คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Tales from Reverie 3: พ่อมดมหาภัย 2.1
กาลครั้งหนึ่ง...ยังมีมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาใหญ่ทั้งลูก ภูเขานั้นเดิมทีมีชื่อว่าขุนเขาแห่งเนฟัลธอส เมื่อมีการก่อร่างสร้างเมืองขึ้นจึงได้นามใหม่ว่า จรูญจรัสนคร หรือ มหานครแห่งเนฟัลธอส ตามชื่อเดิมของสถานที่
เนื่องจากเป็นนครหลวงของอาณาจักร เดิมทีผู้เป็นนายเหนือหัวจึงไม่แคล้วพระมหากษัตริย์ผู้ประดุจทายาทแห่งสุริยเทพี รายล้อมด้วยเหล่าขุนนางผู้เปี่ยมอำนาจ ถือสิทธิ์เหนือผืนดินทั่วแคว้น เมื่อครั้งกษัตริย์พระองค์ก่อนยังดำรงพระชนม์ชีพ ศึกระหว่างเขตการปกครองน้อยใหญ่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง หากในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ เมื่อเหล่าขุนนางต้องปกครองกันเองโดยไม่มีผู้ใดควบคุม เนื่องเพราะดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ที่ได้รับการแต่งตั้งนั้นไม่เคยได้รับความเชื่อถือใดๆเกี่ยวกับกิจทั้งหลายของเขต การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเหตุเล็กน้อยจึงเกิดขึ้นทั่วไป
...ไม่เว้นแม้แต่อาณาเขตโลเธนซาของท่านมาร์ควิซเจมิไน ทีกริด
การเจรจาระหว่างสองเขตครั้งนี้มีสาเหตุจากความขัดแย้งระหว่าง ‘คนในความปกครอง’ ของท่านมาร์ควิซกับกองทหารของเขตข้างเคียง ซึ่งเขตข้างเคียงที่ว่าก็ไม่อาจพ้นอาณาเขตของหนึ่งในเหล่าองคมนตรีไปได้...จะเป็นใครไปได้อีก นอกเสียจาก เคาน์เตส โนนา จีเวล ผู้สง่างาม
ในวันที่ 30 เมษายน ณ ห้องพักเสนาบดีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศที่ว่างเปล่าเนื่องจากเจ้าของห้องหายตัวไปกะทันหัน มาร์ควิซเจมิไนนั่งแทนที่เจย์ เคาน์เตสโนนานั่งราวนางพญาอยู่อีกฟากของโต๊ะ ดวงเนตรดุจไพลินจับจ้องอย่างสงบ แต่ขุนนางหนุ่มกลับหัวเราะหึ เมื่อพาลนึกไปถึงต้นตอของเหตุการณ์ครั้งนี้
- เมื่อสองวันก่อน -
ชายทุ่งร้างทางเหนือของเนฟัลธอส มองรอบข้างสุดสายตามีเพียงผืนดินและผืนทรายอันแห้งแล้งไร้ซึ่งชีวิต ปล่อยให้ลมเหนือพัดพาเม็ดทรายต่างคมมีดเชือดเฉือนกาย ยามกลางวันแสงแดดจึงแผดเผาให้ผืนทวีปร้อนระอุ หากตกดึกอุณหภูมิกลับเย็นจัดเพราะไม่มีสิ่งใดคอยรักษาสมดุลไว้ ความแตกต่างเช่นนี้ยิ่งทำให้สภาพทะเลทรายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ไม่มีหินก้อนใดที่ทานทนความแปรปรวนได้โดยไม่แตกสลาย
ทว่า...บัดนี้ท้องทุ่งเวิ้งว้าง กลับเต็มไปด้วยผู้คนในความปกครองของท่านมาร์ควิซ ที่กำลังเตรียมการดูแลต้อนรับชาวจักรวรรดิอยู่แน่นขนัด ราวกับย้ายเมืองย่อมๆเมืองหนึ่งมาไว้ที่นี่ หากที่แปลกจากเมืองทั่วไปคือ ไม่มีเด็ก สตรี และคนชรา อยู่เลยสักคนเดียว มองไปทางไหนก็เห็นแต่บุรุษหนุ่มไร้ความเจริญหูเจริญตา แม้ว่าบ้างก็กำยำสันทัดอย่างทหาร บ้างก็ค่อนไปทางผอมบางเหมือนคนทำงานเอกสาร หน้าตาหลายคนก็ดูโฉดชั่วจนน่าตกใจ หากหลายคนก็หล่อเหลาจนชวนสงสัยว่าเป็นเทพบุตรชั้นฟ้า...เช่นเดียวกับที่มีบางคนดูสวยงามอ่อนหวานจนน่าตะลึงว่าเป็นบุรุษแน่แท้หรือไร
และแม้จะดูแตกต่างกันเพียงนี้ ทุกคนก็ล้วนเป็น ‘คนในความปกครอง’ ของท่านมาร์ควิซทั้งนั้น...ซึ่งมีชื่อเสียงทั้งในด้านฝีมือและความโหดเหี้ยมเสมอกัน ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ประโยคที่ว่า ‘มองไปทางไหนก็เห็นแต่บุรุษหนุ่มไร้ความเจริญหูเจริญตา’ เป็นจริงโดยแท้ ไม่ว่าจะหน้าตาโหดทมิฬหินชาติบึกบึนถึกถือ หรืออ่อนหวานบอบบางน่าทะนุถนอมเพียงใด สิ่งที่เห็นล้วนเป็นเพียงเปลือกนอก สรุปรวมแล้วทุกคนที่นี่ไม่ใช่บุรุษที่ควรต่อกรด้วยเลยสักนิด
ถัดจากบริเวณนี้ไปเพียงสองสามก้าวก็จะเข้าสู่ด่านผ่านเข้าเขตการปกครองของเคาน์เตสโนนาซึ่งบรรยากาศเหี้ยมโหดและแห้งแล้งต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แนวรอยต่อเขตแดนของเคาน์เตสคือหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรม ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยมีกองทหารตระเวนชายแดนคอยปกป้องหมู่บ้านจากผู้ไม่ประสงค์ดีแห่งเขตแดนข้างเคียง
หากในวันนี้...
เสียงเฮโลโห่ฮาดังมาจากบริเวณรอยต่อระหว่างเขต กลุ่มทหารล้อมวงกันกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างชวนสงสัย ไม่ต่างกับความเริงร่าผิดวิสัยของคนในความปกครองฯที่เพียรจะเจรจาบางอย่างกับเหล่าทหารรักษาเขต ใครคนหนึ่งในเขตโลเธนซาพูดอะไรฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ประโยคหนึ่งแล้วทั้งกลุ่มก็หัวเราะกันลั่น ขณะที่ทหารเขตข้างๆเริ่มยิ้มชั่วร้ายอย่างที่หาดูได้ยาก
ความสงสัยและระยะห่างที่ไกลเกินกว่าจะได้ยินสารทั้งหมด มาร์ควิซเจมิไน ทีกริด จึงสวมผ้าคลุมสีดำสนิท สวมหมวกปิดบังใบหน้า ตัดสินใจเดินออกจากที่พักอย่างเชื่องช้าไม่ให้มีพิรุธ เพื่อตรวจสอบว่าบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชากำลังทำสิ่งใดกันอยู่
“...ใครจะลงให้ท่านเจย์มาทางนี้” เสียงใครบางคนคุ้นๆหูเอ่ย ขุนนางหนุ่มถึงกับหูผึ่ง...แล้วนายเจย์ของเขา เอ้ย! ของเนฟัลธอสมาเกี่ยวอะไรกับงานนี้ด้วยเล่า? จึงหยุดเดินชั่วครู่ แล้วตั้งใจฟังต่อไป
“แล้วถ้าข้าจะลงให้คนอื่น อย่างเช่น ท่านนายพลวูล์ฟกังล่ะ” ใครอีกคนถาม ส่งผลให้เสียงดังผัวะเพราะหมัดใครไม่รู้กระทบหน้าคนพูดเข้าเต็มๆ ร่างของคนเสนอชื่อท่านนายพลกระเด็นมากองแทบเท้าท่านมาร์ควิซที่ลากเท้าถอยไปสองสามก้าว แต่แล้วคนต่อยก็แหวกฝูงชนตามออกมาชี้หน้าด่าคนเจ็บที่กำลังใช้แขนเสื้อปาดเลือดมุมปากตน ความว่าไม่ควรนำเอายอดขุนพลแห่งเนฟัลธอสมาล้อเล่นในเรื่องแบบนี้ เพราะจะทำให้ท่านเสื่อมเสีย แต่แล้วเมื่อคนที่กำลังนอนแทบเท้าท่านมาร์ควิซตอกกลับว่า แล้วเอานายตัวเองมาทำแบบนี้ไม่เสื่อมหรือไร เจ้าตัวโตราวกับยักษ์ปักหลั่นก็แสยะยิ้มชั่วร้าย...
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านมาร์ควิซของข้าเป็นคนดี แค่ความบันเทิงนิดๆหน่อยๆท่านไม่ลงโทษพวกเราหรอก”
คราวนี้ความสงสัยจึงพุ่งทะลุขีดจำกัด!!
“แล้ว...ความบันเทิงที่พวกเจ้าพูดถึงคืออะไรกันล่ะหือ” ชายร่างเล็กแต่หนาในชุดคลุมสีดำสวมหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าออกปากถาม ก่อนถอดหมวกออกช้าๆ...
...ยักษ์ปักหลั่นตัวสั่นงันงก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เหงื่อกาฬแห่งความหวาดกลัวไหลพลั่กท่วมชุดจนเปียกในเวลาไม่กี่วินาที ริมฝีปากพะงาบๆไม่เป็นภาษา ดวงตาเบิกค้างจับจ้องมายังชายชุดดำ ชวนให้คนบนพื้นต้องลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับไปมอง
“ชะเอ้ย!” เจ้าคนต้นคิดผู้ถือบัญชีหางว่าวไว้สะดุ้งสุดตัวเมื่อสังเกตเห็นเจ้าผู้ครองเขตปรากฏตัวขึ้น จึงฝากแผ่นกระดาษทั้งหลายไว้กับคนข้างๆ กระชับแว่นตาดำไม่ให้เลื่อนหลุด ก่อนพาร่างออกท้วมหายเข้ากลีบเมฆไปในบัดดล
ทหารผู้บาดเจ็บมองตาค้างกับใบหน้าหล่อๆของใครที่คุ้นตามากๆๆๆ เหตุเป็นดังนี้ คนในความปกครองของโลเธนซาผู้ลงคะแนนให้เสนาบดีเจย์จึงรีบเตลิดไปกลางชุมนุมชนที่กำลังสุมหัวกันอยู่ทันที ส่งผลให้วงแตก...ทุกคนกระจัดกระจายเผ่นหนีไปเรียบ ทิ้งไว้แต่หลักฐานเป็นทหารท่านเคาน์เตสที่ถูกต่อยซึ่งกำลังยืนช็อกอยู่ตรงหน้า กับกระดาษสองสามแผ่นที่มีรายชื่อยาวเป็นหางว่าวปลิวไปตามลมแล้วโปะเต็มศีรษะท่านมาร์ควิซพอดิบพอดี
เมื่อแกะกระดาษออกจากหน้าแล้วลากสายตาอ่าน...รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ผุดขึ้นทันใด ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายด้วยความโมโห แล้วบรรจงม้วนกระดาษทั้งสามแผ่นนั้นลงเก็บในกระเป๋า เพื่อคิดบัญชีกับบรรดาผู้ร่วมลงชื่อในภายหลัง
ขุนนางแห่งโลเธนซากำหมัดแน่น
มีอย่างที่ไหน...มีอย่างที่ไหนกัน...บรรดาคนในความปกครองของเขาและเคาน์เตสโนนาถึงร่วมมือร่วมใจกันลงประชามติว่าคู่ชีวิตในอนาคตของมาร์ควิซทีกริดผู้นี้จะเป็นใคร...ระหว่าง เสนาบดีเจย์ อิสฟาเกล กับ ท่านนายพลวูล์ฟกัง เอสเมอรัลด้า !?!
- กลับสู่สภาวะปัจจุบัน -
สรุปคือเรื่องคราวนี้เป็นเพราะคนในความปกครองของเขา(?)ไปชักชวนกองทหารของเคาน์เตสโนนาให้ลงประชามติว่าท่านมาร์ควิซรูปหล่อแห่งโลเธนซาจะลงเอยกับใครกันแน่ ระหว่างเจย์ เสนาบดีแห่งกระทรวงไอซีที หรือจะเป็นท่านนายพลวูล์ฟกัง...ทันทีที่ท่านมาร์ควิซผู้ตกเป็นข่าวฉาวเรียกตัวกลุ่มทหารที่แตกกระเจิงไปมาซักไซ้ไล่เลียงได้ ต่างก็เฉไฉเป็นท้าตีท้าต่อยกันอุตลุดแทนเสียอย่างนั้น
หากท่านเคาน์เตสไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งนี้ และท่านมาร์ควิซเขตข้างๆก็ไม่ได้คิดอยากบอกความจริงให้ตัวเองเสื่อมเสียเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรก็ตาม มาร์ควิซหนุ่มก็เป็นแต่ฝ่าย ‘เสียกับเสีย’ เท่านั้น...ในทุกๆความหมายทั้งกุศลและอกุศลเท่าที่จะสรรหามาคิดได้
แต่อีกใจหนึ่ง ถ้าบอกความจริงไป ทุกอย่างก็จะจบ ความสัมพันธ์อันดีก็จะยังดีอยู่เช่นเดิม
เอาอย่างไรดี...
“ถ้าท่านจะไม่พูดอะไรล่ะก็ เราขอลา” เคาน์เตสโนนาก้มหน้าเอ่ย แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้น ท่านมาร์ควิซก็กระโจนผ่านโต๊ะมาคว้าแขนหมับ จนล้มคว่ำลงบนหนูรินสุดที่รักของน้องเจย์ ปัดเอาเอกสารทั้งโต๊ะเทกระจาดปลิวว่อนไปทั่ว
หญิงสาวในห้องตกตะลึงกับความซุ่มซ่ามอย่างไม่อาจให้อภัยแบบไม่มีสาเหตุของขุนนางแคว้นข้างๆ ขณะที่มือหนาบีบแน่นอยู่นั้น ใบหน้าหล่อๆที่บิดเบี้ยวด้วยความจุกก็ผงกขึ้นมาเล็กน้อยพอให้คุยกันได้ โดยไม่ใส่ใจจะลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ “เดี๋ยวก่อนสิครับ...รอฟังสักเดี๋ยว ผมจะบอกความจริงทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านฟัง”
ประโยคดังกล่าวเสมือนเชือกดึงให้ร่างโปร่งบางนั่งลงอีกครั้ง มาร์ควิซฉีกยิ้มก่อนตะเกียกตะกายกลับไปนั่งที่เดิมอย่างทุลักทุเล สำหรับสายตาของเคาน์เตสที่มองตามไปนั้น จากเดิมที่สงสัย...บัดนี้แปรเป็นปลงกับความประหลาดสุดขีดของคู่สนทนาเสียแล้ว
“คืออย่างนี้ท่านโนนา...” ท่านมาร์ควิซหลับตารวบรวมพลังความกล้า แล้วก็เล่าทุกอย่างตามความจริงตั้งแต่ต้นเพื่อตัดปัญหามิให้บานปลาย
ผู้ปกครองที่แท้จริงควรยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ แม้ส่วนน้อยที่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของตน กระนั้นก็คุ้มค่ากับความสุขของราษฎร...มิใช่หรือ?
แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะก๊ากแบบหลุดโลกของท่านเคาน์เตสเท่านั้นล่ะ มาร์ควิซเจมิไนก็ชักไม่แน่ใจกับความคิดเมื่อกี้เสียแล้ว...
ø
ความคิดเห็น