คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Tales from Reverie 0.0: ในมุมมองที่หนึ่ง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
ณ มหาทวีปซึ่งตกในอนธการหลายพันปี สงครามใหญ่ระหว่างกองทัพทวยเทพและปีศาจสิ้นสุดลง แต่ครั้นแสงแห่งความหวังทอส่อง อิสรชนชาวเวทมนตร์คืนสู่อำนาจ มวลมนุษย์ผู้ไร้พลังก็จำต้องจากลามาตุภูมิ ล่องนาวาข้ามมหาสมุทรแห่งความสงบเงียบสู่แผ่นดินใหม่ของตน
ทวีปแห่งใหม่นี้กว้างนัก เหลือแก่การอยู่อาศัยของเหล่ามนุษย์ปุถุชนผู้รอดชีวิตจากครั้ง ‘แสงสว่างคืนสู่มัชฌิมสถาน’ ทว่าคณะบุกเบิกถูกพายุหนักพลัดเป็นสองกระบวน จึงจำแยกตั้งรกรากยังฝั่งตะวันออกและตะวันตกของท้องสมุทร ก่อเป็นสองมหาอาณาจักร
อาณาจักรแห่งตะวันตกของท้องทะเล อันเป็นอาณาจักรตะวันออกแห่งผืนทวีป...คือราชอาณาจักรธรีอาดิม ส่วนอาณาจักรอีกฝั่งฟากขยายอำนาจอาณาเขตผ่านทัพเรือสู่ความเกรียงไกรแห่งจักรวรรดิจูคาไฮเนน กาลผันผ่าน ผองชนแปรเปลี่ยนไป...จากสองอาณาจักรที่เคยใช้ภาษาเดียวกัน ก็กลายเป็นว่า มีเพียงธรีอาดิมที่ยังคงขนบเก่าไว้ได้ผ่านห้วงเวลา
และเพียงราชวงศ์ที่ห้าแห่งราชอาณาจักร เผ่าพันธุ์ใหม่ก็แล่นลำเรือเทียบยังขอบตะวันตกแห่งทวีป ผู้วิเศษจากเกาะลึกลับกลางสมุทรนามเอเรเซียที่ล่มสลายจากสงครามเวทมนตร์จัดคณะเดินทางสู่ดินแดนทางตอนเหนืออันหนาวเหน็บและแร้นแค้นหากเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรใต้พิภพ ปักธวัชสร้างแคว้นอิสระนามลอสสอธ ปราการหิมะที่น้อยคนนักจะหาญย่างกราย
...แต่ทุกสิ่งที่ว่ามาล้วนเป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีต
มาจะกล่าวบทไป...
ถึงเอองค์พระจอมกษัตราธิราช สถิตอาสน์เศวตศรี
คำนึงแต่ฤทัยพระองค์สมฤดี อมาตย์อ้างสดับไม่...
เพลาเพรงมิเคยจะมีองค์พระผู้ ระเริงอยู่มิรู้สมัย
ทอดทิ้งซึ่งนครจรัสได้ฤไร? บ่ครุ่นคิดบ่เท่าทัน
ทั้งปวงชนทแกล้วทหารผู้ประดิษฐ์ พระทรงฤทธิ์ ธ กีดกั้น
ตัดปัญญาพสกมิให้หาญประจัน มหาศาสตร์ก็เริ่มสูญ
สรรค์แต่อุทยานวิหารส่วนพระองค์ มิธำรงมิเกื้อกูล
ขุนนางจอมประชาและอำนาจจรูญ ...จะให้น้อมก็ใช่ที!
...ยังมีมหานครบนภูผา นามว่า เนฟัลธอส หรือจรูญจรัสนคร แต่เดิมเป็นราชธานีแคว้นหลวง ซึ่งเป็นผู้กำชัยในสงครามรวมอาณาจักรเมื่อพันปีก่อน เนฟัลธอสมีระบบกองทัพห้าเหล่าที่เปี่ยมด้วยแสนยานุภาพ แม้ภูมิประเทศจะแล้ง แต่ก็ทดแทนด้วยระบบชลประทานอันดีเยี่ยม จึงมีน้ำพอต่อประชาชนหลังกำแพงพระนครสมบูรณ์ตลอดปี วิชาวิทยาศาสตร์และอาคมเจริญรุ่งเรืองควบคู่สร้างสรรค์ความยิ่งใหญ่สมดังนามแห่งจรูญจรัสนคร
หากบัดนี้ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไป...
“ท่านว่าอย่างไรนะ?” บุรุษผู้ประทับบนบัลลังก์ทองรับสั่งถาม ทรงเครื่องเต็มพระยศดูศักดิ์สิทธิ์ราวจะว่าราชการ ทรงยืนขึ้นพลันประกาศ “เพราะเราย้ายเมืองหลวงจากเนฟัลธอสมายังแคว้นใหม่ ประชาชนเนฟัลธอสจึงคิดก่อกบฏ โดยร่วมมือกับไพดัสที่ถูกเราตัดสัมพันธไมตรีอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางน่าท่านนูเอเว เมืองแค่นั้นเรายกทัพน้อยไปปราบวันเดียวก็ศิโรราบ”
ทรงพระดำริไปได้อย่างไร ศักดินาสวามิภักดิ์เนฟัลธอสแน่นเหนียวเกินกว่าจะทำลายเพียงตั้งดยุคคนนอกมาปกครอง... บุคคลนามนูเอเวนึกในใจพลางใช้ดวงตาสีน้ำเงินดุจไพลินน้ำดีลอบเหลือบขึ้นมองพระพักตร์ขององค์กษัตริย์ ที่ไม่ควรได้เป็นกษัตริย์
พระพักตร์นั้นมืดมัวเพราะเงาจากเศวตฉัตรเงินดาวดารากำบัง
นูเอเวรีบหลบตาลงมองพื้น “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลพระกรุณา ในประเด็นที่ได้มีพระราชดำรัส พระพุทธเจ้าข้า”
ราชาศัพท์ก็แค่สัญลักษณ์แทนความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีอยู่จริง...
“เราอนุญาต เชิญท่านว่า”
ผู้ต่ำศักดิ์ซ่อนยิ้มเหยียด หรี่ตาไม่สบอารมณ์มองฉลองพระบาทเงินดาวดาราลงทองคำ “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม หากพระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชวโรกาสให้สภาแห่งอาณาจักรร่างพระราชกฤษฎีกาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย” พักหายใจครู่หนึ่ง “เพื่อขับผู้ใช้มนตราจากอดีตพระนคร ตัดการอุดหนุนด้านกองทัพและชลประทาน นครแห่งนั้นก็จะเสื่อมโดยเร็ว มิมีผู้ใดเป็นราชศัตรูอีก ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ”
“เราเห็นด้วยนะ” กษัตริย์ทรงพระสรวลก้อง “แต่...”
นูเอเวแทบสะอึก หายใจไม่ทั่วท้อง นี่พระองค์จะไม่คิดเลยหรือว่าจะเกิดปัญหาอะไรบ้างกับพวกเอเรเซียนลอสสอธทางเหนือ แล้วพระองค์ไม่ได้คิดเลยหรือว่าแค่ตัดงบประมาณของหลวงจะ...เอาเถิด เป็นความผิดของเขาเองที่ดันลองของ อย่างไรก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินพระทัยครั้งนี้ให้ได้
“ท่านนูเอเว เราขอให้ท่านช่วยไปยังเมืองนั้น ให้มั่นใจว่าแผนของท่านจะได้ผล”
“พระพุทธเจ้าข้า” และความรับผิดชอบนั้นก็ลงมาประทับบนบ่าดังคาด
“อ้อ อย่าลืม พยายามควบคุมดยุคแห่งเอสเตรลลาร์นั่นด้วย เราไม่คิดว่าเขาจะมีปัญญาทำอะไรได้มากนัก แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี”
ผิดแล้วล่ะ คนที่ควรระวังไม่ใช่ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์เลื่อนลอยหรอก...
แต่นูเอเวก็ละคำพูดเช่นเคย ด้วยพิจารณาแล้วว่า หากเขาอยากพิทักษ์ระบอบกษัตริย์และราชวงศ์บาแนลล์จริง จะเสนอต่อพระองค์ก็ใช่เหตุ ควรกระทำทุกสิ่งด้วยมือตนเองมากกว่า
จำตอบรับ “พระพุทธเจ้าข้า!”
ø
...เราถูกตัดกำลังจนได้สินะ...
บนฟากฟ้า ณ ความสูงหนึ่งหมื่นเก้าพันฟุตเหนือพื้นดิน ชายหนุ่มผู้บังคับยานบินเก็บวิทยุส่วนตัวลงกระเป๋า นาวาอากาศโทหนุ่มมองทะลุเมฆที่รวมกลุ่มเบาบาง เบื้องล่างมีแต่พื้นแผ่นดินสีนวลตาทั้งแถบ ทะเลทราย ยานบินกึ่งล่องหนสีดำสนิทแฉลบเหนือภูมิประเทศภาคกลางค่อนตะวันตกเฉียงใต้อันทุรกันดารที่สุดในอาณาจักร
อย่างนี้แล้วกัน... ชายหนุ่มเปิดวิทยุสื่อสารของกองทัพหลวงพลางกระชากคันบังคับอย่างง่ายไปด้านหน้า ปิดระบบอัตโนมัติ แล้วเริ่มต้นตะคอกใส่วิทยุสื่อสารราวกับอากาศยานกำลังจะร่วง
ผลตอบกลับ “กราวนด์คอนโทรลถึงโครว์ ไม่พบความขัดข้อง เปลี่ยน”
“นี่มันบ้าอะไรวะ เจย์?!” นักบินคู่ตะคอกใส่จากด้านหลัง เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วนักบินหลักได้ตัดสัญญาณการติดต่อกับภาคพื้นดิน รวมถึงตัดระบบตรวจสอบอัตโนมัติที่เชื่อมระหว่างเครื่องอินวิสิเบิลโครว์กับหน่วยบนพื้นด้วย พร้อมกับเล่นเทปที่อัดเสียงเกมโอเวอร์ให้คนคุมบนพื้นฟังเล่นกรอกหู ตามมาด้วยเสียงซ่า
ผู้กระทำเช่นนั้นประมาณการไว้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่อาจเข้ารับราชการในกองทัพอีก ไม่ใช่ว่าเขาจะถูกขับออกจากราชการเพียงถูกศัตรู 'ยิงตก' แต่เพราะมีบางสิ่งสำคัญกว่านั้น...สำคัญกว่าทุกอย่าง
เจย์ลอบถอนใจเอื้อมมือลงปลดเซฟปืนเลเซอร์นอกราชการ หันหลังซ่อนความลังเลใต้หมวกครอบกันกระแทก
แล้วลั่นไก
มันควรจะมีเสียงดังปัง หากอาวุธนั้นเป็นของกองทัพหลวง ทว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของอีกสายวิทยาการเอเรเซีย-ลอสสอธ 'ปืนลำแสงพิฆาต' นั้นกำหนดระยะยิงและระยะหักเหไว้แล้ว พอดีเจาะเข้ากะโหลกศีรษะของนักบินเบื้องหลังผู้ใช้โดยแทบไม่ต้องเล็งให้เสียเวลา
นักบินหนุ่มนึกขออโหสิกรรม ขณะร่างของคู่หูค่อยพับลงพร้อมกับรูเล็กขอบเกรียมควันกรุ่นบนหน้าผาก ม่านตาดำส่งความสำนึกผิดเพียงแวบเดียว ก่อนกลับมาบังคับนกกาล่องหนไปยังจุดหมายด้วยมือตนเอง
เวลานั้น เสียงสวรรค์หรือนรกก็มิอาจหยั่งรู้จากวิทยุเวทมนตร์นอกราชการซึ่งประสิทธิภาพดีเป็นพิเศษก็ดังขึ้น
“ไง นายเจย์ อยู่คนเดียวรึยัง”
“เออ!” ผู้ถูกเรียกตะคอกใส่ “แล้วจะให้ผมขับไอ้กานี่ไปยังสถานที่แห่งใดครับคุณหมายเลขสิบเก้า”
“ลองจิจูดนั้นแหละ ขับลงใต้ เจอเขาลูกแรกให้ลงจอด โอเค้?”
“โอเคโว้ยครับ ไอ้พ่อมดประสาทกลับ!” นาวาอากาศโทที่เพิ่งประหารเพื่อนร่วมงานด่ากลับอย่างฉุนเฉียวก่อนจะปฏิบัติตามโดยดุษณี เขานึกอยากจะปิดการติดต่อของไอ้วิทยุเวรจริงๆสิพับผ่า เสียแต่ทำไม่เป็นนี่สิ
ความเงียบกับเสียงเครื่องยนต์ดังเคล้าคลอบรรเลงพักใหญ่ ก่อนที่ความสงบสงัดจะถูกล้างบางไปอีกระลอก “นี่ ถามหน่อยเถอะครับ ตะกี้เพิ่งฆ่าคนไปน่ะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอครับ” คราวนี้เสียงพูดเปลี่ยนคน มันหวานขึ้นมาก แต่ฟังอย่างไรก็เป็นบุรุษ
เสียงดังกล่าวแสร้งถอนใจ “ถ้าคุณไม่เต็มใจจะทำก็ไม่ต้องหรอกนะครับ เราเข้าใจ...”
เข้าใจห่าเหวอะไรกันล่ะวะ ขืนแยกตัวไปตอนนี้มีหวังถูกเจี๋ยนทิ้งแหงๆ “ไม่ได้หรอกครับ” พูดไปก็กัดฟันกรอด “แล้วผมก็อยากจะรู้ด้วยว่า คุณจะเอาไอ้อีกาสับปะรังเคที่ระบบล่องหนยังไม่สมบูรณ์นี่ไปทำป๊ะอะไรกันครับ นฟธ. มีดีกว่านี้เป็นล้านเท่า”
“คุณก็รู้นี่ครับ เจย์ ว่าความผิดพลาดอย่างหนึ่งของกองทัพหลวงคือ หน่วยควบคุมจะตรวจไม่พบเครื่องบินที่ลงทะเบียนไว้ ไม่ว่าเครื่องที่ว่านั่นจะมีประวัติถูกสอยตกไปรึเปล่า” เสียงเดิมกล่าว “เราจะเอาอีกาสับปะรังเคของคุณมาก๊อบปี้อีกหลายเครื่อง แล้วใช้มันบินสอดแนมความเคลื่อนไหวในไนธ์น่ะครับ”
“แล้วใช้ของ นฟธ. ไม่ได้เหรอฟะ ในเมื่อระบบมันเหนือกว่าเยอะ ไม่มีทางถูกเจออยู่แล้ว”
“อย่าลืมสิครับว่าคุณทำอะไรลงไป... ถ้าไม่ใช้เครื่องที่แลกมาด้วยชีวิตของคู่หูคุณก็จะกระไรอยู่” สิ่งที่ไม่ใช่คำตอบของคำถามนั้นทำเอาทั้งร่างของคนฟังกระตุกเฮือก
“แล้วอีกอย่าง เจย์ คิดหรือว่าจะไม่มีคนอย่างคุณใน นฟธ. น่ะครับ”
หึ...
“แล้วทางนั้นได้ข่าวอะไรบ้างรึยังล่ะ” เจย์ก้มหน้าลงถามพลางสอดส่ายสายตาหาว่าจุดขาวของหิมะไม่ก็จุดมืดๆของผืนป่าโผล่มาบ้างไหม แต่ก็ยังไม่พบ จึงลดระดับเพดานบินลงฮวบ ทำเอาแก้วหูส่งสัญญาณแปล๊บครู่หนึ่ง ด้วยความเคยชิน อาการจึงคงอยู่ไม่นานเท่าใด
ณ ระดับความสูงหนึ่งหมื่นห้าพันฟุตเหนือพื้นดิน ข่ายเวทมนตร์ถูกส่งผ่านอุปกรณ์วิทยุสื่อสาร แผ่เป็นตาข่ายครอบอากาศยานทอประกายคล้ายกลุ่มประจุสีฟ้าอ่อน คลุมการดักจับความเคลื่อนไหว ไม่ให้เห็นความผิดปกติที่ว่าทำไมเครื่องบินที่ล้ำสมัยที่สุดของนครหลวงใหม่จึงมุ่งตรงเข้าหาเทือกเขาสูงชันอันเป็นประดุจกำแพงกั้นระหว่างสองอาณาจักร...จะว่ากระทำอัตวินิบาตกรรมหรือก็ไม่น่าจะใช่
“ไม่มีเลย พวกนั้นเนียนมาก ขนาดอาตมาลงเองยังไม่ได้อะไรมาเลยโยม”
สมองผู้ฟังกรองเอาศัพท์ของสงฆ์ออกไป แทนด้วยคำสามัญอันหาความสุภาพมิได้
“นี่ประสิทธิภาพห่วยแตกขนาดนั้นรึไงวะไอ้พระคุณเจ้าครับผม! ใครที่พื้นเพไม่ใช่ นฟธ. แล้วมาเข้าพวกกับเราทีหลังสุดนั่นน่ะ น่าสงสัยที่สุด”
“มันจะง่ายแค่นั้นเลยหรือ อาตมาว่าเขาไม่น่าคิดอะไรตื้นๆแบบนั้นหรอก”
เฮ้ย หลอกด่ากันนี่หว่า...
เจย์เริ่มปลงจนไม่รู้จะทำเช่นไร ส่ายศีรษะอย่างหัวเสีย ถอนใจอีกเฮือกหนึ่งแล้วทำเป็นไม่ใส่ใจกับเสียงบ้าบอคอแตกที่หลุดผ่านอุปกรณ์สื่อสารเวทมนตร์เป็นพักๆ
เพดานบินลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาคมกริบประมาณว่าเบื้องล่างน่าจะเป็นภูเขาสูง เมื่อมีภูเขา ย่อมต้องมีน้ำ และถ้ามีน้ำก็ต้องมีป่า ...ทฤษฎีเข้าข้างตัวเองแบบแปลกๆจึงบังเกิดขึ้น ชายหนุ่มในเครื่องแบบที่คงได้ใส่เป็นครั้งเกือบสุดท้ายบังคับให้ 'อีกาสับปะรังเคที่ระบบล่องหนยังไม่สมบูรณ์ ระบบปรับความดันห่วยแตก แถมมีศพอยู่ตรงที่นั่งนักบินข้างหลัง' สามารถลงจอดได้โดยไม่มีส่วนใดบุบสลาย
พื้นดินไม่ได้อ่อนนุ่ม แผ่นดินบริเวณชายเขาไม่เคยและไม่มีวันราบเรียบพอแก่การลงจอดฉุกเฉิน ทว่าเจย์ อิสฟาเกล นายทหารหนุ่มผู้ทรยศต่อกองทัพหลวงพาอีกาสับปะรังเคแตะพื้นดินด้วยความชำนาญ นัยน์ตาสีดำสนิทวาววับสะท้อนแดดตวัดมองจุดซึ่งภูมิประเทศที่แทบจะแตกต่างกันสุดขั้วมาบรรจบกัน ส่วนฐานบัญชาการแถบชายแดนตะวันตกเฉียงใต้อยู่ใจกลางขุนเขาที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ ถัดออกไปเป็นทุ่งหญ้าแกร็นแคบๆ กั้นด้วยลำธารบริสุทธิ์สายจ้อย จากนั้นผืนดินจึงแตกระแหงไปเรื่อยจนกลายเป็นทะเลทรายอันทารุณ
ควันฝุ่นฟุ้งตลบกระจายไปในอากาศ ทัศนวิสัยย่ำแย่ สถานการณ์แบบนี้นักบินคนอื่นๆในกองทัพคงพร้อมใจทะลวงภูผา...แต่คนอย่าง เจย์ อิสฟาเกล ไม่เคยพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคอยู่แล้ว
ศึกสำคัญยังไม่เกิดขึ้น แต่การกระทำของเขาก็เป็นหนึ่งในตัวจุดชนวนสงครามนับพัน และในขณะเดียวกันมันก็เป็นผลจากชนวนมากมาย เช่นเจย์ ซึ่งแม้ตระกูลจะรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาหลายชั่วคน แต่ตนกลับไม่อาจทานทน ที่พระมหากษัตริย์ในฝันกลายเป็นราชาผู้แม้แต่ทหารมากฝีมือใต้อาณัติยังไม่เหลียวแล เอาแต่บำรุงสุขส่วนตน ปลูกป่า ทำสวน ปล่อยให้มีกบฏกำเริบอยู่ในดินแดนของพระองค์โดยไม่คิดจะปราบปรามให้ถูกวิธี
อันที่จริงเขาก็เห็นด้วยกับการปลูกป่าไม่ใช่น้อย เพราะมีป่าย่อมมีน้ำ มีน้ำย่อมมีป่า ด้วยทฤษฎีเข้าข้างตัวเองที่เพิ่งสร้างขึ้นไม่นานนัก แต่นี่ไม่ใช่เวลาสร้างภูมิทัศน์ให้งดงาม ไพดัสไม่ได้สิ้นคิดขนาดจะมาบุกธรีอาดิม จูคาไฮเนนไม่ใช่จักรวรรดิเปี่ยมอำนาจกระทั่งจะยึดครองใครได้ง่ายๆ...แน่นอนว่าในยามที่อาณาจักรเข้มแข็งพรั่งพร้อมแสนยานุภาพ
แน่นอนว่าเวลานั้นไม่ใช่ยามนี้
การละทิ้งกองทัพแล้วเอาเงินภาษีราษฎรไปใส่ใจกับต้นไม้ใบหญ้าในอุทยานนับเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ฟางเส้นสุดท้ายคือการปลดเนฟัลธอสออกจากสถานะเมืองหลวง นอกจากจะทำลายเกียรติภูมิของมหานคร ประกอบกับลดบทบาทของขุนนางศักดินาให้เหลืออำนาจจำกัดเพียงในตัวแคว้นแล้ว เอกสิทธิ์หลายอย่างของประชากรหลายล้านย่อมจะหมดไปในทันที และแน่นอนว่าด้วยความเป็นเมืองหลวงเก่าที่ยังมีอำนาจมากอยู่ ท้ายสุดสิ่งที่กษัตริย์พระองค์นี้จะพึงกระทำก็คือ ทำลายสักอย่างในเมืองทิ้งเสียไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน
ร่างสูงเก้งก้างที่มีใบหูสองข้างคล้ายจานรับสัญญาณคลื่นจากมนุษย์ต่างดาววิ่งฝ่าม่านฝุ่นที่จางลงเข้ามาหา เจย์ขยับยิ้ม ไร้เสียงทักทาย นาวาอากาศโทกดปุ่มเปิดหลังคาด้านบนออกแล้วกวักมือเรียกให้หนุ่มหูกางลากศพเพื่อนด้านหลังออกไปกำจัด ขณะตัวเองปีนลงจากยานพลันกระโดดกึ่งวิ่งลับเข้าไปในช่องเขาเจาะด้วยฝีมือมนุษย์ เร่งลากสังขารโทรมๆเข้าสู่ใจกลางลึกของภูเขา
และแล้วไม่ถึงห้านาที ใต้เงาทะมึนในความมืดสนิทแทบมองไม่เห็น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเงียบกริบของสิ่งมีชีวิตหนักไม่เกินหกสิบกิโลกรัมดังมาหยุดข้างตัว ด้วยความจำเป็น และเพื่อความปลอดภัย ชายหนุ่มจำต้องหันไปหาทั้งที่พอจะเดาได้ว่าบุคคลผู้นี้เป็นใคร
ร่างบอบบางสูงเพียงบ่าถือบอลไฟเย็นนวลตาอยู่ในมือ หน้าตาหวานเกินบุรุษของชายคนนี้ช่างขัดกับตำแหน่งในตำนานนั้นเหลือเกิน
"สวัสดี คุณอิสฟาเกล" ร่างบางทักทายพร้อมรอยยิ้มหวานชวนขนลุกซู่ "ขอบคุณมากครับที่คุณเสียสละความผูกพันในกองทัพหลวง แต่เรายังมีงานอื่นอีกมากมายให้คุณทำ ไม่ทราบว่าจะยินดีไหมครับ"
งานอะไรล่ะ...วะ?
คิดสงสัยในใจแต่ตอบตกลง
อีกฝ่ายผู้เสมือนเทพเจ้าแห่งการมัดมือชกยิ้มพราย ก่อนชวนให้เดินคู่กันไปยังสถานพำนัก "เราจะอยู่ที่นี่อีกราวสามเดือนกับอีกสามสัปดาห์ หลังจากนั้นผมจะกลับไปยังเนฟัลธอสพร้อมกับมาร์ควิซทีกริดและคุณวอชิงตัน อีกสองเดือนกับอีกสามสัปดาห์ถัดจากนั้น เวลาห้ามคลาดเคลื่อนนะครับ ให้คุณเริ่มออกเดินทาง แต่คุณจะไม่ได้เดินทางด้วยวิธีเดียวกับคนอื่นๆในทีมของคุณและของผม"
งงไปหมดเพราะลืมชื่อคนและเวลา "หมายความว่า..."
"คนอื่นๆในทีมของผม จะใช้บริการจุดเคลื่อนย้ายหมายเลขสิบเก้า"
"แล้ว?" ช่างน่าขันหากใครมาได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ หมายเลขสิบเก้าที่ว่าไม่ใช่ชื่อจุดเคลื่อนย้าย แต่เป็นสมญานามของคนพิลึกคนหนึ่ง
ผู้เอ่ยวาจาสุภาพเป็นนิจยิ้มอีกครั้ง นัยน์ตาวิบวับใต้แสงจากบอลไฟเย็นดูน่าสะพรึงดังปีศาจในคราบมนุษย์ "คุณต้องเดินไปครับ นั่นจะทำให้เรื่องต่างๆที่เรากุขึ้นเพื่อให้คุณสามารถเดินเหินในอาณาจักรโดยไม่ถูกจับเข้าคุกใต้ดินสำเร็จลงด้วยดี"
"มัน ‘ควรจะใช้’ เวลาเดินทางสักเท่าไหร่ล่ะนั่น"
"ปีครึ่ง"
หนึ่งปีกับอีกหกเดือนหลังจากนั้น จากฤดูร้อนผันผ่านฤดูร้อนอีกครา บัดนี้เข้าสู่กลางฤดูหนาว
ชายคนหนึ่งเดินฝ่าฝนปนหิมะในชุดคลุมขาดวิ่น หนวดเครารุงรัง ผมเผ้าและเสื้อผ้าผิวพรรณเขรอะฝุ่น รองเท้าที่เคยมีสีดำมันวับอย่างทหารอากาศทัพหลวงอยู่ในสภาพโคลนจับแห้งกรัง ร่างผ่ายผอมหนาวสั่น แม้จะยังมีเค้าของความแข็งแกร่งอยู่ในกล้ามเนื้อลีบๆ แต่หากยังเดินดุ่มกลางอากาศอุณหภูมิติดลบแบบนี้ ไม่เกินสามชั่วโมงชีวิตคงต้องดับสิ้น
นัยน์ตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์ดั่งได้ชัยชนะในกำมือ ก่อนจะล้มลงสิ้นสติกลางถนนหน้าประตูเมือง...ตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านั้นนานนักหนาพอดิบพอดี
สองสามวันถัดมา ข่าวสะพัดทั่วนครหลวงไนธ์
และเนฟัลธอส ถึงการกลับมาของนายทหารหนุ่มอนาคตไกลนามเจย์ อิสฟาเกล เขาได้รับการสถาปนายศพลอากาศตรีในทันทีที่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภายหลังจากพลเมืองดีคนหนึ่งนำตัวของเขาซึ่งสารรูปเหมือนคนจรไร้บ้านมากกว่าทหารมารักษา พร้อมออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง
ในเวลาเดียวกัน กรณีหายสาบสูญขณะปฏิบัติหน้าที่ซึ่งศาลเพิ่งตัดสินเสร็จสิ้นกลายเป็นโมฆะทันที หากไม่รวมถึงยศพลอากาศตรีที่มอบให้เป็นเกียรติแก่ผู้ ‘เสียชีวิต’ เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์หายตัวไปแล้วกลับมาอีกเช่นนี้มาก่อน ฉะนั้นจากนาวาอากาศโท เจย์ อิสฟาเกล จึงกลายมาเป็นพลอากาศตรีลอยๆที่ไม่มีหน้าที่ใดในกองทัพทันที
นึกเศร้าสะท้อนใจ ...นายพลที่ตายไปแล้ว...
เจย์เล่าเรื่องมากมายให้ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งพลเมืองและทหารฟัง ซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากเป็นความจริงแบบไม่จบเนื้อความ และในยศพลตรีแห่งทัพอากาศ ชายหนุ่มได้รับการย้ายไปยังห้องเดี่ยวพิเศษของโรงพยาบาล มองนอกหน้าต่างสามารถเห็นทุกอย่างชัดทั่วมหานครแห่งไนธ์
เจย์ยิ้มกริ่มทั้งที่ใบหน้ายังซีดเซียวแม้จะตัดผมโกนหนวดโกนเคราขัดสีฉวีวรรณแล้ว ชายหนุ่มเพิ่งเจรจากับท่านแม่ทัพภาคที่หนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการของเขาเมื่อวันก่อน เกี่ยวกับการขอย้ายไปประจำเนฟัลธอส เพื่อรับราชการในฐานะวิศวกรคอมพิวเตอร์ประจำกองทัพอากาศฟากตะวันออกตามปริญญาที่เขาได้รับมาโดยตรง แทนที่จะอยู่แบบหลักลอย ไม่นานก็มีคำสั่งอนุญาต พร้อมคำกล่าวชมเชยของท่านแม่ทัพภาคในความพยายามสืบหาข่าวคราวพวกกบฏอีกด้วย
นัยน์ตาสีดำเลื่อนลอยมองท้องฟ้าสีเข้มทึบผ่านหน้าต่างกลางห้องใหญ่หรูหรา ราตรีนี้ไม่มีหมู่ดาว ในความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์แบบจอมปลอมนี้ทำลายความงดงามของธรรมชาติไปจนสิ้น แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนทั่วเมืองไนธ์สวยมากก็จริง แต่เวลานี้เขาอยากดูดาวมากกว่า
เจย์ อิสฟาเกลนึกถึงภารกิจที่เดิมพันด้วยชีวิตพลางสงสัยว่าเขาทำต่อไปดีหรือไม่ แต่แล้วก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป...มีหลายสิ่งที่เขายอมทุ่มเท สละความสะดวกสบายในชีวิตเพื่อมัน และนี่คือหนึ่งในภารกิจที่เขาต้องกระทำ เพื่อให้งานชิ้นนี้สำเร็จลุล่วง แม้จะต้องทำร้ายคนดีๆที่เพียงบังเอิญอยู่คนละฝ่าย เขาก็ต้องไม่ลังเล
ชายหนุ่มเรียกคนมาปิดม่านก่อนจะหลับตาลง พลางครุ่นคิดถึงความจริงอีกสิ่งหนึ่ง...
จากการซักไซ้ไล่เลียงด้วยความสามารถส่วนบุคคลที่ไม่ควรเลียนแบบ คนที่ช่วยชีวิตเขาไม่น่าจะใช่พลเมืองดีอะไรหรอก เพราะคุณสมบัติที่รู้คือ เป็นชายสูงราวสองเมตร หน้าตาดูดีไม่ระบุเพศและอายุ ผมยาวสีดำรวบไว้ นัยน์ตาสีน้ำทะเล ใส่ชุดสูทสีดำเหมือนนักธุรกิจ พอจ่ายเงินแล้วก็หายวับไปเลย
หายวับไปจริงๆ...อย่างที่ความหมายตรงตามตัวอักษร
นายทหารหนุ่มแทบจะหัวเราะ! ถ้าไม่ติดว่าอาจมีใครแอบฟังอยู่
ø
++++++
รีไรท์สำนวนอีกล่ะ- -"
เพราะอ่านแล้วผมจะหลับ(เฮะ?) เลยทนไม่ไหว
หมายเหตุ: กลอน? นั่นไม่ใช่กลอนนะครับ นั่นมันฉันท์
หากจะถามต่อว่า "นั่นมันฉันท์อะไร"...ผมก็ต้องตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน เพราะคิดฉันทลักษณ์เองล้วนๆ เอาให้จังหวะมันดูประชดประชันนั่นล่ะ
ป.ล. ราชาศัพท์...ผมเลือกจะเปิดหนังสือใช้ เพื่อให้มันดูยาวสมจริง...อันที่จริงคือยาวกว่าความเป็นจริงมาสักหน่อยน่ะ
สรุป: นิยายเรื่องนี้ไม่สามารถใช้อ้างอิงข้อมูลทางภาษาใดๆได้เลย เพราะคนเขียนถูก "Originality" กัดกินสมองหมดแล้ว
ความคิดเห็น