือเพ้อฝันกับความยิ่งใหญ่ในอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมา


                ความจริงก็คือ บ้านเกิดของเขาถูกโอบล้อมไปด้วยห้วงสมุทรอันล้ำลึก แผ่นดินมนตราจมอยู่ใต้เม็ดทรายและท้องน้ำอันมืดดำ โดยไม่เหลือผู้ใช้มนตรามากพอจะกู้เกาะโดดเดี่ยวนั้นคืนมาอีก ซึ่งแม้จะรู้ดีว่าเอเรเซียจมลงด้วยฝีมือของคนคนเดียว และเขารู้จักคนคนนั้นดี ก็ไม่อาจจะท้าประลองเวทมนตร์กับพ่อมดทรงอำนาจสักคนที่ตายไปแล้ว


                ชายหนุ่มมองดูเวลาจากนาฬิกาเงินดาวดาราหน้าปัดคริสตัล เข็มนาฬิกาชี้เวลาสิบเจ็ดนาฬิกาสี่สิบนาที เหลือเวลาอีกยี่สิบนาที ร่างสูงชะโงกมองผ่านหน้าต่างที่เต็มไปด้วยฝ้า ใช้มือหนาลูบไอน้ำที่เย็นจนเกือบแข็งพลางพึมพำอะไรบางอย่าง ในพริบตาหน้าต่างบานนั้นก็ใสสะอาดประดุจปราศจากสายลมหนาวเหน็บ เขาวางเงินจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วหอบสัมภาระทั้งหมดวิ่งออกไปจากประตูร้าน


                นัยน์ตาสีน้ำทะเลจ้องมองเกล็ดสีขาวพร่างพรมอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่นี่ไม่ใช่เวลาของเด็กน้อยจากแดนไกลจะตื่นเต้นยามเห็นหิมะ สองขาในรองเท้าบู๊ตหนายังคงวิ่ง แม้ร่างกายของเขาจะไม่สันทัดกับการใช้กำลังเท่าใด แต่นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
    วิ่งต่อไป


                ก็แค่ไปรับตัวคนคนหนึ่งมาตอนหกโมงเย็น พาเข้าโรงพยาบาล ทิ้งเงินไว้ จบ


                รู้อยู่แค่นี้ ก็ทำไปเท่าที่รู้...ไม่มีประโยชน์ที่จะรอบรู้ในทุกๆเรื่อง แม้จะจัดเจนในบรรดาเรื่องราวสากลจักรวาลก็ตาม


                วารีไม่คอยท่า เวลาไม่คอยใคร


                ชายร่างสูงยืนพิงกำแพงเมืองพลางจ้องไปยังพื้นหิมะเบื้องหน้าอย่างอ่อนล้า เขาไม่อาจมีความรู้สึกได้อย่างมนุษย์ทั่วไป อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ไม่ระคายผิวกายของเขา ความเจ็บป่วยธรรมดาไม่อาจกล้ำกราย อาวุธทั้งหลายไม่อาจทำอันตรายเขาได้ ชีวิตนี้ผิดแปลก และการกำเนิดก็ผิดแปลกจากใครๆ...เขาหาได้กำเนิดจากความรัก หากมาจากความหวัง


                ชายหนุ่มคิดขณะก้าวเท้าไปยังเบื้องหน้า ใครคนหนึ่งกำลังนอนไม่ได้สติอยู่กลางหิมะ สารรูปดูไม่ได้ ดวงตาคู่สวยตวัดมองนาฬิกา
    หกโมงเย็นพอดี เขากึ่งอุ้มกึ่งลากร่างของชายคนนั้นกลับเข้ามาในประตูเมืองอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาของผู้คน ซึ่งไม่คิดจะยื่นมือมาช่วยเหลือใดๆเลย พละกำลังที่มีน้อยกว่าคนทั่วไปของเขาจำต้องอาศัยมากกว่ากำลังกายเพื่อพาร่างสั่นสะท้านที่แบกมาไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

     

                รวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย นึกย้อนกลับไปครั้งบรรพกาล หวังว่าใครคนหนึ่งที่จากไปจะได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลง...

     

                ทว่าก็หลับตา ส่ายศีรษะ กำจัดความคิดออกไปในบัดดล

     

                เพราะไม่ว่าจะอย่างไร โลกใบนี้ก็เป็นของผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น

     

    ø


    ++++++
    แก้แล้วตัดอะไรไปเยอะมาก- -" รวมแล้วตัดไปเป็นหน้าทีเดียว
    แต่ดูแล้วคาแรกเตอร์มันชัดขึ้นมากะติ๊ดนึงเหมือนกันแฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×