คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Interlude-ปีศาจในสระบัว [ยังมิจบ]
นี่เป็นInterludeนะครับ...ใจความสำคัญอาจดูเครียดๆกว่าบทหลัก แต่ที่จริงแล้วยังคงหาสาระมิได้ดังเดิม
คำเตือน: ตอนพิเศษนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์รั่วออกมาจากหัวคนเขียนในปริมาณมากกว่าแนวแฟนตาซีทั่วไป เหตุเพราะคนเขียนบ้า ความรู้ล้นทะลัก สมองจะระเบิดอยู่รอมร่อ...
จึงขอโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างยิ่งยวด ประดุจโลหะที่ลดอุณหภูมิจนความต้านทานแทบเป็นศูนย์นั่นแหละเออ (<<เริ่มแล้วสิ)
------
หลายปีก่อน...เมื่อครั้งพระมหากษัตริย์ยังคงประทับอยู่ ณ มหานครแห่งเนฟัลธอส สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนร่มเย็นเป็นสุขกว่านี้มาก อาจมีการแก่งแย่งชิงดีระหว่างขุนนาง หากก็ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นประกาศสงครามย่อยระหว่างเขตการปกครองเช่นปัจจุบัน -- แม้ประชาชนในจรูญจรัสนครจะไม่ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับอาณาเขตอื่นๆมากนัก แต่สถานการณ์ภายในก็ยังส่งเปลวไฟแห่งสงครามลุกโชนมาอยู่เสมอ
กาลครั้งนั้น -- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าปัจจุบัน รีบอลโดซ์อันเป็นแคว้นที่มีชื่อเสียงโดดเด่นด้านนี้ยังยึดมั่นนับถือผู้มีเชื้อสายเอเรเซียเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ซึ่งใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนส่วนใหญ่ที่ไร้เวทมนตร์ไม่ให้ได้รับการศึกษา ตัดทอนปัญญาของประชาชน จนกระทั่งกลุ่มเชื้อสายผู้วิเศษแนวคิดสมัยใหม่อันมีอิซาค เครไนท์และแพลอส เซรูลีนเป็นแกนนำ กล้าอบรมสั่งสอนวิชาทางวิทยาศาสตร์อย่างลับๆ ฟูมฟักนักคิดตัวน้อยให้เข้าร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ปลูกฝังความคิดในการหาสิ่งชดเชยเวทมนตร์ในตนเอง -- และท้ายที่สุดก็โค่นล้มกลุ่มอำนาจเก่าผู้ประมาทในพลังของตนได้สำเร็จด้วยอาวุธทำลายล้างนานาชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนที่ใดในโลก...
แต่ในช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติรีบอลโดซ์นั้น วงการวิทยาศาสตร์ของเนฟัลธอสยังคงดำรงอยู่ตามมีตามเกิด เสนาบดีคนสำคัญในยุคสมัยไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ศาสตร์แขนงนี้เท่าที่ควร การศึกษาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์จึงเสมือนวิชาการชั้นสองรองจากศาสตร์ด้านกฎหมายและการปกครอง แม้เรียนเก่งเท่าใดสังคมก็ไม่ยอมรับเพราะผลงานมีโอกาสเผยแพร่ในวงแคบ อีกทั้งค่าตอบแทนที่ได้รับก็น้อยนิดไม่คุ้มกับความเหนื่อยยาก ผู้ศึกษาแขนงนี้จึงหันเหอาชีพตัวเองไปทำอย่างอื่นกันเสียมาก
เด็กรุ่นใหม่หลายคนที่ได้มีโอกาสเห็นหนังสือใหม่ๆจากกลุ่มปฏิวัติรีบอลโดซ์ก็บังเกิดสภาวะคล้ายดวงตาเห็นธรรม หลายคนได้ค้นพบทางเลือกใหม่ของตนในช่วงเวลานั้น ทว่าก็ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ อัจฉริยะตัวน้อยจำนวนมากจึงต้องล้มเลิกความคิดและละทิ้งความสามารถของตนไปอย่างน่าเสียดาย
มือน้อยขว้างก้อนหินลงไปในสระอโนดาตสุดกำลังด้วยมุมสี่สิบห้าองศาเมื่อวัดจากแนวระดับด้วยหมายให้ไปไกลที่สุด ดวงตาสีนิลมองตามแนวการเคลื่อนที่วิถีโค้งอันรวดเร็ว ก่อนที่วัตถุจะร่วงหล่นด้วยความเร่งจากสนามโน้มถ่วงของโลกลงปะทะ เอาชนะแรงลอยตัวและความหนืดด้วยความหนาแน่นที่มากกว่า...ก้อนหินก้อนเล็กจึงจมลงสู่ก้นบึ้งแห่งสระอโนดาต นอนนิ่งอย่างสงบใต้ผิวน้ำอันเย็นเยียบ
เด็กชายตัวน้อยนั่งกอดเข่าอยู่ริมน้ำ เหม่อมองแสงสะท้อนร่างของตนที่วูบไหวเพราะระลอกคลื่นในทะเลสาบ มองลงไปเห็นหมู่ปลาสีเข้มแหวกว่ายเริงร่า ทว่าเขารู้ตนเสมอว่าภาพนั้นไม่ใช่ความจริง -- เจ้าปลาตัวน้อยที่แท้แล้วอยู่ลึกกว่าตาเห็น ตำแหน่งที่สมองรับรู้เป็นเพียงการล้อเล่นของคลื่นแสงที่หักเหมาเท่านั้น
คิดแล้วก็เหยียดยิ้มเคร่งเครียด...ในเมื่อสิ่งที่เขาคิดนั้นสามารถพิสูจน์ได้จริง ดังนั้นพวกเชื่อถืองมงายไม่เข้าเรื่องที่ปฏิเสธเขาย่อมผิดสินะ แต่ทำไมสายตาที่มองมาถึงคล้ายจะประณามความแตกต่างเช่นนั้นเล่า? ความคิดที่แตกต่างสมควรได้รับการกีดกันถึงเพียงนี้หรือ
แดดรอนๆคล้อยต่ำ แมกไม้ในสวนเมเนลไหววูบตามแรงลมพัดเอื่อย สูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้สดชื่น ออกซิเจนซึมซับไปในกระแสเลือด ขณะที่พลาสมาใสคายคาร์บอนไดออกไซด์ที่เก็บกักในรูปกรดคาร์บอนิกออกเป็นการชดเชยปริมาตรแก๊สที่หายไป พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปลดปล่อยความรู้สึกไม่ดีทั้งมวลไปกับแก๊สที่ร่างกายก็ไม่ต้องการ หากต้นไม้ที่มีสีเขียวกลับอยากดูดรับมันเอาไว้สังเคราะห์เป็นอาหารผ่านวัฏจักรอันซับซ้อน
เด็กชายถึงชอบนั่งอยู่ใต้ร่มไม้นัก...
นิ้วมือน้อยวักน้ำขึ้นลูบเส้นผมหยักศกจนเปียกชุ่ม สะบัดหยดน้ำไปรอบเท่าที่โครงสร้างกระดูกคอจะทำได้ น้ำที่เคลือบผิวและเส้นผมระเหยพร้อมพาความร้อนจากร่างกายออกสู่บรรยากาศ อุณหภูมิในตัวจึงลดลงเล็กน้อย พอดับโทสะที่เริ่มคุทุกครั้งที่พาลนึกถึงเรื่องราวในห้องเรียนที่เพิ่งประสบมา
เพราะไม่ได้สนใจการ์ตูน ไม่ชอบเล่นเกม ไม่ชอบกีฬา ไม่ชอบการดูหนังฟังเพลงใดๆทั้งนั้น จึงแทบไม่มีเรื่องราวจะให้เปิดประเด็นพูดคุยกับเพื่อนๆ ครั้นจะชวนคุยเกี่ยวกับความเร็วสัมพัทธ์ในอวกาศ คนรอบข้างต่างก็พร้อมใจกันหันหน้าหนีทั้งที่เรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจเลยสักนิด...เด็กชายสงสัยเสมอ ว่าเหตุใดสายตาที่มองตนจึงไม่ต่างอะไรกับการมองดูสัตว์ประหลาด เหตุใดจึงไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันสนใจในสิ่งเดียวกันเลย
เขาไม่ใช่พวกที่ไม่สนใจสังคม ใจจริงก็ใส่ใจเหมือนกัน ทว่าไม่อาจทำใจใช้ชีวิตระเริงกับสิ่งบันเทิงไปได้จริงๆในเมื่อวิชาการน่าสนใจยังรอคอยให้ค้นหาอยู่ทุกวัน เด็กชายร่างผอมคนนี้หลงใหลในศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ และเพียรจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้ประจักษ์อยู่ทุกโอกาส ...แม้เมื่อพิสูจน์ได้แล้วจะมีคำถามว่า 'แล้วตูจะรู้ไปทำไมฟะ' กลับมาอยู่ตลอด เขาก็ยังพยายาม
แต่ถึงอย่างไร...ใจคนก็ท้อแท้ที่ไม่ได้รับการยอมรับเหมือนกันนั่นแหละ
นั่งเหม่อทอดอารมณ์ไปจนแสงตะวันเปลี่ยนสี ทิศทางบนผิวโลกทำมุมให้แสงที่ความยาวคลื่นยาวเช่นแดงและส้มผ่านบรรยากาศเข้าสู่นัยน์ตา ลมพัดเหนือผืนน้ำให้ไหวระริกเป็นประกายวิบวับงดงาม สงบและร่มเย็น งดงามและน่าชื่นชม กลิ่นใบหญ้าอวลกล่อมสัมผัส นุ่มนวลจนไม่อยากจะผละไปไหน
หลับตาพริ้ม รับเอาความผ่อนคลายประทับตราตรึงในดวงจิตอันเคร่งเครียด...
...ซ่า! เสียงอะไรบางอย่างกระทบผิวน้ำ -- ไม่ก็โผล่จากใต้น้ำ ดังขึ้นมาขัดความสุขเพลิดเพลินเจริญใจในเย็นวันว่าง
คิ้วบางขมวด แต่ยังไม่อยากลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พยายามเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆทั้งหมดไว้เป็นพลังในการใช้ชีวิตต่อไปอีกสักสองสามวัน
แต่เมื่อปลายนิ้วเย็นเฉียบสัมผัสไล้แก้มขาวๆ เด็กชายก็ลืมตาตื่นจากภวังค์ร้องจ๊ากกระโดดโหยงถอยหลังไปชนกับต้นหลิวริมน้ำดังโครม!
"เจ้าทำอะไรน่ะ?" เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากใบหน้าที่ถูกปิดด้วยเส้นผมสีดำสนิทพลิ้วไหวเปียกโชกด้วยน้ำ บ่งบอกชัดว่าร่างผอมซีดเซียวที่ออกมาจากสระอโนดาตนี้คงเป็นชาย
หากคำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบแม้จะทิ้งช่วงเปิดโอกาสเด็กชายอยู่หลายนาที เนื่องจากความตื่นตระหนกตกตะลึงพรึงเพริศ -- มีใครบ้างที่นั่งอยู่แล้วจู่ๆมีสิ่งมีชีวิตเย็นเยือกโผล่จากใต้น้ำมาแตะเนื้อต้องตัวแล้วไม่ขนลุกเกรียวบ้างเล่า?
กรณีนี้ก็ไม่ได้อยู่ในข่ายยกเว้น
ดวงตาพยายามปิดหยี หากความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้ต้องเหลือบมองเป็นระยะๆ...ร่างที่อยู่ตรงหน้าดูราวกับผีสาวในภาพยนตร์สยองขวัญที่กำลังเข้าฉายอยู่ในช่วงเวลานี้ เรือนผมดำสนิทยาวสยายปรกหน้าปรกตาปล่อยให้น้ำหยดติ๋งๆลงบนพงหญ้า ทั้งร่างผอมสูงซูบซีดปกคลุมด้วยผืนผ้าสีดำสนิทเปียกโชกแนบเนื้อ ลักษณะการเคลื่อนไหวก็งุ่มง่ามเหมือนกิ้งก่าในเกาะห่างไกลที่ดำลงไปแทะกินสาหร่ายทะเลแล้วอุณหภูมิร่างกายลดฮวบฮาบ หรือในกรณีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ สภาพไม่ต่างอะไรกับคนเพิ่งตื่นนอน ที่มีถิ่นพักอาศัยอยู่ใต้สระอโนดาต
บางทีชายคนนี้อาจเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาชั้นสูงสปีชีส์เดียวกับมนุษย์ แต่อาจมีนามสปีชีส์ย่อยที่แตกต่างกัน ทำให้คุณลักษณะบางอย่างผิดแผกออกไปก็เป็นได้
เรียวปากสีชมพูซีดหลังม่านเส้นผมแสยะยิ้มที่ดูอย่างไรก็ไม่ชวนให้อุ่นใจ "ไม่ต้องพูดหรอก...ข้าเข้าใจดี เจ้าคือเปอร์เซมโก เบอร์นาดีนใช่ไหมล่ะ" ยื่นลำแขนผอมๆออกมาด้วยทีท่าคล้ายชวนให้จับมือทำความรู้จัก
ดวงตาสีนิลเบิกโพลง ช็อกค้างไปชั่วขณะ ก่อนร้องลั่นสุดเสียง "จ-เจ้ารู้ได้ยังไง!?!!"
ทันทีที่ได้ยิน ปีศาจ -- แม้แต่พวกยึดมั่นในความจริงที่พิสูจน์ได้ยังไขว้เขว -- ยิ่งแสยะยิ้มกว้างขึ้น เร่งทั้งร่างก้าวพ้นผิวน้ำ เผยให้เห็นว่าชายคนนี้สูงเกินเกณฑ์มนุษย์ปกติไปมหาศาล ผ้าคลุมเปียกชุ่มแนบกายเผยให้เห็นส่วนตั้งแต่ข้อเท้าลงไป...มันขาวสะอาดไม่เหมือนกับผู้ที่เพิ่งลุยก้นสระมา ปีศาจแห่งสระอโนดาตยกมือแหวกเส้นผมปรกหน้าตลบไปด้านหลัง ก่อนคลายแถบผ้าที่ข้อมือข้างนั้นมารวบผมลวกๆไว้ด้วยมาดเถื่อนๆ ก่อนหลับตาหาววอดแบบไม่เกรงใจใคร
จากที่เคยหวาดหวั่น ครานี้เด็กชายกลับจับจ้องไม่วางตา...
เค้าหน้างดงามไร้กาลเวลาดังฉาบทาด้วยมนตร์สะกด นัยน์ตาสีน้ำทะเลลุ่มลึกตราตรึง...ผิวกายซูบตอบซีดเซียวหากยังเจือสีเลือดเรื่อให้รู้ว่ามีชีวิต ด้วยความผอมบาง กับดวงหน้าที่ไม่อาจบ่งบอกเพศ เคล้าด้วยปอยผมที่ปรกด้านข้าง รวมแล้วดูไม่ต่างกับอิสตรี
ทว่า...ภาพลักษณ์เทพธิดาแห่งวารีก็ถูกลบไปด้วยการก้าวเข้ามาประชิดตัว ชายร่างสูงผอมยันสองมือกับพื้นล็อกร่างเล็กไว้ไม่ให้ขยับหนีด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เด็กชายกะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะอึ้งเต็มที่กับการกระทำที่สุดแสนจะล่อแหลมและชวนสะพรึงขวัญโดยบุรุษจากแหล่งน้ำผู้นี้
"ค-คุณจะทำอะไรผม" พาลคิดอกุศลไปไกลเสียแล้ว อนิจจา เด็กน้อยเอย...
หัวเราะหึๆๆ ฮ่าๆๆ อย่างสะใจสุดชีวิต "โธ่ ไม่รู้อะไรซะแล้วเด็กเอ๋ย" ยิ่งตอกย้ำความด้อยกว่าของเด็กชายลงไปอีก "นี่แสดงว่าเจ้าไม่รู้จักข้าสินะ"
ใครจะไปรู้จักปีศาจใต้สระบัวฟะ...
ร่างสูงชุ่มโชกถอนใจเฮือก แสร้งตีหน้าโศกเศร้า "โถๆๆ...ทั้งที่ข้าออกจะมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้เด็กๆได้รู้จักแม้เพียงนามของข้า กระทั่งใบหน้าของข้าที่ประทับอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ก็ยังจำกันไม่ได้เลยสักนิด" พิลาปไร้สาระด้วยประโยคทั้งหลายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดนอกจากอาการงงระยะสุดท้าย "ข้าเห็นว่าเจ้ามีความสามารถ เลยกะจะพาไปหาเหลนข้าที่รีบอลโดซ์ซะหน่อย อย่างนี้เจ้าก็คงไม่ยินดีไปกับข้าล่ะสินะ..." หลับตาพริ้มเหมือนสาวน้อยน่าสงสาร เสียแต่เสียงที่ได้ยินก่อนหน้ามันทำเอาหมดอารมณ์เคลิ้มไปโดยสิ้นเชิง
รีบอลโดซ์!?!! เด็กชายเบิกตาเล็กน้อยด้วยความดีใจเมื่อได้ยินว่าชายคนนี้จะพาตนไปที่นั่น ทว่าก็นึกเอะใจกับประโยคแปลกๆของคนตรงหน้าอยู่หลายคำเหมือนกัน จึงตัดสินใจเงียบเฉย จ้องมองด้วยสายตาดุดันกลับไป
ความเงียบครอบงำพักใหญ่
"ไม่ตอบ?" คนบ้าจากใต้สระ(ข้อสันนิษฐานที่ดูมีโอกาสเป็นจริง)ย้อนถาม ก่อนผละยืนขึ้น ก้มหน้าลงมองเด็กชายที่นั่งนิ่งบนพื้นใต้ต้นหลิวด้วยสายตาที่ไม่วิบวับดังเมื่อครู่ หากแปรเปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์
ริมฝีปากบางกระตุกเล็กน้อย "ในเมื่อเจ้าเอาแต่ขลุกอยู่กับตำราวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เหลือบตาไปมองเรื่องราวในอดีตก็เลยไม่รู้จักข้าจริงๆ"
ยิ่งฟังยิ่งงง...เด็กชายพยายามคิดตาม พยายามนึกในสิ่งที่เคยเรียนรู้มา แต่ก็คิดไม่ออกสักที...การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จะเกี่ยวอะไรกับทวดเฒ่าทารกโรคจิตชวนเด็กไปกระทำชำเราต่างแคว้นคนนี้ตรงไหน?
...ความไร้เดียงสาถูกกลบด้วยความคิดในแง่ลบสุดขีด
"ข้าไม่บังคับให้เจ้าเชื่อถือข้าในครั้งแรกที่เจอหรอก" ชายประหลาดยอมรับ "เอาอย่างนี้ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถดำอยู่ใต้สระแล้วโผล่ขึ้นมาเฉยๆหรอก เว้นแต่จะแบกถังออกซิเจนไว้สูดเข้าปอด ซึ่งไม่ว่าข้าจะมีจุดหมายแอบแฝงเป็นอะไรก็ตาม จะทำอย่างนั้นไปทำแมวอะไร จริงไหม"
เด็กชายพยักหน้าเล็กน้อย คิดในใจ ...ก็แล้วเจ้าทำแบบนี้ไปทำแมวอะไรล่ะฟะ
คนแปลกเปียกโชกพยายามยิ้มเป็นมิตร "ถ้าอย่างนั้นเอาไอ้นี่ไปดู...หลังจากนั้นจะให้พ่อแม่หรือคนรอบข้างเจ้าดูก็แล้วแต่" ล้วงไปในช่องกระเป๋าด้านข้างที่มองแทบไม่เห็นแล้วคว้าเอาม้วนกระดาษม้วนหนึ่งขึ้นมาจากเสื้อผ้าแบนลีบ พลันโค้งตัวยื่นให้ "แนะนำตัวสักหน่อย...ข้าคือหมายเลขสิบเก้าแห่งลอสสอธ ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของกลุ่มปฏิวัติรีบอลโดซ์ขอรับ"
หมายเลขสิบเก้ายืนนิ่งในท่านั้นอยู่นาน เด็กชายมองลังเล ชั่งใจอยู่พักใหญ่ ก่อนเอื้อมไปรับช้าๆ...
เหตุเพราะม้วนกระดาษนั้นแห้งสนิท และยังดูแข็งแรงดี ทั้งที่เมื่อเยื่อไม้สัมผัสน้ำแล้วย่อมเปื่อยยุ่ย -- บ่งบอกความไม่ธรรมดา เป็นการยืนยันคำแนะนำของชายร่างสูง
เด็กชายตาสว่าง เพราะหากสิ่งที่คนตรงหน้าพูดเป็นความจริง เขาก็กระหายที่จะเรียนรู้นัก อยากจะลองคิด ลองใช้ความสามารถของตนให้เต็มที่ในสถานที่ที่ยอมรับเขา แม้จะรักบ้านเกิด แม้จะอยากทำให้คนที่นี่ยอมรับ แต่ถึงอย่างไรอนาคตในศาสตร์แขนงที่ตนชื่นชอบย่อมหอมกรุ่นชวนฝันกว่าเสมอ
เด็กชายตัวน้อยนึกอยู่ทุกคราที่เปิดหนังสือทฤษฎีนานาหนาเป็นตั้ง...
วิทยาศาสตร์ และเวทมนตร์ หากประยุกต์เข้าด้วยกันจะออกมาในรูปแบบใดกันหนอ?
ลองคิดดีๆแล้ว...คำตอบคงอยู่ไม่ไกล
------
แสงอาทิตย์เรืองรองโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นภายใต้อุณหภูมิมหาศาลยังคงรูปแบบเดิมทุกวันคืน แม้ทุกครั้งที่หลอมรวมนิวเคลียสเพื่อปลดปล่อยพลังงานพร้อมอนุภาคโพซิตรอน มวลส่วนหนึ่งของมันจะพร่องไป แปรเปลี่ยนนามรูปอุทิศตนมอบแสงสว่าง ความอบอุ่น และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านานาไปในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง...กระนั้น ไม่ว่าจะต้องสูญเสียมวลแท้จริงไปเพียงไร ดวงอาทิตย์ก็ยังคงแผดแสงแรงสดใสอยู่ได้อีกนับกัปกัลป์
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ โรงเรียนหยุด โรงเรียนกวดวิชาก็วางแผนไม่ลงเรียนในวันนี้แต่แรก...เด็กชายจึงมีเวลาว่างทั้งวันในการนั่งตัดสินใจ อันที่จริงก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มาสองวันแล้ว แต่ยังทำใจไม่ได้ จึงวางแผนว่าวันแห่งครอบครัวครั้งนี้จะลองปรึกษาบิดามารดาดู -- ถ้าพวกท่านเชื่อสิ่งที่เขาพูดไป การเจรจาครั้งนี้อาจมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นก็เป็นได้
เหลือบตาปรอยปรือไปมองหนังสือเล่มใหม่ข้างเตียงนอน กองพะเนินสูงท่วมเข่าดั่งกำแพงเมือง...
...หรือบางที อาจไม่ต้องปรึกษาท่านก็ได้นี่นะ
------
เด็กชายร่างผอมเส้นผมหยักศกยืนทอดอาลัยริมสระอโนดาต
มองไปทางไหนก็มีแต่บัว...แน่นอนที่สุดว่าใต้สระย่อมมีโคลนตมเป็นที่ยึดเกาะของปทุมชาติหลากสีแห่งทะเลสาบ ทว่าดวงตาสีนิลของเด็กชายกลับไม่ได้เบิกบานกับทัศนียภาพงดงาม เขากำลังมองหาสิ่งพิศวงที่แทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดนึกรำคาญตัวเองนิดๆ
หมายเลขสิบเก้านัดเจอวันนี้ แต่ดันไม่บอกเวลานัดพบ ไม่บอกสถานที่ที่แน่ชัด ไม่บอกวิธีติดต่อกลับใดๆทั้งสิ้น เพราะคำว่ารีบอลโดซ์แท้ๆที่ขุดความเป็นเด็กในตัวของเด็กชายออกมา มีใครหลายคนทักอยู่ตลอดว่าเขาทำตัวแก่เกินวัย แต่ความปรารถนาในตัวก็ยังไม่ต่างอะไรกับเพื่อนวัยเดียวกันอยู่นั่นเอง -- ด้วยความตื่นเต้นทำให้ขาดความรอบคอบ ขาดความระมัดระวัง ไม่ทันสอบถามข้อมูลอะไรก็ดันหลวมตัวไปเสียแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กๆถูกหลอกได้ง่ายดายนัก
เด็กชายตบหน้าผากดังแปะ -- แล้วครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ของฝ่ายคนแก่ด้วยว่าจะมาด้วยจุดประสงค์ใด ถ้าหากหมายเลขสิบเก้าเป็นพ่อมดชั่วช้าสามานย์ มีงานอดิเรกคือจับเด็กผู้ชายไปทำฮาเร็มขึ้นมาล่ะ เขาจะทำอย่างไรได้...นอกจากยอมไปตามน้ำ และสวดมนต์ภาวนาว่าสักวันจะได้พบกับพ่อแม่อีกครั้ง
ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จึงต้องมีประจักษ์พยานในการพบกับอาคันตุกะต่างดินแดนครั้งนี้ด้วย...เหลือบตาไปด้านหลัง มันก็ยิงฟันยกนิ้วโป้งให้ด้วยหน้าตามาดมั่น แม้จะมั่นใจว่าถึงเกิดอะไรขึ้นมันคงช่วยอะไรไม่ได้ก็ตามที
...
เมื่อสองวันที่ผ่านมา เด็กชายพยายามปรึกษาคนในห้องเกี่ยวกับการเดินทางตามหาความฝัน ทว่าทุกคนเมินหน้าหนี ไปเล่นเกมที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งกันเกือบหมด เด็กชายผู้กำลังสับสนอย่างยิ่งจึงตามไปดูที่นั่น และแล้วก็ต้องพบกับความจริงบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ของเพื่อนผู้บ้าการ์ตูนและเกมเป็นชีวิตจิตใจคนนั้น -- หลังนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ลองคุยกับเขาเลย เด็กชายจึงถือวิสาสะเดินรี่ผ่านดงเด็กเล่นเกมเข้าไปในบ้าน ทักทายผู้ปกครองของเพื่อนคนนั้นเป็นพิธี แล้วตามขึ้นไปถึงห้องนอนส่วนตัวของเจ้าบ้าน
และทันทีที่เจ้าของห้องตะโกนอนุญาตด้วยน้ำเสียงกวนประสาทเป็นนิจ เขาก็เปิดประตูเข้าไป ก่อนจะพบกับงานอดิเรกอันน่าตกตะลึงของเพื่อนผู้ซึ่งปกติแล้วคุยกันแทบนับคำได้...
"ไง นายหัวหย็อง" เด็กชายหน้าตาดีผู้เป็นเจ้าของบ้านหมุนเก้าอี้บุนวมหน้าคอมพิวเตอร์มาหาด้วยรอยยิ้มกว้าง นั่งวางท่าอย่างราชา "มีเรื่องอะไรถึงมาหาผมล่ะวะ"
นายหัวหย็องไม่ตอบ สายตาจับจ้องมอนิเตอร์ตาค้าง...หน้าจอสีน้ำเงินสดใสเต็มพรืดไปด้วยตัวหนังสือยุ่บยั่บสีขาวเรียงเป็นบรรทัด ช่องหน้าจอผู้ใช้งานจำลองดำมืดเล็กๆด้านขวายังคงว่างเปล่า ตรงกลางจอมีช่องสี่เหลี่ยมสีเทาฉายข้อความกะพริบๆว่าการคอมไพล์ครั้งนี้ 'Success'
"มองไรวะ" หันกลับไปมองหน้าจอตัวเองอย่างงงๆชั่วขณะ "อ้าวเว้ยเฮ้ย ทีตัวเองบ้าเลขบ้าฟิสิกส์ผมยังไม่เห็นตกใจ พอมาเจองี้ทำเป็นงงไปได้" ว่าแล้วก็หัวเราะร่า "เอาน่า เรามันพวกเดียวกัน เพียงแต่ผมอ่านการ์ตูนเล่นเกมเป็นงานหลัก แล้วมีไอ้นี่เป็นงานอดิเรกยามเบื่อๆเท่านั้นว่ะ"
เด็กชายหัวหย็อยกะพริบตา ช็อกสุดขีด เมื่อพบว่าเพื่อนผู้ทำตัวไร้สาระสุดชีวิต วันๆเอาแต่นั่งบ้าเรื่องการ์ตูน มีงานอดิเรกลึกลับคือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
พลันเด็กบ้าคอมก็ยื่นมือมาด้านหน้า "ผมก็เข้าใจนะว่ามันแปลก แต่ผมไม่สนนี่หว่า ถ้าคนอื่นไม่อยากคุยเรื่องนี้ก็ช่างหัวมันสิ" พูดจาด้วยทัศนคติเหมือนจะขวางโลก "เมื่อก่อนผมก็หมกมุ่นแต่ไอ้นี่ล่ะ แต่ในเมื่อเราอยากคบเพื่อน อยากมีเพื่อนที่คุยเรื่องเดียวกับเรา ถ้ามันไม่สนใจไอ้นี่ ผมก็เลยลองอ่านการ์ตูนมันซะสิ้นเรื่อง" เป็นการปรับตัวที่ดูจะพาตัวเองลงเหวอย่างน่าหวาดหวั่น...
"ผลปรากฏเป็นไง การจะคบเพื่อน พื้นฐานต้องมีความสนใจบางอย่างร่วมกัน แล้วการ์ตูนกับเกมมันก็ไม่ได้ย่ำแย่ตรงไหน สนุกจะตาย เล่นมันได้ทั้งวันไม่เป็นอันกินอันนอน" เริ่มร่ายความน่าอนาถของตัวเองเป็นฉากๆหน้าตาเฉยเสียอย่างนั้น "สุดท้ายแล้วก็เลยลองเขียนเกมเล่นเองมันซะเลย ก็โอเคเหมือนกัน ถึงภาพมันจะกะหลั่วไปหน่อยก็ช่างมันปะไร"
เว้นวรรคหายใจ บรรยากาศเข้าสู่ภาวะเงียบสนิท
"รู้อย่างนี้แล้วทำไมไม่เคยคุยกับข้าเลยล่ะ" ถามกลับโดยสมองว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น
"ที่ผมไม่อยากชวนนายคุยก็เพราะอยากให้นายลองเปิดใจดูเองบ้างนั่นแหละ" ตอบประเด็นไปแล้ว "ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยแล้วเงียบอยู่เลย พูดมาสิ"
แต่เพื่อนยังคงเงียบอยู่ เจ้าแห่งเกมจึงร่ายต่อ "ช่างเหอะ เอางี้ อย่าไปเครียดกับมันมาก เพราะไอ้เรื่องวิชาการน่ะตอนอายุอย่างเราๆมันทำอะไรกินไม่ได้หรอก ผู้ใหญ่เขาก็ไม่เห็นความสำคัญเพราะคิดว่าเรามันเด็ก" สบตาพวกพ้องเดียวกันพลางแค่นยิ้ม "ระหว่างกำลังโตก็ฝึกฝีมือมันไปก่อน พออายุถึงขั้นที่เขาจะยอมรับมันจะได้ดูเทพไงวะ...ประมาณว่า โห เด็กอัจฉริยะ ไอ้เพื่อนเทพ มันไปเก่งมาจากไหนกัน?! แต่เปล่าเลย พวกนั้นแม่xไม่รู้หรอกว่าคนอย่างเราต้องทนกับการรอคอยมานานแค่ไหน เหอะ"
หลังจากการระบายความในใจยืดยาวเหยียดจนหลุดคำหยาบคายมามากมาย เจ้าของห้องก็เอ่ยถาม "ว่าแต่นายไม่ลองอ่านการ์ตูนบ้างเหรอ...จะยืมไปสักตั้งผมก็ยินดีนะ พอดีช่วงนี้ไม่ว่างอ่าน กำลังลองของกับไอ้นี่อยู่" ชี้ไปทางกำแพงห้อง ซึ่งมองไม่เห็นผนัง เพราะมีแต่หนังสือการ์ตูนกองพะเนินเทินทึกเรียงสูงกันจนท่วมเพดาน
เด็กชายมองตาม...กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่เพื่อนลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ จ้องมองด้วยนัยน์ตาวิบวับ
"ว่าแต่...นี่เราเป็นเพื่อนกันจริงๆแล้วใช่ไหม" น้ำเสียงกวนประสาทย้ำคำ
...
และแล้วในที่สุด เด็กชายเปอร์เซมโก เบอร์นาดีน ผู้คร่ำเคร่งกับวิทยาศาสตร์เป็นชีวิตจิตใจ ก็ต้องตกเป็นทาสของการ์ตูนกองนี้จนได้
ช่วงเย็นวันนั้น หลังจากช่วยกันขนกองการ์ตูนไปไว้ที่บ้าน และเพื่อนลากลับไป เด็กชายก็ตั้งต้นอ่านอย่างเมามัน...เผลออีกทีก็หมดเวลาไปเดินทอดน่องในสวนเมเนล อาทิตย์ลับฟ้า มืดค่ำใกล้เวลาเข้านอนเสียแล้ว
เช้าวันนี้ -- เปอร์เซมโก กับเด็กชายบ้าคอมที่ชื่อเจย์ ก็ตกปากรับคำเป็นพันธมิตรกัน และให้คำมั่นสัญญาว่าในอนาคตทั้งสองจะเดินไปตามทางที่ตนใฝ่ฝันให้ถึงที่สุด โดยไม่มีวันทอดทิ้งอีกฝ่ายไม่ว่ากรณีใดๆ -- แม้จะเป็นสัญญาเด็กๆของคนสองคนที่เพิ่งคุยกันได้ไม่กี่ประโยค แต่ใครจะรู้...ว่าในอนาคต สัญญานี้จะมีความสำคัญเพียงไร
และความสำคัญที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่นาทีนี่เอง
------
การรอคอยเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของชีวิตที่ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้...แม้จะดูไร้หวัง และหาความน่าเชื่อถือได้ยากยิ่ง ก็จำต้องรอคอย เพื่ออนาคตของตน ของคนรอบข้าง และเพื่อไม่ให้มีใครเดือดร้อนไปมากกว่านี้
ที่จริงแล้วระยะเวลาที่ผ่านไปจะดูยาวหรือสั้นนั้น พิจารณาได้จากเวลาที่เกิดจากการเปรียบเทียบตัวผู้รอคอยและสภาพภายนอก หากสิ่งแวดล้อมรอบใครคนหนึ่งไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง กาลเวลาของเขาก็ย่อมดูเหมือนหยุดนิ่งไปด้วย เพราะไม่อาจมีมาตรฐานใดอ้างอิงว่าเขารอคอยมานานเท่าใด ในทางกลับกัน หากใครคนนั้นเพ่งพินิจความเป็นไปโดยรอบ ไม่เว้นแม้แต่มดแมลงที่เดินเรียงรายอยู่บนกิ่งไม้ ก็ย่อมรู้สึกไปว่ากาลนี้ผ่านไปรวดเร็ว เนื่องจากมีสิ่งให้อ้างอิงเป็นบรรทัดฐานได้มากมาย -- ฉะนั้นหากอยากให้เวลาผ่านไปช้าๆ จงครุ่นคิดแต่ในจิตหรือกายของตน แต่หากปรารถนาให้เวลาผ่านไปรวดเร็ว ก็จงใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ใช้เวลาทำกิจกรรมให้มากที่สุด อย่าปล่อยให้มีเวลาว่างพอมานั่งคิดคำนึงถึงตัวเอง
แต่ใครหลายคนก็ไม่เคยเข้าใจความจริงดังกล่าว...ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
++++++
เติ่งงี้มาครึ่งปีแล้วแฮะ- -"
ความคิดเห็น