ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nueve Cuatro Tres!

    ลำดับตอนที่ #12 : Interlude-คดีฆาตกรรมริมสระบัว

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 51


    คำเตือน: นี่เป็นเรื่องราวประหนึ่ง Fan Fiction เท่านั้น มิได้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับเรื่องหลักสักเท่าใด
    (ไร้สาระมากถึงมากที่สุด...โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน= =')

    หมายเหตุ: ชอบสำนวน+เนื้อเรื่องตอนนี้มาก...แต่จะรั่วอย่างนี้ตลอดไปก็ไม่ได้อีกล่ะ ฮือๆๆ



    ------

    วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ท่านเจ้าเมืองกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทำงาน เอกเขนกพิงเก้าอี้บุนวมที่หนาจนนั่งแล้วยวบหายไปทั้งตัว ขาซ้ายนั่งตามปกติฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ขาขวายกขึ้นไขว่ห้าง สรุปจากท่าทางการนั่งของเขาในวันนี้ได้คำเดียวว่า...

    "วันนี้นั่งแรดมาเชียวนะเอ็ง" เสียงคนคุ้นเคยสรุปดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บานประตูถูกหลังมือแปะๆเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนจะเปิดออกไปกระแทกกับผนังด้านข้างดังสนั่นราวกับก้อนอิฐที่ใช้สร้างปราสาทสูงกำลังสั่นสะเทือนแบบรีโซแนนซ์(resonance)อย่างพร้อมเพรียงทุกก้อน

    ร่างสูงสง่าของนายเจย์ผู้ยิ้มร่าในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสั้นสีเหลืองลายเป็ดสีชมพูปรากฏอยู่แทนที่ประตูไม้มะฮอกกานีที่บานพับเริ่มส่งเสียงแปลกๆออกมาทำลายความเงียบ

    "อ้า อ่านหนังสือพิมพ์อยู่พอดีเลยเนอะ" เจย์ทักเหมือนเพิ่งเห็นทั้งที่หนังสือพิมพ์แทบจะปิดร่างของคนที่ถูกเก้าอี้นวมกลืนกินจนมิด "ลองเบิ่งหน้าหนึ่งละเอียดๆดูอีกทีสิ" ชี้สั่งๆอย่างราชาก่อนจิ้มลงไปที่กลางหน้ากระดาษด้วยพลังช้างสารให้หวาดเสียวว่ามันจะขาดดังแคว่ก

    ด้วยอารามตกใจ...ท่านเจ้าเมืองรีบโยนส่วนอื่นของหนังสือพิมพ์ทิ้งไปแล้วหยิบไว้แต่แผ่นแรกสุด

    นัยน์ตาสีอ่อนกลอกตามตัวอักษร

    "ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติตรงไหน"

    เจย์มองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม "แน่ใจนะ?"

    ท่านเจ้าเมืองตัดสินใจอ่านอย่างละเอียด

    และแล้วก็ตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง ทิ้งน้ำหนักบนเก้าอี้นวมเต็มแรงจนมันล้มหงายหลังดังโครม!

    "นี่มันอะไรกันอีกวะ!?!!!"

    ...เสียงกรีดร้องโหยหวนที่สูญหายไปนานจากปราสาทแห่งจรูญจรัสนคร บัดนี้ได้หวนกลับมาอีกครา...

    ------

    สถานที่เกิดเหตุ อยู่ที่สระอโนดาตในสวนเมเนลข้างตลาด ห่างจากจุดปักกลดของพระมหาคูบัวไปราวๆร้อยเมตร

    ร่องรอยของเหตุการณ์ที่ได้รับการยกย่องให้ลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ยังหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก สิ่งที่ปรากฏได้ชัดคือรอยหยดเลือดที่กระเซ็นเปื้อนพงหญ้าหนาเป็นจุดๆ เศษซากชิ้นเนื้อที่ถูกพรากจากร่างเจ้าของในลักษณะของการปั่นน้ำผลไม้แบบละเอียด และสระน้ำคนขุดที่ทอแสงระยิบระยับงดงาม เหล่าหงส์ขาวเวียนว่ายวนอยู่ในสายธาร บ้างก็โผผกผิน บ้างก็วนเวียนเฉิดฉายเข้ามาใกล้กลุ่มคนด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    และหลักฐานชิ้นหนึ่งที่สำคัญก็คือ - -

    "บัว?"

    ท่านเจ้าเมืองอ่านบันทึกของเคาน์เตสโนนา - ขุนนางสตรีชั้นสูงแห่งวุฒิสภาเนฟัลธอส - อย่างพิถีพิถันอยู่นานหลายนาที เหลือบสายตามองบันทึกและสิ่งที่พบเห็นรอบตัวสลับกันไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก่อนจะทวนคำในบันทึกอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

    "ค่ะ ท่านดยุค" เคาน์เตสรับคำ ดวงตาสีไพลินสดสวยจ้องมองท่าทางน่าขันของท่านเจ้าเมืองอย่างกระอักกระอ่วน "ตามปกติแล้วสระอโนดาตของเราจะเต็มไปด้วยดอกบัวหลากหลายสายพันธุ์ แต่บัดนี้กลับ..."

    "ไม่เหลืออะไรเลย ข้าเห็น" ท่านเจ้าเมืองโบกไม้โบกมือ ก่อนจะตระหนักนิ่งอึ้งในคำพูดตนเอง "เอ้อ อันที่จริงคือข้าไม่เห็นน่ะ"

    เคาน์เตสโนนาอมยิ้มไม่ว่ากระไร ขณะที่ท่านเจ้าเมืองเดินท่อมๆจ้องมองคราบเลือดบนใบหญ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีราวกับหวังว่ามันจะเปลี่ยนร่างเป็นลูกเบอร์รี่ได้อย่างไรอย่างนั้น

    นายเจย์ในชุดอยู่บ้านผู้นานๆจะประสานงานกับธิดาราตรีได้สักครั้งรีบฉวยโอกาสการมีสมาธิของดยุคหนุ่มเปรยถาม "อยากได้ใครสักคนมาช่วยอีกไหมมิทราบครับท่าน"

    ดยุคหน้าหวานครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วจึงหันกลับไปสบตาอย่างมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาของชาวเมืองให้จงได้

    "ท่านคิดว่าใครมีปัญญาทำงานที่ไม่รู้สาเหตุนี้ได้ เราก็ขอคนนั้นนั่นแหละ" เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

    "ได้เลยพรรคพวก!" เจย์ยิ้มกว้างแล้วหลิ่วตาพร้อมยกนิ้วโป้งให้ ก่อนลากตัวเคาน์เตสโนนาหายเข้ากลีบเมฆ...ทิ้งให้ท่านเจ้าเมืองยืนเอ๋อ คิดทบทวนกับคำพูดเมื่อกี้ของตนเองอยู่คนเดียว

    ...อย่างนี้ก็หมายความว่า...

    ท่านเจ้าเมืองนึกสยองขนลุกเกรียว

    ...ตัวเลือกที่เหลืออยู่ก็มีแต่สุดยอด หมายเลขสิบเก้า และพระมหาคูบัวเท่านั้นสิ...

    นึกทบทวนรายชื่ออีกครั้งแล้วยิ่งขนพองสยองเกล้า เส้นผมแทบกระดกขึ้นชี้ฟ้า หยีตาสะบัดหน้าแรงๆไปมาโดยหวังจะตื่นจากฝันร้าย แต่ความพยายามนั้นไม่เป็นผล เพราะความจริงก็ย่อมเป็นความจริงอยู่นั่นเอง

    นิ้วมือสะกิดจึ๊กๆที่บ่าชวนให้กระโดดโหยง

    "วันนี้มีอะไรอีกล่ะโยม..." น้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้นมาจากด้านหลัง เป่าแถวท้ายทอยให้ขนลุกซู่ ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ผู้เกรียงไกรตัวแข็งราวกับไปใช้ตู้แช่ต่างห้องนอนพลางหันหลังไปช้าๆ...หนึ่งร่างท้วม หนึ่งสูงปรี๊ด และหนึ่งในชุดผ้าไตรจีวร ทุกคนกำลังพยายามยืนทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว แม้นัยน์ตาจะทอประกายวิบวับประดุจได้เห็นของเล่นชิ้นใหม่

    โอ้ มายกู๊ดเนส...ท่านเจ้าเมืองโอดครวญในใจ

    ที่เจย์ส่งไอ้สามทหารเสือพวกนี้มา ไม่รู้มันคิดจะช่วยให้อนาคตสว่างไสวหรือดับวูบกันแน่ล่ะเนี่ย?

    ------

    จากหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ ประกอบกับทักษะในการไขปริศนา พร้อมทั้งไอคิวที่สูงลิบลิ่วพอกับความสูงของหมายเลขสิบเก้าเมื่อวัดเป็นเซนติเมตร ดังนั้น ตามทฤษฎีแล้ว การสืบหาเหตุผลและความเป็นไปของคดีฆาตกรรมริมสระบัวคงใช้เวลาไม่นานเท่ากับให้บุคคลอื่นมาช่วยคิด

    ทว่า...ด้วยวัตถุพยานทั้งหลายที่มีไม่มีความสัมพันธ์กันเพียงพอ อีกทั้งยังไม่มีประจักษ์พยานเลยแม้แต่คนเดียว ผลคือ...

    "ใครจะไปรู้ฟะ" หมายเลขสิบเก้าผู้เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งอาชญากรรมเกาศีรษะแกรกๆก่อนโพล่งแบบไม่เพียรจะรักษาน้ำใจ "นี่มันเรื่องอะไรยังไม่รู้เลย แล้วมันจะไปเริ่มค้นหาเรื่องราวอะไรได้ยังไงล่ะ"

    "ประเด็นคือ...บัวอันตรธานไปสินะ" สุดยอดเริ่มลูบคางครุ่นคิดคิ้วขมวดเคร่ง สมมุติฐานใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว... "แล้วทีนี้ ก็มีรอยเลือด มีเศษเนื้อ มีหงส์ และ..." หลับตาปี๋เพื่อนึกหาข้อมูลอะไรบางอย่าง

    และแล้ว ก็เหมือนกับหลอดไฟสว่างวิ้งๆอยู่ในหัว นักถอดรหัสชูนิ้วชี้ขึ้นพร้อมฉีกยิ้มแฉ่งโชว์ฟันเต็มปากสุขภาพแข็งแรงครบ 32 ซี่

    "อ้อ! กระผมจำได้ว่าเมื่อก่อนมันไม่มีหงส์อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ"

    เออเว้ย จริงของมัน.....อีกสามพระหน่อที่กำลังก่งก๊งถึงกับร้องอ๋อคลอตาม นี่มันเป็นหลักฐานที่เห็นได้อยู่จะๆเต็มตา แต่ความเป็นอยู่อย่างเนียนของสิ่งมีชีวิตพวกนั้นกลับทำให้มองข้ามความสนใจไปเสียนาน แถมความสดใสระยิบระยับของแหล่งน้ำที่ไร้บัวก็ดูเข้ากันดีกับหงส์ขาว เลยไม่ทันสังเกต...แต่ - - ไม่ทันสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนพลิกทะเลมาเป็นผืนดินเนี่ยนะ?

    คนตาถั่วชนิดที่ควรไปเกิดใหม่ทั้งหลายอยากจะร้องกรี๊ดดังๆให้ลั่นโลก เว้นแต่พ่อมดในชุดเครื่องแบบคลุมยาวสีดำแทบจะกระโจนไปหักคอเจ้าหงส์ขาวแสนสง่าด้วยลาวาแห่งความพิโรธที่ปะทุฉาบทาไปทั่วร่าง จนอีกสองทหารเสือต้องถลาไปรั้งตัวไว้ให้ไกลจากสระบัวโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายแก่พยานหลักฐานที่จำเป็นต่อการสืบหาความจริงในกรณีศึกษาครั้งนี้

    "ฮ่วย! จะมาหยุดข้าทำไม!!" หมายเลขสิบเก้าเพียรดิ้นพลางว้ากเหมือนเด็กสองขวบถูกแย่งขนม คงจะมีความน่าเอ็นดูอยู่บ้างหากเขาไม่ใช่ชายร่างสูงเกือบสองเมตรแถมอายุอานามปาเข้าไปห้าร้อยกว่าปีแล้ว "ไอ้หงส์พวกนั้นมันทำให้ชื่อเสียงข้าเสื่อมเสียหมด แถมยังทำลอยหน้าลอยตาสดชื่นระเริงใจอยู่นี่อีก" สูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนปลดปล่อยเต็มที่ "อ๊ากกกก!!! ข้า-จะ-ไป-ฆ่า-มัน-ให้-หมด"

    "อืม..." สุดยอดใช้มือข้างที่ไม่ได้ใช้ยึดร่างพ่อมดลูบคาง คาดว่าคงมีทฤษฎีพิสดารผุดแวบมาอีกครา "สรุปแล้วประเด็นคือ ทำไมบัวถึงหายไป ทำไมถึงมีหงส์ทั้งที่ปกติไม่เคยเห็น และเศษเนื้อกับเลือดนี่มีที่มาอย่างไรสินะ" พูดพลางขบคิดหาทางออก "ของพวกนี้อยู่ๆคงไม่โผล่มาจากอากาศเองหรอก ต้องมีใครสักคนจัดฉาก"

    "สูญพันธุ์ไปจากโลกซะเหอะ!" พ่อมดร้องแทรก

    "เดี๋ยวนะ" ท่านเจ้าเมืองรีบโบกไม้โบกมือขัดระบบความคิดของนักถอดรหัสที่ชักจะพาให้เขว "คนธรรมดาคงทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก นี่มันเข้าข่ายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมากเกินไป"

    "หมายความว่า...?" พระมหาคูบัวขมวดคิ้ว

    ดวงหน้าหวานละมุนทวนคำแล้วยิ้มพราย "เรื่องนี้น่าจะมีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้องน่ะสิ"

    "แต่กระผมจับตัวเวทมนตร์ไม่ได้เลยนะขอรับท่าน" สุดยอดแย้งด้วยท่าทางมั่นใจเต็มร้อย ท่านเจ้าเมืองส่ายหน้าอย่างมาดมั่น

    "แล้วถ้าเกิดทีแรก สระอโนดาต ไม่เคยมีบัวมาก่อนล่ะ" สถานการณ์สมมุติที่ยากจะมีคนคาดคิด จินตนาการโดยดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ "สมมุติว่าทีแรก สระนี้จริงๆแล้วเป็นแบบที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ที่คนเห็นว่ามีบัวอยู่นั่นน่ะเป็นภาพลวงตาที่ใครบางคนใช้เวทมนตร์สร้างขึ้น"

    "แต่อาตมาจำไม่ได้เลยนะว่าที่นี่เคยมีหงส์" พระมหาคูบัวแย้งเนิบนาบ

    "แต่ตะกี้เห็นหงส์อยู่เป็นฝูงพวกเราก็ยังจำไม่ได้ว่าไม่เคยเห็นเลยนี่นา" ท่านเจ้าเมืองใช้ประโยคปฏิเสธซ้อนปฏิเสธชวนงงที่ต้องใช้เวลาคิดตามอยู่หลายวินาที "ความชินตาและความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมอาจบดบังความทรงจำของเราไปก็ได้"

    "แต่...อาตมานอนอยู่ข้างๆนั่นมาตลอดสองปี ยังไม่เคยเห็นหงส์เลยสักตัว"

    "แต่ตะกี้ตอนแรกท่านก็ยังจำไม่ได้ว่าไม่เคยเห็นหงส์" ดยุคเพียรโต้เถียง "สิ่งเหล่านี้อาจถูกจดจำโดยจิตใต้สำนึก แต่ไม่ได้อยู่ที่จิตสำนึก จึงเหมือนกับจำไม่ได้ เนื่องจากตอนมองทุกทีทุกคนก็ไม่เคยมุ่งจุดสนใจไปยังสระอโนดาตเลยสักหน มองทีก็คิดแต่ว่ามันสวยดี แต่ไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียด"

    "เฮ้...เดี๋ยวนา" หมายเลขสิบเก้าพูดแทรกคำอธิบายยืดยาวระหว่างที่ดยุคหนุ่มสูดลมหายใจหมายจะเล็กเชอร์ต่อ "ถ้าพวกเราต้องมาสืบหาความจริง นั่นก็แปลว่านี่ต้องเป็นคดีความอะไรสักอย่างสิ"

    ข้อเสนอนี้ดึงดูดความสนใจได้ชะงัด

    "แล้ว..." เว้นวรรคเพื่อเน้นความสำคัญของประโยคถัดไป "นี่มันคดีอะไรกันล่ะ ในเมื่อยังไม่มีผู้เสียหาย ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน ไม่มีโจทก์ ไม่มีจำเลย มีแต่บันทึกการตรวจความเรียบร้อยของคนดูแลสวนเฉยๆ" พ่อมดถอนใจเฮือก "ไม่มีการฟ้องร้อง ไม่มีการแจ้งความ ไม่มีผู้พิทักษ์รับผิดชอบคดีเสียด้วยซ้ำ"

    เหล่าคนฉลาดลึกล้ำเหลือกำหนดที่ถูกหลอกถึงกับอึ้ง...

    พลันพ่อมดหมายเลขสิบเก้าก็เสนอความคิดใหม่ "แต่เพื่อประโยชน์ของชาวเนฟัลธอส - - ข้าว่าเราควรตรวจดูรหัสพันธุกรรมในชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่นี่ก่อนนะ เผื่อจะรู้ว่าผู้เสียหายที่แท้จริงเป็นใคร เราจะได้พอมีอะไรให้หาข้อมูลกันต่อ"

    เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ก่อนที่อีกสามคนจะพยักหน้าช้าๆอย่างพร้อมเพรียง...ทุกคนเห็นด้วยกับวิธีนี้ เนื่องจากอับจนหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกันอีกแล้ว

    ------

    วันต่อมา ณ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

    ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหน่วยงานนี้จึงมาสังกัดกระทรวงไอซีทีแทนที่จะไปอยู่ใกล้ชิดกับบรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ อย่างน้อยไปอยู่กับทางโรงพยาบาลกลางของเนฟัลธอสก็ยังดี อันที่จริงขอบข่ายงานของสถาบันฯที่เกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่โดยรวมของกระทรวงไอซีทีก็มีแต่เรื่องฐานข้อมูลพันธุประวัติเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่น แต่หากถามข้าราชการทุกคนในกระทรวง - - กระทั่งคุณเสนาบดีประจำกระทรวง - - ก็ไม่เคยมีใครให้คำตอบได้ในเรื่องนี้เลยสักที

    นายสุดยอดเดินออกมาจากช่องบันไดที่ลงไปสู่ห้องปฏิบัติการใต้ดินของสถาบันฯ พร้อมกับแผ่นกระดาษพิมพ์ผลการทดสอบโดยคร่าวๆสองสามแผ่น

    นี่ก็คืออีกหนึ่งความลึกลับแห่งกระทรวงไอซีทีประจำแคว้นเนฟัลธอส...นายสุดยอด ซึ่งจริงๆแล้วทำงานสังกัดหน่วยงานของผู้พิทักษ์มหานคร สามารถเดินเข้าเดินออกทุกแห่งหนตำบลในสถาบันฯนี้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้มีอำนาจใดๆ แล้วในเมื่อเป็นดังนี้ เหตุไฉนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จึงยังคงสังกัดกระทรวงไอซีทีได้ก็ไม่อาจทราบ

    "อันที่จริงแล้ว ปกติต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะตรวจสอบได้แน่ชัดว่าเป็นชิ้นเนื้อของใคร" นักถอดรหัสไล่สายตาอ่านข้อความทั้งหมดพลางเกริ่นก่อนเข้าสู่บทเรียน ขณะเดินนำพ่อมด และดยุคผู้ปกครองแคว้นในชุดเต็มยศเพื่อออกจากสถาบันฯไปยังตำแหน่งกลดของท่านพระครู "แต่นี่กระผมให้เขาดูแค่คร่าวๆ อย่างน้อยจะได้พอมีข้อมูลอะไรในมือบ้าง"

    "ก็ยังดีล่ะนะ" ท่านเจ้าเมืองยิ้มปลงๆพลางเดินอ้อยอิ่ง "ว่าแต่เขารายงานผลว่าอะไรบ้างล่ะ"

    "อืม...กระผมจะสรุปโดยย่อแล้วกัน" สุดยอดหยุดยืนนิ่งกะทันหัน เพียงผ่านทางเดินพื้นขาวมันวับอีกไม่เกินห้าเมตรก็จะถึงประตูทางออก ทว่าหากออกไปด้านนอกแล้วอากาศจะร้อน ข้างในนี้มีเครื่องปรับอากาศ บรรดาคณะสืบหาความจริงจึงยังเอ้อระเหยลอยชายเกะกะขวางทางอยู่แถวๆประตูหน้า ทั้งที่ความจริงมาถึงอยู่หลายนาทีแล้ว

    "เจ้าของชิ้นเนื้อนี้ อยู่ในสปีชีส์ Homo sapiens"

    ดยุคผู้เปี่ยมด้วยความหวังแทบลมจับ ก่อนพยายามคิดในแง่ดี ...อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นเนื้อคน ไม่ใช่เนื้อหมูบดที่ใครเอามาโยนเล่นแถวนั้นแน่ๆ

    "แต่ซับสปีชีส์เป็น Eresalensis...ใช่ไหมล่ะ" พ่อมดผู้ยิ่งยงพูดทั้งที่คาบอมยิ้มรสโคล่าอยู่ในปาก "ไม่งั้นเจ้าไม่บอกข้อมูลสปีชีส์ที่อาจจะเป็นการแสดงความอนาถของสถาบันฯมาหรอก"

    สุดยอดฉีกยิ้มกว้าง "แหม...รู้ทันกันนี่ตัวเอง"

    ...!!! คนรอบข้างอ้าปากค้างกับวลีเด็ดที่นายนักถอดรหัสพูดมาได้ไม่อายปาก ท่านเจ้าเมืองและหมายเลขสิบเก้ากะพริบตาปริบๆอย่างไม่เชื่อหู

    คนเล่นมุขทำหน้ายู่ "โธ่ ล้อเล่นนิดหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลยนิ กระผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยเถิดเลยนะ"

    ท่านเจ้าเมืองสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆก่อนหันไปสบตาพูดจริงจัง "เราว่า...ท่านบอกข้อมูลมาทั้งหมดก่อนจะดีกว่า"

    ครั้นแล้ว รอยยิ้มชั่วร้ายก็ค่อยๆคลี่ปรากฏบนใบหน้าของนักถอดรหัสประจำเมือง

    "ไม่ได้ ทุกคนต้องรู้พร้อมกัน ให้ท่านพระครูรู้คนเดียวทีหลังก็ความสนุกก็หายหมดสิ"

    ฝ่ามือตบดังปึ้กด้วยพลังKenshiroจนเจ้าของไหล่หนาท้วมแทบร่วงไปนอนกองกับพื้น กิริยาบ่งบอกความตกใจสุดขีด สองขาสั่นพั่บๆด้วยแรงสะเทือนที่ยังไม่ถ่ายทอดสู่สิ่งแวดล้อมโดยสมบูรณ์ ...พ่อมดจึงตบย้ำลงไปอีกสองสามครั้งด้วยใบหน้าชั่วร้ายยิ่งกว่า แววตาของเขาดูราวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหาย คอยจับจ้องหมายขย้ำเหยื่ออันเป็นลูกกวางตัวอ้วนพีได้เนื้อได้หนังที่กล้ามเนื้อขากำลังสั่นกึกๆอยู่ตรงนี้เป็นต้น พลันก็ดันกลางหลังสุดยอดจนแทบคะมำ

    "เอ้า จะไปก็ไปซะสิ มัวรีรออะไรอยู่ได้" มือซ้ายหยิบก้านอมยิ้มพลาสติกโยนส่งๆลงถังขยะด้านข้าง ก่อนเดินเฉิดฉายนำออกไปสู่สภาพอากาศร้อนแล้งซาดิสม์ชวนปลงชีวิตอันเป็นวิถีปกติแห่งมหานครเนฟัลธอส แล้วหันกลับมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสองทั้งที่กำลังเปิดประตูค้าง ปล่อยให้ไอร้อนอ้าวแผ่เข้ามาในอาคารกลบความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไปเกือบครึ่ง

    ท่านเจ้าเมืองถอนใจเฮือก แล้วลากนายสุดยอดที่สติชักเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวให้เดินตาม สองมือของนักถอดรหัสจับแผ่นกระดาษแน่นจนยับย่น สองตาจับจ้องยังข้อความที่ปรากฏอยู่อย่างพรั่นพรึง เหงื่อแตกพลั่กทั้งที่สภาพอากาศรอบข้างไม่ได้อำนวยเลยแท้ๆ ...มองปราดเดียวก็รู้ว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นสำคัญเพียงไร

    "ผ-ผีรึไง" นายสุดยอดพึมพำอะไรไม่รู้เรื่อง ปากสั่นพั่บๆเหมือนยามไข้ขึ้นแล้วรู้สึกหนาวแม้รอบข้างจะร้อนอบอ้าว "น-นี่มันอะไรกันล่ะ"

    ไม่มีคำตอบจากคนรอบข้าง

    ...เนื่องจากไม่มีบุคคลที่พึ่งพาได้อยู่รอบตัวเลยสักคนเดียว น่าสังเวชแท้ ชะตากรรมแห่งจรูญจรัสนครเอ๋ย...

    ------

    สายตาหลังแว่นไร้กรอบไล่เพ่งพินิจทีละตัวอักษรราวหมายจะจับพิรุธที่ปรากฏอยู่ในเอกสารชิ้นนี้ด้วยสมาธิขั้นสูง ก้มหน้าอ่านสักพักก็ดันแว่นให้ชิดดั้งจมูก คิ้วเรียวขมวดมุ่นเนื่องเพราะพบเบาะแสบางอย่างที่น่าสงสัย

    "สุดยอด...อาตมาใคร่ขอถามสักนิดว่า 'หายวับไปเฉยๆหลังการทดสอบ' นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันหรือ" จังหวะเนิบนาบที่มีเสียงสูงต่ำผิดจากสำเนียงปกติชวนให้ขนลุก หากไม่มีคำตอบใดๆจากเจ้าของชื่อหลงตัวเองดังกล่าว ดวงตาสีดำที่เคยดูสงบนิ่งชวนศรัทธาจึงกลับฉายแววเย็นเยือก พระมหาคูบัวเดินเชื่องช้าจากตำแหน่งกลดไปยังสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งหนึ่งเพื่อดับอารมณ์ขุ่นเคืองที่ไม่ควรบังเกิดแก่ภิกษุสงฆ์ ทอดมองไปยังทะเลสาบระยิบระยับสูดหายใจลึกหลายรอบ แล้วหันกลับมามองด้วยรอยยิ้มเย็นชวนผวา

    นักถอดรหัสหน้าซีด ทั้งร่างเย็นเฉียบเหมือนจะเป็นลมอยู่รอมร่อ หากด้วยเกียรติศักดิ์ของบุรุษเขาจึงยังรักษาสติของตนไว้ได้มากพอให้เอ่ยได้ประโยคหนึ่ง

    "กระผมคิดว่าเขาคงจะหมายความตามตัวอักษรนั่นล่ะขอรับ" สุดยอดตอบด้วยริมฝีปากสั่นระริก ข้างกันมีพ่อมดตัวป่วนที่แสยะยิ้มล้อเลียนกวนประสาทอย่างไม่เหมาะกับสถานการณ์อย่างยิ่งยวด ส่วนท่านเจ้าเมืองผู้ถูกลากมาเกี่ยวพันในงานนี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้หวนกลับไปพิจารณาคราบเลือดแห้งเกรอะกรังบนใบหญ้าเขียวชอุ่มอีกรอบ

    "แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเวทมนตร์บางอย่างอยู่ในชิ้นเนื้อนั่นไม่ใช่หรือ" ท่านพระครูซักต่อ "และอาตมาก็คาดว่าทางสถาบันฯคงตรวจสอบเรื่องนี้ไปแล้วสินะ"

    สุดยอดเงียบไปอึดใจก่อนตอบรับอ่อยๆ ตรงข้ามกับพ่อมดข้างๆที่สวนกลับไปเป็นเชิงดูแคลน "แล้วสรุปว่าเราได้เรื่องอะไรมากกว่ามีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้องบ้างไหมล่ะ"

    "เฮ้!! ยูเรก้า~ คิดอะไรออกแล้ว" เสียงของท่านเจ้าเมืองตะโกนก้องมาจากจุดที่ห่างออกไปราวสองร้อยเมตร แต่ความดังของมันกลับไม่ต่างกับคนสองคนยืนคุยกันในห้องเสียเท่าใด ทั้งสามผู้สมรู้ร่วมคิด(?)จึงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วพากันโกยไปยังจุดดังกล่าว มิเช่นนั้นความคิดที่ท่านเจ้าเมืองมีอยู่อาจอันตรธานไปกับการลืมอันแสนน่าอนาถใจก็เป็นได้

    ดวงหน้าหวานใต้แสงอาทิตย์ยิ้มร่าแต่แววตาเคร่งเครียด ดยุคหนุ่มไล่สายตามองเหล่าผู้ร่วมงานทีละคนตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วกล่าวข้อสันนิษฐานขึ้นช้าๆ

    "เราขอถามพวกท่านสักอย่าง..." ว่าแล้วก็หยุดนิ่งให้คนอื่นได้ฉุกคิด "พวกท่านคิดว่าเจ้าของชิ้นเนื้อนี้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆหรือ"

    "แน่นอน แหลกเละเป็นเศษขนาดนี้ใครจะรอด" พ่อมดพูดโพล่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจ "แล้วถึงจะรอด ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เกิดขึ้นกับปริมาณเลือดที่เสียไปมันคงมากพอจะทำให้เขาหมดสติแล้วนอนแบ๊บอยู่ตรงนี้ขยับไปไหนไม่ได้ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่คนดูแลสวนย่อมต้องเห็น"

    "แต่สิ่งที่ท่านว่ามาขัดกับข้อเท็จจริงจากสถาบันฯที่ว่า 'หายวับไปเฉยๆหลังการทดสอบ' นะ หมายเลขสิบเก้า" ดยุคแย้ง "ถ้าเศษชิ้นส่วนของคนคนนั้นยังมีเวทมนตร์เหลืออยู่มากพอจะอันตรธานไปไม่ให้หาข้อมูลอะไรต่อ ก็แปลว่าผู้บาดเจ็บน่าจะมีเวทมนตร์มากพอที่จะใช้รักษาตัวเองด้วยเช่นกัน"

    "แต่อย่าลืมว่าแผลมันสาหัสมากนะ" สุดยอดโต้ "ไม่ว่าใครก็ตามโดนอะไรปั่นขนาดนั้น แม้จะมีเวทมนตร์ขนาดไหน กระผมว่าเขาคงไม่มีสติมากพอจะรักษาตัวเองเป็นอันดับแรกหรอก แม้จะมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดดีแค่ไหนก็ตาม"

    ทว่า ท่านดยุคแห่งเอสเตรลลาร์กลับเบิกข้อเท็จจริงขึ้นมาอีกหนึ่ง

    "อย่างที่ท่านว่ามันก็ถูก แต่ยังมีคำถามอยู่อีกหนึ่งนะ: แล้วอะไรกันล่ะที่จะปั่นเนื้อของพ่อมดคนนั้นให้แหลกได้ขนาดนี้ เรายังไม่เห็นอะไรที่น่าจะใช่เลยสักอย่าง" ว่าแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วย่นหัวคิ้ว

    "อย่าบอกนะว่ามีใครเคลื่อนย้ายหลักฐานไปก่อนที่เราจะมาถึง"

    ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมสุดสะพรึง ...สายลมที่เคยโชยอ่อนสมกับเป็นหน้าร้อนริมทะเลสาบกลับกรรโชกแรงกะทันหันเข้ากับอารมณ์ของเหตุการณ์อย่างมาก บุญว่าไม่มีเมฆทะมึน หรือสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเหนือปราสาทที่มีค้างคาวบินขวักไขว่ต่างนกให้รู้สึกสยองพองขนเล่น ทั้งสี่ชีวิตยืนห่างกันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส จ้องมองกันอย่างอึ้งๆ หมายจะจับพิรุธบางอย่างจากอีกสามคนตรงหน้า หากหลักฐานที่นับได้ด้วยมือข้างเดียวกลับทำให้ความสมเหตุสมผลของสมมุติฐานต่างๆนานาลดน้อยลงไปหลายขุม

    จริงหรือ...ที่ข้อมูลมีน้อยเพียงนี้เพราะใครบางคนที่ก่อคดีซึ่งผู้พิทักษ์แห่งเนฟัลธอสยังไม่ได้รับรายงานนี้ขึ้นได้เคลื่อนย้ายสิ่งที่อาจสาวไปถึงตัวของเขา ถ้าเช่นนั้นความไร้สาระที่กำลังเกิดขึ้นก็คงเป็นสิ่งจงใจ และสิ่งที่ทีมเฉพาะกิจทั้งสี่กำลังทำอยู่ทั้งหมดทั้งมวลในสองวันที่ผ่านมาก็ไม่ต่างอะไรจากการเป็นละครหุ่นเชิดให้ใครคนนั้นได้หัวเราะเยาะลั่นจนสาแก่ใจกับความโง่งมของผู้ทรงอำนาจแห่งจรูญจรัสนครทั้งหลาย ยิ่งไปกว่านั้น หากสิ่งที่กล่าวมาเกิดขึ้นจริง ผู้เสียหายและครอบครัวจะเป็นเช่นไร ความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีครั้งนี้จะลดหายไปเพียงไร

    ทุกอย่างล้วนมีคำตอบเพียงความมืดมน

    ถ้าอย่างนั้นแล้วใครกันล่ะเป็นผู้ทำลายหลักฐานของสิ่งที่เกิดขึ้น สันนิษฐานได้ว่าคงเป็นคนดูแลสวนไม่ก็เคาน์เตสโนนา...หรืออาจเป็นเจย์ อิสฟาเกล แห่งกระทรวงไอซีทีก็ย่อมเข้าเค้า แต่พวกเขาจะทำไปเพื่ออะไรกันเล่า?

    ครั้นเมื่อนึกไปถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าของชิ้นเนื้อนี้เป็นชาวเอเรเซียน-ลอสสอธ สมมุติฐานทั้งหลายที่ระดมวาบขึ้นก็กลับดับวูบดังลมพัดเปลวเทียน ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์นี้น่าจะอยู่ที่การเป็นผู้วิเศษของผู้เสียหาย - บุคคลที่เหล่าคนทั่วไป(ที่ยังไม่เคยเห็นหมายเลขสิบเก้าในสภาพพ่อมดล่องลอยมาก่อน)คิดว่าไร้เทียมทานและสูงส่งราวเทพเจ้า เป็นชนกลุ่มที่ไม่อาจหาได้ดาษดื่น ไม่ใช่คนประเภทที่จะพบเจอได้ตามท้องถนนทั่วไป หากไม่มีกิจธุระอันสมควรแล้วย่อมไม่มีชาวลอสสอธคนใดย่างกรายออกมานอกแผ่นดินของตน ไม่เว้นแม้กระทั่งหมายเลขสิบเก้าผู้ดูจะเป็นประชากรไร้สาระอันดับต้นๆแห่งมวลมนุษยชาติ ฉะนั้นหากผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส ย่อมต้องมีสาส์นประกาศบางอย่างมาจากดัชเชสเรเนียยังท่านเจ้าเมืองด้วยโอกาสร้อยละหนึ่งร้อย ดังนั้นเมื่อท่านเจ้าเมืองยังคงอยู่ดีมีสุขไร้สิ่งรบกวนจากต่างแดน ย่อมหมายความว่า...

    "กระผมเข้าใจในสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองบอกแล้วขอรับ" สุดยอดเอ่ยทำลายความสงบเงียบในสายลมโหมกระหน่ำกลางแดดแผดเปรี้ยง "เจ้าของชิ้นเนื้อนี้ ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน"

    "มีเหตุผลอะไรมิทราบ" สิบเก้าทักขึ้นทันควัน ใบหน้าที่ทั้งสวยทั้งหล่อทั้งแก่ทั้งหนุ่มในคนคนเดียวดูกระจ่างแจ้งขึ้นมากะทันหัน แม้แววตาจะดูงุนงง

    "ถ้าเขาตายไปแล้ว ก็แปลว่าลอสสอธต้องส่งข้อความมายังท่านดยุคที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้" สุดยอดชี้ไปที่ผู้ปกครองแคว้นซึ่งกำลังยืนเอ๋อไร้สติอยู่ใกล้ๆ "และท่านดยุคก็ดูจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร นั่นแปลว่าลอสสอธไม่ได้ส่งอะไรมา และแปลความอีกครั้งว่าเจ้าของชิ้นเนื้อนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรงหรือเสียชีวิตอย่างที่พวกเราคิด"

    ปริศนาคลี่คลายแล้ว

    สรุปจากการเสียเวลามาสองวันเต็มๆ ผลคือไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากรู้ว่าการตื่นตระหนกตีโพยตีพายไร้สาระไปเองของบรรดาคนอัจฉริยะไปในทางเสื่อมทั้งหลายแห่งเนฟัลธอสนั้นส่งผลเช่นไรต่อความสงบสุข ทั้งยังได้ทราบว่าสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งเนฟัลธอสสังกัดอยู่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาน และทำให้รู้ว่า การพยายามสืบหาข้อมูลโดยมีหลักฐานที่ดูจะมืดแปดด้านมีค่าเท่ากับการไม่ค้นคว้าอะไรเลยสักอย่าง

    ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ถอนใจเฮือก "ถ้ามันไม่ตายแล้วเราจะสืบอะไรไปหาพระแสงวิมานอะไรกันล่ะเนี่ย..."

    "นั่นสิท่าน กลับกันเถอะ" พ่อมดกุมขมับทำหน้าเบ้แล้วส่ายหัววืดๆ หางม้าด้านหลังที่รวบไม่ค่อยอยู่สะบัดไปมา ก่อนเงยหน้ามองฟ้าด้วยอารมณ์เบื่อโลกสุดขีด

    "สรุปแล้วที่ให้อาตมามายุ่งวุ่นวายห่างหายจากพระธรรมสัมมาก็เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่เองหรือ" ท่านพระครูเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงปลง แล้วเดินสำรวมมุ่งกลับไปยังตำแหน่งกลดของท่านอย่างเร่งรีบที่สุดเท่าที่การเดินจงกรมจะเร็วได้

    รอยยิ้มแห้งแล้งปรากฏบนเรียวปากของหนุ่มหน้าหวานผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองแคว้น "เอาเถอะ...ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เลิกไปก็แล้วกัน กลับไปทำสิ่งที่เราควรจะทำจริงๆกันดีกว่า"

    ก็แล้วจะให้ทำอย่างไรได้...อันที่จริงงานนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำแต่แรกแล้ว ไม่น่าหลงกลนายเสนาบดีประจำกระทรวงไอซีทีนั่นเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าผลหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตามท่านดยุคเริ่มคุ้นชินกับการทำอะไรแล้วถูกแบล็กเมล์ในภายภาคหน้าเสียแล้ว...การดำรงชีวิตอยู่ในมหานครเนฟัลธอสต้องผจญกับสิ่งที่ทั้งดีงามและเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้ากับจตุราชาและธิดาราตรี ประกอบกับนักถอดรหัสประจำเมืองและพ่อมดหมายเลขสิบเก้านั้น ถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในปฐพี...

    ดยุคหนุ่มพ่นลมปลงโลกอีกครั้งหนึ่ง ก่อนตัดสินใจกลับไปยังปราสาทเพื่อนอนหลับสักงีบ แล้วจึงเล่นเกมสักเกมเป็นการคลายเครียดและเติมพลังชีวิตให้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาสักหน่อย

    ไอ้เรื่องนี้ จะว่าอยากรู้รายละเอียดที่มาที่ไปก็อยากรู้อยู่หรอก แต่ในเมื่อมันสืบหาไม่ได้ว่าเป็นเช่นไร ซ้ำยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเกี่ยวข้อง ก็ควรเลิกแล้วต่อกันเสียที

    ...แล้ววันนี้จะเล่นอะไรดีนะ...Granado Espada? ดยุคแห่งเอสเตรลลาร์นึกในใจอย่างเปี่ยมสุข

    ------

    กลางดึกสงัด ใจกลางจรูญจรัสนคร

    บริเวณสวนเมเนลอันสงบสงัดเพราะเป็นเสนาสนะที่สงบเสงี่ยมของท่านพระมหาคูบัว หากใต้กลดกลับว่างเปล่าไร้วี่แววของท่านพระครูที่ความจริงควรจะอยู่แถวนี้ ทว่านั่นก็เป็นสิ่งปกติที่ท่านจะไปไหนมาไหนด้วยภาระงานเบื้องหลังที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ ละแวกโดยรอบมีเพียงแมกไม้สูงโปร่งและบรรดาสัตว์กลางคืนคอยส่งเสียงร้องให้หวั่นไหว เหตุแห่งข่าวลือว่าสวนเมเนลมีผีสิง ก็เพราะประสาทสัมผัสของหลายคนที่ลอบเข้ามาล้วนตื่นตัวเกินเหตุเพียงได้ยินเสียงเจ้าฮูกกระพือปีกครวญฮูกๆโฮกๆ และอีกประการหนึ่งคือ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งด้อมๆมองๆส่งภาษาประหลาดชวนขนลุกให้แว่วยินแถวริมสระอโนดาตอยู่เป็นนิจ

    สายตาคมกริบกราดดูเชิงก่อนโบกมือให้สหายร่วมอุดมการณ์ปรี่เข้ามาใกล้ สองบุคคลลึกลับวิ่งด้วยฝีเท้าไร้เสียงมุ่งหน้าไปยังสระบัวอันเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมสยองขวัญ เมื่อทีมสำรวจสืบเสาะแสวงหาข้อมูลทั้งหลายทยอยหายหน้าหายตากันไปแล้ว พวกเขาจึงกลับมาปฏิบัติภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้อีกครั้ง...

    "เฮ้ย เจ้า" ชายคนหนึ่งร้องเรียกก่อนก้มลงมองพงหญ้าอย่างเคร่งเครียด "แล้วทีนี้จะเอายังไง คิดว่าพวกนั้นจะกลับมาอีกไหม"

    "กระผมว่าไม่แล้วล่ะ" อีกคนตอบอย่างสงบ สองขาก้าวเดินมายืนอยู่กลางพงกกพงหญ้าสูงเกือบถึงเอว พลางกางสองแขนออกกว้างคล้ายกำลังถูกยืนทำโทษหน้ากระดานอย่างไรชอบกล "ว่าแต่ แล้วเราควรจะทำทางเชื่อมอย่างเดิมหรือไม่ล่ะเนี่ย"

    "แน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าว่านะ..." ชายคนแรกแสยะยิ้มชั่วร้าย "ในเมื่อมันเป็นสระบัวแต่เดิม แถมมีท่านพระมหาคูบัวอยู่ใกล้ๆ เราก็น่าจะทำให้มันดูเป็นบัวเหมือนกับที่ทุกคนคิดนั่นแหละ"

    "แต่ว่า..."

    "สำหรับเรื่องกลไกป้องกัน ข้าว่าไม่ต้องแล้วก็ได้" รอยยิ้มชั่วร้ายแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ "ข่าวสยองขนาดนั้นได้รับการยืนยันว่าหาตัวคนผิดและผู้เสียหายไม่เจอโดยท่านเจ้าเมืองตัวจริงเสียงจริง ใครกันจะกล้าเข้ามาแถวนี้อีกหน" พูดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ "ยิ่งไปกว่านั้นพระมหาคูบัวซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสืบสวนก็อยู่ใกล้ๆด้วย หนึ่งคือคนมาที่นี่จะมองสระนี้แต่เพียงห่างๆ สองคือกระทั่งพระมหาคูบัวซึ่งอยู่ใกล้ๆก็จะไม่อยากก้าวเข้ามาอีก เท่านี้ก็หายห่วงไปเปลาะ" กล่าวยืดยาวจบก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ

    "แล้วถ้า..."

    "ไม่ต้องถ้าอะไรเลยเหอะ" โบกไม้โบกมือทำเสียงชิชะ "ช่วยกัน จะได้เสร็จๆ"

    ชายสองคนสบตากันลึกซึ้งในยามราตรี...บุรุษปริศนานายแรกแทบพ่นพรวด มองหน้าไอ้นี่แล้วมันชวนขย้อนอย่างไรชอบกลสิพับผ่า!

    เสียงคล้ายประทัดความดังต่ำดังขึ้นสี่ครั้งจากสี่ตำแหน่งรอบตัว บังเกิดควันสีขาวพวยพุ่งสู่ฟ้า มันถูกลมพัดจนสลายไปชั่วขณะพลันรวมกลุ่มทิ้งตัวทะยานลงสู่ผืนน้ำระยิบระยิบเกิดเสียงดังซ่า แผ่นเรืองแสงสีฟ้ารูปโดมแผ่ปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบใหญ่ มันกะพริบวิบวับอยู่ไม่กี่นาทีก่อนแตกสลาย...ทยอยร่วงหล่นพร่าพรายดังประกายแสงดาวสุกสกาว

    "เอ่อ...ขอถามสักนิดนะขอรับ" ชายคนที่สองพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเป็นลมเนื่องจากการใช้พลัง เรียกให้ชายอีกคนซึ่งกำลังยืนกอดอกมองผลงานอันงามงดของตนอย่างภูมิอกภูมิใจต้องหันกลับมาอย่างงุนงง

    "ว่ามา" ตอบรับอนุญาตสั้นๆตามปกติ

    ดวงตาผู้ถามหลบมองพื้นอย่างลังเล "แล้ว...ที่ทำไปเมื่อคราวนั้น...ท่านทำอย่างไรเล่าขอรับ"

    เสียงหัวเราะฮ่าๆดังขึ้นขัดกับบรรยากาศที่เงียบอึมครึมชวนสันหลังวาบ - ยิ่งทำให้ดูคล้ายกับมีปีศาจโผล่ขึ้นมาจากแหล่งน้ำเข้าไปอีก "เอ้า เดี๋ยวข้าทำให้ดู"

    ว่าแล้วก็ใช้นิ้วจิ้มต้นหญ้าสูงต้นหนึ่ง ประกายสีฟ้าอ่อนวาบขึ้นก่อนมันจะกลายเป็นดอกบัวสีชมพูที่งอกงามอยู่บนบก บุรุษปริศนานายแรกหันกลับไปยิ้มเหี้ยม "เจ้าเห็นว่ามันคืออะไร?"

    "บัว?" ประโยคคำตอบของอีกฝ่ายมีหางเสียงคล้ายคำถาม

    พลันคนเปลี่ยนหญ้าให้กลายเป็นบัวก็ย่อตัวลงนั่งยองพร้อมส่งเสียงฮาก๊ากขึ้นมาอีกครั้งราวคนไข้จิตเภท "เจ้าเห็นว่ามันเป็นบัวก็จริง แต่ที่แท้มันคือเครื่องปั่นผักแบบละเอียดเครื่องใหม่ที่ข้าคิดขึ้นมาต่างหากล่ะ" เขายิ้มแสยะแล้วยืนขึ้น "ดูนี่นะ"

    ว่าแล้วก็ยื่นเท้าไปวางกลางดอกบัว ที่ตัวเองเพิ่งบอกว่ามันคืออุปกรณ์ปั่นละเอียดแบบใหม่ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นมา...

    โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระฉูด! ชิ้นเนื้อแหลกเละกระเซ็นไปรอบทิศ แต่ใบหน้าของเจ้าของเท้าที่กำลังถูกปั่นกลับยืนนิ่งยิงฟันแฉ่ง บุรุษปริศนาอีกนายเริ่มหน้าซีดโซเซขาสั่น คนบ้าเลยได้ใจกดขาตนลงไปลึกขึ้น คราวนี้ท่อนขาถูกฉีกปั่นรวมกันทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อหายไปถึงหัวเข่า กองเป็นกลุ่มก้อนแหลกเละชวนสยองเลอะเป็นคราบอยู่บนดอกบัว

    "ข้าไม่ได้ใส่มันในสระแล้วนะ ว่าแต่..." ขมวดคิ้วสงสัย "กลัวอะไรล่ะนั่น"

    "ม-ไม่มีอะไรขอรับ" เสียงที่ตอบกลับสั่นกึกๆเพราะเจ้าของกำลังข่มความสะพรึงขวัญตนไว้ "ข-ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น..."

    บุรุษนายแรกจุ๊ปาก "เอ้า ในเมื่อเจ้ายังปากแข็งข้าก็จะ..." เขาตั้งท่าจะเอนตัวล้มลงทับดอกบัวมรณะนั้น ชายคนที่สองร้องไม่เป็นภาษาพลางถลาเข้ามารั้งไว้ในอ้อมแขนแล้วดึงหงายหลังล้มลงมาทั้งคู่...สองหนุ่มนอนกอดกันริมสระบัวขณะกำลังมีเหตุการณ์สยองขวัญกำลังเกิดอยู่แทบเท้า ร่างสูงกว่าทาบทับอยู่ด้านบน ขณะที่ร่างออกท้วมนอนหมดสติด้วยความกลัวอยู่เบื้องล่าง

    คนด้านบนเบ้ปากอย่างขยะแขยง เพียรดันตนให้พ้นจากลำแขนแข็งแรงผิดคาดหากไม่สำเร็จ...จึงถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนชำเลืองมองเศษชิ้นส่วนของตนด้วยสายตาไร้อารมณ์ พลันทั้งดอกบัวโชกเลือดและคราบเละเทะทั้งหมดก็อันตรธานไป มองท่อนขาที่ขาดหายอีกครั้งก็คืนสู่สภาพปกติดังเดิม เหยียดยิ้มแห้งแล้งกับทุกสิ่งที่ดูราวภาพลวงตา

    ...แล้วทีนี้...จะต้องอยู่กับ - ไอ้นี่ - จนกว่ามันจะตื่นใช่ไหมน่ะ... พ่อมดปริศนาร้องครวญในใจ เหตุที่ไม่กล้าตะโกนดังๆหวังให้คนมาช่วยเป็นเพราะหากมีใครมาเห็นสภาพเขาทั้งสองแบบนี้คงไม่เกิดอะไรดีๆขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำร้ายจะเกิดความเข้าใจผิดว่าเขาทั้งสองนั้น...

    "อะแฮ่ม!"

    เสียงใครคนหนึ่งกระแอมไอด้านหลังทำเอาคนด้านบนสะดุ้งสุดตัว หากก็ไม่อาจหลุดพ้นจากบุรุษปริศนาคนที่สองไปได้

    เขาหันหลังไปมอง...

    "อาตมาไม่อยากจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ทำไมโยมทั้งสองจึงไม่กลับไปยังที่พักกันล่ะ..." แว่นไร้กรอบสะท้อนกับแสงจันทร์ ทำให้ไม่อาจหยั่งรู้แววตาเบื้องหลัง ท่านพระครูเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็น "นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสมแก่การกระทำเช่นนี้นะ อย่างน้อยก็เห็นแก่พระกันบ้าง" ว่าแล้วก็หันหลังไปหัวเราะพรวดอย่างหมดความสำรวม ไร้ซึ่งความน่าเคารพโดยสิ้นเชิง ตรงข้ามกับวาจาที่เคยเอ่ยเกี่ยวกับความไร้สาระและความเสื่อมในหมู่สงฆ์อย่างไม่อาจให้อภัยได้

    ดวงตาของคนด้านบนเริ่มดูขุ่นมัว "ข้าไม่ได้อยากมานอนกับไอ้นี่หรอกนะ" ชี้ส่งๆไปจิ้มจมูกแล้วร้องยี้ก่อนเช็ดๆกับชายเสื้อตน "แค่มาตรวจดูตอนกลางคืนแล้วมันดันเป็นลมล้มไปพร้อมกับเกี่ยวข้าลงมาด้วยน่ะ"

    "อ้อ เหรอ" น้ำเสียงกวนประสาทไม่ควรมีในหมู่สงฆ์

    "ก็แล้วพวกท่านมาทำอะไรที่นี่กันล่ะหือ? ...ท่านหมายเลขสิบเก้า..."

    หมายเลขสิบเก้าหัวเราะแหะๆ นัยน์ตาสีน้ำทะเลกลอกไปทางมุมขวาบน สมองเฉียบไวโลดแล่นนึกหาข้อแก้ตัวพัลวัน...

    ------

    วันนี้ไม่ใช่วันหยุดราชการ แต่ถ้าเขาจะหยุดแล้วมันจะทำไมมิทราบ? -- ท่านเจ้าเมืองกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทำงาน เอกเขนกพิงเก้าอี้บุนวมที่หนาจนนั่งแล้วยวบหายไปทั้งตัว ขาซ้ายนั่งตามปกติฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ขาขวายกขึ้นไขว่ห้าง สรุปจากท่าทางการนั่งของเขาในวันนี้ได้คำเดียวว่า...

    "ไม่ต้องพูดแบบคราวที่แล้วเลยนะเจย์! ขอเรานั่งสบายๆบ้างเถอะ" ท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของหนังสือพิมพ์ที่บดบังเกือบทั้งร่าง เขาลดขอบบนลงพอให้นัยน์ตาสีอ่อนมองไปยังประตูที่กำลังเปิดออกช้าๆพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆของใครบางคนที่ดังแว่วมา

    "โธ่" นายเจย์ยื่นหน้ามาอุทานยิ้มยั่ว ดวงตาสีนิลทอประกายวิบวับ "ก็จะมาบอกแค่ว่า..."

    "รู้แล้วล่ะว่าคนร้ายคือใคร..." ดยุคหนุ่มผู้หยั่งรู้ชิงตอบก่อนอย่างโมโหแล้วปัดหนังสือพิมพ์ออกจากตัว ขยับกายนั่งตัวตรงพลางสะบัดสองแขนว้ากลั่น "เรื่องอะไรที่ท่านรู้เราก็รู้เหมือนกันนั่นแหละ!"

    เจย์ อิสฟาเกล จ้องมองบุคคลตรงหน้าอย่างงุนงง ส่งผลให้การสนทนาเงียบไปพักใหญ่ ท่านเจ้าเมืองเบนสายตาไปทางหน้าต่างชมนกชมไม้เป็นการเฉไฉ ย่นหัวคิ้วน้อยๆทำแก้มป่องอย่างที่ดูแล้วอดจะหัวเราะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้มองเป็นบุคคลที่หามารยาทได้ยากยิ่งเมื่ออยู่ลับหลังประชาชนอย่างนายเจย์ผู้นี้

    ทันทีที่เสียงฮาก๊ากอย่างไม่พึงสมรวมกิริยาดังลั่น ดวงหน้าหวานจึงหันมาต่อว่าสองสามคำ แล้วยื่นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งสุดแขนจนเกือบทิ่มท้องของชายหนุ่มในเสื้อยืดสีดำประดับซิปที่แขนกับกางเกง...กางเกงเลสีเหลืองอ๋อยแสลนแปร๋น อร่ามเด่นเป็นสง่าเหนือสิ่งอื่นใด แถมผูกต่ำกรอมสะโพก ชนิดชวนให้ลุ้นว่าจะหลุดลงไปกองกับพื้นตอนนี้หรือจะหลุดเมื่อหันหลังเดินจากไปแล้ว ...แฟชั่นวันหยุดฤดูร้อนของพลอากาศตรี เจย์ อิสฟาเกล ยังคงเป็นแนวฉูดฉาดวัยใสกระชากอายุอยู่เสมอ

    เสนาบดีผงะ รับเอกสารที่ว่ามาด้วยอารมณ์คล้ายกับไก่ตาแตก

    "เฮ้ย นี่มัน...ไม่จริง ไม่จริงน่า" คำพูดเริ่มตะกุกตะกักเพราะความไม่เชื่อสายตาตนเอง "นี่มัน..." เงยหน้าจากแผ่นกระดาษขึ้นมองผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งเนฟัลธอส พลางโบกแผ่กระดาษเหนือศีรษะ "มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

    ดยุคกอดอกเอนหลังตอบยิ้มๆ "เราจะรู้ไหมล่ะ"

    "แล้ว...ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ทำไมไอ้เปอร์เซมโกมันไม่บอกผมวะ!?!!" ขว้างกระดาษใส่คนบนเก้าอี้แล้วเดินงุ่นง่านรอบห้องอย่างหัวเสีย ลงมือขยี้ผมที่ชุ่มเหงื่อให้กระเซิงยิ่งขึ้นเป็นของแถม ก่อนหยุดยืนนิ่งแล้วหันมาสบตากับเจ้าของห้องด้วยสีหน้าราวเพิ่งประจักษ์ความจริง

    "หรือว่า..." เพียงเอ่ยสองคำ ท่านเจ้าเมืองก็พยักหน้ารับช้าๆ นัยน์ตาที่เคยฉายแววเลื่อนลอยบ้าแต่เกมของทั้งคู่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมากะทันหัน

    เรียวปากบางของเสนาบดีหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม รวบหมัดสองมือบริหารข้อเปรี๊ยะๆชวนสยอง ประกอบกับเสียงหัวเราะหึๆเหมือนคนเสียสติ

    นายเจย์ชูกำปั้นขึ้นฟ้าแล้วแหกปากประกาศก้อง

    "ข้าจะฆ่าล้างโคตรมันให้หมด!!!"

    "ช้าก่อนโยม..." น้ำเสียงเนิบนาบของคนต้นเหตุดังมาจากเบื้องหลังบานประตูมะฮอกกานี เรียกความสนใจจากปีศาจบ้าพลังที่เพิ่งหลุดจากที่คุมขังในห้องได้เป็นอย่างดี

    พระมหาคูบัววันนี้ - ไม่สิ ไม่น่าจะเรียกว่าพระเลยสักนิด - อยู่ในแจ็กเก็ตสีขาวล้วนแบบมีฮู้ดคลุมหัวสวนกระแสคลื่นความร้อน คล้องโซ่ห้อยตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความไม่ศรัทธาในศาสนา เข็มขัดหนังสีดำตอกหมุดโลหะเป็นแถบห้อยโซ่พังค์(ที่มีคนให้มา)โยงอยู่สองเส้น กับกางเกงและรองเท้าบู๊ตหนังสีดำ ข้อมือซ้ายมีปลอกแขนหนังประดับหมุดเงิน สวมแหวนเงินที่นิ้วกลาง ดีว่าทรงผมและคิ้วยังเกลี้ยงเกลาอย่างเคย ไม่เช่นนั้นคงคิดว่าหนุ่มบ้าร็อคที่ไหนมาเดินเพ่นพ่านเลียนแบบท่านพระครูอยู่แถวนี้เสียแล้ว

    ว่าแต่... "เฮ้ย!!" นายเจย์ชี้นิ้วใส่หน้าคนมาใหม่พลางกระโดดโหยง "นี่กล้าแต่งมาขนาดนี้เชียวเรอะ"

    "ขอสักวันจะเป็นไร" ท่านพระครู...ไม่ล่ะ เรียกว่านายเปอร์เซมโกจะส่งผลดีต่อพระศาสนามากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ทำลายความศรัทธาของประชาชน "ก็เหมือนเจ้าแหละ นี่ไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย" สายตาชำเลืองมองกางเกงเลสีเหลืองแปร๋นเหยียดๆ "คัลเลอร์ฟูลอย่างนี้ ข้าว่าไม่ได้ไปทำงานหรอก ...หรือว่าไป?" สำเนียงกวนประสาทที่ลงท้ายทำเอาเจย์แทบกระโจนไปหักคอคนพูดมาย่างกิน

    "ว่าแต่..." เว้นไปสักพักแล้วยิ้มเย้ย "เจ้าจะไปฆ่าล้างโคตรใครเขาล่ะหือ?"

    เจย์ อิสฟาเกล บุรุษรูปงามเป็นอันดับสองผู้พ่ายแพ้แก่ท่านมาร์ควิซเพราะความหลงตัวเองเกินเหตุ หันมากัดฟันกรอดกระชากคอเสื้อคาดโทษ

    "ก็แกไงล่ะวะไอ้เวร!!! ไอ้พ่อมดบ้าสองหัวนั่นทำอะไรทำไมไม่ยอมบอกกันบ้างล่ะหา?!" ตะคอกใส่หน้าด้วยอารมณ์ฉุนขาด

    "ใจเย็นๆ" สองมือตบบ่าเพื่อนด้วยรอยยิ้มราวเทพบุตรในคราบหนุ่มพังค์ที่ความจริงชอบฟังเพลงคลาสสิค "ถ้ามันเป็นพิษเป็นภัย ข้าก็บอกเจ้าอยู่แล้วล่ะ นี่เห็นว่ามันเป็นดีหรอก เลยไม่จำเป็น"

    "ดี?!" เจย์ร้องโหยหวนเหมือนโดนเชือดคอ "นี่มันเรื่องดีๆใช่ไหม ที่ลอสสอธทำทางเชื่อมเข้ามากลางเมืองเราน่ะเรื่องดีใช่ไหม!"

    "เออสิ" ตอบรับสั้นๆอย่างมั่นใจ "เจ้าหัดไว้ใจคนร่วมขบวนการกู้โลกซะบ้าง แล้วจะสบายใจขึ้นเยอะ"

    ขบวนการกู้โลก...? ท่านเจ้าเมืองที่หันไปสนใจหนังสือพิมพ์ต่อลอบมองชายสองคนที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ ...พูดอย่างกับเป็นยอดมนุษย์แห่งสภายุติธรรมกันอย่างนั้นแหละ

    "สบายใจ?" ว่าแล้วก็หัวเราะลั่น...สรุปจบเรื่องคราวนี้คงมีคนเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องมาจากอาการทางจิตแบบManic-depressiveเพิ่มอีกหนึ่ง "คนร่วมขบวนการกู้โลก? อย่างเจ้า? อย่างพวกนั้น? เนี่ยนะสบายใจ?"

    "เอาน่าๆ..." ถอนใจเฮือกแล้วตบบ่าเพื่อนที่กำลังคลุ้มคลั่งเป็นเชิงปลอบขวัญ "เดี๋ยวข้าเลี้ยงมื้อนี้เอง"

    ทันใด สภาพของคนโกรธเดือดดาลก็กลายเป็นลูกหมาตัวน้อยที่ตาแป๋วเมื่อได้ยินเสียงเรียกให้อาหาร สรุปได้ว่าพฤติกรรมทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงแผนการในการขอให้ฝ่ายตรงข้ามเลี้ยงข้าวฟรีเท่านั้น

    "แต่ไม่ใช่เงินข้านะ" เปอร์เซมโกเสริม

    "แล้วมันเงินใคร?" เจย์เอ่ยถามขณะถูกคนตัวเล็กกว่าลากคอให้เดินออกไปจากประตูด้วยกัน เขาเดินโซเซเหมือนจะสะดุดล้มก่อนตัดสินใจจับขอบกางเกงให้มั่นเป็นการป้องกันไว้ก่อน

    "ไม่ใช่เงินเจ้าแล้วกัน..." หนุ่มพังค์หันมาชี้แจงด้วยสายตาลึกลับ...

    ถ้าไม่ยอมจ่ายคราวนี้ อย่าหวังว่าเรื่องคราวนี้จะจบแค่การ 'แฉ' งานที่พวกเจ้าทำเลย... ท่านพระครูผู้บัดนี้ไม่เหลือแม้แต่คราบหน้ากากที่เคยสวมใส่อยู่เป็นนิจคิดมาดมั่นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย สายตาเหลืองมองกระเป๋าเสื้อด้านในที่ตุงออกมา ภายในมีกล้องดิจิตอลที่ขโมยมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างเคียงสถิตอยู่

    ...เพราะรูปของพวกเจ้าในคราวนั้น ได้ตกอยู่ในมือข้าแล้ว วะ ฮ่ะ ฮ่า!! พระมหาคูบัวหัวเราะเสียงดังอยู่ในใจ

    รอยยิ้มใต้เงาหมวกคลุมแลคล้ายปีศาจผู้โฉดชั่ว ต่างกับอนาคาริกชนที่เป็นอยู่ในทุกวัน ราวสวรรค์...กับขุมนรก

    ------


    เป็นตอนพิเศษที่ยาวเว่อร์เหมือนกันนะเนี่ย- -"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×