ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rosamunde คำสาปกุหลาบลวง

    ลำดับตอนที่ #5 : เหนือฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 53


    ** คนเขียนขอแก้ชื่อ ฟอร์เซน เองเกล เป็น ฮันส์ เองเกล นะเจ้าคะ **

    5: เหนือฝัน

     

                ค่ำคืนเงียบสงัด สายลมพัดแรงซู่พาอากาศหนาวเหน็บให้บาดผิว กลางจัตุรัสหน้าวิหารนั้นว่างเปล่า มีแต่รูปปั้นสำริดที่มีดวงตามันวาวสะท้อนแสงโคมริมถนนคอยจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวยามวิกาล

                เงาหนึ่งทอดวูบผ่านไป

                ชายร่างสูงอยู่ในชุดคลุมสีดำตลอดร่าง รองเท้าหนังตอกเหล็กย่ำไปบนถนน เขาเดินผ่านตรอกซอยอย่างชำนาญทาง ครั้นมาถึงสะพานข้ามคลองก็หอบหายใจเป็นไอฝ้า ชายหนุ่มยึดราวสะพานไว้มั่น ดวงตาสีอ่อนมองลอดใต้หมวกคลุม หันไปยังฝั่งที่เพิ่งก้าวผ่านมา เบื้องล่างมีแต่ผืนน้ำดำทะมึนไหวระริก เหนือขึ้นไปมีต้นวิลโลว์ทอดกิ่งปรกเรี่ย ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นตลิ่งลาดกว้าง และต้นไม้หนาทึบเขียวชอุ่มทอดเป็นแนวยาวตลอดริมแม่น้ำ เขตแดนที่กั้นก็มีแต่ขอบรั้วไม้เตี้ยๆ ที่ผุพังไปมากแล้ว

                ม่านตาสีฟ้าเพ่งมองที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พลางยกมือขวาขึ้นเป็นจังหวะสัญญาณ พักหนึ่ง ในเงามืดใต้ร่มไม้ก็มีแสงสะท้อนจากกระจกเงาส่องวาบ

                เขาโล่งใจ... คนของเขาส่งสัญญาณตอบกลับมา หมายความว่าไม่ปรากฏร่องรอยความผิดปกติใด

                ชายในชุดคลุมเดินเชื่องช้า ตึกแถวก่ออิฐทาสีโทนส้มตามข้อบังคับในผังเมืองเลื่อนผ่านปลายสายตาไปหลายช่วงตึก จนหยุดยืนเมื่อถึงทางแยก ตรอกด้านขวานั้นกว้างพอที่รถม้าคันหนึ่งจะผ่านเข้าไปได้ มืดมิดไร้แสงไฟ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเหนือหลังคาตึกแถวก็เห็นยอดไม้สูงจากบ้านหลังหนึ่งในตรอกลึกนั้นทอดเงาขยับไหว

                สองขาพาร่างสูงกว่าคนทั่วไปผ่านสู่เงามืด มือที่สวมถุงมือหนังสีดำสนิทล้วงในกระเป๋าเสื้อคลุม นิ้วแข็งชาจากอากาศหนาวเคลื่อนกำหมัดแน่นเกร็งยามเหยียดหลังผึ่งผ่ายก้าวตรงเข้าไป           

                ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ฟ้าสาง อีกไม่นานพระอาทิตย์คงจะโผล่พ้นขอบฟ้า  ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลากับการพูดคุยครั้งนี้เกินกว่าหนึ่งชั่วโมง เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะต้องตอบคำถามมากมายของคนดูแลที่พักเมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปตอนรุ่งเช้า...ยังมีอะไรอีกมากมายที่เขาควรจะต้องคิด และควรจะต้องรีบวางแผนให้เสร็จสิ้นก่อนเวลาทำงานของวันใหม่จะเริ่มต้นขึ้น จะเสียเวลาไม่ได้อีก ถ้ามีอะไรผิดพลาด จุดหมายของเขาก็อาจจะหนีไปได้ไกลเกินเอื้อมอีกครั้ง

                ชายในชุดคลุมหยุดยืนหน้าบ้านหลังหนึ่ง รั้วประตูเป็นแผงไม้ระแนงที่สูงพอกับคอกม้า ฝั่งด้านในรั้วนั้นมีชั้นวางกระถางดอกไม้หลากสีทอดยาวตลอดแนว ทว่าสวนกว้างใหญ่หน้าบ้านกลับไม่ได้ชวนมองเอาเสียเลย ต้นไม้นานาพรรณขึ้นรกครึ้มไปหมดไม่ต่างจากป่ารกชัฏ บดบังทัศนวิสัย ราวกับว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านนี้ต้องการความเป็นส่วนตัวอย่างสูง...โชคดีที่แสงโคมเหนือเสาไฟข้างรั้วบ้านโปร่งนั้นสว่างพอจะสะท้อนกับกำแพงอิฐสีขาวผ่านเงาไม้ บ้านสองชั้นหลังหนึ่งอยู่ตรงนั้น

                ...และนี่คือจุดหมายของเขา

                ร่างสูงในชุดคลุมสีดำสนิทยืนค้อมศีรษะอยู่ที่หน้าประตูโปร่ง ใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ขบกรามแน่น สายตากวาดมองรอบกายอย่างหวาดระแวง มือในกระเป๋าเสื้อคลุมขยับล้วงเอากระถางดินเผาสีน้ำตาลแดงใบย่อมออกวางนิ่งไว้บนฝ่ามือ นิ้วเรียวกำรอบกระถางนั้น ดวงตาสีฟ้ามองลอดผ่านเงาหมวกคลุมอย่างกังวล...พลันก็ตวัดแขนโยนมันข้ามรั้วเข้าไป

                กระถางดินเผากระทบพื้น ส่งเสียงดังตุบ กลิ้งไปบนพื้นดินสีดำ

                ชายหนุ่มยืนรอ...ทว่าผ่านไปนานหลายนาที ก็ยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับจากผู้เป็นเจ้าของบ้านอยู่นั่นเอง

                ความหวั่นวิตกเริ่มเข้าครอบงำจิตใจที่เคยสงบนิ่ง และทันใดนั้นพุ่มไม้ทางด้านซ้ายใกล้ประตูก็สั่นไหวรุนแรง! กระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนองอันเฉียบคมให้ตื่นขึ้น...ชายหนุ่มจับจ้องไม่กะพริบตา หัวใจเต้นรัวถี่ มือซ้ายค่อยๆยกขึ้นเป็นสัญญาณปรามเผื่อว่าอีกฝ่ายจะมาอย่างมิตร มือขวาซ่อนในกระเป๋า กระชับด้ามปืนมั่น หมายว่าถ้ามีสิ่งใดผิดพลาด เขาจะจัดการกับมันได้ทันท่วงที

                "ฮ่าๆๆๆ"

                เสียงทุ้มหัวเราะครื้นเครงจากทางด้านหลัง ชายร่างสูงหันร่างกลับในทันที

                ใบหน้าของคนที่ชายในชุดคลุมเฝ้ารออยู่ปรากฏที่นั่น - โครงหน้าตอบเรียว ผิวกายซีดขาว เรือนผมสีเทาเป็นลอน และแว่นสายตาที่ซ่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลลึกลับไว้หลังแสงสะท้อนวาบวับ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากคราวล่าสุดที่ได้พบกันเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากแตกแห้งของชายตรงหน้ากำลังเหยียดยิ้มกว้าง และกว้างขึ้นเรื่อยๆขณะมองสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

                ชายหนุ่มยืนกอดอกมองเพื่อนเก่าด้วยสายตาเย็นชาคมปลาบเชือดเฉือนตามนิสัย ทว่าเพราะคนตรงหน้ารู้จักเขาดีพอ จึงไม่มีปฏิกิริยากลัวเกรงอะไรให้เห็นเลยจนนิดเดียว ซ้ำยังกล้าหัวเราะเป็นเชิงเยาะเย้ยในลำคอ

                "วูร์เซล ฟลันเซ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น"

                ผิวแก้มของเขาเริ่มชาด้าน...ชายหนุ่มโมโห ทว่าที่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกเสียหน้า...เขาอุตส่าห์ส่งคนมาช่วยตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้กับคนคนนี้ ทั้งที่อาจไม่มีความจำเป็นใดๆเลยสักนิด นอกจากนี้จุดมุ่งหมายที่จะมาเยี่ยมบ้านก็เป็นแต่การแวะมาสอบถามข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับกุหลาบปีศาจที่ฟลันเซรับผิดชอบตรวจสอบ

                อันที่จริง...ถ้าเป็นในเวลาอื่น ในคดีอื่น เขาคงไม่พกอาวุธมา และไม่หวาดระแวงมากมายขนาดนี้ แต่เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญ จึงประมาทหละหลวมไม่ได้

                และสิ่งที่เขาได้รับจากความรอบคอบรัดกุมที่ทุ่มเทให้ทั้งหมด กลับเป็นเสียงหัวเราะขบขัน?

                ความเงียบเริ่มโรยตัวครอบงำชายทั้งสองที่ยืนอยู่สองฝั่งของประตูบ้าน ไม่มีใครเริ่มขยับหรือทักทายคล้ายว่าจะหยั่งเชิงกัน...นักพฤกษศาสตร์ไพล่แขนกอดอก ริมฝีปากบางแห้งยังคงเหยียดยิ้ม ทว่าอ่านไม่ออกว่ามีเจตนาเบื้องลึกอะไร เองเกลมองผ่านเลนส์แว่นสบกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอย่างเย็นชา  ทว่าชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกกลับเริ่มไล้ทั่วผิวกายของเขา...มันอาบท่วมร่างอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะซึมหายลงไปในผืนดิน

                สายธารความหนาวยะเยือกนั้นคือสิ่งใด...ชายหนุ่มรู้ แต่พยายามมองข้ามมันไปเสีย

                "ฮันส์ เองเกล เจ้าเครียดเกินไปแล้ว...เครียดเกินไป" นักพฤกษศาสตร์ส่ายศีรษะยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู เองเกลก้าวเข้ามา ดวงตาสีฟ้าจางยังคงกราดมองรอบกาย ทันใดฟลันเซก็เริ่มหัวเราะอีกครั้ง ความกรุ่นโกรธที่แล่นมาบางเบาทำให้คิ้วบางเขม่นมุ่นลง ขอบกรามเกร็งเป็นสัน นัยน์ตาเย็นยะเยือกกรีดลึกฉายชัดว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง

                เจ้าจะขำไปถึงเมื่อไหร่

                ถึงเมื่อไหร่? ...ก็เมื่อเจ้ารู้ว่าทำไมข้าจึงขำนั่นล่ะฟลันเซย้อนคำ มุมปากยิ้มมีเลศนัย

                ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ความคิดเองเกลก็เริ่มนำภาพปฏิกิริยาของฟลันเซทั้งหมดมาประมวลผลโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่แค่ความคะนองทั่วไปของเพื่อนเป็นแน่...ทำไมฟลันเซจึงแสดงท่าทีเหยียดเยาะกับความหวาดระแวงของเขา ราวกับนักพฤกษศาสตร์เห็นว่าการป้องกันเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย...ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เสียงหัวเราะของฟลันเซก็ย่อมไม่ใช่ความประมาท แต่เป็นความกล้าท้าทายด้วยความมั่นใจอันเหลือล้นต่างหาก แต่เหตุใดกัน...

                "ฮันส์...ข้าบอกแล้วอย่างไร เจ้าเครียดเกินไป"

                วูร์เซล ฟลันเซ หันหลังกลับ ยกมือโบกเป็นเชิงให้ตามเข้ามา

                นักพฤกษศาสตร์ผู้แปลกประหลาดเดินย่ำเชื่องช้าไปบนพื้นดินเปล่า เงาทอดยาวไหววูบทุกครั้งที่ก้าวขาไป ราวกับไม่เสถียร ราวกับอาจเลือนหายเพียงถูกลมพัดง่ายดาย

                ดวงตาสีฟ้ามองนิ่ง เองเกลยังคงสังเกตภาพทั้งหมดอยู่ที่นั่น...ในวินาทีนั้นชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกประหลาด เสียงน้ำในคลองที่ไหลผ่านหลังบ้านหายไปจากโสตสัมผัส เขาไม่ได้ยินเสียงอื่นใด นอกจากเสียงแมลงในสวนและเสียงฝีเท้าของฟลันเซ หัวใจของเองเกลแทบจะหล่นวูบ ความผิดปกตินี้ไม่ใช่สัญญาณอันดี ด้วยสัญชาตญาณเขาจึงหันมองรอบกายเพื่อจะสังเกตเพิ่มเติม ทว่ากลับไม่เห็นสิ่งใด นอกจากสวนหน้าบ้าน และร่างเจ้าของบ้านที่เดินไปอย่างเชื่องช้าทีละก้าว

                ชายหนุ่มยืนตัวแข็ง ใบหน้าซีดขาวหันมองขวับซ้ายขวาด้วยคิ้วที่ขมวดเกร็ง นัยน์ตาเบิกกว้าง...รอบตัวของเขามีแต่ความมืด ทางเดินที่ผ่านมาในตอนแรกถูกบดบังเหลือแต่ความมืดมิด ครั้นมองไปอีกทาง ก็ไม่เห็นสิ่งใด...

                นี่เขาอยู่ที่ไหนกัน!?

                ความหวาดกลัวไหลรินวาบ ได้ยินเสียงหลอดเลือดเต้นตุบอยู่ในศีรษะ ดังก้องจนกลบกระทั่งลมหายใจของตน

                "ฟลันเซ!" เองเกลตะโกนสุดเสียงอย่างตื่นตระหนก เหงื่อกาฬไหลรินอาบทั่วใบหน้า ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ตรงนั้น หันมองซ้ายขวา สองขาขยับก้าวพาร่างให้หมุนมองโดยรอบ ไม่เห็นอะไร "นี่เจ้าทำอะไร!?" ลมหายใจของเขาเริ่มหอบถี่ ความคิดบางอย่างถล่มเข้าสู่ห้วงสำนึก

                "อย่าพยายามหาเหตุผล ฮันส์..."

                เสียงคนตรงหน้าพูดดังขัดความคิดที่เครียดตึงจนมึนพร่า มันดูเป็นมิตร เริงรื่น...ขัดกับความรู้สึกเบื้องลึกที่น่าสะพรึงเป็นกำลัง "ตอนนี้เจ้าอยู่ในโลกของข้า ในบ้านของข้า ใครจะทำอะไรได้..."

                "นี่เจ้า?!" เจ้าจะทำอะไร...เหตุใดจึงทำสิ่งผิดปกติเหนือธรรมชาติอย่างนี้ได้ เหตุใดจึงต้องกักขังข้าไว้ในเขตของเจ้าแบบนี้...เจ้าจะทำอะไร

                ฟลันเซหัวเราะ แผ่นหลังของร่างผอมไหวกระเพื่อมน้อยๆ "อา...ฮันส์ เจ้าคงเข้าใจ คำถามพวกนั้นข้าตอบให้ไม่ได้ รู้ไว้แต่ว่า ถ้าข้าจะทำร้ายเจ้า มันก็ไม่ยากเลยสักนิด และเจ้าคงจะเห็น...ตอนนี้เจ้ายังปลอดภัยดี"

                แต่ถึงอย่างไร...

                " 'แต่ถึงอย่างไร' อะไรอีกหรือ"

                ความพรั่นพรึงอาบทั่วร่าง

                ใบหน้าของเพื่อนเก่าที่เขาไม่เคยรู้จักหันกลับมาช้าๆ มองไม่เห็นดวงตาสีน้ำตาลที่ถูกซ่อนใต้แสงสะท้อนของแว่นสายตา ริมฝีปากบางนั้นค่อยคลี่ยิ้มกว้าง

                "ถ้าเจ้ามีเรื่องจะถาม ข้าก็มีเรื่องจะบอกเจ้าเหมือนกัน ไปคุยกันในบ้าน จะดีกว่ายืนหนาวตรงนี้ไหม"

                เองเกลยืนนิ่ง...มองอยู่เนิ่นนาน

                ชายหนุ่มยอมรับจากใจจริงว่าน้ำเสียงนั้นไร้แววคุกคาม ดูจริงใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากยามที่ใครสักคนชวนเพื่อนเข้าไปในบ้านของตน แม้เวลานี้รอบข้างจะไม่มีอะไรนอกจากความมืดเวิ้งว้าง แม้ทุกสิ่งในขณะนี้จะอยู่เหนือการควบคุมของเขา อยู่เหนือกระทั่งจิตสำนึกและความจริงทั้งมวลที่เคยประสบมา และดูเหมือนคนตรงหน้าจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม...

                ชายหนุ่มตระหนักชัดเจน เขาไม่มีทางเลือก

                อืม...เองเกลพ่นลมหายใจ เห็นควันขาวเป็นไอ ศีรษะค้อมลงเล็กน้อย มุมปากเผยยิ้มบาง หัวเราะเบาๆ ถ้าอย่างนั้น หวังว่าเตาผิงบ้านเจ้าคงอุ่นพอนะ วูร์เซล"

                สีหน้าท่าทางของเองเกลกลับคืนสู่ปกติ ผ่อนคลาย เหมือนไม่มีสิ่งแปลกประหลาดอะไร...ชายหนุ่มรวบรวมสติไปกับจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้อีกหน ไล่เรียงความสำคัญก่อนหลังทั้งหมด กลบความสงสัยและความคิดจะรีดเค้นความจริงไว้ชั่วคราว ก่อนที่ฟลันเซจะดึงประตูไม้เปิดออก เปิดทางให้เขาเดินเข้าไป

                ชายหนุ่มยืนอยู่ในบ้าน เหลียวมองด้านหลังตนแวบหนึ่ง...เห็นแต่ความมืดมิดไม่สิ้นสุด...พลันก็หันกลับมา เป็นปกติ ไม่ต่อต้านอะไร

                เพราะเขาทำสิ่งใดไม่ได้ นอกจากจะยอมเล่นไปตามน้ำ

     

                ชายหนุ่มนั่งยองอยู่หน้าเตาผิง มือผอมแกร่งถอดถุงมือหนังออกเหยียดไปด้านหน้า ปลายนิ้วที่เพิ่งผ่านอากาศหนาวเยือกแข็งคลี่ออกอังไออุ่นจนเกือบสัมผัสกับสะเก็ดไฟร้อนระอุ แสงสีออกส้มของเปลวไฟฉายอาบผิวขาวซีดเซียวจนดูเป็นสีนวล สะท้อนกับใบหน้าซูบตอบ และลุกโชนในดวงตาสีฟ้าที่มองตรงผ่านด้วยอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด

                คำถาม...มีแต่คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในใจของเขา ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องราวที่ตนอยากรู้มาแต่เดิม หากยังหมายรวมถึงเรื่องราวของชายเจ้าของบ้านที่ตนไม่เคยแม้แต่จะคิดสงสัย

                เขารู้จักฟลันเซมานานแค่ไหน? ก็ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาตัดสินใจหันหลังให้กับวิหารที่ตนเติบโตมาอย่างไรเล่า...ชีวิตในสถานที่ที่มีแต่การบังคับแบบไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงนั้นขัดกับนิสัยทั้งหมดของเองเกล และเมื่อห้าปีก่อนที่ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง ตอนนั้นเอง ที่เขาได้พบกับว่าที่แพทย์หนุ่ม วูร์เซล ฟลันเซ ผู้หันหลังให้กับวิถีทางแห่งการรักษา และมุ่งมาสู่โลกที่มีแต่ต้นไม้สีเขียวขจีใบที่ครอบงำความคิดทั้งหมดอยู่ในปัจจุบัน...เองเกลเชื่อว่าเขาและฟลันเซก็คือคนประเภทเดียวกัน คนที่มองเห็นความบกพร่องในที่ที่ตนอยู่ ขณะเดียวกันก็ตระหนักดีว่าตนต้องการอะไร จึงสามารถตัดขาดจากชีวิตที่ผ่านมาได้อย่างไม่เสียใจอาลัยอาวรณ์

                แต่เมื่อเขากำลังอยู่ในบ้านของนักพฤกษศาสตร์ และอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้อันเนื่องมาจากความสามารถของฟลันเซเอง เวลานี้ เองเกลจึงตระหนักว่าตนคิดผิด

                "เจ้ามีอะไรสงสัยอยู่ไม่ใช่หรือฮันส์?"

                น้ำเสียงเป็นมิตรของวูร์เซล ฟลันเซ ดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับมือหนักๆที่ตบลงบนบ่า

                เองเกลหลุบตาลงมองหลังมือเรียวบาง ก่อนจะเหลือบขึ้นจ้องใบหน้าคุ้นเคยพลันก็ลุกยืนพรวดพร้อมผลักร่างของนักพฤกษศาสตร์ให้เซถอยไปเล็กน้อย ชายหนุ่มเหยียดหลังตรง ก้มศีรษะลงเพ่งพินิจร่างของฟลันเซด้วยดวงตาที่หรี่เกร็ง ความเครียดที่รุมเร้าทำให้เขาเผลอแสดงกิริยาคุกคามออกมาอีกครั้งหนึ่ง และแน่นอนว่าฟลันเซไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ

                ร่างสูงเค้นคำจากลำคออย่างยากลำบาก เสียงแหบแห้ง

                "ที่ข้ามาหาเจ้า ก็แค่จะมาถาม ว่าเจ้าพบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับ 'นาง' บ้างหรือยัง"

                และคำตอบนั้นก็ทำให้เองเกลต้องตกใจแทบสิ้นสติ!

                "เยอะแยะ"

                ริมฝีปากบางแตกคลี่ยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะหึ

                นักพฤกษศาสตร์กางแขนออก หันหลังเดินผ่านพื้นไม้ว่างเปล่าไปยังอีกมุมห้อง เหนือชั้นวางไม้สีเข้มสูงระดับอกมีกระถางดินเผาวางอยู่ กุหลาบต้นหนึ่งเติบโตอยู่ในกระถางใบนั้น มือผอมของฟลันเซแตะเข้าที่ขอบใบหยักนิดหนึ่ง กรีดไล้ตามขอบใบแช่มช้า ก่อนจะกดปลายนิ้วลึกลงสู่หนามแหลมแรกที่พบเจอ

                ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง เองเกลขมวดคิ้ว กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวยามที่ฟลันเซดึงนิ้วออก เห็นหยดเลือดสีแดงเข้มผุดออกจากปากแผล ก่อนที่นักพฤกษศาสตร์จะกดรีดเลือดนั้นให้ไหลรินสู่ปลายนิ้ว และหยดลงเหนือตุ่มดอกสีเขียวที่เพิ่งแตกออกมาไม่นาน

                วูร์เซล ฟลันเซ กำลังจะทำอะไร

                "เจ้าเดินเข้ามาใกล้ๆ" ฟลันเซสั่ง ดวงตาหลังแว่นยังไม่ละจากดอกไม้ในกระถาง "แล้วดูเสีย จ้อง 'นาง' อย่าได้คลาดสายตา"

                เขาทำตามนั้น

                เลือดสีแดงสดรินจากปลายแหลม ค่อยอาบไล้ตุ่มดอกตูมสีเขียวเล็กเรียวทีละน้อย...จนในที่สุดก็ฉาบทั่วจนไม่เหลือช่องว่าง พลันโลหิตเหลวที่อาบทาก็ซึมวาบหายไป...ปรากฏเป็นลำริ้วแดงฉานตามเส้นใบ ไล่ผ่านเลี้ยงจนทั่วทั้งต้นในพริบตา

                กุหลาบต้นเตี้ยสั่นระริก มันเหยียดยอดอ่อนให้สูงขึ้นนิดหนึ่งพลันก็ขยับปลายยอดให้หมุนโดยรอบ ครั้นไม่พบสิ่งใดจึงหยุดเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเส้นเลือดสีแดงที่ซึมแทรกเป็นริ้วก็ไหลย้อนคืน กลับมาคั่งอยู่ที่ที่มันรับมาแต่แรก แปรเปลี่ยนดอกตูมที่เคยเป็นสีเขียวเรียวเล็กให้บวมตึงและฉายสีแดงอย่างเลือด...และไม่นานนัก ตุ่มดอกนั้นก็สั่นอย่างรุนแรง! ระเบิดออก...

                ดอกกุหลาบสีแดงบานสะพรั่ง กลีบนวลเรียงสลับอย่างงดงาม

                "นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้ในตอนนี้" แว่วเสียงนักพฤกษศาสตร์ดังขึ้นขัดภวังค์แห่งความตกตะลึง "ความรู้ที่ข้ามีอธิบายเรื่องที่เห็นนี้ไม่ได้ มัน...มันมหัศจรรย์...มันอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่ข้าเรียนรู้มาทั้งชีวิต แต่ถ้าจะทิ้งกฎเกณฑ์พวกนั้น แล้วทิ้งความรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดไป เหลือแต่ความรู้สึก เหลือแต่อารมณ์ที่เกิดขึ้น...ข้าเชื่อว่าเจ้าก็คงอธิบายสิ่งที่เห็นได้ไม่ต่างจากข้า"

                "มันแปลกประหลาดนัก" เองเกลตอบกลับ สายตายังไม่ละจากกุหลาบ "แต่ข้าไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร..."

                "เจ้ารู้...และเจ้าก็รู้ว่าเจ้ารู้" อีกฝ่ายย้อนด้วยน้ำเสียงรื่นหู "ก็เหมือนที่เจ้าน่าจะเข้าใจแล้ว ว่าเรื่องที่ข้าทำได้น่ะอยู่เหนือสามัญสำนึกของเจ้าก็จริง ถึงจะไม่รู้ว่าข้าทำได้อย่างไร แต่ในเมื่อมีข้าให้เห็นแล้วหนึ่งคน ก็แปลว่าหลังจากนี้มันจะไม่ใช่อะไรที่เหนือสามัญสำนึกของเจ้าอีกต่อไป และในโลกนี้ก็อาจจะมีคนอื่นที่ทำแบบข้าเหมือนกันอีกก็ได้ เพียงแต่เจ้ายังไม่รู้เท่านั้น"

                "แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมกุหลาบจึงขยับได้เวลามันได้เลือด..."

                "ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผล ข้าว่าข้าแสดงให้เจ้าเห็นแล้ว...มันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก ฮันส์" ฟลันเซพูดขัด "ในเมื่อรู้แล้วว่ากุหลาบต้องสาปนี่เวลามีเลือดแล้วมันทำอะไรได้ คำตอบคงไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้า ข้าเชื่ออย่างนั้น"

                ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนปลายสายตาจากต้นกุหลาบมายังใบหน้าของฟลันเซ เองเกลยังไม่คุ้นชินกับสภาพที่แปลกประหลาดเหนือความคิด จึงได้หวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้ตระหนักบางสิ่งที่สำคัญกว่า...ความโกรธและความไม่ไว้ใจทั้งหมดถูกถ้อยคำของนักพฤกษศาสตร์ทำลายไปหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่ความสงสัยและดวงตาที่เริ่มฉายแววแห่งความเข้าใจ

                ข้าว่าข้าคงต้องกลับแล้ว เองเกลบอก หันมองรอบกาย สังเกตสภาพภายในบ้านของฟลันเซทั้งหมด - มันไม่มีอะไรแปลกไปจากบ้านก่ออิฐที่ปูพื้นด้วยไม้ และไม่มีนาฬิกา แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย เขาเพ่งมองอย่างละเอียด พยายามบันทึกทุกสิ่งไว้ในความทรงจำ เผื่อว่าในอนาคตอาจจะได้มีโอกาสนำมาใช้ อาจจะเป็นข้อมูลสำคัญอะไรสักอย่าง

                เจ้าจะไม่รอดื่มกาแฟยามเช้ากับข้าจริงหรือ ฟลันเซกระเซ้า หัวเราะเสียงต่ำ มองดูท่าทางของเองเกลที่นิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลงอยู่พักหนึ่ง...แล้วจึงพยักหน้าเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้นึกกรุ่นโกรธอะไร “...แค่ล้อเล่น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากจะให้ใครเห็นเจ้าเพิ่งเดินกลับที่พักตอนเช้า ถ้าเจ้าจะกลับก็แค่เปิดประตูแล้วเดินออกไป แต่ข้าคงไม่เดินไปส่งเจ้าหรอกนะ

                ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก ขอให้เจ้าโชคดี

                เองเกลค้อมศีรษะน้อยๆ ก่อนจะเดินออกไปพลางสวมถุงมือหนังกลับดังเดิม มือแกร่งนั้นขยับประตูให้เปิดออก ครั้นเห็นแสงไฟจากโคมริมรั้วและหลังคาตึกข้างเคียงก็อุ่นใจ แต่ทันทีที่ก้าวผ่านไปยืนอยู่นอกตัวบ้าน ความสงสัยหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามา

                ฟลันเซ เจ้ามาจากเดรฮา...

                ชายหนุ่มชะงักยามหันกลับไปด้านหลัง ประโยคที่จะเอ่ยถามหยุดอยู่เพียงนั้นทั้งที่ไม่จบความ นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าออกทีละน้อย ก่อนจะเริ่มสั่นด้วยความหนาวปนกับความรู้สึกอย่างอื่น เองเกลเกร็งไปทั้งร่าง แทบจะหยุดหายใจ

                ในบ้านที่เขามองตรงเข้าไปนั้นมืดสนิท...ไม่ได้มีร่องรอยของการพบกันระหว่างเขากับนักพฤกษศาสตร์อยู่เลยจนนิดเดียว!

     

                ...เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังฝัน...

    เกือบหนึ่งสัปดาห์หลังจากวันที่เกิดคดีคำสาปกุหลาบ ข่าวใหญ่มากมายถูกประกาศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่คำอธิบายเกี่ยวกับกรณีไฟป่านอกเมือง ที่เหมือนจะทำให้ชาวเมืองเบาใจลงบ้างเกี่ยวกับคดีนี้ เพราะคำยืนยันจากข่าวนั้นทำให้เห็นว่าทุกคนจะปลอดภัยหากไม่ย่างกรายไปในป่า ทั้งเมื่อสองวันมานี้ยังมีประกาศทางวิชาการมาจากนักพฤกษศาสตร์ วูร์เซล ฟลันเซ ว่าธรรมชาติของกุหลาบอันตรายนี้เป็นอย่างไร สอดคล้องกันดีกับข่าวใหญ่จากทางสำนักงานตำรวจกลาง

    เวลาเช้ามืด ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นจากขอบฟ้า แสงไฟจากตะเกียงสลัวส่องให้เห็นชายร่างสูงที่นั่งข้างโต๊ะไม้กลางห้องพักโดยมีหนังสือพิมพ์นับสิบฉบับกองสุมอยู่รอบๆ มือยาวซีดเซียวหยิบรายงานข่าวที่เพิ่งได้รับเมื่อวานมาอ่านดูอีกครั้ง คิ้วเคลื่อนเข้าขมวดกัน แล้วก็ต้องพ่นลมหายใจ โยนแผ่นกระดาษนั้นกลับลงที่เก่าอย่างไม่ไยดีพลางเอนแผ่นหลังแนบพนักเก้าอี้ ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกหลุบลงมองเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมอย่างไม่สบอารมณ์ กัดฟันแน่น

    ทั้งหมดนี่มันขยะ...ขยะชัดๆ...ใครเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริงก็นับว่าโง่ดักดานเต็มทน!

    ชายหนุ่มส่ายศีรษะ ก่อนลุกจากเก้าอี้แล้วเตะมันส่งถอยหลังดังครืด เดินตรงเข้าห้องน้ำ แล้วจึงเปิดให้สายน้ำชะล้างความหงุดหงิดที่ถูกสุมมาหลายวันออกไปเสียบ้าง เปลือกตาปิดแน่นระหว่างที่สะบัดศีรษะให้ละอองน้ำกระเซ็นจากเรือนผมสีบลอนด์เปียกชุ่ม น้ำอุ่นส่งไอเป็นฝ้ายังกระจกริมผนัง หากยังคงเห็นผิวกายเรื่อแดงจากอุณหภูมิน้ำสะท้อนกลับมาเป็นเงามัว

    ชายหนุ่มร่างสูงปิดน้ำ ปล่อยความหนาวเย็นของอากาศให้แตะต้องผิวพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ เดินออกไปแต่งตัว

    หากถามว่าเวลานี้ฮันส์ เองเกลรู้สึกอย่างไร คำตอบคงเป็นเพียงเขากำลังไม่พอใจกับทุกๆอย่าง และนั่นหมายถึงทุกอย่างในโลกนี้ที่เขาไม่มีปัญญาจะควบคุมได้...

    นี่หมายความว่าเขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า?

    เองเกลสวมเครื่องแบบตำรวจสีดำเช่นเดียวกับทุกวันด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่สุดในชีวิต ชายหนุ่มถือว่าตนเป็นตำรวจผู้รักษากฎหมายมาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงาน และควรปฏิบัติตนอย่างสัตย์ซื่อ เขาหยิ่งทระนงในความสัตย์จริงเป็นยิ่งนักมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าในคราวนี้จะทำงานอย่างซื่อตรงได้อย่างไร เพราะกระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้น...สิ่งเดียวที่เองเกลแน่ใจคือความสอดคล้องกันของข่าวที่ออกมามันดูแปลกเกินไป ราวกับไม่มีอะไรให้ขบคิดไปมากกว่านี้ เหมือนเรื่องนี้ช่างง่ายดายเสียเต็มประดาจนไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าแล้วเหตุใดกันคนที่เข้าไปในป่าตั้งมากมายแต่ก่อนนั้นจึงไม่เคยได้รับอันตราย...เหมือนกุหลาบกลายพันธุ์นี้อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาเอง ไม่มีสาเหตุ ไม่มีอะไรให้รู้ล่วงหน้า

    และที่ขัดแย้งกันเองที่สุดก็คือ...มันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเกิดจะบอกว่า ชายคนที่ชื่อเบรนน์นั้นตายเพียงเพราะเคราะห์ร้ายเดินผ่านดงหนามธรรมดาที่ผุดขึ้นมาเองจากอากาศธาตุ!

    พลันเองเกลก็ชะงักไป

    แล้วถ้าอย่างนั้น ที่เขาเพิ่งประสบมาเล่า...มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

    ก๊อกๆๆ!

    เสียงเคาะประตูดังถี่ๆจากหน้าห้องพัก เองเกลจึงเดินออกไปกระชากประตูเปิดโดยไม่ลืมจะสวมหน้ากากเย็นชาใบนั้นไว้ ตรงหน้าเขาคือร่างเล็กของผู้ดูแลอาคารชราที่กำลังยื่นจดหมายปึกหนึ่งให้ด้วยรอยยิ้ม แต่ทันทีที่ชายหนุ่มมองความหนาของจดหมาย มือที่เอื้อมไปรับก็หยุดนิ่ง น้ำเสียงยานคางแฝงแววลังเลเอ่ยเชื่องช้า

    นี่มันอะไร? ...แน่ใจนะว่าส่งถึงข้า?”

    อืม...นี่เป็นจดหมาย แน่ใจว่าส่งถึงท่าน เพราะฉะนั้น รีบๆรับไปเสียเถอะขอรับ

    คนดูแลชราย้อนตอบด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตรที่สุดเท่าที่โลกนี้จะมีได้ พลางยัดจดหมายปึกหนาหนักใส่มือผู้รับ ก่อนจะยื้อดึงประตูกระแทกปิดลงอย่างแรงจนได้ยินเสียงกรอบประตูสั่นแกรกๆตามมา

    เองเกลยืนมองบานประตูไม้อยู่อย่างนั้น ไม่คิดอะไร พักหนึ่งดวงตาสีฟ้าคมดุจึงเลื่อนลงเพ่งมองจดหมาย...และก็ต้องขมวดคิ้วเกร็งอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นลายมือจ่าหน้าซองที่เขียนด้วยหมึกสีดำ

    ...ลายมือใคร ทำไมหวัดนัก...

    ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งที่โต๊ะไม้กลางห้อง ถอนใจอย่างหงุดหงิด ริมฝีปากเหยียดเม้มกัดฟันกรอด ตอนนี้เขาอยากจะนั่งคิดถึงสิ่งที่เพิ่งประสบมา อยากจะคิดเชื่อมโยงว่าสรุปแล้วมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันบ้าง แต่กลับต้องมาเสียเวลากับการอ่านจดหมายที่หนาพอๆกับคัมภีร์ในวิหาร ราวกับมีใครคนหนึ่งไม่อยากให้เขาได้มีโอกาสวิเคราะห์ตีความสิ่งที่พบเจอมาอย่างไรอย่างนั้น

    ราวกับจงใจ

    เองเกลหลับตา ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจไล่ความคิดวกวนออกไป เขาจำใจเอื้อมหยิบมีดตัดซองจดหมายจากในกล่องไม้ใกล้มือ ค่อยกรีดซองกระดาษออก...ก่อนจะจับมุมซองเททุกสิ่งภายในให้ไถลออกมากองเต็มโต๊ะ แล้วเลือกหยิบปึกบนของจดหมายมาคลี่ดูคร่าวๆ นิ้วเรียวขยับพลิกหน้ากระดาษอย่างคล่องแคล่ว พบว่าทุกหน้านั้นเขียนด้วยลายมือ และมีบางหน้าเป็นภาพวาดดอกกุหลาบ บางหน้าเป็นภาพของร่างกายมนุษย์ และทุกหน้าจะมีรายละเอียดแจกแจงด้วยลายมือเขียน

    มือผอมเซียวกระแทกขอบกระดาษให้เรียบเสมอกัน ก่อนจะวางลงอย่างเรียบร้อย

    แม้ไม่ต้องหยิบซองจดหมายมาดูชื่อคนส่งอีกครั้ง เขาก็รู้...ว่าชื่อของผู้ส่งย่อมไม่พ้น อาเดล ไวส์มันน์ นายแพทย์แห่งเดรฮา

    ชายหนุ่มใช้มือซ้ายค่อยกางจดหมายแผ่นบนสุดออกอ่าน เขารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่ปกติสักเท่าใด ไม่อย่างนั้นแพทย์หนุ่มคงไม่ต้องส่งมาถึงตน แทนที่จะเป็นเพื่อนเก่าอย่าง ท่านเคลฟ แห่งแวร์ฟาเรน

    พลันเองเกลก็สงสัย เหตุใดกัน อาเดลจึงไม่ส่งจดหมายนี้ไปให้กับเคลฟโดยตรง ทำไมจึงต้องผ่านเขา...เพราะแพทย์หนุ่มต้องการให้เขารับรู้เรื่องราวที่ตนเพิ่งได้ประสบมาก่อนที่จะได้ไปพบกับเคลฟ

    หรือว่า...

    หรืออาเดลคนนั้นมองเห็น ว่าการส่งจดหมายนี้ไปให้เคลฟ ย่อมไม่ต่างอะไรกับการเผาเรื่องราวทั้งหมดทิ้งเสียจนกลายเป็นเถ้าถ่าน!

     

     

    ข้าฝากท่าน ฮันส์ เองเกล ให้ส่งจดหมายนี้ถึงเคลฟด้วย...ท่านสามารถอ่านมันได้โดยไม่ต้องกังวล และขอได้โปรดอ่าน เพราะนี่คือความจริงที่ข้าอยากให้ท่านรู้ด้วยเช่นกัน

               

     

    สถานพยาบาลผู้ต่อต้าน

    ถนนเอเดลไวส์  นครเดรฮา

    แคว้นชวินเดล

                                          22 กันยายน ____

    ถึง ท่านเคลฟ แห่งแวร์ฟาเรน

              ท่านคงจำได้ว่าข้าเดินทางกลับเดรฮา เนื่องจากอาการป่วยของท่านหญิงโรซามุนเด - อาการของนาง ทีแรกข้าคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่ครั้นนางหายป่วยในอีกสามวัน ข้าจึงเบาใจได้ว่านางไม่ได้เจ็บหนักอย่างที่คิด แต่จะป่วยด้วยโรคอะไรนั้นยังสุดความสามารถข้าจะวินิจฉัย

              ข้าไม่ได้เขียนมาเพียงเพื่อแจ้งว่าท่านหญิงโรซามุนเดกลับเป็นปกติ แต่เรื่องร้ายแรงกว่านั้นคือ ท่านหญิงโรซาลิเอก็เริ่มป่วยเช่นกัน นางเจ็บไข้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากข้ากลับมาถึง และจนบัดนี้ก็ยังไม่หายดี ข้าเห็นว่านางเหมือนจะเป็นโรคอันเนื่องมาจากความเป็นสตรี แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่ว่ายาอะไรก็ดูจะไม่บรรเทาความเจ็บป่วยของนางเลย

              อีกเรื่องหนึ่งคือ ข้าสงสัยว่าเหตุใดจึงมีถุงนั้นส่งมายังที่ทำงานข้า ทั้งที่มั่นใจว่าท่านไม่ได้ส่งมา แต่จดหมายที่บอกให้ข้าตรวจดูเร่งด่วนก็เป็นลายมือท่าน - ที่น่าแปลกคือ ในถุงนั้น ในมือนั้น มีเส้นผมสีทองอยู่...ข้านึกสงสัยอะไรมากมาย แต่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะข้าอยู่ดูแลพวกนางเกือบตลอดเวลา

              ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จกับคดีคำสาปกุหลาบ แต่ข้าคิดว่าท่านควรจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนท่านหญิงโรซาลิเอในเร็ววัน

                                                              ด้วยความปรารถนาดี

                                                                  อาเดล ไวส์มันน์

     

     

                แล้วเจ้าอยากจะให้ข้าบอกอะไร?”

                กระดาษจดหมายแผ่นหน้าสุดค่อยเลื่อนลงช้าๆ วางลงบนโต๊ะอย่างบรรจง ขณะเดียวกันดวงตาสีเฮเซลก็จ้องมองอย่างเยือกเย็น รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนยังคงแย้มพรายอยู่บนใบหน้า ทว่านั่นไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายยอมผ่อนตามเลยแม้แต่น้อย

                ข้าไม่ได้คาดหวังคำชี้แจงจากท่านหรอกขอรับ เองเกลแย้งราบเรียบ เขานั่งตัวตรงอยู่อีกฝั่งโต๊ะ ใช้ความแข็งกระด้างอันเริ่มหลอมรวมเป็นนิสัยต่อสู้กับท่าทีเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวของผู้บังคับบัญชา ข้าแค่อยากจะให้ท่านเห็น ว่าจดหมายนี้แปลกประหลาดแค่ไหน อย่างไร...ซึ่งถ้าท่านเห็นว่ามันไม่มีอะไร มันก็คงจะไม่มีอะไร และท่านก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไร กระทั่งเขาเป็นผู้เอ่ยเองก็ยังรู้สึกว่ามันเข้าใจยาก แต่ครั้นจะให้ใช้วิธีอื่นก็คงไม่สำเร็จ เพราะคนอย่างเคลฟนั้นถ้าไม่ดักทางไว้ก่อนเป็นนัยย่อมไม่มีอะไรคืบหน้าเป็นแน่

                ในเมื่อเจ้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับมันนัก อย่างนั้นข้าก็เห็นว่ามันไม่มีอะไรเคลฟตอบพร้อมรอยยิ้ม อีกอย่างหนึ่ง...สมมุติเจ้าอยากให้ข้าอธิบายสิ่งที่ข้าคิด เจ้าก็ควรจะบอกก่อนสิว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไร ถูกไหม

                ถ้าข้าบอกว่าข้าเห็นว่าเรื่องที่ฟลันเซประกาศมัน ไม่มีอะไร...

                เขาประกาศตามความจริง กุหลาบนั่นแท้จริงแล้วไม่มีพิษมีภัย

    “...และเมื่อข้าอ่านจดหมายนี้จบ ก็เห็นว่าเรื่องที่ท่านเล่าให้ใครต่อใครฟังเกี่ยวกับกุหลาบปีศาจในป่านั้น ไม่มีอะไรเหมือนกับคำประกาศของฟลันเซนั่นแหละขอรับ

    เองเกลตัดบท ม่านตาสีฟ้าหรี่ลงสังเกตสีหน้าของเคลฟอย่างเย็นชา...เองเกลแน่ใจว่าเคลฟกำลังมีปัญหา และปัญหานั้นไม่ใช่เรื่องดีต่อใครทั้งสิ้น จึงได้ทำทีเป็นทองไม่รู้ร้อนด้วยยังตัดสินใจไม่ได้ หรือไม่ก็ยังไม่มีโอกาสจะเริ่มแผนการขั้นต่อไปของตนเอง ความจริงที่ผ่านมาใช่ว่าเคลฟไม่เคยทำแบบนี้ แต่คราวนี้มันต่างออกไป

    ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน สุดท้ายแล้วเคลฟย่อมไม่อาจปิดบังไว้ได้ เพราะเขาตระหนักดีว่าความสำเร็จในการไขคดีย่อมต้องอาศัยข้อมูลจากทุกคน แล้วนี่อะไร...เคลฟไม่มีกระทั่งท่าทีว่าจะยอมบอกเรื่องจริงที่ตนประสบมาให้ใครฟังเลยสักคน ซึ่งเท่ากับว่าพฤติกรรม ไม่มีอะไรที่เคลฟแสดงออกมานั้นสื่อความในทางตรงข้ามอย่างสมบูรณ์

    เขารู้ว่าเคลฟกำลังปิดบัง เขารู้ว่าเรื่องที่ปิดบังนั้นสำคัญยิ่งต่อตัวตนของเคลฟเอง และทันทีที่ได้รับจดหมายนี้...ก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก

    เหลือแต่ว่า เคลฟจะทำอย่างไรต่อไปเท่านั้น

    เรื่องของท่านหญิงโรซามุนเด...ข้ารู้ว่านางไม่ได้เป็นอะไรตั้งแต่แรก แต่ทำไมอาเดล ไวส์มันน์ จึงเขียนมาเช่นนั้น ข้าไม่รู้"

    เองเกลเอ่ยทำลายความเงียบที่เริ่มกดดัน รอยยิ้มอ่อนโยนเสแสร้งของเคลฟยังอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องถุงนั้นกับท่านหญิงโรซาลิเอ ข้าแน่ใจว่า...

    มันไม่เกี่ยวกับข้า นายตำรวจหนุ่มขัดเสียงนุ่ม ถ้าเจ้าสงสัยว่าข้ารู้เห็นเรื่องนี้ ก็แสดงว่าเจ้าไม่รอบคอบเอง...ข้าไม่เคยเขียนจดหมายหรือส่งอะไรไปให้อาเดลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

    เองเกลเงียบไป รอให้อีกฝ่ายชี้แจงต่อ แต่ไม่มีคำใดแพร่งพรายออกมา

    ท่านยังไม่ได้แย้งอยู่อีกประเด็นหนึ่งนะขอรับ...

    แล้วข้าจำเป็นต้องแย้งด้วยหรือ เคลฟพูดเสียงเรียบ “...ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้อะไรมา แต่ถ้าเรื่องโรซาลิเอ เจ้าไม่รู้อะไรเลย

    มันเกี่ยวข้องกันแน่ๆ

    เองเกลไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จากปฏิกิริยาของเคลฟ จดหมายจากอาเดล และข่าวที่เขาได้มาเป็นการส่วนตัว รวมถึง บางอย่างที่เขายังไม่แน่ใจ...ข้อมูลทั้งหมดทำให้คดีดูแคบลงไปมาก ชายหนุ่มพอจะคาดเดาได้ แต่ก็อยากแน่ใจว่าตนสงสัยมาถูกทางจริง และคำของเคลฟก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้นแต่อย่างใด

    ยังอีกยาวไกล...อีกนานนักกว่าความจริงทุกอย่างจะประกอบกันได้ลงตัวเป็นภาพเต็ม แต่อย่างน้อยเองเกลก็เริ่มจะรู้ ว่าชิ้นส่วนที่มีอยู่แท้จริงแล้วคืออะไร

    ถ้าอย่างนั้น...

    เองเกลประสานมือวางบนโต๊ะด้านหน้า สบตากับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างจริงจัง พูดเสียงต่ำเนิบช้า

    ท่านจะไปเดรฮาเมื่อไรขอรับ

    นัยน์ตาสีเฮเซลหลุบลงชั่วขณะ พลันรอยยิ้มอบอุ่นก็เลือนหายไป เหลือแต่ความเงียบงัน เหลือแต่ความจริง...ด้วยไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบาย แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังเช่นกัน

    เดี๋ยวเจ้าตามข้าไปที่ปราสาทด้วย จดหมายรับรองอยู่ที่นั่นเคลฟลุกขึ้น เริ่มรวบรวมเอกสารที่กระจัดกระจายเป็นปึกเดียว ก่อนจะจัดลงในกระเป๋า ข้าจะไปวันนี้นี่แหละ แต่คงต้องจัดการหลายๆเรื่องก่อน กว่าจะออกเดินทางน่าจะเกือบค่ำกระมังครั้นแล้วชายหนุ่มก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ มือแกร่งหยิบใบคัดลอกประกาศจากฟลันเซขึ้นมาจากโต๊ะ ไล่สายตาอ่านรวดเร็ว ก่อนเหลือบขึ้นมองใบหน้าไร้อารมณ์ของเองเกล นัยน์ตาสีฟ้าซีดจ้องตอบอย่างเยือกเย็น

    จะว่าไป...ฟลันเซบอกอะไรเจ้าหรือเปล่าว่าเขาพบอะไรบ้าง

    ฟลันเซ...

    เป็นเองเกลที่ชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกุหลาบที่เคลื่อนไหวได้ยามดูดเลือดเป็นอาหาร นอกเหนือจากนั้นถือเป็นเรื่องในฝันที่ไม่น่าจะสลักสำคัญอะไรมากมาย เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่าออกมาได้อย่างไร เคลฟเองเมื่อได้รู้แล้วก็ไม่ถามอะไรต่อ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะไม่เอ่ยถึงความแปลกประหลาดที่เขาเจอมาเช้ามืดวันนี้

    ผู้บังคับบัญชาเดินออกไปแล้ว เองเกลหยุดยืนอยู่หน้าประตู คว้าหมวกมาสวม หันกลับไปมองภายในห้องที่มืดสนิท ห้องที่เขาจะต้องใช้ เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ จนถึงเมื่อใดไม่อาจทราบ

    เรื่องของฟลันเซ...เขารู้สึกว่ามันสำคัญ แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไรได้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันว่ามันเป็นความจริง

    กระทั่งตนยังไม่เชื่อ อย่างนี้แล้วจะทำให้ใครเชื่อได้

    กระทั่งหลักฐานยังมีแต่ความทรงจำของตน อย่างนี้แล้ว...

    มือผอมแกร่งขยับประตูปิดลงดังปัง

    มันจะยังคงเป็นความลับ...จนกว่าจะจำเป็น จนกว่าจะถึงเวลานั้น เวลาที่ทุกอย่างประกอบกัน ขาดแต่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ซ่อนเร้น เมื่อนั้น สิ่งนี้อาจเป็นคำตอบสุดท้าย

    เขาตัดสินใจ

    และไม่รู้เลยว่าเรื่องที่ตนเก็บงำ จะสามารถทำให้ทุกสิ่งเลวร้ายลงเพียงใด

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×