คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : นายแพทย์แห่งเดรฮา
2: นายแพทย์แห่งเดรฮา
“ลูกชายข้าหายแล้วเจ้าค่ะ...ขอบคุณมากนะเจ้าคะท่านหมอ”
หญิงสาวคนหนึ่งอุ้มเด็กเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน เธอค้อมศีรษะลงต่ำเท่าที่แผ่นหลังปวดล้าจะทำได้ ใบหน้าทรุดโทรมนั้นเปี่ยมรอยยิ้ม ดวงตาอิดโรยนองน้ำตาและแดงช้ำด้วยผ่านการร้องไห้มานานเหลือเกิน
ลูกชายของเธอป่วยไข้เนิ่นนานโดยไม่มีวี่แววว่าจะหาย ให้ยาเท่าไรก็ไม่ดีขึ้นสักนิด เด็กน้อยวัยเพียงหนึ่งขวบแผดเสียงร้องลั่นวันแล้ววันเล่าด้วยความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น แต่กำลังของเธอและผู้เป็นพ่อก็ไม่อาจเยียวยาได้เลย จนเสียงร้องของลูกชายตัวน้อยเงียบสนิท วันนั้น หญิงสาวจึงได้รู้ว่าโลกที่สูญสลายลงกับตานั้นเป็นอย่างไร…ทว่าสวรรค์คงยังเมตตา
มีหมอเทวดามือหนึ่งเดินทางผ่านมาที่เมืองนี้
ในตอนนั้น...อยู่ๆประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างหนาพุ่งพรวดเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าชื้นเหงื่อ ความตกใจระคนยินดีทำให้สีหน้าของเขาดูแปลกนัก
"เวรา ตอนนี้มีหมอคนหนึ่งมาในเมืองเราแล้ว" บิดาของเด็กพูดทั้งเหนื่อยหอบ ใบหน้าแดงก่ำ เสื้อผ้าเนื้อตัวยังมีเศษขี้เลื่อยสีจางเปรอะอยู่หนา
"จริงหรือ!" หญิงสาวอุทาน ริมฝีปากเผยยิ้มยินดี แม้น้ำตาจะยังคงไหลอาบแก้ม - เธอกำลังพยายามใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้เด็กชาย แม้ร่างเล็กจะไม่ไหวติง เนื้อตัวเย็นเฉียบจนน่าใจหาย เวรากำลังจะอุ้มลูกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทั้งอย่างนั้นอยู่แล้ว หากสามีของเธอไม่เอ่ยขัดเสียก่อน
"เขาเรียกคนป่วยมาตรวจ ไม่กี่นาทีก็ให้ยากลับมา" สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันแปลกพิกล... "แล้วยังไปสั่งโบสถ์ด้วยว่า วันอาทิตย์นี้ให้ปิด อย่าให้ใครเข้ามา ผ่านไปอีกสัปดาห์หนึ่งถ้าไม่มีคนป่วยเพิ่มแล้วจึงให้เข้าไปได้..."
"ตายจริง...พระเจ้าช่วย!" เธออุทานเสียงสั่นเมื่อได้ยินเรื่องเล่าจากปากสามีแม้จะยังไม่จบความ มือเหี่ยวย่นที่กำลังเช็ดตัวให้เด็กน้อยจำต้องชะงัก วางผ้านุ่มขาวลงในอ่าง "ทำไมเขาพูดอย่างกับว่าคนป่วยเพราะเข้าโบสถ์กันอย่างนั้นแหละน่ะ"
"แต่เขาเก่งจริงนะ" น้ำเสียงห้าวทุ้มกล่าวช้าๆ ชายหนุ่มเหลือบมองเพดาน มีแววลังเล "ข้าได้ข่าวว่าเมื่อวานนี้ที่หมู่บ้านข้างๆ มีผู้หญิงบ้าคนหนึ่งวิ่งเข้าใส่เขา แต่พอหมอคนนั้นให้ยาไป แป๊บเดียวก็เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาทันที คนที่ไข้ขึ้นสูงจนตัวแทบระเบิด ได้ยาอึกเดียวก็หายเป็นปลิดทิ้ง"
หญิงสาวก้มหน้า เธอมองลูกชายที่ยังคงตัวเย็นไม่ไหวติง แม้มีร่องรอยแห่งชีวิต แต่ก็แผ่วเบาเหลือเกิน...เธอรับไม่ได้ที่หมอคนนั้นพูดจาราวกับโบสถ์เป็นตัวแพร่โรค แต่แล้วจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาก็เป็นความหวังของเธอเหมือนกัน หากไม่เชื่อถือเขาเพราะเรื่องนี้ แล้วปล่อยลูกไว้เฉยๆ ย่อมไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเป็นแน่
เธอหยิบผ้าขึ้นโพกศีรษะกันลม ประคองเด็กชายน้อยขึ้นอุ้มแนบอก พันผ้ารอบร่างเด็กให้พออุ่นขึ้นอีกนิด พลันก็ขยับลงจากเตียง มุ่งสู่ประตูที่ยังเปิดอ้า...น้ำตาที่ไหลรินมานานดูจะแห้งเหือดในพริบตา
"ไอน์ พาข้ากับลูกไปหาเขาที"
ทว่าชายหนุ่มกลับรีบก้าวเข้ามาขวางไว้ "ไม่ต้องหรอก"
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น
"เดี๋ยวข้าไปเรียกเขามาเอง เขาอยู่ไม่เป็นที่ ถ้าเจ้าตามไปด้วยคงเหนื่อยนักกว่าจะหาเขาเจอ"
ดังนั้น...เวราจึงต้องคอยด้วยใจกระวนกระวาย เฝ้ามองลูกชายบนเตียง ระหว่างที่ผู้เป็นพ่อออกไปตามหาหมอคนนั้น...นึกสงสัยว่าเธอจะต้องฝากชีวิตของเขาไว้กับหมอประเภทใดกัน
เคราะห์ดี เธอไม่ต้องกังวลนานนัก สามีของเธอก็วิ่งกลับมา เขาเปิดประตูกว้างพลางถลันเข้ามายืนข้างหญิงสาว ดวงตาเปล่งประกายทั้งที่ยังหอบเล็กน้อย เขามองชายอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูและกำลังถอดรองเท้าอย่างใจเย็น
"ท่านหมอช่วยดูลูกข้าด้วยขอรับ มันเป็นไข้สูงมาก กินอะไรเข้าไปก็อ้วกตลอด แต่ตอนนี้ตัวเย็นเฉียบหมดแล้ว" บิดาหนูน้อยรีบบอกเล่าอาการ ระหว่างที่แพทย์หนุ่มกำลังก้าวเข้ามา
เวราเพ่งพิศการแต่งกายของผู้มาเยือน - เขาสวมแว่นตากรอบทอง ดวงตาสีดำ มีผมสีดำ สวมเสื้อโค้ตสีดำ เครื่องแต่งกายเกือบทั้งหมดก็เป็นสีดำ เว้นแต่เสื้อแขนยาวตัวบนเท่านั้นที่เป็นสีขาว และไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นแพทย์ใดๆปรากฏอยู่เลย กระทั่งเข็มกลัดรูปงูพันไม้เท้าที่แพทย์ส่วนใหญ่มักกลัดไว้ที่อก...ก็ยังไม่มี
"นานกี่วันแล้วขอรับ" ใบหน้าดูเรียบร้อยของผู้เป็นหมอมีรอยยิ้มบาง...ไม่ใช่รอยยิ้มด้วยความสุข แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มแบบไม่จริงใจ คล้ายกับว่าอารมณ์ของเขาไม่ได้ขุ่นมัว จึงยิ้ม
"วันนี้วันที่ห้าขอรับ ไข้เพิ่งลดวันนี้"
บิดาของเด็กน้อยบอกช้าๆ...แต่ทันใด ท่าทางของหมอหนุ่มก็เคร่งเครียด เขาเบิกตาเขม็ง โผเข้าหาหญิงสาว แทบจะคว้าเด็กชายออกจากข้างกายเธอเลยก็ว่าได้
"เขาเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?!" เวราร้องถาม เธอผงะไปเล็กน้อย
แพทย์หนุ่มไม่ตอบ เขาขมวดคิ้วเคร่งเกร็ง ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไปแล้ว เขาเปิดกระเป๋าเอกสารวางข้างตัวแล้วหยิบอุปกรณ์ขึ้นมารัดแขนเด็กชาย พักใหญ่จึงคลายออก ครั้นพบว่ามีรอยจุดแดงๆขึ้นเป็นจ้ำจาง จึงถอนหายใจ...ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์ใด
หลังจากปล่อยให้จมอยู่ในความเงียบเนิ่นนาน เขาก็กล่าวขึ้นในที่สุด
"...โรคนี้หายากมากขอรับ" สีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก แต่ความเครียดดูสงบลงบ้าง "ข้าเคยเห็นคนป่วยเป็นโรคนี้อยู่เหมือนกัน แต่เป็นทางใต้ ไม่ใช่แถบแคว้นวานซินน์ ถ้าเป็นโรคแถวนี้จะมีแต่ไข้ขึ้นสูงต่อเนื่อง ไม่ลดจนตัวเย็น" ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางอย่างเก่า "ที่จริงโรคนี้อันตรายอยู่ เพราะอาการเหมือนไข้ธรรมดา พอไข้ลดแล้วจึงมักไม่มีใครคาดถึง...แต่ถ้ารู้ว่ามันคืออะไรแล้วก็ไม่น่าห่วงนัก พอรักษาได้"
เวราเฝ้ามอง คาดหวังว่าหมอจะให้ยาอะไรมาบ้าง แต่ชายตรงหน้ากลับปิดกระเป๋าเอกสารที่บรรจุขวดยาหลากชนิด แล้วนั่งยิ้มอยู่อย่างนั้น...สักพักจึงถาม
"ท่านมียาให้เจริญอาหาร แก้อาเจียน กับยาลดไข้ บ้างไหมขอรับ"
"...มีเจ้าค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้น...ข้าขอดูยาพวกนั้นหน่อยนะขอรับ"
เวรางุนงง...คนเป็นหมอเทวดา จะถามหายาจากครอบครัวคนไข้เพื่ออะไร เขาย่อมมียาที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือ...แต่หญิงสาวก็เดินไปค้นตู้เก็บยาที่มุมห้อง แล้วหยิบยาสามัญทั้งหมดนั้นส่งให้แพทย์หนุ่มดู เขามองเพียงแวบเดียวก็ถามเธอกลับว่ายาลดไข้นั้นใช่ยาชื่อนี้หรือไม่ ครั้นเวราตอบรับ แพทย์หนุ่มจึงส่งยาทั้งหมดคืนให้แก่เธอด้วยรอยยิ้ม...
รอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากความสุข ทว่าก็มีความจริงใจอยู่ในนั้นเหมือนกัน
"ข้าบอกไว้ก่อนเลย ว่าไม่มีตัวยาใดที่จะรักษาโรคนี้ได้โดยตรง..." ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ดวงตาสีดำมองสีหน้าแปลกๆของเจ้าบ้านทั้งสองอย่างสงบ ไม่ได้รู้สึกขัน เพราะปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏเป็นครั้งแรก "ถ้าท่านทำให้เด็กกินอาหารได้ ไม่อาเจียน หมั่นเช็ดตัวเขา และให้นอนพัก รวมถึงไม่ให้ยาที่ทำให้เลือดออก...ซึ่งยาที่ท่านมีก็ปลอดภัยดีอยู่แล้ว ไม่นานเขาก็จะหายได้เองขอรับ เพียงทำตามที่ข้าบอก...อาจจะฝืนเด็กเขาบ้าง แต่ถ้ากินอาหารได้ก็ไม่น่าห่วง"
"เท่านั้นเองหรือเจ้าคะ" เวราพูดเสียงเบา ที่ผ่านมาเธอสงสารลูกที่ดูจะไม่อยากอาหาร ก็เลยตามใจเสีย ป้อนแต่นมแต่น้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากหมอแนะนำเช่นนี้ เธอคงต้องเปลี่ยนวิธี
"เท่านั้นเอง" แพทย์หนุ่มยิ้มอย่างเดิม "ที่กินไม่ได้ หรือไม่อยาก นั่นก็เป็นอาการของโรคขอรับ อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเขาเจ็บปวดภายในบ้าง ก็ให้หลับไปเสีย เพราะมันเป็นแต่อาการอวัยวะบางอย่างบวมโต แต่เด็กเล็กอาจไม่คุ้นเคยจึงทนเจ็บไม่ค่อยได้...ถ้าให้ยาบรรเทาอาการตามนั้นแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงอีก หรือถ้าอาการยังไม่ทุเลา ข้ายังอยู่ที่นี่อีกสามวัน แล้วจะออกไปแวร์ฟาเรน ให้ใครไปตามตัวก็ได้ขอรับ"
"ข-ขอรับ..." ไอน์กล่าวรับ รู้สึกว่าหมอคนนี้แปลกๆ เหมือนไม่ได้รักษาอะไรลูกชายเขาเลยสักนิด แต่คำแนะนำของเขาก็ต่างจากหมอคนอื่นที่ให้ยาแล้วก็จบกันไป ชายหนุ่มจึงเพียงแต่รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ต่อต้านอะไรนัก
ร่างผอมในเสื้อโค้ตดำค่อยลุกขึ้น รวบกระเป๋าเอกสารสำหรับใส่ยามาถือ แล้วมองร่างเด็กชายที่หลับสนิท แต่ขยับดิ้นเล็กน้อยด้วยความอึดอัดทรมานจากโรค
ใบหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉย รอยยิ้มเป็นเพียงยิ้มเปล่า
เวราลอบมองท่าทางของหมอคนนี้ แววตาหลังแว่นกรอบทองเฉยเปล่านัก ไม่มีวี่แววของความเอ็นดูหรือปรารถนาดีอะไรทั้งสิ้น ทั้งรอยยิ้มของเขาก็ประหลาด แต่เมื่อมองโดยรวมแล้ว เธอก็เข้าใจได้ว่านั่นเพราะแพทย์หนุ่มไม่ได้เสแสร้ง เขารู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น ไม่รู้สึกก็เฉยเสีย มีความรู้เพียงใดก็บอกออกมา ไม่โอ่ตัวว่ารู้ไปหมดทุกอย่าง และไม่ได้กีดกันพ่อแม่ของเด็กที่ป่วยออกจากการรักษาอย่างหมอทั่วไปที่เธอเคยพบ...เธอคิดว่ามันแปลก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดี แม้จะเชื่อถือหมอผู้ไม่มีเข็มกลัดประกาศวิชาชีพคนนี้มากกว่าหมอคนก่อนอยู่เล็กน้อยก็ตาม
"เดี๋ยวเจ้าค่ะ!" หญิงสาวร้องทัก หลังพบว่าแพทย์หนุ่มกำลังจะก้าวออกไป โดยไม่เรียกค่ารักษาใดๆเลย "แล้วท่าน..."
หมอประหลาดชะงักนิดหนึ่ง เขาเปิดประตู แล้วหันมายิ้มให้
"ไม่เป็นไรขอรับ เพียงแต่จำชื่อข้าไว้ก็พอ"
เวราเงียบทันใด...เธอไม่รู้จะกล่าวอะไร ไม่รู้จะถามอะไร จึงมองหน้าสามี และพบว่าชายข้างกายก็กำลังสบตาเธออย่างแปลกประหลาด คิ้วของเขาเลิกขึ้นกระตุก ลมหายใจแทบไร้เสียง ด้วยไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อไป
"ท่านหมอเขาชื่ออะไร" หญิงสาวกระซิบ สายตามองร่างในเสื้อโค้ตที่ก้าวลับไปจากบานประตูที่ปิดลง
"อาเดล ไวส์มันน์..." ไอน์พึมพำ
"อาเดล ไวส์มันน์ นายแพทย์แห่งเดรฮา"
อาเดล ไวส์มันน์ นั่งบนเก้าอี้ไม้ไร้พนักในร้านอาหาร ช้อนส้อมวางเรียบร้อยลงกับจานที่เพิ่งรับประทานเสร็จพอดี
เขามองหญิงสาวคนหนึ่งที่ทักขอบคุณเมื่อครู่ - หญิงสาวคนนั้นอุ้มเด็กชายวัยราวหนึ่งขวบ เธอโพกศีรษะรัดกุมป้องกันลมและความหนาวเย็น เด็กในอ้อมแขนนั้นไม่ได้กระปรี้กระเปร่าเท่าใดนัก ดูอ่อนเพลียไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ ด้วยเพิ่งหายจากโรคมาไม่นาน...ดวงตาสีเข้มกลมโตทว่าไม่สดใสจ้องใบหน้าของชายหนุ่มอย่างสนใจใคร่รู้ แว่นกรอบทองเป็นของแปลก และบุคลิกที่เห็นนั้น...แปลกยิ่งกว่า
"ขอบคุณมากขอรับที่นึกถึงข้า...แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรมากหรอก เพียงบอกแนวทางรักษาตนเองให้ท่านได้รู้ ไม่ได้ลงมือรักษาอะไรอย่างหมอคนอื่นเขา" อาเดล ไวส์มันน์ เอ่ยยิ้มๆ รอยยิ้มของเขาไปไม่ถึงดวงตาเช่นเคย ม่านตาสีดำสนิทดูแข็งกร้าว...ผิดกับท่าทางที่ดูสบายๆ ค่อนข้างนิ่งสงบจนดูคล้ายกับนักบวชเสียด้วยซ้ำ
"เก็บเงินด้วยขอรับ" แพทย์หนุ่มเงยหน้าทักบริกรที่เดินผ่านเขาเข้าไปหลังเคาน์เตอร์
...พลันก็หันมามองหญิงสาวอีกครั้ง
ความจริง...เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าช่วงสามสี่วันนี้ไปพบใครบ้าง ส่วนเรื่องใครเป็นโรคใดนั้นจำไม่ได้เลย...มีแต่เรื่องเด็กที่เป็นโรคผิดถิ่นเท่านั้นที่อยู่ในความคิด และบังเอิญว่าเป็นผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาพอดี นับว่าโชคดีสำหรับอาเดล เพราะหากเป็นคนไข้รายอื่น ชายหนุ่มก็ไม่รู้จะตอบรับอย่างไรเหมือนกัน
"ข้าจำได้ว่าท่านจะไปแวร์ฟาเรนวันนี้แล้ว จึงมากล่าวขอบคุณเจ้าค่ะ" เธอกล่าวอย่างยินดี ริมฝีปากสีชมพูแห้งผากยิ้มสดใสเท่าที่ความอ่อนล้านั้นจะอำนวยได้ "ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี..."
"ไม่ต้องหรอกขอรับ ไม่จำเป็นเลย" อาเดลยกมือเป็นเชิงห้าม สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย "ข้าไม่ได้ออกมาหาเงินหรือข้าวของอะไร ข้ามาเพื่อช่วยคนขอรับ" มุมปากขยับยิ้มขำขัน "ถ้าจะรับเงิน ข้ารับได้ที่เดียว คือเดรฮา เพราะสถานพยาบาลใหญ่อยู่ที่นั่น ถ้าข้าไม่รับ...คนที่ทำงานด้วยจะต่อว่าข้าเอาได้"
แพทย์หนุ่มรีบจ่ายเงินพอดีจำนวนพร้อมเงินพิเศษทันทีที่บริกรมาถึง หยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นถือ กระชับคอเสื้อโค้ตให้ปิดบังลำคอมิดชิด เตรียมจะก้าวออกจากร้านอาหาร พลันก็มองกลับมายังหญิงสาวและเด็กน้อย ดวงตาสีดำหลังแว่นไม่ได้ยินดียินร้าย แต่กลับสะกดคำพูดของผู้เป็นแม่ให้จุกอยู่เพียงลำคอ
เวราอยากจะทำอะไรมากมาย ที่จริงก็เตรียมของอยากมอบให้แพทย์ผู้นี้ด้วย ทว่าท่าทางของเขาที่ดูเหมือนมีเกราะกำบังทุกทางนั้นทำให้เธอตระหนัก ว่าอย่างไรก็คงเอื้อมไม่ถึง...เธอพยายามจะพูด พยายามจะบอกลาเขา แต่อีกใจหนึ่งกลับสะกดมันไว้ เหลือแต่ความเงียบงัน
อาเดลก้าวออกจากร้านด้วยใบหน้าราบเรียบเจือยิ้มไม่แปรเปลี่ยน ชายหนุ่มก้มหน้าลง สายตามองพื้นปูอิฐที่ดูสั่นไหวตามจังหวะก้าวเท้า เขาเดินช้าๆ ผ่านกลางจตุรัสหน้าที่ว่าการผู้ครองเมือง ลมพัดแรงวูบจนหนาวยะเยือกผิว ทว่าอาเดลยังคงก้าวอย่างเชื่องช้าดังเดิม มุ่งสู่จุดรับส่งรถม้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ไม่หันกลับไปมอง
ระฆังโบสถ์ใหญ่ดังพร้อมเพรียงกัน สอดประสานเป็นท่วงทำนองเปี่ยมมนต์ขลัง...
หากรอยยิ้มเรียบสงบบนใบหน้าของชายหนุ่มกลับหายวับไปทันตา ด้วยสิ่งเดียวที่เขารับรู้จากเสียงระฆังชุดนี้ มีแต่เวลาเท่านั้น
ใกล้เที่ยงแล้ว...ใกล้เที่ยงแล้ว!
ชายหนุ่มมองหารถม้าที่พร้อมจะออกเดินทางในทันที อยากไปถึงให้เร็วที่สุด ภายในใจกระวนกระวายจนแทบทนไม่ได้...เขาอยากไปแวร์ฟาเรนตั้งแต่ได้รู้ข่าวนั้นแล้ว ทว่าความรับผิดชอบที่แบกรับบนบ่านั้นกดดันให้อาเดลยังต้องอยู่ในเมืองนี้ - เขาเดินทางมาที่นี่ ก็เพื่อช่วยเหลือผู้คน ช่วยรักษาสิ่งที่หมอประจำเมืองไม่อาจจะรักษา ช่วยเยียวยาจิตใจอันบิดเบี้ยวของผู้ที่ถูกมองข้าม กระนั้นก็ไม่ใช่ในฐานะของแพทย์อันสูงส่งผู้คู่ควรกับเข็มกลัดประจำวิชาชีพบนอก แต่เป็นในฐานะของตัวเขาเอง...ของอาเดล ไวส์มันน์...ที่คิดดีแล้ว ว่าตนควรจะทำอะไร และเพื่ออะไร
"ช่วยพาข้าไปแวร์ฟาเรนด่วนทีขอรับ ข้ามีจดหมายเรียกจากท่านเคลฟ"
อาเดลร้องบอกคนขับรถม้า พลันเข้าไปนั่งในที่ ก่อนจะหยิบจดหมายที่พับไว้ลวกๆในกระเป๋าเสื้อโค้ตส่งให้...คนขับตอบกลับว่าอะไรบ้างไม่ทราบ ชายหนุ่มไม่ได้ยินเพราะไม่ใส่ใจ แต่สักพักก็ได้ยินเสียงตอบกลับ รับคำว่าจะรีบพาเขาไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด
ข้าพบพี่ชายของท่านแล้ว เขาป่วยทางจิต อยู่ในห้องทำงานของข้า
ขอให้รีบมาในทันที
เคลฟ แห่งแวร์ฟาเรน
รถม้ารับส่งระหว่างเมืองแล่นเร็วตามถนนทางหลักที่ลัดริมป่า...ป่าโปร่งที่ยังคงเขียวชอุ่มนั้นดูมีชีวิตชีวา ใบไม้สีเขียวสว่างตาสะท้อนกับแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
ช่วงนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ถนนหนทางด้านหน้าจึงปราศจากสิ่งกีดขวางตามความคาดหมาย แต่ครั้นชายหนุ่มมองผ่านในรถม้าอีกคันที่แล่นสวนมา สังเกตสีหน้าท่าทางของทั้งคนขับและคนนั่ง ชั่ววินาทีเท่านั้น ก็ทำให้เขารู้สึกว่า...มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในเมือง
รถแล่นช้าผ่านเงาช่องประตูเมือง ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงแนบผ้าม่าน นิ้วมือเรียวขาวซีดแง้มม่านสีจางออกน้อยๆ ดวงตาสีดำหลังแว่นกรอบทองลอบมองชีวิตผู้คนในแวร์ฟาเรนผ่านกระจกรถม้า พลางฟังบทสนทนาทั้งหมดที่แว่วผ่าน คลอเคล้าเสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นถนนดังเสียดหู
'ในป่ามีนางแม่มด...มีคนตาย...'
ท้ายที่สุด...อาเดลก็สรุปเรื่องราวทั้งหมดได้เพียงเท่านี้
เขาเท้าคางกับขอบหน้าต่างรถม้า พลางขยับแว่นกรอบทอง ขมวดคิ้วเคร่ง ครุ่นคิดถึงถ้อยคำเหล่านั้น
จะให้เขาเชื่อเรื่องนางแม่มดอย่างชาวบ้านธรรมดา มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องมีคนตายน่ะยังพอเข้าใจอยู่...คงมีคดีฆาตกรรมอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนเกิดจากพลังเหนือมนุษย์ และผู้คนก็กล่าวถึงด้วยความไม่รู้เป็นแน่...ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ในเมื่อธุระไม่ใช่ ก็ควรเก็บไว้เป็นแต่ข้อมูลในการเยี่ยมเยียนเมืองเฉยๆ คงดีกว่ากระมัง
รถม้าหยุดนิ่งที่หน้าอาคารหลังหนึ่ง บานประตูกว้างสูงสองเท่าตัวคนมีกระจกแทรกกลางให้มองผ่าน เหนือขึ้นไปที่กรอบประตูมีแผ่นป้ายโค้งเขียนบอก 'สำนักงานกลางตำรวจแวร์ฟาเรน' หรือศูนย์บัญชาการตำรวจประจำเมืองนี้ ด้านหน้าอาคารสูงสามชั้นนั้นเป็นลานกว้าง ค่อนข้างเงียบสงบ มีแต่อนุสาวรีย์ของผู้ครองนครในอดีตที่หล่อด้วยทองแดง ตำรวจไม่กี่นาย และรถม้าสองสามคัน ส่วนเบื้องหลังบานประตูนั้นต่างออกไปจากภายนอกนัก เพราะเพียงมองผ่านกระจกอย่างไม่ตั้งใจ ก็มองเห็นภาพการเคลื่อนไหววุ่นวายของเจ้าหน้าที่ได้แล้ว
ผู้มาเยือนยืนมองภาพสะท้อนตนเองในกระจกขัดมันวับ พลันก็ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับเงานั้น...แววตาและรอยยิ้มจางตามนิสัยส่วนตัวทอประกายเหยียดหยิ่งออกมาเบาบาง
ชายหนุ่มวางกระเป๋าสัมภาระไว้ข้างตัว เคาะประตูสามครั้ง สักพักประตูจึงเปิดออก อาเดลเตรียมตัวจะทักทายกับเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆสักคนหนึ่ง
...ทว่าภาพที่เห็นก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง ไม่ทันสำรวมกิริยา
นายตำรวจร่างสูงเกินครึ่งหนึ่งของประตูกำลังก้มหน้าลงมองเขา ชุดเครื่องแบบสีดำตลอดทำให้ตราตำแหน่งที่บ่าโดดเด่นสะดุดตา ดวงตาสีฟ้ากับใบหน้าผอมซีดแผ่ไอหนาวยะเยือกคุกคาม - หากเป็นคนธรรมดาย่อมทนบรรยากาศที่มาจากชายคนนี้ไม่ได้ ต้องหลบตาหรือก้าวถอยออกไปบ้างแล้ว ทว่าอาเดลเพียงแต่ประหลาดใจเล็กน้อยชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เขายังคงสบตาตำรวจหนุ่มร่างผอมนิ่ง...ด้วยรอยยิ้มที่ไม่สื่ออะไรเช่นเคย
ชายตรงหน้าพูดด้วยเสียงยานคางราบเรียบ "สวัสดียามบ่ายขอรับ ท่านไวส์มันน์"
"เช่นกันขอรับ" อาเดลตอบรับ เหลือบมองป้ายโลหะตอกชื่อและตำแหน่งที่อก "...ท่านรองผู้บัญชาการ ฟอร์เซน เองเกล"
ฟอร์เซน เองเกลก้มหน้าลงอีกเล็กน้อย เลิกคิ้วข้างหนึ่ง มองนิ่งสักพัก
"ท่านเคลฟให้ข้ามารอรับท่านช่วงบ่ายสามถึงบ่ายสี่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...เชิญเข้ามาเถอะขอรับ มีงานหนึ่งรอท่านอยู่" ว่าแล้วเขาก็ก้าวนำเข้าไป ไม่หันกลับมาสนใจว่าอีกฝ่ายจะตามมาหรือมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
อาเดลวางสัมภาระไว้ริมทางเดินด้านในอาคาร ส่วนกระเป๋ายาต้องถือติดตัวไป แล้วจึงมองแผ่นหลังแข็งเกร็งราวกับรูปปั้นของฟอร์เซน เองเกล ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง
ดวงตาสีดำหลังเลนส์หนายังมองร่างสูงที่เดินห่างออกไป...พยายามขัดขืนกับการถูกโน้มน้าวภายใน เขารู้สึกว่าตนไม่ควรยอมตาม ไม่ควรยอมให้รองผู้บัญชาการที่อายุไม่ได้มากน้อยไปกว่าตนสักเท่าใดได้เหน็บแนมง่ายๆอย่างนี้ และไม่ควรเดินตามหลังใครสักคนที่เหมือนไม่สนใจไยดีอะไรตนเลย แต่ความรู้สึกบางอย่างเหมือนเป็นคำสั่งเร่งเร้าให้ชายหนุ่มต้องก้าวขาออกไป ต้องเดินตามไป แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าสามารถบิดพลิ้วคำสั่งนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ก็...
ไม่... อาเดลถอนหายใจ ...เขาจะยืนอยู่อย่างนี้ ไม่ตามไป แต่รอให้เองเกลลับสายตาจากทางเดินหรือหยุดเดินแล้วหันกลับมาเอง...มันอาจจะเสียเวลา แต่ดีกว่าเสียศักดิ์ศรีถูกเองเกลข่มเอาทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรก แม้เพียงเล็กน้อยเขาก็ไม่ยอมทั้งนั้น อย่างน้อยก็ต้องทำให้รู้ว่าท่าทางแบบนี้มันไม่สมควร...เขาจะไม่มีวันเป็นเพียงคนธรรมดาในสายตาของฟอร์เซน เองเกลเด็ดขาด หากฝ่ายนั้นไม่ปฏิบัติอย่างผู้เท่าเทียมกัน ชายหนุ่มจะไม่แสดงท่าทียินยอมหรือเห็นด้วยใดๆ
อาเดลตีสีหน้าเรียบเฉย มือหนึ่งถือกระเป๋าเอกสารบรรจุยามากมาย อีกมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ต มองนิ่งอยู่อย่างนั้น
และพักหนึ่ง...เองเกลก็หยุดเดิน
เขากำลังจะเลี้ยวไปทางบันไดอยู่แล้ว แต่คงจะรู้สึกสงสัยว่าทำไมผู้มาเยือนจึงไม่ยอมมาสักที จึงยืนนิ่งตรงสุดทาง - แสงไฟสีส้มสว่างที่สาดทอจากข้างผนังบริเวณทางแยกทำให้ร่างสูงนั้นดูเหมือนอยู่ท่ามกลางกลุ่มดวงอาทิตย์ ขณะที่ส่วนใกล้ประตูทางออกอาคารนั้นมีแต่แสงแดดยามบ่ายส่องลอดกระจกใส จนดูเป็นริ้วสว่างสลับเงา
เองเกลขยับหันมา ใบหน้าของเขายังคงดูเย็นชา แต่ระยะทางที่ห่างไกลย่อมทำให้ดูไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ใด มือที่สวมถุงมือสีดำจับปีกหมวกแคบ แล้วถอดหมวกออกถือ เผยให้เห็นเรือนผมตัดสั้นสีบลอนด์ซีดอย่างคนเหนือ เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อย...ค้อมแต่ศีรษะคล้ายพยักหน้า ไม่ได้ค้อมหลังให้อย่างเคารพเทิดทูนอะไร
ทว่าเท่านั้นก็พอแล้ว
รอยยิ้มเรียบสงบดังเดิมของอาเดลผุดพรายขึ้นอีกครั้ง
"เชิญทางนี้ขอรับ" เสียงทุ้มพูดจากอีกฝั่งของทางเดิน พลันเองเกลก็สวมหมวกไว้อย่างเก่า ม่านตาสีฟ้าเย็นลึกจับจ้องชายร่างเล็กกว่าที่เดินตามมาอย่างรวดเร็วทว่ามั่นคง
อาเดลมองกลับไม่หลบตา ไม่ได้รู้สึกว่าถูกข่มอะไรอีกต่อไป ทั้งคู่ก้าวขึ้นบันไดหินสีส้มอ่อนพร้อมกันเชื่องช้า
ระหว่างนั้น...อาเดลเริ่มนึกสงสัย ว่านิสัยของเองเกลนั้นแท้จริงเป็นอย่างไร มีอะไรตื้นลึกหรือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องปฏิบัติอย่างนี้หรือไม่ เพราะเท่าที่เห็น บุคลิกของเองเกลแปลกเกินกว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างเป็นสุขได้ เขาเย็นชา กำแพงหนา ท่าทางเหมือนรูปปั้นหรือหุ่นยนต์มีชีวิต...อย่างนี้เพียงพบกันครั้งแรก คนทั่วไปก็หนีหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการสานสัมพันธ์ฉันมิตรต่อไปอย่างใดเลย เองเกลไม่น่าจะทำได้ หรือไม่อย่างนั้นคือเขาไม่ต้องการมัน จึงเลือกวางบุคลิกตนอย่างนี้เอง
อย่างไรก็ตาม เขาอาจจะคิดผิดไป
"ข้าบอกไว้ก่อนนะขอรับ ว่าท่านอาจจะตกใจเมื่อได้เห็นเขา" ที่บันไดระหว่างชั้นสองกับชั้นสาม เองเกลกล่าวขึ้นขัดความเงียบ น้ำเสียงของเขาสงบจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
ประโยคสั้นๆนั้นทำให้อาเดลสงสัยนัก 'เขา' ที่ว่าแท้จริงแล้วหมายถึงใครกัน...พี่ชายของตนที่หายไปนาน 'ท่านเคลฟ' หรือหมายถึงทั้งสองคน?
ชายหนุ่มไม่อยากถาม เขาอยากจะเห็นด้วยตนเองมากกว่าจะทราบล่วงหน้าจากปากคนอื่น
อาเดลแน่ใจว่าคำของเองเกลไม่ได้มีนัยเพียงทางเดียว - เองเกลไม่ได้กลัวเขาตกใจหรอก แต่เพราะมีอะไรนอกเหนือความคาดหมายอยู่ต่างหาก จึงพูดแบบนั้น
"ข้าขอตัวไปเรียกคนอื่นมาอีกนะขอรับ ท่านไปพบเขาคนเดียวก่อนดีกว่า" พยายามอ่านสีหน้าท่าทาง...แต่ไม่สำเร็จ
"อ่า..." อาเดลยิ้มรับ กำหูกระเป๋าหุ้มหนังแน่นเกร็ง "ขอรับ"
ม่านตาสีฟ้าหลุบลงมองราวกับชั่งใจ
พักหนึ่ง...เองเกลจึงเคาะประตู
บานประตูเปิดออก อาเดลก้าวไปด้านใน รอยยิ้มอ่านยากประดับบนใบหน้าหมายจะให้เป็นดังเกราะคุ้มกันชั้นดี
ทว่า ยามที่เดินเข้าไปในห้องทำงานของท่านเคลฟ ลูกชายของท่านเคานท์แห่งแวร์ฟาเรน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นชายสูงศักดิ์ยากจะเอื้อมถึงที่ฉาบด้วยภาพของเทพบุตรผู้อารี แต่ก็กลับเป็นคนที่เขารู้จักดี...ยามเมื่อดวงตาสีดำรับรู้ภาพตรงหน้า ได้เห็นท่านเคลฟนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ สีหน้าของเขายังดูเป็นมิตร แต่ไม่แนบเนียนเท่าที่เคย ได้เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งที่เก้าอี้ไม้หน้าโต๊ะ ท่าทางหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างไม่เพียรปิดบัง...และได้เห็นชายเสียสติผมเผ้ารุงรังดูสกปรกคนหนึ่ง กำลังหันมา...พลันฉีกยิ้มกว้างให้
ยามนั้น...รอยยิ้มก็ปลาสนาการไป
จากใบหน้า
จากหัวใจของเขา
“สวัสดี อาเดล เชิญนั่งก่อน” เคลฟร้องบอกพลางผายมือให้นั่ง สีหน้าเหมือนพยายามปั้นให้ดูสดชื่นแจ่มใส
เขายังคงเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี - เรือนผมสีน้ำตาลเป็นลอนตัดสั้นแค่คางและหนวดเคราจางๆยิ่งขับโครงหน้าคมให้ดูลุ่มลึก รอยยิ้มอบอุ่นสร้างบรรยากาศน่าไว้วางใจรอบตัว เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเขียวเฮเซล ที่ทั้งมีแววความเป็นมิตร หากก็สะกดคนมองให้ต้องปฏิบัติตามทุกอย่างที่เขาหวังได้ทุกครั้ง...
แต่วันนี้ คุณสมบัติบางอย่างของเขาถูกลดทอนลงไป ใบหน้าหล่อเหลาราวกับมีเงาบางอย่างบดบัง ดวงตาคู่สวยที่มักจ้องมองอย่างมั่นใจกลับเผลอหลุบมองพื้นโต๊ะเป็นระยะ เขาหลุดไปในภวังค์แห่งการครุ่นคิดบ่อยครั้ง แม้อาเดลจะเฝ้ามองได้ไม่ถึงนาที
“อีกสักพักแล้วกันนะขอรับ” อาเดลค้อมหลังน้อยๆ พร้อมกันนั้นก็เหลือบมองชายวัยกลางคนที่นั่งหน้าซีดเผือดค้างนิ่ง...สลับกับชายร่างผอมโกรกท่าทางสกปรกที่มีเส้นผมยาวรุงรัง เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยยามสังเกตเห็นใบหน้าใต้เรือนผมพันกันยุ่งนั้น
ที่เคลฟเรียกเขามา เพียงเพื่อให้พบกับชายเสียสติคนนี้ - พี่ชายของเขาที่หายไป - ไม่ใช่หรือ...แล้วชายอีกคนคือใครกัน อีกอย่างคือ มันเกิดอะไรขึ้น ท่าทางของเคลฟจึงแสดงความเครียดออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้...เท่าที่เขารู้จักในช่วงหลัง คนอย่าง 'ท่านเคลฟ' ไม่มีทางเผยให้เห็นภาพอย่างนี้ได้โดยง่าย เว้นเสียแต่จะมีเรื่องร้ายแรงมากจริงๆ
คงเพราะประการหลังกระมัง
“ทำไม...” อาเดลก้าวเข้าหาชายเสียสติก้าวหนึ่ง เขาสงสัย แต่ในเมื่อยังไม่มีใครบอกอะไร จึงจำต้องหยุดคิด ชายหนุ่มหันมาจ้องหน้าเคลฟ “ท่านบอกว่าพบ อัลไลน์ พี่ชายข้าแล้ว และเขาก็กำลังป่วยอยู่ในห้องทำงานของท่าน...แล้วทำไม...” ทำไมจึงมีชายอีกคนอยู่ด้วย ทำไมท่านจึงดูกังวลนัก มีสิ่งใดเกิดขึ้น ขอให้รีบบอกมา เผื่อข้าจะช่วยได้บ้าง
เคลฟยิ้มบางตัดบท “เขาป่วยด้วยโรคทางจิต” น้ำเสียงดูรื่นเริงจากการปั้นแต่ง
ดวงตาคมกริบมองอาเดลที่เดินมานั่งหน้าโต๊ะทำงานของตนราวกับจะจดจำทุกอิริยาบถ อาเดลสบตา พลันเคลฟก็เบือนไปทางชายวัยกลางคนในห้องนั้นแวบหนึ่ง...มีคนอื่นอยู่ด้วย เขาจึงต้องชี้แจงก่อนเป็นพื้น “ข้าได้ยินเขาพูดมาหลายวันแล้ว เรื่องอะไรฟังไม่ถนัดเท่าไร...แต่ตอนที่ส่งจดหมายไปหาท่าน ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดจะมีโอกาสเป็นจริงขึ้นมาได้...”
แปลว่าสิ่งที่อัลไลน์พร่ำพรรณนา เป็นความจริง?
อาเดลนิ่งไป...ใจความนั้นเหมือนมีนัยแอบแฝงมากกว่าหนึ่งอย่าง เหมือนจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว แม้จะไม่สมบูรณ์ดีนัก ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองชายวัยกลางคนเป็นระยะ ด้วยไม่รู้ว่าคนคนนี้มีกิจธุระอะไรกับเคลฟ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายของเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...เขาจึงต้องถามกลับไป
“เขาเกี่ยวอะไรกับคดีที่ท่านรับผิดชอบหรือขอรับ”
เคลฟเงียบไปพักหนึ่ง เขาหลับตาลงรวบรวมสติ...ก่อนรับคำ
“เข้าใจถูกแล้ว อาเดล”
ถอนใจเฮือกใหญ่อย่างที่แพทย์หนุ่มไม่คิดฝันว่าจะได้เห็นมาก่อน “ข้าอยากให้ท่านลองรักษาอาการทางจิตของเขาดูเล็กน้อย เขาจะได้ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือแก่เราได้บ้าง เพราะแค่การปะติดปะต่อจากคำพูดของเขามันยังไม่พอ”
“ท่านอยากให้เขาให้ข้อมูลอะไร” อาเดลรีบย้อนคำ มองดวงตาสีเขียวปนน้ำตาลที่หลุบลงมองพื้นอย่างไม่มั่นใจชั่วแวบหนึ่ง
...ช่วงหลังมานี้ชายหนุ่มไม่เคยเห็น 'ท่านเคลฟ' แสดงอาการอย่างนี้เลยสักครั้ง มันอาจจะเป็นสัญญาณแห่งความท้อถอยและความเครียดที่รุมเร้า มันอาจจะเป็นตัวตนที่ถูกเก็บงำไว้...ตัวตนแต่เดิมก่อนจะเปลี่ยนไป...ที่แสดงออกมาในยามวิกฤต ซึ่งยิ่งยืนยันความคิดเดิมของอาเดล แม้จะยังมีอีกข้อสงสัย ว่าคนอย่าง 'ท่านเคลฟ' อาจจงใจแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่างก็เป็นได้...
แต่ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ ผลที่ได้ก็คงเป็นอย่างเดียวกัน - คดีที่เคลฟรับผิดชอบหนักหนาทีเดียว และมันย่อมเป็นเช่นนั้น
เคลฟขบเม้มริมฝีปาก เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองราวจะหยั่งเชิง “ข้าคิดว่าท่านน่าจะได้ยินจากชาวเมืองแล้ว เกี่ยวกับนางแม่มดในป่าและคดีฆาตกรรมเช้าวันนี้”
“นางแม่มด?” ดวงตาสีดำสนิทหลังแว่นกรอบทองไม่สื่อความ รอยยิ้มยังคงผุดพรายบนใบหน้า หากคิ้วเริ่มมุ่นลง “คดีฆาตกรรมข้ายังพอทำเนา แต่นางแม่มดหรือตำนานภูตผีมันมาเกี่ยวอะไรด้วย?” พยายามปฏิเสธความเชื่อที่มาเบี่ยงเบนความจริงออกไป...มันก็แค่คดีฆาตกรรมลึกลับที่ดูเหมือนจะเหนือมนุษย์เท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือข้อมูลและข้อเท็จจริง ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ไม่ใช่ความเห็นอย่างเรื่องที่ว่าคนฆ่าคือนางแม่มดจากในป่า
อาเดลนึกหงุดหงิดใจ...เขาไม่อยากได้ความเห็น โดยเฉพาะความเห็นที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
แต่เหตุใดเคลฟจึงกล่าวความเห็นของคนทั่วไปที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงขึ้นมาได้เล่า?
“นางแม่มด...นางแม่มดอัปสรสวรรรค์” เสียงพึมพำต่ำห้าวจากอัลไลน์ดังแทรกขึ้นแช่มช้า มันแหบแห้งโหยราวกับน้ำเสียงของคนใกล้ตาย
ชายเสียสติก้มหน้าคางชิดอก เผ้าผมรุงรังร่วงลงปรก มองไม่เห็นใบหน้า แผ่นหลังค้อมต่ำบิดเกร็ง แขนขาที่ถูกมัดด้วยแถบผ้าติดกับเก้าอี้พยายามจะขยับ สั่นกระตุกอย่างรุนแรง จนเจ้าหน้าที่ที่ยืนมองอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องต้องรีบวิ่งเข้ามายืนดูแลใกล้ชิด
ดวงตาสีนิลเกร็งเบิกกว้าง ก่อนจะหลุบลงทอดถอนใจ อาเดลรู้...พี่ชายของเขาอยากจะขยับ อยากจะแสดงท่าทางอะไรมากกว่านี้ แต่ด้วยพันธนาการนั้น เขาจึงไม่อาจทำได้ และไม่มีใครอยากให้เขาทำได้ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกจะอันตรายต่อใครหรือไม่...ไม่มีใครรู้ว่าโลกที่เขาเห็นเป็นอย่างไร จึงปฏิเสธมันเสีย เพราะโลกที่เขาเห็นนั้นไม่เหมือนคนอื่น เพราะโลกที่เขาเห็นอาจเป็นอันตราย
“นางสาป...คำสาป..กุหลาบ...” ชายเสียสติขยับขลุกขลัก เค้นเสียงคำรามจากลำคอ
อาเดลนิ่งงัน เงียบไปชั่วครู่ ความคิดที่โลดแล่นบัดนี้กลับถูกสูบหายไป เขาหันมาเพ่งมองเคลฟที่จ้องตอบอย่างเคร่งเครียด แพทย์หนุ่มนั่งนิ่ง อารมณ์หลากหลายสาดซัดโหมกระหน่ำจนทั่วร่างสั่นน้อยๆ ม่านตาสีดำเริ่มแข็งกร้าว หรี่มองคาดคั้น หมายจะให้คนตรงหน้าอธิบายความทั้งหมดโดยพลัน
เคลฟสูดลมหายใจลึก คล้ายกับกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง แต่อาเดลกลับคลี่ยิ้ม...รอยยิ้มแห่งความกรุ่นโกรธ...รีบชิงถาม ก่อนที่คำอธิบายของเคลฟจะทำให้เขาต้องอดทนรออะไรอีก
“ถ้าเป็นจริงอย่างที่ท่านบอก...แล้วคำพร่ำเพ้อถึงนางแม่มด กับคำสาปกุหลาบอะไรของคนเสียสติคนหนึ่ง มันจะไปมีน้ำหนักได้อย่างไรกัน?!”
“อาเดล สงบใจท่านลงก่อน” เคลฟโต้กลับทันควัน น้ำเสียงหนักแน่นและห้วนต่ำ แม้รอยยิ้มอารีจะยังคงประดับอยู่บนใบหน้า “ข้าก็ไม่คิดว่าคำพูดของอัลไลน์จะเป็นจริงได้ จนกระทั่งข้าได้เห็นภาพศพเมื่อเช้านี้”
มือแกร่งหยิบรูปภาพหนึ่งไสมาด้านหน้า
แพทย์หนุ่มเหลือบมองโดยไม่ขยับศีรษะตน...ในรูปถ่ายขาวดำปรากฏภาพพื้นป่าที่มีหญ้าขึ้นรก กลางพงหญ้านั้นแหวกออกเผยให้เห็นร่างเหยียดยาว ห่อหุ้มด้วยเถากุหลาบหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นว่ามีคนอยู่ตรงนั้น สีผิวที่โผล่พ้นช่องว่างระหว่างกิ่งเถาดูซีดขาว อาเดลไล่มอง เก็บทุกรายละเอียดและจดจำ จนมาถึงใบหน้าที่ดูสงบ ไม่มีอาการบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดใดๆ เพียงแต่ศพในภาพถ่ายกำลังเงยศีรษะอยู่เท่านั้น...
และมีนัยน์ตาวับวามส่องสะท้อนแสงอาทิตย์ ที่ก้านกุหลาบเสียดแทรกจนปริแตกออกมา!
อาเดลกอดอก...เขาค่อยก้มหน้าลงครุ่นคิด ขณะที่เคลฟเก็บรูปนั้นกลับคืนแฟ้มอย่างเชื่องช้าโดยไม่ละสายตาจากแพทย์หนุ่ม ม่านตาสีดำเพ่งเกร็งมองพื้นโต๊ะไม้เบื้องหน้ายามที่คำตอบบางอย่างเริ่มตกผลึกในห้วงความคิด
ชายหนุ่มไม่เคยเห็นพืชพันธุ์ใดสังหารมนุษย์ได้อย่างในรูปมาก่อนเลยในชีวิต และแม้จะเห็นภาพนี้เขาก็ยังมั่นใจว่ามันไม่มีอยู่จริงแน่ๆ เพราะโครงสร้างของพืชไม่ได้เอื้อต่อการขยับรัดสังหารเลยแม้แต่น้อย แต่ภาพนี้มาจากเคลฟ และรายละเอียดสอดคล้องกันกับเสียงเล่าลือของชาวเมืองรวมทั้งปฏิกิริยาของอัลไลน์กับชายวัยกลางคนในห้อง...ดังนั้นมันจึงเป็นรูปถ่ายจริง มีสถานการณ์จริง ไม่มีทางเป็นอื่น เพียงแต่สถานการณ์นั้นอาจเป็นละครหลอกลวงฉากใหญ่โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงอันเลวร้าย อาจเป็นการอำพรางคดีฆาตกรรม
...หรืออาจเป็นของจริง?
ความคิดคำนึงโลดแล่น สรรพเสียงเงียบงันลับไปจากโสตประสาท อาเดลหลับตาลง กดความหวาดกลัวลงไปในส่วนลึกที่สุด ปล่อยให้สมองทำงานเหนือจิตใจ...พักใหญ่ เรียวปากบางก็เหยียดรอยยิ้มที่ไม่สื่อสิ่งใดอีกครั้ง ดวงตาสีนิลลืมขึ้น เลนส์แว่นกรอบทองเลื่อนขยับสะท้อนแสงไฟบนเพดานเป็นแถบวาววับบดบังแววตา
“ข้าจะลองให้ยาระงับประสาทแก่อัลไลน์” อาเดลลุกยืน สบตาเคลฟอย่างมาดมั่น พลันก็ส่งยิ้มตามแบบให้แก่ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ใบหน้าซีดเซียวด้วยเพิ่งพบศพคนสนิทของชายคนนั้นยังคงดูตื่นตกใจ ดวงตาสีเทาเบิกกว้าง มองตอบอย่างงุนงง ทว่าอาเดลไม่พูดอะไร
ชายหนุ่มกระชับเสื้อนอกสีดำ ปลดกระดุมเร่งรีบด้วยปลายนิ้ว ก่อนจะถอดออกแล้วโยนไปแขวนไว้กับเสาไม้ข้างประตูพอดิบพอดี
“ข้าคิดว่ายาคงจะทำให้เขาเป็นปกติมากพอจะพูดอะไรได้บ้าง แต่เขาคงไม่มีวันหายขาด...” ดวงตาสีดำเพ่งมองเคลฟ ท่าทางหยิ่งยโสในทีกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่อาเดลจะนึกอะไรได้อีกอย่าง คิ้วบางเริ่มขมวดเข้าหากัน เขาทักขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งเบาและติดจะยานคาง “ข้าเดาว่าท่านคงส่งคนไปสำรวจในป่าแล้ว...”
“ใช่” เคลฟตอบรับ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เมฆครึ้มที่บดบังจิตใจของชายหนุ่มค่อยคลายไป แสงอาทิตย์รำไรเริ่มฉายผ่านช่องว่างเงาเมฆบัง...
หากอาเดลไม่คิดเช่นนั้น
“ข้าคิดว่า พรุ่งนี้ท่านคงได้เบาะแส แต่บางทีมันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่ท่านคิด” เขาพูดห้วนเร็ว ก่อนก้มลงเปิดกระเป๋าทรงเหลี่ยมหุ้มหนังสีดำออกแผ่บนพื้น ขวดยาหลากสีในกระเป๋าบุผ้าทึบสีดำกลืนกันเรียงเป็นระเบียบ ติดป้ายบอกชนิดชัดเจนด้วยลายมือเขียนที่ดูไร้ระเบียบโดยสิ้นเชิง
ระหว่างที่ย่อตัวลง ชายหนุ่มก็เหลือบมองอัลไลน์...ดวงตาอิดโรยคู่นั้นจ้องเขม็งกลับมาอย่างสิ้นหวัง เส้นผมที่เคยเรียบตรงหยิกแห้งพองฟูพันกันดูรกตา ทว่าผู้เป็นเจ้าของดูจะไม่สนใจเลยสักนิด อัลไลน์มองนิ่ง ไม่คิดอยากขยับอะไรอีกต่อไปแล้ว นัยน์ตาสีดำกลอกมองอาเดลอยู่นาน พักหนึ่งคิ้วก็เริ่มมุ่นเป็นปม ขณะที่ทั่วร่างแข็งเกร็งเหมือนรูปสลัก ราวกับสติอันพร่าเลือนนั้นกำลังหวนคืนสู่อดีตอันแสนไกล...อาเดลละสายตา ถอนหายใจ ปลายนิ้วเรียวซีดขาวบรรจงไล่ไปบนขวดแก้วใส หลุบตาพิศมองตัวอักษรสีดำเขียนหวัดขวดแล้วขวดเล่า
ความหวาดระแวงในข้อสันนิษฐานมากมายของตนทำให้แพทย์หนุ่มนึกกังวลแทนเคลฟเป็นอันมาก เพราะไม่ว่าข้อใดจะเป็นจริง ย่อมมีผู้อยู่เบื้องหลัง และผู้อยู่เบื้องหลังนั้นย่อมมีอำนาจบางประการจึงสร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมาได้ ถ้าเคลฟส่งคนไปตรวจสอบ แน่นอนย่อมอาจพบเงื่อนงำอะไรบ้าง แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดี...
ไม่ใช่เรื่องดี...อย่างแน่นอน
...แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่เคลฟทำได้ในตอนนี้...
อาเดลเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเสี้ยวร่างชายหนุ่มอีกฝั่งฟากของโต๊ะทำงานไม้สีเข้ม เคลฟเอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้บุหนัง นัยน์ตาสีเฮเซลเหม่อมองกำแพงว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอย ลมหายใจของเขาสงบยิ่งนัก
ครั้นเลือกพบตัวยาที่ต้องการ มือเรียวก็หยิบที่คอขวดใสปลดจากช่องวางออกมาถือไว้ด้วยปลายนิ้ว แพทย์หนุ่มขยับขวดนั้นแผ่วเบา น้ำยาไร้สีไหลรินกลอกกลิ้งตามทิศกำหนด สักพักจึงยกขวดบรรจุยาขึ้นสูง...ดวงตาหลังแว่นกระจกใสเหลือบมองชายวัยกลางคนและพี่ชายของตนอีกครั้งผ่านของเหลวในขวดนั้น แสงส่องสะท้อนหักเหเห็นภาพเลือนรางเป็นเงามัว มองไม่รู้ว่าอีกฝั่งของขวดแก้วมีสิ่งใด
แต่ถึงมองไม่เห็น แล้วเป็นอย่างไร...ในเมื่อเพียงเคลื่อนขวดหรือเปลี่ยนมุมมองเพียงเล็กน้อยก็เห็นภาพนั้นได้แล้ว
ไม่เคยมีปริศนาใดผิดพ้นไปจากความจริงนี้...
และอาเดลก็เชื่อเช่นนั้น
ชายหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกแนบหลังกับกำแพงสีส้มอ่อนเย็นเยียบ เบือนศีรษะไปทางประตู ดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นเพ่งผ่านช่องกระจกเล็กแคบที่บานประตูไม้ เรือนผมสีบลอนด์ซีดล้อแสงไฟสีนวลสว่างจนดูขาวโพลน...เขายืนอย่างนี้อยู่นานพอดู นานจนฝ่ามือชื้นเหงื่อในถุงมือสีดำนั้นบีบหมวกเครื่องแบบที่ถือไว้จนบิดเบี้ยว
ได้ยินว่าอาเดล ไวส์มันน์ ทำให้คนบ้านั้นพูดจารู้เรื่องขึ้นมาได้...แต่ข้อมูลที่ได้ยินไม่มากไม่น้อยไปกว่าที่ชายหนุ่มรู้อยู่เดิม จนเองเกลนึกหงุดหงิดใจที่อุตส่าห์คาดหวังกับข้อมูลจากชายเสียสติไว้มาก และเหนือสิ่งอื่นใดคือเสียดายเวลา หลายชั่วโมงมานี้หากเขาไปสำรวจในป่าด้วยตนเองคงได้อะไรมากกว่ายืนแอบฟังอย่างนี้อยู่อักโข
คิ้วสีจางเริ่มเคลื่อนมุ่นลง กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน - หมอคนนั้นเก่งนัก เพียงไม่กี่นาทีก็ทำให้คนบ้าพูดจาเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ คำพูดของอัลไลน์เรียงลำดับได้ดีพอใช้ แต่น้ำเสียงฟังตะกุกตะกักอยู่มาก...คนบ้าเล่าเรื่องที่ตนประสบในป่าได้ละเอียดชัดเจน แต่มันไม่ได้มากไปกว่าการสรุปความของเองเกลเลยสักนิด นอกจากนี้ยังดูคลุมเลือนราง ถึงจะพูดความสัตย์ แต่ก็อาจไม่ใช่ความสัตย์ที่เป็นจริงก็ได้ เพราะการรับรู้ของคนบ้าอาจถูกบิดเบือนไปด้วยอะไรบางอย่าง หรือบางทีมันก็อาจเป็นความจริง...เองเกลไม่รู้ ไม่มั่นใจ...ดังนั้นสิ่งที่ได้ในวันนี้จึงเป็นเพียงอีกข้อมูลที่ถูกเก็บไว้เพิ่มเติมจากที่รู้มาก่อนแล้วเท่านั้น ไม่ได้ช่วยมากกว่านี้เลย
ความผิดหวังเจือจางแล่นผ่าน แต่ความผิดหวังนั้นไม่สำคัญเท่ากับข้อมูลที่ได้มา
เองเกลถอนใจรุนแรงหลายครั้ง สักพักจึงหรี่ตา ย่อตัวลงมองลอดกระจกประตู ไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาจะถูกลงโทษที่แอบฟังหรือไม่...ชายหนุ่มเห็นผู้บังคับบัญชาของตนนั่งมองเจ้าหน้าที่ข้างตัวที่ยังจดบันทึกรวดเร็วทุกคำพูด ก่อนจะเห็นชายเสียสติผมรุงรังที่นั่งด้วยท่าทางปกติธรรมดาราวกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงเสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่
หมอคนนั้นทำหน้าเคร่งเครียดก้มลงมองพื้นโต๊ะ พึมพำเป็นคำสี่พยางค์โดยไม่ออกเสียง พักหนึ่งดวงตาสีดำหลังกรอบแว่นนั้นจึงกลอกมองใบหน้าพี่ชายตน มือเรียวขาวหยิบแก้วยาใสที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวแล้วยื่นส่งให้โดยไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย
"ขอบคุณมากขอรับพี่ ที่ช่วยให้ข้อมูลกับท่านเคลฟ ข้าขอบคุณจริงๆ" อาเดลพูดช้าชัด ใบหน้าที่เคยดูสงบเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หลากหลาย แววตาสาดทอความในใจมากมาย ทว่าสุดท้ายริมฝีปากนั้นก็ค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างเก่า...รอยยิ้มที่ฉาบไว้เพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกภายใน "ว่าแต่...พี่จะให้ข้ารักษาอาการของท่านไหม?"
"ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรเลย" อัลไลน์ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มือผอมเกร็งบรรจงถือแก้วใสใบเล็กจ้อย ใบหน้าผอมซูบเซียวค้อมลง "ไม่ต้องรักษาข้าหรอกน้องเอย ข้ารู้ดีว่าตัวเองคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้ข้าพูดคุยกับเจ้ารู้เรื่องอย่างนี้ แต่ไม่นานก็ต้องเป็นบ้าไปอีก...ใจข้าผูกพันกับนางนัก อย่างไรก็ตัดไม่ได้ มันเหมือนก้าวเข้าไปในแนวหน้าการรบทั้งที่รู้ตั้งแต่แรกแต่ก็ยังจะเข้าไปนั่นแหละ ข้าอยู่ที่นั่น ใจข้างในสู้รบกับความรู้สึกสองฝั่งตลอดเวลา ถึงจะเห็นว่าข้าดูปกติอย่างนี้ แต่พูดจริงๆแล้วข้าไม่สบายใจเลย..."
ชายเสียสติถอนใจ "เอาเป็นว่า ข้าจะดื่มยาถอนแก้วนี้ แล้วจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป โลกของข้ากับโลกของเจ้ามันไม่เหมือนกันอีกต่อไปแล้ว"
อัลไลน์หลับตาดื่มยารวดเดียวจนหมด ขณะที่น้องชายของเขายังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้น อาเดลดูเหมือนเหม่อไม่รู้ตน ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่บ้าง
“พี่รักเจ้านะอาเดล” ชายเสียสติบอกด้วยรอยยิ้มสุดท้าย
"ข้าก็รักพี่เช่นกันขอรับ..." เอ่ยแช่มช้า ดวงตาหลังแว่นกรอบทองหลุบลงครุ่นคิด หลุดสู่ภวังค์ลึกชั่วยาม ใบหน้าของอาเดลดูสงบยิ่งนักในสายตาของเองเกลที่ลอบมองอยู่ ม่านตาสีฟ้าเย็นยังคงสังเกตอากัปกิริยาของทุกคนเท่าที่พอจะเห็นได้
ชายหนุ่มเห็น...เห็นการเปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่สภาพเดิมของชายเสียสติคนนั้น มันเลวร้ายไม่ต่างอะไรกับการมองดูคนใกล้ตายแล้วไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือ จึงต้องปล่อยให้เขาสิ้นลมหายใจไปตรงนั้น และครั้งนี้ก็เช่นกัน - ร่างผอมซูบของอัลไลน์คู้ลง ศีรษะและลำตัวส่ายไปมาอย่างรุนแรง พลันสองแขนก็อ้าชูขึ้นฟ้า ใบหน้าตอบปรกเส้นผมรุงรังหงายมองด้านบน ริมฝีปากฉีกรอยยิ้มบิดเบี้ยววิปริตหากฉายความสุขล้นออกมาชัดเจน
"อา...ยอดรักของข้า...ข้ากลับมาหาท่านแล้ว" อัลไลน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ทำนองสูงต่ำไร้ระเบียบแบบแผน "ข้าจะไม่ไปไหน...ไม่ไปอีกแล้ว...ไม่...ไม่ไป!...ไม่! ข้าไม่ไป!!" เสียงคำรามกรีดร้องดังขึ้นทันทีที่สองแขนถูกรวบไปด้านหลัง ท่อนขาที่ผอมจนแทบเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกพยายามเตะเต็มกำลัง ทว่าแถบผ้าที่รัดอยู่ดังเก่าก็ทำให้เขาได้แต่สั่นเก้าอี้กระแทกพื้นรุนแรงดังกึกกักเป็นจังหวะ
อัลไลน์เงยหน้ามองเพดาน ลำคอแข็งเกร็ง ก่อนกรีดเสียงลั่นออกมาไม่เป็นภาษาด้วยความสิ้นหวัง เสียงแหบแห้งร้องโหยหวนอย่างนั้นอยู่นาน น้ำตาไหลรินอาบแก้มเปียกชุ่มเส้นผมที่ปรกใบหน้า แต่เพียงเสี้ยววินาทีเรียวปากนั้นก็เริ่มแสยะยิ้ม แผ่นอกบอบบางกระเพื่อมไร้เสียง ราวกับเขาพยายามจะหัวเราะ
อาเดลมองพี่ชายของตนนิ่ง เขาขบกรามจนขึ้นสันนูน แพทย์หนุ่มกำหมัดแน่น ลำแขนเกร็งจนสั่นกระตุกสะท้าน ลมหายใจของเขารุนแรงขึ้นทุกที
อัลไลน์ทะเลาะกับบิดามารดา และหนีออกจากบ้านมาได้เกือบห้าปีแล้ว ตอนนั้นพี่ให้เหตุผลว่า 'ข้าอยากจะออกเดินทาง...ออกไปตามหาสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ที่ข้าหาไม่ได้จากที่นี่' และหลังจากนั้นอาเดลก็ได้ข่าวว่าอัลไลน์หาเลี้ยงชีพด้วยการเล่านิทานและขับเพลง เดินเท้าเรื่อยเปื่อยตามทิศทางของดวงตะวัน ค่ำไหนนอนนั่น เหนื่อยก็นั่งพัก ขับกล่อมเสียงเพลงและบรรเลงดนตรีผ่านขลุ่ยไม้แสนรัก...ขลุ่ยไม้ที่บัดนี้หลงเหลือแต่เพียงเศษเสี้ยวแตกหัก หากอัลไลน์ก็ยังคงพกมันในกระเป๋าเสื้อคลุมอยู่เสมอ
อาเดลเคยทะเลาะรุนแรงกับพี่ชายที่นิยมชมชอบเรื่องดนตรีเลื่อนลอยมากกว่าจะรับผิดชอบอะไร อย่างไรก็ตาม ก็เป็นแพทย์หนุ่มเมื่อกาลก่อนเองนั่นแหละที่มอบขลุ่ยไม้นั้นให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของพี่ เพราะอยากเห็นพี่ชายได้บรรเลงบทเพลงที่ตนปรารถนาให้เขาได้ฟังบ้าง...หลังจากได้ข่าว อาเดลก็ไม่เคยคิดจะตามหาพี่ชาย เพราะเชื่อว่าเขาคงมีความสุขกับสิ่งที่เลือกแล้ว แม้ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจความคิดของพี่นัก แต่มันก็คงคล้ายกับการที่แพทย์หนุ่มจงใจเดินดุ่มไปรักษาผู้คนในเมืองต่างๆโดยปราศจากเข็มกลัดวิชาชีพแนบอก ไม่ต่างอะไรกันเท่าใด
เขาเคยต่อว่าว่าอัลไลน์ชอบคิดเห็นนอกคอก ไม่เหมือนชาวบ้าน แปลกประหลาดและผิดบาป แต่เมื่อเติบโตขึ้นความคิดก็เปลี่ยนไป หากแพทย์หนุ่มเห็นว่าสิ่งใดไม่ถูกต้องก็รีบชี้แจง และบางครั้งกลับกลายเป็นว่าต้องต่อสู้ทางความคิดกับคนที่เชื่อแตกต่างไปเสียอย่างนั้น...อาเดลทุ่มเทพิสูจน์หลายครั้งหลายหนกับหลายเรื่องราวจนทุกคนเห็นจริงว่าเป็นเขาเองที่ถูกต้อง ผู้คนที่พากันคิดตามกันนั้นต่างหากที่เป็นผู้ผิด
หากอัลไลน์นอกคอกจริง คงต้องใช้คำนิยามที่รุนแรงกว่านั้นหลายเท่านักกว่าจะเหมาะสมกับนายแพทย์แห่งเดรฮาคนนี้
แล้วนี่อย่างไร...อาเดลไม่คิดอีกต่อไปแล้วว่าพี่ชายของเขากำลังมีความสุข ความสุขที่ไหนจะมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องและน้ำตาในเวลาเดียวกันอย่างนี้ ชายหนุ่มเคยคิดว่าคนบ้ามีโลกของตัวเอง เคยคิดว่าคนเหล่านั้นคงมีความสุขที่ต่างจากการรับรู้ของคนทั่วไป แต่เมื่อมาเห็นอัลไลน์ในสภาพนี้ เขาจึงรู้ดีว่ามันไม่ใช่
แต่ในเมื่อพี่ชายของเขาเลือกชีวิตอย่างนี้เอง ที่สำคัญคือเลือกจะเป็นคนบ้าในยามที่สติดีพร้อม...ชายหนุ่มจะทำอย่างไรได้?
นายแพทย์จากเดรฮาก้มศีรษะลง เหยียดรอยยิ้มเยาะตนเอง แว่วยินเสียงคำรามของพี่ชายที่หลุดจากโลกนี้ไปแล้วตลอดกาล...
...และในวินาทีนั้น ฟอร์เซน เองเกล ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเสียงโหวกเหวกโกลาหลดังจากในห้องทำงานของท่านผู้บัญชาการตำรวจแวร์ฟาเรน
พร้อมกับน้ำตาอุ่นใสที่ไหลรินจากดวงตาของอาเดล
ความคิดเห็น