คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Tales from Reverie 3: พ่อมดมหาภัย 2.0
ในโลกอันกว้างใหญ่นี้...จะมีสถานที่สักแห่งหนึ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงบ้างไหม?
วันวานผ่านพ้น แต่ทุกสิ่งยังเหมือนเดิม
ในม่านหมอกขาวที่บดบังสายตา ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
มีเพียงความรู้สึกปีติและรอยยิ้มกว้าง...ความโดดเดี่ยวอ้างว้างถูกความว่างเปล่าขจัดสิ้น
น้อยคนนักที่ไปถึงที่นั่นแล้วจะได้กลับมา แต่ผู้ที่กลับมาได้ทุกคน จะมาพร้อมกับความจริงที่สำคัญ
คนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือคนที่ไม่มีอยู่จริง
แล้วคนแบบนั้น...
คือใครกันล่ะ?
ø
กลุ่มควันสีเขียวใบไม้พวยพุ่งรอบสารทิศจากจุดหนึ่งกลางอากาศ มันหมุนทวนเข็มนาฬิกาพักหนึ่งก่อนจะหมุนกลับทิศ ดูราวกับกงจักรปริศนาของของไหลประเภทหนึ่งที่ไม่อาจระบุส่วนประกอบ ลำแสงสีเหลืองสว่างจ้าปะทุวาบตามแนวรัศมี มีเสียงประกายไฟลั่นเปรี๊ยะเป็นระยะ พิจารณาโดยรวมแล้ว เห็นสมควรว่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่ใกล้กงจักรควันลึกลับนี้ควรรีบหนีไปเสีย
ทว่าบุคคลที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้องโถงกลางของปราสาทก็มีเพียงสามคน คือท่านเจ้าเมือง ท่านที่ปรึกษา และพ่อมดหมายเลขสิบเก้าที่ยังอ้อยอิ่งไม่ยอมไปไหน...หลังพ่อมดอุ้มเบลลาเร่ไปนอนรักษาตัวอยู่ในห้องรับรองอาคันตุกะ ทั้งสามก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ประการหนึ่งคือสิ่งที่อยากรู้ก็ไม่มีใครยอมเฉลย อีกประการคือนักถอดรหัสประจำเมืองที่อันตรธานวับต่อหน้าต่อตายังไม่กลับมาปรากฏตัว จึงพากันมานั่งจุ้มปุ๊กมองดูความว่างเปล่าบริเวณสถานที่เกิดเหตุอย่างกึ่งๆจะสิ้นหวัง
“สงสัยโดนพาไปฆ่าหมกป่าแล้วมั้ง” หมายเลขสิบเก้าเสนอข้อสันนิษฐานที่มาค่าความเป็นไปได้สูงทีเดียว “ไม่แน่ข้าอาจจะเดาผิด ฆาตกรในควันเขียวนั่นอาจจะเป็นคนที่เอาข้อมูลสำคัญมาให้มันถอดรหัสแล้วดันทำหายก็ได้นา”
เงียบกับจินตนาการในแง่ร้ายอยู่พักหนึ่ง
“แต่ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ” ท่านที่ปรึกษายิ้มพราย เหลือบมองหมายจับพิรุธบนใบหน้าที่ไม่แสดงอาการใดๆของบุรุษร่างสูงลิบ “บทสรุปของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ผมทราบว่า ความผิดปกติใดๆในช่วงนี้ ร้อยละร้อยมีสาเหตุมาจาก ‘พวกคุณ’ “
“งั้นเรอะ” ตัวแทนคนประหลาดย้อนถามเนิบๆ ยกมุมปากเยาะนัยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่จนที่ปรึกษาหนุ่มหน้าชา...หมายเลขสิบเก้าหรี่ตามองตามควันสีเขียวที่เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่งเคลื่อนที่ไร้รูปแบบไปรอบๆห้องอย่างครุ่นคิด “แล้วถ้าข้าจะถามว่าไอ้นั่นคืออะไร พวกเจ้าก็คงจะหาว่าข้าแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกล่ะสิ”
“อ้าว ข้าคิดว่าท่านรู้เสียอีก” ท่านเจ้าเมืองทำหน้าเหวอ สายตาตวัดมองกงจักรสีเขียวสลับกับหน้าตาใสซื่อจริงจังที่หาดูได้ยากจากโบราณบุคคลผู้นี้ ก่อนจะตระหนักว่าหมายเลขสิบเก้าผู้ยึดถือเรื่องไร้สาระเป็นสรณะนั้นไม่ได้เอ่ยความเท็จเลยแม้แต่เศษเสี้ยว
“ข้าว่าเรารีบหนีไปก่อนดีกว่า” พ่อมดตัดสินใจก่อนกระโดดยืนขึ้นแล้วรีบวิ่งนำไปทางประตู
ทว่า... เปรี้ยง!! สายฟ้าสีขาวผ่าฟาดจากกงจักรควันสีเขียวขนานกับพื้นดินไปยังข้อเท้าร่างสูงชลูดจนล้มหน้าคว่ำ เมื่อจะลุกขึ้นใหม่ลำประจุที่หายไปก็คืนอำนาจไฟฟ้าอีกครั้ง แรงนั้นมากเสียจนผู้เปี่ยมพลังเวทมนตร์ไม่อาจต้าน ยิ่งเพียรจะคลานไปด้านหน้าก็ยิ่งถอยกลับ ครั้นพยายามร่ายเวทหลบหนีวัตถุหนึ่งก็ถูกขว้างด้วยแรงผลักระหว่างอนุภาคผ่านกลุ่มควันนั้นมาหมุนครืดตรงหน้าชายผู้พ่ายแพ้ต่อมนตราที่ไม่รู้จัก แสงสว่างวับวามจากผิวเรียบวาวเมื่อมันตั้งฉากกับพื้นแสดงให้เห็นว่าคือกระจกธรรมดานี่เอง
มันควรจะสะท้อนภาพของบุรุษตรงหน้า แต่เงาสะท้อนของหมายเลขสิบเก้าก็หามีไม่
หากท่านเจ้าเมืองและที่ปรึกษาได้สังเกตใบหน้าของพ่อมด ย่อมจะเห็นเพียงดวงตาสีน้ำทะเลที่ฉายความตื่นตระหนกกับหน้าตาซีดเผือดด้วยความหวาดผวาอย่างถึงที่สุด!
ร่างหมายเลขสิบเก้าแน่นิ่งขณะกงจักรสายฟ้าหยุดอยู่เหนือศีรษะของท่านเจ้าเมืองและที่ปรึกษา ทอดงวงยาวลงบรรจบกับพื้นแล้วเริ่มฟุ้งกระจาย สายฟ้าสีขาวที่คอยส่งไปกระตุ้นประสาทพ่อมดอยู่เนืองๆทำให้สายตาพร่า ทุกสิ่งประกอบกันดังนี้ การปรากฏตัวของบุคคลที่กลางเกลียวหมุนจึงทิ้งสัญญาณให้เห็นเพียงเงาเลือนราง
ฉับพลัน บางสิ่งบางอย่างที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้นอย่างลับๆ
“หึ...ข้ารู้นะว่าท่านพยายามซ่อนอะไรจากเบลลาเร่ ชีเอลา” เสียงหนึ่งก้องในหัวหมายเลขสิบเก้า
นั่นมันบัญชาขององค์ดัชเชส คนที่ไม่ควรรู้ข้าย่อมพยายามไม่ให้รู้...เขาเถียงเงียบโดยยังไม่ไต่ถาม เนื่องจากคุ้นเคยกับปรากฏการณ์แบบนี้ดี ทำให้ไม่แสดงปฏิกิริยากระทั่งภายในจิตใจ แม้จะสงสัยมากมายเพียงใด
“ท่านก็รู้อยู่ว่าไม่ใช่ท่านคนเดียวที่คิดการเช่นนี้” เสียงนั้นย้อนกลับ
หมายความว่า?
“คนที่ไม่ควรรู้ย่อมไม่จำเป็นต้องรู้” ย้อนกลับด้วยวลีเดียวกัน “จะอย่างไร ที่เบลลาเร่เป็นแบบนี้มันก็ความผิดของท่าน”
อ้าว! ซะงั้นน่ะ... พ่อมดโอดครวญกับการพิพากษาที่ไร้ความยุติธรรม ก่อนลองเสี่ยงถามว่าคู่สนทนาเป็นใคร
หากคำตอบที่ได้รับคือ “ท่านอาจยังไม่รู้จักข้า หรืออาจรู้จักข้าอยู่แล้ว...ข้าคือผู้ใช้เวทแห่งสรรพสัตว์ อันดับสอง”
และแล้วหน้าตาที่ซีดเซียวของหมายเลขสิบเก้าก็กลับกลายเป็นไร้แล้วซึ่งสีเลือด
คงต้องแจกแจงรายละเอียดให้ได้ทราบกันสักนิด อนึ่ง ระบบผู้ใช้เวทของลอสสอธ แบ่งเป็นสายพลังเอกทั้งหมด 10 สาย แต่ละสายแบ่งเป็นสองอันดับ โดยสายผู้ใช้สรรพสัตว์มีอันดับหนึ่งคือเบลลาเร่ และสายสุดท้ายที่ลึกลับที่สุดมีอันดับหนึ่งคือหมายเลขสิบเก้า และอันดับสองคือนายปานาส วีเบิร์ตของเรานั่นเอง
โดยอันดับนั้นมีความสำคัญกันคนละด้าน เปรียบอันดับหนึ่งเสมือนกับสมุหนายกและอันดับสองเป็นสมุหกลาโหม คือ อันดับหนึ่งมักจะเป็นผู้ค้นคว้าเกี่ยวกับสายพลังนั้น และมักจะประยุกต์ใช้เพื่อความก้าวหน้า ส่วนอันดับสองมักเน้นการศึกษาพลังอำนาจ เพื่อนำไปใช้ในการต่อสู้และรักษาเสียมากกว่า ที่ว่า ‘มักจะเป็น’ ก็เนื่องมาจากมีบางสายพลังที่ไม่เข้าข่ายการแบ่งประเภทแบบนี้ เช่น หมายเลขสิบเก้ากับยี่สิบ เหตุเพราะเป็นสายพลังที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก และไม่มีผู้ใดสามารถศึกษาความสามารถของพวกเขาได้
ทว่า สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่ประเด็น
เนื่องจากการแบ่งอันดับของด้านผู้ใช้สรรพสัตว์ไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้น ดังนั้น บ่อยครั้งที่ผู้ใช้พลังสายเดียวกันจะถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจเป็นคู่ เพื่อจะได้ดูแลความปลอดภัยซึ่งกันและกัน และโดยส่วนใหญ่อันดับหนึ่งจะเป็นผู้รับหน้าที่หลัก โดยมีอันดับสองอยู่ในลักษณะคล้ายผู้รักษาความปลอดภัย มีหน้าที่สำคัญนอกจากการดูแลสวัสดิภาพ คือ จะต้องมอบบทลงโทษแด่ผู้ทำอันตรายแก่อันดับหนึ่งตามพระราชบัญชาขององค์ดัชเชส ซึ่งคาดว่าอันดับสองในที่นี้คงไม่ผิดแผกจากประเพณีเดิม
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อันดับสองคนปัจจุบันรู้จุดอ่อนของหนึ่งในพ่อมดที่ไร้เทียมทานที่สุดผู้หนึ่งในพิภพนี้!
ดวงตาสีน้ำทะเลลุ่มลึกหลุบลง พลางพยายามทำใจทั้งที่ยังหวาดผวากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สวดมนต์ภาวนาให้ชาวเนฟัลธอสทุกคนมีความสุขสวัสดีทั่วกัน เนื่องเพราะรู้ดีในนิสัยของพวกพ้องตน ว่าหากมีบัญชาใดจากดัชเชสเรเนียแล้ว ย่อมไม่อาจบิดพลิ้วไปได้
จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ...ยังไงก็เป็นหน้าที่เจ้าแล้วนี่
“ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ”
แต่ทีหลังไม่ต้องใช้วิธีแบบนี้หรอก ขอดีๆข้าก็อาจจะทำตามนะ
“ขออภัย ข้าไม่ต้องการความเป็นไปได้ ข้าต้องการเพียงความแน่นอนเท่านั้น”
ควันขุ่นจางลงชั่วพริบตา ทว่าแสงสว่างและเงาพร่าเลือนไม่จางหาย ร่างหนึ่งกำลังจะก้าวมาปรากฏ หากความสนใจของหมายเลขสิบเก้าหมดสิ้นลงแล้ว สติสัมปชัญญะขาดสะบั้น ปล่อยให้ใบหน้าไม่บ่งบอกอายุคว่ำลงกับพื้น ริมฝีปากบางเฉียบซีดเซียวพึมพำคล้ายหลับละเมอ
“เหตุใดข้าจึงไม่มีสิทธิ์เห็นภาพตัวข้าเองล่ะ ท่าน...”
น้ำเสียงเครือแผ่วเบาสุดท้ายตัดพ้อในลิขิตแห่งตน
ø
กาลครั้งหนึ่ง...ณ จรูญจรัสนคร อดีตเมืองหลวงแห่งธรีอาดิม ซึ่งปัจจุบันกษัตริย์ได้ทรงอพยพข้าราชบริพารและข้าราชการส่วนกลางทั้งปวงไปยังนครหลวงใหม่แล้ว จึงมีดยุคแห่งเอสเตรลลาร์ เวย์น เบลเซบ มานั่งแทนที่ในตำแหน่งเจ้าผู้ครองแคว้น ทั้งที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ที่มาในความอุปการะของมหาวิหารจันทรา ทว่าดยุคผู้นี้กลับแจกจ่ายงานให้คนอื่นทำได้มีประสิทธิภาพดีเหลือเชื่อ จนตัวเองสามารถนอนอืดนั่งอู้ตีมอนสเตอร์ไปได้ทั้งวัน โดยยังมีผลงานอยู่ไม่ขาด
ด้วยเหตุนี้จึงคาดคะเนได้ว่า ท่านดยุคคงมีศัตรูที่เคียดแค้นกับการยัดเยียดงานให้ทำอยู่เป็นอันมาก และผลกรรมที่ท่านได้กระทำ จึงเริ่มย้อนคืนแก่เจ้าของ
“โอ๊ย!”
ท่านเจ้าเมืองนอนกองกับพื้นหญ้าร้องโอดครวญอยู่หน้าวิหารจันทรา ทั้งตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและผ้าปิดแผลจนแทบมองไม่เห็นผิวกายว่างๆ ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุทั้งเล็กทั้งใหญ่ติดต่อกันไม่มีหยุดพัก ตั้งแต่ฟกช้ำดำเขียวไปจนถึงต้องเข้าโรงพยาบาลไปเย็บแผลหรือเข้าเฝือก มีคราวหนึ่งถึงกับแขนขวาหักเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคเท่าใดนักเนื่องจากท่านเจ้าเมืองได้ฝึกปรือทักษะการเล่นเกมและเซ็นอนุมัติบนเอกสารต่างๆด้วยมือซ้ายมานานโข
แต่คราวนี้เดินๆอยู่ในสวน เหตุใดจึงตกลงไปในท่อได้ไม่อาจทราบ...ท่านที่ปรึกษาผู้กำลังดึงขาคนเจ็บออกมาจากท่อนึกสงสัย...ทั้งที่ในสวนเมเนลทุกๆแห่งไม่เคยมีทางเปิดของท่ออยู่นี่นา
หากเสียงกรีดร้องเหมือนกำลังจะถูกปาดคอกลับทำให้ความคิดดับวูบ จำต้องหันเหความสนใจมายังร่างของดยุคหนุ่มที่หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแม้ขาจะออกมาจากท่อได้แล้ว นัยน์ตาสีดำสนิทลอบมองยังขากางเกงที่ขาดวิ่น โลหิตสีแดงไหลซึมจากแผลเหวอะหวะ เพราะอะไรบางอย่างภายในท่อได้กัดกินชิ้นเนื้อของท่านเจ้าเมืองไป แม้เมื่อมองลงในท่อมืดจะไม่เห็นสิ่งใดก็ตามที
เวย์น เบลเซบ ไม่เคยซุ่มซ่ามต่อเนื่องกันได้ขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...ท่านที่ปรึกษาครุ่นคิด พลันสีหน้าก็กระตุกวูบ ความเจ็บปวดแล่นทั่วกายจากบาดแผลถูกเหล็กแหลมกั้นรั้วบ้านแทงทะลุที่ต้นแขน ดวงหน้างดงามเบือนหนีท่านเจ้าเมืองเพื่อหลบซ่อนอาการ ก่อนจะเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่เคยได้กระทำไว้
หรือว่า...ที่ทั้งเขาทำให้ท่านเบลลาเร่ ชีเอลาสลบไป และที่หมายเลขสิบเก้านอนแผ่สลบเหมือดไปพร้อมกับการหายวับของกลุ่มเมฆสีเขียวลึกลับที่จนป่านนี้ก็หาสาเหตุไม่ได้ ปัจจุบันแม่มดหมายเลขสิบห้ากำลังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนหมายเลขสิบเก้าก็ยังไม่ตื่นมาอธิบาย แม้ไม่มีวี่แววว่าจะตายหรืออ่อนเพลียทั้งที่อดข้าวอดน้ำมาทั้งสัปดาห์ จะเกี่ยวข้องกับความเสียหายในช่วงสัปดาห์นี้ทั้งหมดกันล่ะ?
ต้องลองให้ใครไปถาม...นายปานาส วีเบิร์ต...นักถอดรหัสประจำเมืองผู้ไม่เคยมีความน่าไว้วางใจ และก็ไม่เคยคิดจะแวะไปหาด้วยความคิดถึงด้วย แต่นี่ถึงคราวจำเป็น เพราะหากปล่อยไว้ บางทีคำสาปหรืออะไรทำนองนั้นจากผู้วิเศษลอสสอธอาจไม่ได้ทำให้พวกเขาแค่เลือดตกยางออกเล็กๆน้อยๆแบบนี้เป็นแน่!
แต่ก่อนอื่น...
“ผมคิดว่าถึงคุณจะเจ็บขนาดนี้แต่ก็ยังเดินเองได้นะ ฉะนั้นเดี๋ยวผมจะไปเรียกหมอมาให้” ยิ้มหวานแล้วหยิกแก้มของท่านเจ้าเมืองที่มีเลือดอาบเพราะหกล้มหน้าครูดกับกำแพง “รอคุณหมอแสนดีที่ห้องโถงกลางนะครับ” ว่าแล้วก็หันหลังเดินออกไป
“ม-ไม่เอาซัลเทรียนะ” คนเจ็บที่ถูกทิ้งพยายามร้องขอ ก่อนลุกขึ้นมายืนเองอย่างสบายๆแม้จะรู้สึกปวดแปล๊บอยู่บ้าง ท่านเจ้าเมืองลากสังขารตามมาช้าๆด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิม “เราขอร้อง...ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ซัลเทรีย ลิธิส”
ทว่าท่านที่ปรึกษากลับหันหน้ามายิ้มเย็น ม่านตาสีดำสนิทฉายแววลึกลับดุโหดดังงูพิษ
“คนเจ็บอย่างคุณมีสิทธิ์เลือกด้วยหรือครับหือ...เวย์น”
ฤดูใบไม้ผลิดำเนินมายังจุดงดงามสูงสุด อีกไม่นานย่อมถึงคราวอำลา
พืชพรรณทั่วเนฟัลธอสผลิดอกออกใบแบ่งบานสะพรั่ง สีเขียวขจีบังเกิดทั่วทั้งมหานครแห่งความเจิดจรัส...ช่วงปลายเดือนเมษายนแห่งความวุ่นวายน่าจะมีแต่ความสุขความเจริญ ความสงบเรียบร้อยไร้ความสับสนอลหม่านอย่างที่เคยเป็น หากสิ่งที่ชาวเมืองร้องขอจากเทพเจ้ากลับไม่อาจเป็นจริงได้ ด้วยเหตุผลกลใดไม่อาจทราบ แต่คราวนี้หน้าแฟลทที่พักของบรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลับมีคณะบุคคลยืนอยู่กันเต็มไปหมด ส่งเสียงโวยวายโหวกเหวกคลอกันฟังไม่ได้ศัพท์ จับความได้เพียงเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่ ‘สุดยอด’ เท่านั้น
บานหน้าต่างที่ชั้นสองเหนือประตูเปิดออก ก่อนที่ใบหน้าค่อนข้างเหลี่ยมและยาวจะยื่นออกมาแล้วตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่ไม่ง่วงสุดชีวิตก็กำลังเมาค้าง
“มีอะไรก็มาคุยในห้องผมสิครับ!”
“เห็นมะ...มันอนุญาตแล้ว พวกเจ้าจะห้ามอะไรข้านักหนา” เสียงนายเจย์เถียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอาคารแว่วมา เสนาบดีหนุ่มผลักหน้าอกชายผู้นั้นออกไปด้วยท่าทางหาเรื่อง ก่อนโบกมือเรียกให้ชุมนุมชนเดินทัพดาหน้าเข้าไปในตัวตึก ตึกที่นายสุดยอดมาอาศัยพักในห้องเล็กๆฟรีทั้งที่ไม่ใช่ผู้พิทักษ์มหานครแต่อย่างใด เพียงการงานของเขามีความสำคัญต่อองค์กรนี้ เมื่อเอ่ยปากขอผู้ใหญ่จึงให้...ก็เท่านั้น
ไม่นานนัก กลุ่มคนที่ว่าก็กรูกันขึ้นมาอออยู่หน้าประตูบานไม้อัด ใครคนหนึ่งลงทุนทุบมันสุดแรกดังปั้กๆจนน่ากลัวว่าทั้งประตูกับบานพับจะหลุดออกมาเป็นแผง ไม่กี่นาทีต่อมา ภายหลังโทสะได้ฉาบทาทั่วทุกผู้รอคอยแล้ว นายสุดยอดก็เปิดประตูออกมา...
เพียงเปิดประตูจนสุด แล้วยืนตรงอย่างงุนงงเท่านั้น หมัดในสนับมือของใครคนหนึ่งก็แย็บมากลางจมูกจนเลือดกำเดาพุ่งสวนทิศที่นักถอดรหัสประจำเมืองปลิวไป ร่างหนาร่วงลงนั่งไถลกระแทกขอบเตียงพลันยกแขนเสื้อขึ้นซับหยดเลือด นัยน์ตามองไปยังบุรุษร่างสูงหน้าโหดแต่ตาโตผู้กำลังเดินผ่านประตูมาด้วยความไม่เข้าใจใดๆทั้งสิ้น
นายพลวูล์ฟกัง เอสเมอรัลด้า กับอัศวินผู้ใต้บังคับบัญชา...มาทำอะไรที่นี่?
“ข้ามีคำถาม” ท่านนายพล ผู้ต่อยคนทั้งที่ยังไม่ได้ถอดสนับเหล็กออก ก้าวเข้ามาในห้องช้าๆพลางเอ่ยชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงลึกห้าวที่ฟังก็รู้ว่าจงใจดัดเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง “ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าได้ทราบบ้างหรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง”
นายสุดยอดเงยหน้าขึ้นตอบรับด้วยท่าทางเอ๋อสุดขีด “เหอ?”
...อากัปกิริยาชวนเตะยิ่งขุดโทสจริตของท่านนายพลออกมาจากกรุส่วนลึกมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าเล่าก็ได้ หมายเลขสิบเก้านอนไม่ตื่น คุณชีเอลาอยู่โรงพยาบาล เกิดอุบัติเหตุหลายอย่างกับท่านเจ้าเมืองและที่ปรึกษา”
“เฮ้...เดี๋ยวนะ” ชายร่างท้วมที่นั่งอุดจมูกตัวเองอยู่ข้างเตียงครุ่นคิด “เรื่องหมายเลขสิบเก้านอนไม่ตื่นนี่ไม่ใช่ว่าแปลกอะไร” เขาฉีกยิ้มด้วยใบหน้าเลอะคราบเลือด “ผมว่าลองให้ผู้ชายสักคนตะโกนกรอกหูว่า ‘คุณพ่อขา’ ดูสิขอรับ รับรอง ไม่เกินสามวินาที...” พูดจบก็ยิงฟันกว้าง เว้นช่วงความเงียบดูลึกลับ
“ไม่เกินสามวินาทีอะไร?” เหยื่อกระโจนไปติดกับ
“ไม่เกินสามวินาที...คนตะโกนกรอกหูมันจะหมดลมหายใจไปเลยน่ะสิครับ!” ว่าแล้วก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากทั้งที่เลือดยังไม่หยุดไหล แล้วพึมพำค่อยๆ “แต่ถ้าตะโกนจากที่ไกลๆก็ไม่ว่ากันล่ะนะ”
“แล้วเรื่องอื่น...?” นายพลวูล์ฟกังยังอุตส่าห์มีความหวัง
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือที่หาได้ยากยิ่งก็ดังขึ้น นายสุดยอดชูมือเชิงขออนุญาตก่อนกดรับด้วยสีหน้าเคลิ้มหลุดโลก “อ้าว สวัสดีครับคุณวริธาน...” เว้นไปพักหนึ่ง คาดว่าคนปลายสายกำลังพูด “ได้ครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมไปรับนะ” จบแล้วก็กดปิด ยิ้มค้างโชว์ฟันขาวอยู่อย่างนั้นราวสามนาที สภาพของเขากลับสู่สภาพเดิมทันเวลาก่อนที่สนับมือท่านนายพลจะเขกกะโหลก
“นั่นใคร?” เสียงนายเจย์ดังขึ้นก่อนเห็นตัว
“ผม สุดยอดไงล่ะ”
“ไม่ใช่โว้ย!”
“ใช่สิ”
“เงียบปากไป๊!!” ชายหนุ่มตะคอก ก่อนพาตัวเองในชุดเครื่องแบบเสนาบดีเดินมาอยู่ข้างๆท่านนายพลผู้เคร่งขรึมเป็นพิเศษเมื่อขาดธาตุยูริ วันนี้เจย์ไม่ได้สวมหมวกเนื่องจากลืมไว้ในห้องทำงาน คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ดวงตาคมกริบมองคาดคั้น “ข้าหมายถึง...ข้าถามว่าเจ้าคุยกับใคร”
“สาวน้อย” นี่คือคำตอบที่ทลายขีดจำกัด 20% ของท่านนายพล ส่วนสำหรับเจย์นั้น ขีดจำกัดของเขาพังราบเป็นหน้ากลองไปตั้งแต่การโต้ตอบกวนประสาทเมื่อครู่นี้แล้ว
“ลอสสอธ?” เป็นคำถามที่สั้นมาก หากคำตอบรับว่าใช่กลับทำให้เจย์ อิสฟาเกลควันแทบออกหู...กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีกิจทุกอย่าง เว้นเพียงโทรศัพท์มือถือ เหตุเพราะเนฟัลธอสไม่มีบริษัทใดลงทุนให้บริการ ฉะนั้นจึงมีแต่ชาวเอเรเซียน-ลอสสอธที่พกพาโทรศัพท์ผสมเวทเท่านั้น ให้ตายเถอะโรบิน ให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต! เสนาบดีอย่างเขาไม่อาจมีอำนาจควบคุมการใช้อุปกรณ์สื่อสารของชาวต่างแคว้น แม้กระทั่งเมื่อคนต่างแคว้นนั่นมาอาศัยที่พักฟรีอยู่ในแคว้นของเขา!!
“หนึ่งในยี่สิบ?” คำตอบของคำถามนี้คือถูกต้อง
“ใช่หมายเลขสิบหกรึเปล่า?”
สุดยอดครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนชูนิ้วชี้ขึ้นฟ้าพร้อมพยักหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอยหลงใหล...ไม่ทราบว่ามันจะชูนิ้วขึ้นหาพระแสงดาบกันดั้มอันใด แต่ที่แน่ๆคือ... “วริธาน เลอโวซ์ ผมสีน้ำตาลเข้ม ตาโตคมสวยสีเฮเซล ผิวเนียนนุ่มเหมือนเด็กทารก...น่ารักเหลือเกิน” สรุปว่านายสุดยอดสติแตกไปแล้วเมื่อคิดประหวัดถึงสาวน้อยผู้นั้น
ประโยคสุดไร้สติเมื่อกี้ ทำเอาเจย์แทบลมจับ
ทันทีที่ได้รับคำขอมาจากท่านที่ปรึกษา เขาก็คิดต่างๆนานาจนได้ข้อสรุปว่าทุกอย่างที่ว่าต้องเป็นผู้ติดตามของเบลลาเร่ ชีเอลาแน่ๆ แล้วสุดท้าย...ผู้ต้องสงสัยจากข้อสันนิษฐานของเขาสรุปแล้วเป็นสาวน้อยที่มันตามจีบอยู่ แถมกำลังจะนัดเจอกันตอนเย็นวันนี้ด้วยสินะนั่น!?!
“สุดยอด” เจย์ย่อตัวลงตบบ่าเบาๆ “เย็นนี้ข้าขอตามไปด้วยสิ อยากเห็นหน้าคุณวริธานของเจ้าน่ะ”
“ก...ก็ได้” สุดยอดตอบรับเคลิ้มๆเหมือนฝัน เสนาบดีหนุ่มยิ้มรับ
ขณะที่ท่านนายพลเอสเมอรัลด้าที่ยืนผงาดถมึงทึงอยู่ก็พยักหน้าตอบรับตาม แม้อีกสองคนจะไม่ได้รับรู้ แต่เขาก็ตู่ว่าในเมื่อตัวเองก็คิดอยากจะถาม ฉะนั้นประโยคขอร้องกับคำอนุญาตตะกี้ก็ต้องเป็นของตนด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น คำพยากรณ์สำหรับการนัดเจอสาวในวันนี้ของนายสุดยอด: วืดแน่!
ø
ตะวันคล้อยต่ำสาดสีแดงก่ำดั่งโลหิต
แสงไฟเรืองรองเหนือท้องทุ่งกว้างยามโพล้เพล้บอกตำแหน่งของมหานครแห่งความเจิดจรัส... อาทิตย์อัสดงแห่งเนฟัลธอสไม่ได้งดงามดึงดูดให้ชมนัก เนื่องจากอากาศเริ่มหนาวเย็น ทั้งลมฝุ่นทรายจากทางเหนือก็เริ่มพัดพา แล้วหากผู้ชมมีผ้าปิดปกป้องใบหน้าและดวงตา จะสามารถชมทิวทัศน์ถนัดได้อย่างไรเล่า...คนที่ดั้นด้นออกมารอคอยชมอาทิตย์รอนแสงนวลตาบริเวณเมืองจึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถ้าจะมีใครสักคนอยากทำจริงๆก็คงไม่แคล้วเมา หรืออาจเกิดคึกคะนองสติแปรปรวนขึ้นมา
หากกรณีของชายหนุ่มทั้งสาม ดูจะไม่เข้าข่ายใดๆเลยสักนิด
สถานที่ที่นักถอดรหัสประจำเมืองนัดไว้กับสาวน้อยหมายเลขสิบหกดูไม่ต่างกับอาคารไม้เก่าๆในตรอกลึกมืดทะมึนที่หาได้ยากยิ่งในเนฟัลธอส ทางเดินเข้านั้นแคบและเปลี่ยวนัก นอกจากนี้เมื่อเดินจนสุดก็ยังเป็นกำแพงตึกตันๆ ไร้ซึ่งทางหนีทีไล่เว้นแต่หนึ่งในผู้มาเยือนจะตีปีกบินขึ้นฟ้า...ขวดน้ำใช้แล้วและถุงพลาสติกที่ใครสักคนมักง่ายทิ้งไว้ถูกลมในหลืบพัดให้กลิ้งเคล้าไปบนพื้นชุ่มน้ำประดับงดงามด้วยราเป็นปื้นกับตะไคร่เป็นหย่อมๆ
เจย์ลากสายตากราดมองรอบๆด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง เกมจีบสาวที่เคยเล่นในอดีตมันไม่มีทางเป็นอย่างนี้นี่นา ที่แน่ๆคือไม่มีใครนัดเจอสาวกันในซอกหลืบไม่โสภา แถมยังมองไม่เห็นทางเลยว่าสาวเจ้าจะเดินเข้ามาทางไหนนอกจากทางแคบๆแฉะชื้นที่พาพวกเขามาถึงนี่เท่านั้น หรืออีกทางคือบินลงมาจากฟ้า...เห็นได้ชัดว่านายสุดยอดบื้อมะลื่อทื่อคงโดนหมายเลขสิบหกที่รักหลอกลวงอะไรสักอย่างเข้าให้
เสนาบดีหนุ่มในเครื่องแบบลอบยิ้ม...แต่ก็อยากรู้เหมือนกันแหละว่าคุณวริธาน เลอโวซ์ จะข่มขู่คุกคามอะไรคนเรื่อยเฉื่อยไร้สาระอย่างสุดยอดได้บ้าง
ท่านนายพลวูล์ฟกังในชุดคลุมดำโพกผ้าปิดหน้าเหลือแต่ตาราวเตรียมออกรบสมรภูมิทะเลทรายกำลังยืนสำรวจความปลอดภัยโดยหันหน้าไปด้านทางออก มือขวาจับด้ามดาบไว้มั่น มือซ้ายยึดปลอกดาบไว้ มาตรว่าหากมีศัตรูคุกคามจะสามารถพุ่งไปฟันคอขาดได้ในเสี้ยววินาที ทว่าท่าทางขึงขังพร้อมไอแห่งการทำลายล้างยิ่งชวนให้อีกสองคนขวัญผวา ทั้งที่กำลังสยองกับบรรยากาศตรอกอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
เหลือแค่รอ...รอว่าตกลงแล้วคุณวริธานจะมาหรือไม่มา แล้วถ้ามาจะมาทางไหน จะส่งผลให้เมืองนี้ถึงแก่กาลวิบัติหรือเปล่า...นายเจย์ผู้ดูจะเอาการเอางานในระดับสูงสุดลอบมองท้องฟ้าเป็นระยะตามสัญชาตญาณ เหตุเพราะอีกทางหนีมีวูล์ฟกังเฝ้าไว้แล้ว คงไม่น่ามีอะไรหรือใครที่ไม่ใช่สาวน้อยน่ารักสามารถรอดชีวิตจากคมดาบเงาวับของเขามาได้
คิดแล้วก็รู้สึกเครียดกับแม่ทัพอัศวินเนฟัลธอสขึ้นมาในบัดดลจนเสนาบดีไอซีทีต้องกุมขมับ บุรุษอันตรายผู้นี้เป็นโรคบ้าเด็กสาวน่ารักอย่างถึงที่สุด หากความลับนี้แพร่งพรายออกไปถึงฝ่ายศัตรู ทางนั้นคงจัดทัพสาวน้อยมารุมสังหารท่านนายพล โดยที่เจ้าตัวทำได้แต่ยิ้มค้างน้ำลายหกไร้การต่อต้านเป็นแน่แท้...ช่างเป็นการเสียชีวิตที่น่าสมเพชยิ่งนัก
แต่แล้วสายตาที่มองขึ้นไปในอากาศก็ปะทะกับดวงตากลมโตสีเงินยวงคู่หนึ่ง ก่อนรับรู้ว่าเป็นใบหน้าที่งดงามเยือกเย็น...จมูกโด่งรั้นและเรียวปากอิ่มสีแดงสด รับกับผิวขาวจัดตามแบบฉบับชาวเหนือ เส้นผมละเอียดดุจไหมสีดำสนิทกลับส่องประกายกับอาทิตย์รอนแสง เรื่อเรืองราวทับทิมสีเลือด ร่างเล็กเพรียวห่อหุ้มด้วยชุดยาวสีขาวเหลือบเงินพร่าพราย พลิ้วไหวกับสายลมด้านบนดังเทพธิดา
นี่หรือ วริธาน เลอโวซ์...?
เจย์ยังคงจับจ้องหญิงสาวบนฟ้าด้วยความตะลึงงัน ความคิดดับสูญสิ้น เขาไม่แม้แต่จะตระหนักว่าสตรีผู้นี้กำลังลอยอย่างน่าสงสัยอยู่บนฟ้า ชายหนุ่มมองเหม่อๆอ้าปากค้างอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งเจ้าของม่านตาสีเงินสังเกตเห็นหน้าตาของคนที่กำลังมองตนชัดๆ เธอจึง...
“กรี๊ด!!” หญิงสาวสีขาวหลับตาปี๋ยกมือปิดหน้าแล้วหันหลังไปทางอื่น ก่อนจะเห็นใครอีกคนที่กำลังควบขี่สัตว์เลื้อยคลานสีเขียวอยู่ข้างๆ เธอจึงถลาไปกอดเพื่อนเนื่องจาก... “วริธาน นั่นใครน่ะคะ...หน้าตาน่ากลัวเหมือนพวกนักเลงหน้าปากซอย!” ว่าแล้วก็หันกลับไปมองคนด้านล่างอีกครั้งด้วยแววตาตื่นๆ
นายเจย์อ้าปากค้างอีกราวสิบวินาที ก่อนเริ่มกะพริบตา...หา ตะกี้คุณเธอว่าใครเป็นนักเลงหน้าปากซอยบ้านเธอนะ?
แต่แล้วภาพสาวน้อยสองคนกอดกันก็เรียกเสียงคำรามดังโฮกของสัตว์ประหลาดบ้ายูริที่กำลังยืนรักษาการณ์อยู่ด้านหลังเสนาบดีหนุ่มจนทุกคนแถวนั้นสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจสุดขีด! หน้าตานิ่งๆง่วงๆของท่านนายพลเหมือนเปลี่ยนไปสวมหน้ากากพวกชายหนุ่มบ้าสาวน้อย ดวงตากลมโตส่องประกายวิ้งๆพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างแปลกๆที่ดูแล้ว...
หญิงสาวชุดขาวลอยหนีสูงขึ้นทันใด พลางลอบมองนายพลวูล์ฟกังอย่างตื่นกลัว ส่งผลให้สาวน้อยหน้าหวานดูมุ่งมั่นคนที่กำลังควบสัตว์ประหลาดตัดสินใจพาตัวเองและพาหนะดิ่งพสุธาทันใด!
“...!!”
เจย์ อิสฟาเกล ผงะเล็กน้อยเมื่อแย้บินได้(?)แย้มยิ้มยิงฟันอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถูกเขาบนศีรษะสัตว์เลื้อยคลานมีปีกขวิด ร่างกระเด็นไถไม่เป็นท่าไปบนพื้นเฉอะแฉะจนน้ำสกปรกสาดเททั่ว พลันชนกับสองขาของนายพลหนุ่ม ลากให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์หน้าคว่ำทับร่างตัวเองหมดสติไป
สาวน้อยชุดคลุมเขียว ชนะน็อค นายพลวูล์ฟกัง เอสเมอรัลด้า ผู้บัญชาการอัศวินแห่งเนฟัลธอส!!
“วริธาน...” นายสุดยอดที่ยืนนิ่งยิ้มค้างหันมาหาสตรีผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนโดยไม่ใส่ใจกับคนงามชุดขาวที่ลดระดับเพดานเหาะลงช้าๆ เป็นการยืนยันต่อสายตาของเจย์ว่าหญิงสาวตาสีเงินเมื่อครู่ไม่ใช่คนที่เขาตั้งใจจะมาสืบความจริง แล้วก็ต้องร้องโอ๊ยขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดจากแรงกระแทกเริ่มแล่นแปล๊บไปทั่วสรรพางค์
นัยน์ตาสีเฮเซลของเจ้าหล่อนหันมามองหนุ่มเสนาบดีที่กองอยู่กับพื้นอย่างแค้นเคืองระคนขยะแขยง “เดี๋ยวนะคะ ฉันจำได้ว่าไม่ให้พาใครมาที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ...แล้วคุณคนนี้กับคุณอีกคนคือใครกัน”
และแล้ว...
สุดยอด ปานาส วีเบิร์ต นักถอดรหัสแห่งเนฟัลธอส หมายเลขยี่สิบแห่งลอสสอธ ก็เพิ่งตระหนักว่า มีหนุ่มวัยฉกรรจ์ติดสอยห้อยตามตนมาเป็นติ่งรวมสองนาย และทั้งสองก็กำลังนอนแผ่ทับกันเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำขังอย่างน่าอนาถ...ดวงตาเอ๋อๆหลังแว่นกรอบดำมองตามกะพริบปริบๆอยู่ชั่วขณะก่อนเฉลย “คนด้านบนที่สลบไปคือนายพลวูล์ฟกัง เอสเมอรัลด้า ส่วนคนด้านล่างคือเจย์ อิสฟาเกล เสนาบดีกระทรวงไอซีทีน่ะครับ” เว้นไปช่วงหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยา แต่สายตาคาดคั้นดุโหดยังไม่หมดสิ้น “ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาตามมาตั้งแต่ตอนไหน ที่แน่ๆ...”
“เจย์...อิสฟาเกล...” หญิงสาวชุดขาวที่บัดนี้ลอยเหนือพื้นเมตรกว่าๆพึมพำชื่อของผู้บาดเจ็บเบาๆ แต่นั่นก็ดังพอจะเรียกความสนใจจากคนรอบข้างทั้งหมด เจ้าของชื่องัดร่างเพื่อนออกไปแผ่หงายข้างตัวจนเต็มตรอกแล้วสบตากับเธอตรงๆ ความสงสัยฉายชัดบนดวงหน้าหล่อเหลาเลอะโคลนที่ดูเถื่อนๆสมคำทักทายเมื่อแรกเห็นอย่างยิ่งยวด
เมื่อสบตากันอีกครั้งราวสามวินาที เจย์มีความรู้สึกเหมือนถูกสูบพลังบางอย่างออกไปจากร่าง ความคิดของเขาพัลวันสะเปะสะปะ ประหวัดไปถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ที่ผ่านมาจนมึนงง หลอดเลือดเต้นตุบๆจนปวดขมับ อยากจะหลับตาลงเพื่อระงับอาการนี้แต่ก็ทำไม่ได้ สองมือจึงจิกพื้นเกร็ง กัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดภายในกาย หยาดเหงื่อไหลอาบร่างทั้งที่อากาศเริ่มเย็น ชั่วนาทีที่ผ่านไปเหมือนถูกทรมานเนิ่นนานในขุมนรก
สักพักสตรีชุดขาวจึงกะพริบตาเป็นสัญญาณคลายการสะกด ชายหนุ่มบนพื้นหอบแฮ่ก จ้องมองบุคคลอันตรายแห่งลอสสอธทั้งสามเบื้องหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจเป็นครั้งแรกในชีวิต
“คุณทำอะไรผม...” เจย์เอ่ยเสียงสั่น
หากหญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่หันไปทางวริธานด้วยสายตางุนงงและคาดโทษไปในคราวเดียว “เดี๋ยวนะวริธาน สัปดาห์ที่ผ่านมาเธอยังไม่บอกเขาอีกเหรอคะ”
“ยัง เธอถึงต้องมานี่ไงล่ะ” วริธานหันกลับไปมองอย่างงงๆ ชายผ้าคลุมศีรษะสำหรับขี่มังกร(เทียม)สะบัดไปตีหน้านายสุดยอดเล็กน้อย...แต่ก็ช่างมันเถอะ “คือช่วงสัปดาห์นี้...มันเสือxหลับ” สาวน้อยผรุสวาทหน้าตาเฉย
“หลับ?” หางเสียงขึ้นสูงด้วยไม่เชื่อหู “เขาหลับเหรอคะ...” คิ้วโก่งเรียวมุ่นครุ่นคิด “หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่า...”
“รู้อะไรมิทราบครับพวกคุณทั้งหลาย” เจย์รวบรวมเรี่ยวแรงตะโกนต่อว่าเป็นชุดด้วยอารมณ์โมโห “ตะกี้คุณวริธานเอาไอ้มังกือเขาควายนั่นมาซัดผมทำไมมิทราบ แล้วคุณคนที่ผมยังไม่รู้จักครับ...คุณทำอะไรผม แล้วขอถามทีเหอะว่า จากที่ผมฟังมาน่ะ ไอ้คนขี้เซาที่พูดถึงนั่นน่ะคือหมายเลขสิบเก้าใช่มั้ย?!”
“คำตอบของข้อแรก เพราะนายทำให้เธอกลัว” วริธานตอบกลับเย็นๆ สาวน้อยหน้าอ่อนใช้สรรพนามเหมือนคุยกับเพื่อนแบบนี้เนื่องจากเธอรู้ดีถึงความแตกต่างระหว่างอายุที่แท้จริง...ซึ่งคงห่างกันไม่ต่ำกว่าศตวรรษ “ข้อสอง เธออ่านความคิดนาย และข้อสาม นายเดาเก่งดีนี่ ใช่ หมายเลขสิบเก้าคือจุดประสงค์ของพวกเรา”
“คุณจะทำอะไรเขา?” ชายหนุ่มถามอีกรอบ เหลือบดวงตาสีนิลหรี่มองสุดยอดที่เข้าโหมดเพ้อวริธาน เลอโวซ์อีกรอบอย่างอาฆาต
ทว่าสตรีชุดขาวกลับลอยเข้าใกล้แล้วตอบด้วยรอยยิ้มหวาน “ถ้าคุณปลุกเขาแล้วกักตัวไม่ให้หนีได้นานพอจะให้เขารับฟังสาส์นจากเรา คุณก็จะรู้ทั้งหมดเองล่ะค่ะ”
เจย์เงยหน้าขึ้นมอง...ดุจกระต่ายหมายจันทร์
“อ้อ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ฉันชื่อ เซราฟิม แซงโครวน์ ค่ะ” หญิงสาวเอียงคอนิดหนึ่งเมื่อเสนาบดีผู้สิ้นสภาพเพียรอ้าปากส่งคำถาม “และฉันรู้ว่าคุณรู้จักชื่อนี้แน่ๆจากความคิดของคุณเมื่อกี้”
ไม่เสียแรงที่นั่งท่องรายนามตัวอันตรายทั้งยี่สิบเลยจริงๆ เซราฟิม แซงโครวน์?
ในวินาทีนั้นเองที่ชายหนุ่มเหลือกตาหวาดกลัวสุดชีวิต...
นี่มัน ผู้ใช้เวทแห่งแสง หมายเลขหนึ่งแห่งลอสสอธนี่หว่า!!!
ø
เหล่าผู้วิเศษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นพิภพนั้น รู้จักกันในสมญาตามตำแหน่งว่า ‘ผู้วิเศษทั้งยี่สิบแห่งลอสสอธ’ ซึ่งล้วนมีกิจธุระในการพัฒนาทั้งทางวัฒนะและหายนะต่างกันตามแต่ด้านถนัดของตน อันได้แก่ เวทแห่งแสง ความมืด ดิน น้ำ ลม ไฟ พฤกษา สรรพสัตว์ จิตวิญญาณ และเครือข่ายนอกเหนือการรับรู้ทั่วไปที่ถือว่ายังเร้นลับ และหาผู้ใช้ได้น้อยคนในโลก...ความจริงคือไม่มีใครเคยพบเคยเห็นใครในโลกใช้อาคมแบบนี้นอกจากผู้ครองตำแหน่งสองหมายเลขสุดท้ายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสองคนนี้ยังใช้มนตราไม่เหมือนกันเลยสักนิดเสียด้วย
หากหนึ่งในสองที่ว่าเสียชีวิตไปสักคน โลกนี้คงสูงขึ้น...เอ้ย! โลกนี้คงสูญเสียโอกาสที่อาจได้รับในอนาคตอย่างไม่สมควร เวทมนตร์ลึกลับจะไม่มีวันได้เปิดเผยให้ชาวโลกรับรู้ และในปัจจุบัน เทคโนโลยีหลายอย่างทั้งที่เป็นประโยชน์และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดก็ถือกำเนิดขึ้นเพราะศาสตร์เร้นลับที่คนทั้งสองถือครองอยู่นี้แล
ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ว่าก็เช่น...โทรศัพท์มือถือรุ่นไม่ต้องมีคลื่นพาหะ เกราะล่องหนชนิดพกพา เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเบอร์เนลลี เครื่องคัดลอกสสาร แว่นมองทะลุสิ่งกีดขวาง แย้บินได้(มังกรเทียม) เสื้อคลุมใส่ของไม่จำกัด เจลลดไข้แบบแผ่นเดียวใช้ได้สิบปี ยาแคปซูลจำศีล เกมซาดิสต์ชื่อพ่อมดตะลุยแดนสนธยา และอื่นๆอีกสารพัดสารพัน...ไม่เข้าใจว่าเกมที่ว่ามันสนุกตรงไหนนอกจากสนองความโหดเหี้ยมอำมหิตลึกๆของทีมผู้สร้างทั้งสอง และไม่เข้าใจว่ามันจะคิดสร้างสัตว์สายพันธุ์ใหม่อย่างแย้บินได้ขึ้นมาทำถ้วยชามรามไหอันใด...แต่สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดก็ยังอุตส่าห์มีคนเอาไปใช้ให้ผู้คิดภาคภูมิใจเล่นๆอยู่ดีนั่นเอง
ในห้องรับรองในปีกหนึ่งของปราสาทเนฟัลธอส หมายเลขสิบเก้ายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง หน้าต่างทุกบานรูดม่านปิดจนมืดสนิท กระนั้นแสงสีเขียวมรกตเรืองจางจากร่างของชายในห้องก็ทำให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆได้บ้าง
ทั้งห้องไม่มีสิ่งใดนอกจากเตียงไม้แกะสลักมาตรฐานตามแบบฉบับเนฟัลธอส กับโต๊ะทำงานหลังใหญ่ที่ว่างเปล่า ด้านหนึ่งของห้องมีกระจกบานใหญ่แต่ใครบางคนกลับตอกตะปูขึงผ้าคลุมไว้ดูน่าสงสัย เสียงลมหายใจแผ่วเบาเหมือนเข้าสู่ภวังค์ลึก ชายบนเตียงดูไม่มีพิษภัยนัก ด้วยใบหน้าที่ไม่ระบุทั้งเพศและอายุกับกายสูงเปี่ยมพละกำลังแต่ออกผอมไปเล็กน้อยด้วยอดอาหารมาเป็นสัปดาห์
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังจากหน้าประตู บ่งบอกว่าใครบางคนกำลังจะเข้ามาในห้อง ใครคนนั้นหยุดยืนอยู่พักหนึ่ง แล้วจับลูกบิดประตูทันทีอย่างไม่มีมารยาทจะแจ้งบอกเจ้าของห้องล่วงหน้า...
แกร๊ก
คนที่พยายามจะเข้าห้องยืนโลกมืดอยู่ชั่วครู่ ความอึ้งสนิทกัดกินจนความคิดชาตื้อ ก่อนจะหันหลังไปช้าๆ...
“มัน...”
“เจย์ นายไม่ต้องบอกก็รู้” สาวน้อยชุดสีเขียวใบไม้มองอย่างเซ็งโลก “เป็นแบบนี้ทุกที แล้วใครก็เข้าไปไม่ได้ด้วย มันมีนิสัยชอบลงมนตร์หน้าประตูกันคนปลุกแบบนี้แหละ แล้วอย่าคิดว่าจะเข้าทางหน้าต่างได้เชียว...”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ” หญิงสาวชุดขาวพูดช้าๆ...เห็นแววล่มมารำไร สถานการณ์ปัจจุบันช่างสิ้นหวังยิ่งนัก คงไม่อาจทำงานสำเร็จลุล่วงหากไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวพาความช่วยเหลือมาให้
และแล้วกุญแจดอกหนึ่งที่ร้อยด้วยพวงกุญแจเรซินรูปหัวใจสีชมพูก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ทั้งสามคนที่ยืนงงมองมันอย่างไม่มีสติ ก่อนจะเริ่มกะพริบตาปริบๆเมื่อเจ้าของมือซีดๆนั้นคือหญิงสาวสวยผมสลวยดำยาวสวมแว่นสีดำในชุดสีดำสนิท...ความมืดมนยังไม่พ้นไปจากเธอแม้จะนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานนับสัปดาห์
“เบลลาเร่!” วริธานแทบจะกระโจนเข้าหา แต่ตากลมๆโตๆเหมือนเพนกวินของคนชุดดำกลับฉายแววโหดเหี้ยม
“เธอทำอะไรท่านดยุคกับที่ปรึกษาไปน่ะ?” สตรีแห่งรัตติกาลถามเนิบนาบ
สาวน้อยคลี่ยิ้มหวาน “แค่เวทที่ทำให้ซวยนิดซวยหน่อยเอง”
“แล้วทำไม...” ระหว่างที่แม่มดแห่งสรรพสัตว์อันดับหนึ่งพูด ผู้รองรับเวทซวยวิบัติก็ก้าวออกมายืนขนาบสองข้าง ท่านที่ปรึกษามีผ้าพันแผลพันทั้งสองแขน ส่วนดยุคแห่งเอสเตรลลาร์เข้าเฝือกแขนขวาและขาซ้าย ยืนมองอย่างไร้อารมณ์ “...เขาถึงได้เป็นหนักขนาดนี้กันล่ะ”
วริธานยิ้มเย็น ทว่าเธอไม่ทันได้ตอบ...
“ทุกท่านครับ...ผมขอโทษ”
“หา??” เบลลาเร่หันขวับ “พวกท่านเป็นผู้เสียหายนะ จะขอโทษทำไม”
“ยังไงผมก็เป็นคนผิดอยู่ดีครับ” หน้าสวยๆดูหมองไปพักหนึ่ง ความงามนั้นทำเอาดยุคแห่งเอสเตรลลาร์แทบตบะแตกกระโดดกอด จึงถูกผู้ที่สองขายังสมบูรณ์ถีบอัดติดกำแพงส่งเสียงไอค่อกแค่ก “ที่ผมทำให้คุณเบลลาเร่ต้องป่วยหนักขนาดนั้น...ก็เพราะผม ที่ทำให้คุณวริธานต้องใช้เวทที่ว่ากับทั้งผมและท่านเจ้าเมือง...ก็เพราะผมเองทั้งนั้น” และนัยของประโยคก็เปลี่ยนไป “แต่ทั้งนี้ คุณก็ควรชี้แจงเหตุในการมายังเนฟัลธอสนะครับ นั่นเป็นสิทธิที่เราพึงจะได้รับ”
“ข้าต้องขออภัย เหตุที่ทำเช่นนั้น ก็เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหมายเลขสิบเก้า” แม่มดชี้แจงเหตุตามคำบอก ก่อนเหลือบไปมองลูกบิดประตู ก้าวไปขยับมันนิดหนึ่ง เบ้หน้า แล้วหันกลับมาด้วยท่าทางแน่วแน่ ก่อนพูดเสียงดังฟังชัด “แต่ในเมื่อหมายเลขสิบเก้าไม่ให้ข้าเข้าไปบอก...ข้าก็จะบอกแล้วล่ะนะว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเกิดมาจาก จากที่ข้าฟังมาจากท่านพ่อของข้านั้น นายเออาร์ธอร์น เซรูลีน เคยเป็นพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเรเซีย ตั้งแต่เมื่อครั้งเกาะนั้นยังไม่ล่มสลาย ซึ่งนายเออาร์ธอร์น เซรูลีน หรือที่พวกท่านรู้จักในนามหมายเลขสิบเก้านั้น ได้พบรักกับ...”
“พอๆๆๆๆ!!! ไม่ต้องแล้ว เข้ามาได้เลย!” ประตูเปิดผัวะพร้อมกับหน้าตาซีดเซียวดูตื่นตกใจของหมายเลขสิบเก้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงปล่อยยาวสยาย โบสีดำผูกคล้องอยู่กับคอ ...ความที่ใบหน้าไม่บ่งบอกหญิงหรือชายทำให้ดูเหมือนเจ้าแม่คนทรงไปหน่อย แต่เมื่อลากสายตาไปเห็นไรหนวดที่เริ่มเห็นชัดและลูกกระเดือกก็ทำเอาต้องเลิกคิด เจ้าแม่คนทรงกลายเป็นตาลุงขี้เซาในทันที
เรื่องส่วนตัวของหมายเลขสิบเก้า คือ เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตรัก?
...ช่างเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันกับภาพลักษณ์โดยรวมที่โบราณบุคคลผู้นี้เพียรสร้างไว้ในเนฟัลธอสเลย แม้แต่นิดเดียว
ø
ความคิดเห็น