ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rosamunde คำสาปกุหลาบลวง

    ลำดับตอนที่ #4 : ความจริงที่คืบคลาน

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 53


    4: ความจริงที่คืบคลาน

     

    แสงอรุณฉายฉาบทาทั่วทุ่งกว้างปรากฏดุจผืนทองประดับมณีมรกตอำไพ ขอบฟ้าสีแสดสลับครามเรืองรองตัดกับแนวขุนเขาทอดยาวสีดำทะมึน เหล่านกกาโผบินทอดเงาวูบไหวกลางท้องฟ้า

    กลางทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา มีคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น หลังคาปูกระเบื้องสีน้ำเงินเข้มตัดกับทุ่งดอกไม้หลากสีและผืนหญ้าเขียวขจี หากเป็นในยุคก่อน คฤหาสน์นั้นย่อมต้องเป็นปราสาทหรือป้อมปราการของขุนนางสักคนหนึ่ง แต่ยามนี้ที่เศรษฐกิจของแคว้นชวินเดลกำลังเฟื่องฟู คหบดีผู้ร่ำรวยสักคนก็สามารถมีปราสาทและที่ดินของตนเองได้...และคฤหาสน์ไอน์ฟัลแห่งเดรฮาก็สร้างขึ้นด้วยเหตุนี้

    ตัวคฤหาสน์อยู่นอกเมืองมาเล็กน้อย มีถนนปูหินอย่างดีทอดผ่านเชื่อมต่อเขตเมืองมาถึง สองฝั่งฟากมีพุ่มดอกไม้หลากสีสันเรียงกันเป็นแนวยาว เสาไฟสีขาวนวลตาส่องสว่างเป็นระยะ กลางถนนกว้างนั้น มีรถม้าสีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาทางฝั่งขวา อาชาสีน้ำตาลพ่วงพีควบเร็วส่งเสียงกุบกับกระทบพื้นผิวเป็นจังหวะต่อเนื่อง ด้วยผู้อยู่ในรถเร่งเร้ามาตลอดทาง ว่าจะต้องมาถึงคฤหาสน์ไอน์ฟัลภายในช่วงเช้าให้ได้

    ดวงตาสีดำค่อยลืมขึ้น ภาพที่เห็นยังดูพร่าเลือนยามที่มือเรียวเอื้อมไปขยับม่านให้เปิดกว้าง แสงแดดยามเช้าส่องสว่างเจิดจ้าผ่านกระจกกั้นเข้ามา เผยให้เห็นร่างบุรุษคนหนึ่งในเสื้อโค้ตยับย่นกำลังขยับแว่นสายตากรอบทอง มือหนึ่งกอดกระเป๋าหนังสีดำใบย่อมไว้ไม่ให้หลุดไปไหน เรือนผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงจากการนอนหลับพิงพนักมาตลอดคืน และผู้เป็นเจ้าของยังคงไม่สนใจจะจัดมันให้เรียบร้อย

    ชายหนุ่มขยับมานั่งชิดหน้าต่างข้างขวา ผูกม่านรวมกันไว้ แล้วทอดมองทิวทัศน์เบื้องนอก เห็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีน้ำค้างปรกโปรยทอประกายระยิบระยับ ไม่ไกลกันนักก็ถึงเขตชายป่าโปร่งอันเขียวชอุ่ม เทือกเขาสีดำทึบทึมที่ทอดมาแต่ไกลนั้นคือทางที่เขาเพิ่งสัญจรผ่านมา และผืนป่าที่เห็นก็เชื่อมต่อกันจนบรรจบเป็นผืนเดียวกับที่แวร์ฟาเรน - มันคือส่วนหนึ่งของป่าต้องห้ามที่ยังคงมีเรื่องเล่าลึกลับมากมาย กระทั่งในยุคที่ภูตผีปีศาจได้เลือนหายไปหมดสิ้น

    ...กระทั่งในยามนี้...

    อาเดลเดินทางอ้อมเมืองเดรฮา ตรงมายังที่นี่ โดยไม่แวะไปที่สถานพยาบาลผู้ต่อต้านซึ่งเป็นที่ทำงานหลักของเขา จดหมายที่ส่งมาถึงมือเขาเช้าวานนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด โรซามุนเดเป็นอะไรไป...ทำไมจึงต้องเรียกเขาให้มาเดรฮาอย่างเร่งด่วน หมอคนอื่นที่เมืองนี้ไม่สามารถเยียวยาอะไรได้เลยหรือ...ข้อสรุปเดียวที่ได้จึงเป็น โรซามุนเดคงกำลังป่วยด้วยโรคประหลาดที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่ได้อยู่ในตำราแพทย์ใดเป็นแน่ ไม่ว่าจะร้ายแรงหรือไม่ก็ตาม แต่หากเป็นดังนี้จริง เขาก็ควรรีบไป

    รถม้าแล่นช้าลงจนได้ยินเสียงล้อรถเคลื่อนบนพื้นถนนปูหินชัดเจน อาเดลเอนศีรษะแนบขอบหน้าต่าง โสตประสาทยังคงแว่วเสียงรถม้าดังอื้ออึง แต่สายตามองเห็นรั้วโลหะโปร่งสีทองอร่ามเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที และในที่สุดก็หยุดนิ่ง ประตูโลหะสูงกั้นอยู่เบื้องหน้า ถัดไปเป็นถนนกว้างจนถึงลานน้ำพุขนาดย่อม สองข้างเป็นอาคารก่ออิฐสีเนื้อนวลประดับหน้าต่างสูงโปร่งแทรกสลับกระจกสีที่ส่องสะท้อนแสงอาทิตย์งดงามละลานตา

    คนรักษาความปลอดภัยของเจ้าของคฤหาสน์คุยกับคนขับรถม้าสองสามคำ ก่อนเดินมาดูที่หน้าต่าง ครั้นเห็นว่าอาเดลนั่งยิ้มนิ่งอยู่ในนั้นคนเดียว เขาจึงตะโกนบอกให้เปิดประตู ไม่ต้องตรวจอะไร

    อาเดลขยับนั่งหลังตรง จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูเรียบร้อย ในมือยังคงไม่ละจากกระเป๋ายาใบนั้น มือขาวซีดกุมหูหิ้วโลหะหุ้มหนังไว้แน่น ใบหน้ามองตรง เห็นกระจกแคบและร่างของคนขับในชุดเครื่องแบบสีแดงเลือดหมูของเดรฮาผู้นำจดหมายเรียกตัวมาส่งให้ถึงที่แวร์ฟาเรน...นึกสงสัยอะไรมากมาย ทุกอย่างดูเป็นปริศนาไปหมดสิ้นในสายตาของแพทย์หนุ่มเวลานี้

    ตั้งแต่เรื่องที่พี่ชายเขาเสียสติ มาจนถึงคดีคำสาปกุหลาบของเคลฟที่ดูจะเกี่ยวเนื่องกัน แล้วยังมี...ก้มหน้าลงมองกระเป๋ายา มองลึกลงประหวัดถึงจดหมายที่เพื่อนเก่าแห่งแวร์ฟาเรนฝากมาให้มอบแก่คนรัก...ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเคยถูกมองข้าม แต่ก็ดูจะเกี่ยวเนื่องกันไปหมด ข้อสันนิษฐานที่ผุดขึ้นในจินตภาพมีหลากหลาย ตั้งแต่เรื่องที่ผิวเผินที่สุด จนถึงเรื่องลึกล้ำและน่าหวาดกลัวที่สุด...แม้อาเดลจะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งใดเป็นความจริงกันแน่ แต่เขามั่นใจว่าต้องมีข้อสันนิษฐานบางประการที่ถูกต้อง และมันก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น

    ความสงสัยเริ่มเอ่อท้น แต่คำตอบยังคงมาไม่ถึง ทั้งโอกาสที่จะได้ล่วงรู้ยังมีอีกยาวนานนัก...ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บทุกอย่างลงเสียให้สนิท คำนึงถึงแต่หน้าที่ตรงหน้า...จะต้องรีบไปตรวจรักษาท่านหญิงโรซามุนเด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

    แพทย์หนุ่มก้าวผ่านคนเปิดประตูที่หน้าตัวอาคารเข้าไปในโถงกลาง ทักทายกับคนรับใช้ในคฤหาสน์เพียงสองสามคำ พร้อมกันนั้นก็เดินสาวเท้ารวดเร็วผ่านโถงนั้นไปยังบันไดหินอ่อนสีขาวสะอาดที่คุ้นเคย เขาจับราวบันได ก้าวทีละขั้นจนถึงสุดทางแยกชั้นสอง หน้าต่างทรงโค้งสูงมีม่านสีเหลืองนวลถูกรั้งมัดไว้ด้านข้าง แจกันสีมุกประดับดอกไม้สีชมพูสดตั้งเหนือแท่นวางทรงกรีกสีเนื้อนวล อาเดลมองออกไป เห็นถนนทอดยาวสุดสายตา

    เขาเลี้ยวไปยังระเบียงทางขวา รองเท้าหนังก้าวเชื่องช้าบนพื้นหินสีขาวเย็น ผ่านห้องรับรองมากมาย จนหยุดที่หน้ากำแพงกั้น - บานประตูสีน้ำตาลทองเบื้องหน้าวาดลายสีดำเป็นรูปเถาวัลย์งดงาม ลูกบิดทรงแป้นสีทองสลับดำดูงามอย่างของเก่า ม่านตาสีดำหลับลงรวบรวมสติ พลันก็ยกมือเคาะประตู

    "เชิญเถิดค่ะ..." เสียงหญิงสาวแว่วหวานอ่อนล้าดังมาจากอีกฟากหนึ่ง ชายหนุ่มจึงค่อยขยับผลักประตูนั้นเข้าไป

    ในห้องนั้นกว้างนัก มีหน้าต่างทรงสูงอยู่สามด้านด้วยเป็นห้องที่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ แม้มีม่านสีเหลืองนวลเหลือบระยับผืนหนาทิ้งตัวคลี่คลุมบดบังแสงภายนอกไปเสียสองด้านแสงสว่างภายในห้องก็ยังเพียงพอ กำแพงสูงโปร่งเป็นอิฐสีเนื้ออ่อนเช่นเดียวกับภายนอก ดอกไม้สดหลากสีในแจกันไม้ที่ประดับอยู่ข้างผนังและแจกันดอกไม้สีมุกขนาดใหญ่ที่มุมสี่ด้านทำให้บรรยากาศนั้นดูไม่แข็งกระด้าง โคมระย้าฉาบทองประดับผลึกแก้วเจียระไนระยิบระยับแกว่งไกวอยู่เหนือเพดาน คริสตัลที่ห้อยลงมาเป็นสายส่องประกายงดงามดุจดวงดารา...เครื่องแต่งบ้านในห้องมีไม่มากนัก ประกอบด้วยโต๊ะแต่งตัวทำด้วยไม้สีเข้มประกอบกระจกเงาสูงที่มุมหนึ่ง เก้าอี้ชุดรับแขกเบาะหนังสีขาวขลิบทองและโต๊ะไม้สีครีมตั้งอยู่เบื้องหน้า มีฉากประดับลูกไม้โปร่งกั้นบริเวณเป็นสัดส่วน ซึ่งทำให้ชายหนุ่มยังไม่อาจมองเห็นผู้อยู่ภายในห้องได้

    รองเท้าหนังสีดำเปรอะฝุ่นดินก้าวไปบนผืนพรมสีน้ำตาลแดง อาเดลถือกระเป๋ายาเดินย่ำเบาผ่านฉากกั้นบางเบานั้นไป ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอ่อนโยน...อ่อนโยนถึงดวงตา...ยามเห็นเตียงยกสูงสีขาวบริสุทธิ์ที่กลางห้อง และมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับตาพริ้มงดงามอยู่ที่นั่น

    "อรุณสวัสดิ์ขอรับ...ท่านหญิงโรซามุนเด" แพทย์หนุ่มกล่าว น้ำเสียงนุ่มนวล มองคนรับใช้หญิงข้างเตียงที่ยิ้มให้เขา ค้อมศีรษะให้นิดหนึ่ง แล้วจึงก้าวไปนั่งบนเก้าอี้ไม้สูงข้างเตียง

    โรซามุนเดเบือนศีรษะมาทางเขา ริมฝีปากอิ่มสีชมพูสดดูซีดเซียวลงเล็กน้อย หญิงสาวสวมชุดนอนบางเบาสีขาว ขับผิวกายขาวระเรื่อให้ดูเปล่งปลั่งแม้ยามหลับใหล เรือนผมสีทองอร่ามเรียบตรงแผ่สยายบนผืนผ้าเคลียปรกใบหน้ารูปไข่ แพขนตาสีทองยังคงหลับพริ้ม...แต่ไม่นานนักก็ค่อยลืมขึ้น ม่านตาสีเขียวมรกตสุกสว่างลึกล้ำยิ่งกว่าอัญมณีดูซึมเซาโรยลง มองตรงมาที่เขา ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะคลี่รอยยิ้มงดงาม

    หัวใจของอาเดลกระตุกเจ็บแปลบ

    เธอยังคงงดงาม...อย่างเคย...

    "ข้า...ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ท่านอาเดล" เสียงเธอสั่นเครือ หอบแห้ง "น่าจะเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ เพราะปวดทั่วตัว เป็นไข้รุมๆ..."

    "ถึงอย่างไรก็ขอให้ข้าตรวจดูก่อนเถิดนะขอรับ" อาเดลบอก "ตอนข้าอยู่แวร์ฟาเรนมีจดหมายหนึ่งส่งมาบอกให้กลับมาที่นี่ จะให้ข้าอยู่เฉยๆ ดูอาการท่านอย่างเดียว ก็คงไม่ได้หรอกขอรับ"

    ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบา ล่องลอยในความสุข เหมือนกับไม่ใช่เสียงของเขาเอง

    "ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเถิดค่ะ" เสียงหัวเราะของโรซามุนเดไพเราะดุจระฆังแผ่วหวาน

    แพทย์หนุ่มขยับกาย เปิดกระเป๋ายากางออกที่โต๊ะข้างเตียง เขาใช้ปรอทตรวจดู พบว่ามีไข้สูง สังเกตเห็นน้ำใสเล็กน้อยจากจมูกโด่งรั้น แว่วเสียงไอแห้งเป็นระยะ ครั้นซักว่ามีอาการอื่นใดอีกไหม เธอก็ตอบเพียงว่าปวดตามร่างกายเท่านั้น เมื่อเขาเอ่ยถามถึงอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หญิงสาวก็ได้แต่ส่ายศีรษะ บอกว่าไม่มี ไม่เป็น ไม่เป็นไรเลยจนนิดเดียว แล้วยิ้มให้อย่างสดชื่นทุกครั้งไป

    คิ้วสีดำเริ่มเคลื่อนเข้าหากัน ภายในใจปรากฏข้อสงสัยอันร้ายแรง ทว่าภายนอกยังคงดูสงบอ่อนโยน ชายหนุ่มบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "ท่านหญิงเป็นแต่ไข้หวัดใหญ่จริงด้วยขอรับ..." อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่คิดไม่ออก เพียงตีสีหน้าให้ดูปกติยังยากเย็น

    โรซามุนเดยิ้มอิดโรย นัยน์ตาคู่งามมองตรงมายังเขา แววตานั้นลึกเกินหยั่งถึง

    "ข้าได้ข่าวว่าที่แวร์ฟาเรนมีคดีแปลกๆ" เธอเปรยขึ้น รอยยิ้มเจิดจ้าจางลงเล็กน้อย "ตอนที่รู้ว่าท่านกำลังจะไปแวร์ฟาเรน ข้านึกว่าท่านจะอยู่ช่วยท่านเคลฟทำคดีอีกนานเสียอีก...ส่วนข้าก็ป่วย ทำอะไรแทบไม่ได้ ได้แต่นอนพักหลับฝันจินตนาการนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย..."

    "ที่จริงข้าก็ว่าจะอยู่ช่วยเคลฟก่อนน่ะขอรับ" อาเดลตอบ ระงับสติอารมณ์ที่เริ่มมีความกรุ่นโกรธพลุ่งพล่านแทรกเข้ามา "แต่พอรู้ว่าท่านหญิงป่วยอยู่อย่างนี้ ข้าก็เลยรีบมา" รีบเสียยิ่งกว่ารีบ เขาตกใจแทบสิ้นสติเมื่อได้รับจดหมายนั้น เพราะเข้าใจว่าท่านหญิงคงเป็นโรคร้ายแรงจึงมีคนส่งจดหมายมาตามเขากลับไป...แต่มันไม่ใช่

    เขาเข้าใจผิด หรือมีใครพยายามทำให้เข้าใจผิด?

    "ข้า..." ริมฝีปากอิ่มขบเม้ม มรกตคู่งามอันปรอยปรือสบตากับชายหนุ่มที่กำลังทำอะไรไม่ถูก

    "ข้าดีใจนะคะ ที่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วมีท่านอาเดลนั่งอยู่ข้างๆ..."

    อาเดลนิ่งงัน ความคิดเฉียบคมทุกอย่างถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีแต่หัวใจที่เต้นระรัว มีแต่แววตาอ่อนโยนที่ยังคงทอดมองหญิงสาวบนเตียงนุ่มที่งดงามเสียยิ่งกว่านางฟ้า

    เรียวปากบางคลี่ยิ้มตอบรับ พูดเสียงทุ้มเบา

    "ข้าก็เช่นกันขอรับ..."

    ...แพทย์หนุ่มดีใจจากใจจริง ดีใจที่ได้พบท่านหญิงโรซามุนเดอีกครั้ง และพบว่านางไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างที่เขาเคยคิด รวมถึงนัยอื่นๆอีกนานัปการที่เอ่อท้นในห้วงลึก

    ทว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ละทิ้งไปไม่ได้

    หากท่านหญิงโรซามุนเดไม่ได้ป่วยหนัก...แล้วคนที่ส่งจดหมายมาตามตัวเขากลับมานั้น มีจุดประสงค์เพื่ออะไร? แม้ว่าท่านหญิงจะอยากพบเขา หรืออะไรก็ตาม ข่าวเรื่องคดีคำสาปกุหลาบและข่าวที่ว่าเขากำลังอยู่ในแวร์ฟาเรนน่าจะมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้คนที่คิดจะตามตัวเขากลับมาต้องขบคิดชั่งน้ำหนักความสำคัญเสียบ้าง...ไม่ใช่ว่าท่านหญิงไม่สำคัญสำหรับเขา แต่เรื่องนี้ไม่ร้ายแรง ขณะที่คดีนั้นในแวร์ฟาเรนเกิดขึ้นจริง มีผู้เสียชีวิตจริง นอกจากนี้เคลฟยังทำตัวลึกลับ เหมือนเขามีอะไรแอบแฝงบางอย่าง...เหมือนเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อคดีฆาตกรรมครั้งนี้ แต่อาเดลไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นเป็นจริงหรือไม่ และถ้าจริง เขาจะทำไปเพื่ออะไร

    ชายหนุ่มครุ่นคิดวนไปวนมา ไม่มีจุดหมาย ได้แต่นั่งพูดคุยกับโรซามุนเดไปเรื่อยเปื่อยพอให้จิตใจของเธอได้ผ่อนคลายลงบ้าง หัวเราะเบาๆทั้งที่ในใจยังกังวลจนเริ่มปวดศีรษะ...จนกระทั่งตะวันเริ่มขึ้นสูง ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน และได้ยินเสียงใครบางคนเดินมาเคาะประตู อาเดลหันไปมองทางประตูไม้สูงที่ถูกกั้นจากสายตาเขาด้วยฉากประดับลูกไม้บาง ไม่นานนักใครคนนั้นก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง เห็นเงาร่างแบบบางอย่างสตรีกำลังเคลื่อนไหว ชายกระโปรงพัดพลิ้วยามขาเรียวขยับย่าง เรือนผมสีทองสยายยาวส่องประกาย

    ในกระเป๋ายามีจดหมาย - จดหมายถึงท่านหญิงผู้พี่...ท่านหญิงโรซาลิเอ คู่หมั้นของเคลฟแห่งแวร์ฟาเรน

    "โรซามุนเด ข้าเอามื้อกลางวันมาให้แล้ว!"

    น้ำเสียงสดใสพูดดัง วินาทีนั้นร่างบางก็ก้าวพ้นฉากกั้น - เธอเป็นหญิงสาวที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับน้องสาวแทบทุกประการ เว้นแต่เรือนผมที่หยักเป็นคลื่น รูปหน้าที่ยาวกว่าเล็กน้อย และท่าทางสดใสเจิดจ้าดุจดวงตะวัน ผิดกับผู้เป็นน้องที่ดูอ่อนหวานนุ่มนวลเยือกเย็นอย่างจันทรา หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีชมพูอมส้ม รวบผมด้านบนขึ้นเปิดหน้าผากเนียนสวย สองมือบางถือถาดไม้สีอ่อนวางภาชนะอาหาร เธอหันมายิ้มให้

    "อ้าว สวัสดีค่ะท่านอาเดล...เพิ่งกลับมาใช่ไหมคะ"

    "สวัสดีขอรับ ท่านหญิงโรซาลิเอ" อาเดลค้อมหลังให้หน่อยหนึ่ง แล้วจึงเก็บกระเป๋ายา นัยน์ตาสีดำเหลือบมองดวงหน้างดงามที่ยิ้มบางให้เขาจากบนเตียงแวบหนึ่งก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง ชายหนุ่มเดินไปหาโรซาลิเอ ในมือถือซองจดหมายปิดผนึกสีขาว "เมื่อวานข้าอยู่แวร์ฟาเรนช่วยอะไรเคลฟนิดหน่อยขอรับ พอตอนขากลับเขาก็ฝากจดหมายนี้มาให้ท่าน..." ชายหนุ่มรับถาดอาหารนั้นมาถือแทน ส่งจดหมายนั้นให้กับมือของเธอ ก่อนที่จะนำถาดนั้นมาวางโต๊ะข้างที่นั่งของคนรับใช้หญิง

    ดวงตาหลังแว่นกรอบทองลอบสังเกตปฏิกิริยา - สีหน้าของโรซาลิเอดูปีติตื้นตันยิ่งนักจนแทบจะฉีกซองจดหมายในทันที ทว่าด้วยกิริยาที่ฝึกฝนมาหญิงสาวจึงใช้ปลายนิ้วบรรจงฉีกด้านข้างซองทีละน้อย แล้วดึงแผ่นกระดาษนั้นออกมาคลี่อ่าน พักหนึ่ง...ริมฝีปากงามก็แย้มยิ้ม โรซาลิเอก้าวมานั่งเคียงข้างหญิงรับใช้ ก่อนเก็บจดหมายนั้นลงวางที่โต๊ะข้างเคียง ท่าทางของหญิงสาวดูสงบลง ไม่รื่นเริงจนดูเหมือนกำลังปิดบังความเครียดบางอย่างอยู่ดังเดิม แต่กลับเป็นสุข...สุขทั้งสีหน้าและแววตา

    เคลฟเขียนอะไรลงไป ชายหนุ่มไม่ทันได้อ่าน และคิดว่าตนไม่ควรจะอ่าน แต่จากกิริยาของโรซาลิเอ มันคงเป็นการฝากความคิดถึงหรือพร่ำรำพันความรักอะไรสักอย่างกระมัง ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้น

    ...หรือว่ามี?

    ความหวาดระแวงในทุกสิ่งรอบตัวทำให้อาเดลนึกกลัดกลุ้มกับความคิดของตนเองเป็นกำลัง หากเขาสงสัยสองพี่น้องคู่นี้ ก็เป็นเสียยิ่งกว่าการทรยศ

    แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้... ความคิดนี้รุมเร้าในความเงียบ ก่อนที่โรซาลิเอจะกล่าวขอบคุณชายหนุ่มที่นำจดหมายมาให้ และเริ่มเล่าเรื่องราวที่เธอประสบมาเมื่อเช้านี้ให้น้องสาวฟัง

    "เจ้ารู้ไหม อิซาคมาอีกแล้ว" โรซาลิเอยกมือขวาป้องปากหัวเราะคิก ก่อนเอื้อมไปปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของน้องสาวออกทัดข้างหูให้ "คนอะไรไม่รู้จักทำงานทำการ...มาเฝ้าน้องพี่ได้ทุกวี่วัน เจ้าลองแกล้งป่วยอีกสักเดือนสิโรซามุนเด คงได้เห็นท่านอิซาคคนนี้ได้ถูกคนรอบข้างด่าขรมเข้าจริงๆสักวัน" เธอหัวเราะร่ายามนึกถึงท่าทางของชายเจ้าของนามนั้น

    "ข้าไม่อยากให้เขามาเลยค่ะ..." โรซามุนเดหลุบตาลงตอบอ้อมแอ้ม "เสียเวลาเปล่า"

    "โธ่! ท่านอิซาคผู้น่าสงสาร" ผู้เป็นพี่แสร้งอุทานถอนใจด้วยรอยยิ้มล้อเลียน "เจ้านี่นะ...เขาไม่ดีตรงไหน อุตส่าห์พยายามขนาดนี้เจ้ายังบอกว่าเสียเวลาเปล่าอยู่อีก น่าสงสารเขาออกนะโรซามุนเด"

    "ก็...ข้าไม่ชอบเขานี่คะ" หญิงสาวบนเตียงยิ้มแห้ง ดวงตาสีเขียวมรกตนั้นเหลือบมองทางอาเดลนิดหนึ่ง...ก่อนจะหลบลงดังเดิม "อิซาคเขาน่ากลัวจะตายไป เสียงก็ดุ ท่าทางก็ดุ แถมเป็นทหารอีก"

    "เอ่อ...ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ" อาเดลรีบพูดขัดบทสนทนาที่เขารู้สึกว่าชักเริ่มอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่ควรจะฟัง แพทย์หนุ่มยิ้มให้ทุกคนแล้วกล่าวอำลา ก่อนจะรีบเดินอ้าวออกมาจากห้องพักของโรซามุนเดในเวลาอันรวดเร็ว...แต่ครั้นประตูปิดลง ชายหนุ่มก็ยังไม่ไปไหน ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น เสียงสนทนาของสองสาวภายในห้องยังคงดังแว่วมาถึง

    "เป็นทหารน่ะไม่ดีตรงไหนกัน?!" เสียงโรซาลิเอเริ่มขึ้นสูงแบบหยอกล้อ

    "ข้า...ข้าไม่ใช่ท่านพี่นี่คะ" โรซามุนเดย้อนคำ "ทหารตำรวจพวกนี้น่ากลัวออก ถึงจะเป็นคนรักษากฎหมาย แต่ก็มีสิทธิ์อะไรเหนือคนอื่นเยอะไปหมด"

    "แหมๆ" หญิงสาวผู้เป็นคู่หมั้นของนายตำรวจแวร์ฟาเรนหัวเราะคิกคัก "ทุกคนก็น่ากลัวทั้งนั้นเนอะ ยกเว้นท่านหมอ..."

    "เอ้อ..." ผู้เป็นน้องอ้ำอึ้ง

    อาเดลนิ่งงันอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองพื้น โสตประสาทดับวูบด้วยหัวใจเต้นตุบในอกรุนแรง ก่อนจะตัดสินใจได้ว่า เขาควรจะรีบเดินออกไปได้แล้ว

    รีบไปที่สถานพยาบาล อย่างน้อยได้รักษาคนเพิ่มอีกสักหน่อยก็ยังดี

     

                    ยามรถม้าเทียบที่หน้าสถานพยาบาล คนแรกที่ชายหนุ่มเห็นคืออิซาค

                    อิซาค วาฟเฟนชมิดท์ เป็นคนรูปหล่อ ผิวขาวค่อนข้างคล้ำ ใบหน้าคมคายเห็นกรามชัดเจนอย่างบุรุษเพศ ดวงตาสีน้ำตาลดุดันกลับช่วยเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดโดยไม่ทำให้ดูน่ากลัวแต่อย่างใด เส้นผมสีน้ำตาลของเขาถูกตัดสั้นตามระเบียบ ทั้งบุคลิกของเขาก็ดูสง่างามอย่างทหาร แผ่นอกผึ่งผาย ช่วงไหล่ที่กว้างพอดี กับกล้ามเนื้อพองาม ทำให้อิซาคดูเหมาะกับการสวมชุดเครื่องแบบสีเขียวหม่นของแคว้นชวินเดลเป็นอันมาก ราวกับเครื่องแบบทหารของแคว้นออกแบบมาเพื่อเขาอย่างไรอย่างนั้น

                    เมื่อมองรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ข้อเสียอย่างเดียวของชายผู้นี้คือ เขาสูงมาก สูงเกินไป...สูงยิ่งกว่าฟอร์เซน เองเกล เสียอีก...ครั้นอาเดลจะสอบถามว่าเขามีธุระอะไรกับสถานพยาบาลนี้ จึงต้องเงยหน้าแทบสุดคอทีเดียว

                    อิซาคขมวดคิ้วแล้วพ่นลมหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลหรี่มองจริงจัง

                    "มีคนของข้าที่แวร์ฟาเรนส่งของอย่างหนึ่งมาให้" นายทหารหนุ่มพูดสั้นๆ แล้วก็เงียบไป ไม่เอ่ยอะไรอีก

                    ...อาเดลแทบอ้าปากค้างด้วยคาดหวังจะให้อิซาคบอกอะไรบ้าง หากด้วยนิสัยทำให้เขายังคงดูสงบนิ่งด้วยรอยยิ้มฉาบใบหน้า ไม่ถามอะไร ครั้นเวลาผ่านไปอีกเกือบนาที อิซาคที่เห็นว่าอาเดลคงไม่คุ้นเคยกับธุระทำนองนี้ จึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วพูดซ้ำ "มีคนของข้าที่แวร์ฟาเรน ส่งของอย่างหนึ่งมาให้...มันเป็นของที่ข้าจะฝากคนอื่นต่อไม่ได้โดยเด็ดขาด ข้าต้องมอบให้กับท่านเท่านั้น ข้าขอร้องให้ท่านช่วยเรื่องนี้ด้วย"

                    "อ้อ..." แพทย์หนุ่มเริ่มเข้าใจว่านายทหารผู้นี้กำลังกล่าวถึงอะไร - อะไรก็ตามที่ไม่น่าจะถูกกฎหมาย และไม่ควรแก่การเปิดเผยใดๆทั้งสิ้น "แล้วของนั้นอยู่ที่ไหนหรือขอรับ ท่านนำมาแล้ว หรือให้ข้าไปรับภายหลัง?"

                    "คนของข้ากำลังจะนำมันมา อีกไม่ช้านี้" อิซาค วาฟเฟนชมิดท์ เงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้สีขาวเหนือศีรษะ ก่อนจะกวาดดูสภาพด้านในของสถานพยาบาลผู้ต่อต้าน - มันเป็นตึกสีขาวสูงเพียงสามชั้น หากกว้างและลึก และมีบริเวณแยกออกจากอาคารข้างเคียงเป็นลานปูกระเบื้องแคบๆที่ไม่มีรั้วกั้น ด้านหน้าติดกระจกใสเกือบตลอดแนว เผยให้เห็นห้องรับรองทาสีขาวที่มีผู้มารักษานั่งรออยู่เต็ม...เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเข้าทางประตูหน้าได้เป็นแน่ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวก็กลอกไปมองลานว่างด้านข้างตัวอาคาร เพ่งอยู่นานคล้ายจะตรวจดูลาดเลา

                    อาเดลที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาเหล่านั้นจึงรีบบอก เขาพูดช้าและชัดเจน "ด้านหลังตึกมีประตูนะขอรับ แต่มันแคบ และเตี้ยมาก" อิซาคเข้าไปไม่ได้แน่นอน...

                    "ขอแค่มีช่องเล็กให้เข้าได้ก็พอแล้ว" นายทหารร่างสูงกล่าวเสียงต่ำ เขาเบือนมองไปตามถนน เห็นรถม้าสีเขียวหม่นติดตรากองทัพกำลังแล่นมาแต่ไกล "ใช้ประตูที่ท่านนำมันออกมาจากตัวสถานพยาบาลก็ได้"

                    ด้วยคำพูดนั้น อาเดลก็เข้าใจ ว่าของจากแวร์ฟาเรนที่อิซาคกล่าวถึง แท้ที่จริงแล้วคือสิ่งใด

                    "อย่างนั้นให้คนของท่านขับเข้ามาด้านหลังเลยขอรับ จะเห็นประตูสีดำอยู่บานหนึ่ง เข้ามาแล้วจะมีแท่นวางกับโซ่ชักรอก..." แพทย์หนุ่มรีบชี้แจง ด้วยเห็นว่าเขาต้องรีบตระเตรียมหนทางก่อนที่ทหารของอิซาคจะมาถึง "ให้คนของท่านชักรอกจนถึงชั้นสาม ข้าจะขึ้นไปรอตอนนี้ ถ้าข้ารับของนั้นไปแล้วจะสั่นกระดิ่ง ให้ปล่อยโซ่ได้นะขอรับ"

                    "ข้าจะทำตามนั้น"

                    "หากมีอะไรจะบอกกับข้าเพิ่มเติม ท่านวาฟเฟนชมิดท์ขึ้นไปที่ชั้นสาม ห้องหลังสุดเลยนะขอรับ" อาเดลยิ้ม มือหนึ่งถือกระเป๋าเสื้อผ้า อีกมือหนึ่งกอดกระเป๋ายาแนบอก ก่อนจะปล่อยให้อิซาคยืนดักรอทหารของเขาอยู่ด้านหน้าเพียงคนเดียว

                    แพทย์หนุ่มเอนพิงดันประตูจนเปิดเข้าไป ฝ่าผู้คนมากมายด้วยรอยยิ้มไม่สื่อความที่ใช้แทนเกราะป้องกันตนอีกครั้งหนึ่ง เขามุ่งเดินตรงไปด้านหน้า ไม่มองหรือทักทายใครทั้งสิ้น ชายหนุ่มก้าวออกไปมองนอกกระจกทันทีที่ปลีกตัวมาถึงชั้นสอง...รถทหารกำลังเลี้ยวเข้ามาด้านหลัง ริมถนนไม่มีร่างสูงของอิซาคยืนอยู่...ภาพที่เห็นทำให้ดวงตาสีดำเบิกกว้างด้วยรู้ว่าต้องรีบกว่านี้ อาเดลโยนกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งลงกระทบกำแพง แล้วสาวเท้าวิ่งกึ่งกระโจนจนสุดทางที่ชั้นสาม ยังคงกอดกระเป๋ายาไว้แน่น

                    โถงทางเดินทาสีขาวปลอดไร้หน้าต่างปิดไฟมืดสนิท แต่ชายหนุ่มก็วิ่งตามความทรงจำมาได้อย่างไร้อุปสรรคจนถึงห้องหลังสุด มือเรียวล้วงหยิบกุญแจจากในกระเป๋าเสื้อโค้ตแล้วเสียบลงไข พลันกระชากลูกบิดเปิดออก ในวินาทีนั้นสองขาก็พาร่างถลาข้ามโต๊ะยาวที่มองไม่เห็นไปยังผนังอีกฟาก พร้อมกับใช้ข้อศอกกระทุ้งดันบานหน้าต่างไม้ให้แย้มออกเล็กน้อย แสงสว่างสีขาวสาดเข้ามาทางช่องเปิดนั้นจนสายตาพร่ามัว ทว่าพอมองเห็นภาพภายในห้องได้บ้างแล้ว

                    ห้องนั้นทาสีขาวโดยทั่วเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ แต่มันแคบกว่ามาก กลางห้องมีโต๊ะโลหะยาวถูกคลุมด้วยผ้าขาวเรี่ยพื้น ข้างกันคือโต๊ะไม้เล็กสูงที่มีถาดวางมีดผ่าตัดและเครื่องมือเล็กอีกมากมาย ริมผนังสามด้านเรียงรายด้วยตู้สูง ส่วนอีกด้านที่เหลือมีหน้าต่างบานเล็กอยู่บานหนึ่ง อากาศภายในห้องจึงถ่ายเทไม่สะดวกนัก กลิ่นอับอบอวลไปทั่ว แต่กลิ่นที่ฉุนรุนแรงกว่านั้นเป็นอย่างอื่น มันเหม็นฉุนจนชวนคลื่นเหียน ทว่าอาเดลชาชินกับกลิ่นนั้นนานแล้วจึงยังอยู่ได้โดยไม่รู้สึกอะไร

                    อาเดลย่อตัวลงวางกระเป๋ายานอนบนพื้นใต้โต๊ะยาว ก่อนจะไถลร่างตนเองไปยังช่องประตูเลื่อนบานแคบเล็กที่มุมหนึ่ง เขาค้อมตัวลงต่ำพลางใช้มือขวาดันบานไม้นั้นให้เลื่อนขึ้น ดวงตาสีดำหลับแว่นกรอบทองเหลือบลงมอง...เห็นโซ่ถูกชักผ่านระบบรอกดังกึกกักเป็นจังหวะถี่เร็ว ขณะที่แท่นวางไม้เก่าโทรมค่อยเลื่อนขึ้นทีละน้อย มีถุงสีดำสนิทขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่บนแท่น ปลายหนึ่งของมันนูนโป่งออกมาผิดปกติจนคิ้วผู้มองเริ่มขมวดมุ่นเกร็ง ความตึงเครียดที่อาบทั่วร่างทำให้เขาเผลอกลั้นลมหายใจระหว่างที่แท่นนั้นเลื่อนสูงขึ้นอย่างเชื่องช้า

                    นี่มันอะไร มันไม่ใช่สภาพอย่างที่เขาเคยเห็น... ชายหนุ่มคิดอย่างตื่นตกใจ นัยน์ตาเพ่งมองถุงสีดำทรงแปลกตาแทบไม่กะพริบ ...จากที่คุยกับอิซาคเมื่อกี้ มีนัยเดียวที่สื่อได้ คือนายทหารผู้นั้นจะขนศพของใครสักคนมาให้เขาชันสูตรอย่างลับๆและเร่งด่วน แต่สิ่งที่เขาเห็นนี้คืออะไรกัน...

                    มันไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างร่างมนุษย์เลยจนนิดเดียว!

                    ถุงสีดำปริศนาเคลื่อนมาใกล้ขึ้นทุกที จนบัดนี้มันอยู่ในระยะที่แพทย์หนุ่มเอื้อมถึงได้แล้ว ลำแขนผอมคว้ายึดปลายถุงฟากนูนโป่งเอาไว้แล้วลากออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี วัตถุด้านในครูดกับพื้นส่งเสียงเสียดหู จนในที่สุดก็พ้นจากช่องประตูนั้น  อาเดลนั่งเอนหลังพิงกำแพงหอบหายใจพลางสั่นกระดิ่งข้างประตูเป็นสัญญาณ ก่อนจะกระชากบานเลื่อนไม้นั้นให้ปิดลง แว่วเสียงโซ่เคลื่อนย้อนทางรอกดังสนั่นก้องในช่องว่างเบื้องหลัง

                    แพทย์หนุ่มนั่งอยู่ในความเงียบ ได้ยินเสียงหายใจของตนเองทุกขณะ ม่านตาสีดำกลอกมองทางซ้าย ถุงผ้าทรงประหลาดนั้นนอนแน่นิ่งอยู่เคียงข้างเขา มือขาวบางขยับไปจับปมที่ใช้ผูกปากถุง ทว่าขยับอย่างไรก็ไม่คลายออก ชายหนุ่มจึงลุกยืนขึ้น ค้อมตัวลงลากถุงสีดำนั้นไปกับพื้น พลางใช้มือข้างหนึ่งเอื้อมหยิบมีดทรงยาวจากถาดวางเหนือโต๊ะสูง กรีดชำแรกเนื้อผ้าจนขาดเป็นริ้วยาว

                    กลิ่นซากศพมนุษย์ที่โชยออกมานั้นไม่ปกติ...มันเจือด้วยกลิ่นหอมอวลของอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่

                    อาเดลนั่งยอง ใบหน้าเคร่งเครียดก้มลงมองขณะที่สองมือค่อยแหวกรอยขาดของผ้าออกอย่างเชื่องช้า ภายในอกเต้นตุบรัว ชายหนุ่มกลั้นหายใจ พยายามระงับสติไม่ให้เผลอคาดการณ์ว่ากำลังจะเห็นอะไร ในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้าก้าวเข้าใกล้ทางห้องนี้ดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของประตูบานใหญ่ จำได้ว่าเป็นเสียงรองเท้าหนังตอกเหล็กของทหาร พลันบานพับประตูก็ส่งเสียงเอียดอาด ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา...พร้อมกันนั้นภาพของวัตถุในถุงก็ปรากฏให้แพทย์หนุ่มเห็นเต็มสองตา

                    "กุหลาบ!?"

                    อาเดลอุทานทันทีที่เห็นเถากุหลาบสีเขียวอมเทาที่ขดงอหนาแน่น ช่องว่างระหว่างกิ่งก้านนั้นน้อยจนยังไม่อาจมองเห็นว่ามีสิ่งใดบรรจุอยู่ภายใน เขาหันไปดึงผ้าคลุมโต๊ะสีขาวออก โยนลงเป็นกองยับย่นอยู่แนบเท้า แล้วจึงหันมารวบรวมกำลังบรรจงอุ้มร่างทรงประหลาดขึ้นวางด้านบน มือเรียวขยับปลายมีดให้ดันชายผ้าแหวกกว้างขึ้น...กว้างขึ้น...จนไม่มีสิ่งใดบดบังสายตาอีกต่อไป

                    เขาเห็น...เขาเห็นร่างซีดขาวของตำรวจในชุดเครื่องแบบสีดำนายหนึ่ง ศีรษะหงายโผล่พ้นกลุ่มเถากุหลาบที่พันมัดมานิดหนึ่ง ริมฝีปากไร้สีเลือดทิ้งตัวลงอ้ากว้างด้วยไม่มีกล้ามเนื้อใดรั้งไว้อีกแล้ว ดวงตาของศพไม่ได้ปิดสนิท แต่กลับเบิกโพลงกว้าง มันปริแตก...และมีก้านสีเขียวประดับหนามแหลมโผล่พ้นออกมา ดอกกุหลาบสีแดงสดสวยยังคงติดอยู่ที่สุดปลาย

                    "ใช่...เรื่องนี้เกี่ยวกับคดีคำสาปกุหลาบ" อิซาคกล่าวทำลายความเงียบ ร่างสูงนั้นยืนผึ่งผาย เหลือบตาลงมองแพทย์หนุ่มที่กำลังตื่นตะลึงอยู่กับภาพชวนสยองขวัญ รองเท้าหนังตอกเหล็กสูงครึ่งแข้งก้าวเข้ามาใกล้ ส่งเสียงดังกริ๊ก "ถ้าท่านเอาแถบกระดาษที่เหน็บไว้กับเถากุหลาบด้านหน้านั้นออกมาอ่าน จะรู้อะไรมากขึ้น"

                    มืออันสั่นเทาหยิบแถบกระดาษยับย่นที่เพิ่งสังเกตเห็นออกมาจากรอยต่อเถากุหลาบ คลี่ออกถือ เขากระชับแว่นสายตาเข้ากับดั้งจมูก ก่อนจะอ่าน

                    ข้อความนั้นไม่มีอะไร...ไม่บ่งบอกอะไรเลยทั้งสิ้น

     

                ช่วยตรวจดูให้เร็วที่สุด

                                                                                        เคลฟ แห่งแวร์ฟาเรน

     

                    ดวงตาสีนิลค่อยเลิกกว้าง...เขาถือกระดาษนั้นค้างอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงขยำมันลงในกำมือ สองแขนเท้ากับขอบโต๊ะโลหะ ก้มลงมองเหล็กขัดเงาที่มีภาพของกิ่งกุหลาบสะท้อนเลือนราง ไม่นานนักก็เงยหน้าขึ้นมองอิซาค สีหน้าของนายทหารยังคงจริงจังและสงบนิ่ง ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาอื่นใด...แต่แพทย์หนุ่มไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อว่าคนคนนี้บริสุทธิ์และไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย พอๆกับที่ไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน

                    เพราะมันเป็นไปไม่ได้

                    มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อทันทีที่เคลฟเผาศพของตำรวจทั้งห้านาย ก็วิ่งตรงมาพบกับเขาเพื่อปรึกษาเรื่องของฟลันเซทันที แพทย์หนุ่มเห็นรถม้าของเขาวิ่งผ่านหน้าที่พักไปในตอนเช้า กะระยะเวลาจากตำแหน่งควันที่เห็นตอนขากลับแล้ว แน่ใจได้ว่าเคลฟไม่ได้แวะเวียนไปที่อื่นหรือทำอย่างอื่นอย่างแน่นอน ไม่ได้มีเวลามากมายถึงกับจะเคลื่อนย้ายศพออกมาบรรจุถุงแล้วส่งผ่านคนของอิซาคได้ถึงเดรฮาในเวลาใกล้เคียงกันกับเขา แม้ว่าลายมือในกระดาษนี้จะเป็นของเคลฟจริง แต่ในความเป็นจริงที่เขาประสบด้วยตนเองแล้ว มันเป็นไปไม่ได้...ไม่มีทาง...ไม่มีทาง

                    "ข้าขอถามนิดหนึ่ง..." อาเดลขมวดคิ้วเกร็ง นัยน์ตาสาดทอแววกระด้าง "ใครเป็นคนส่ง 'สิ่งนี้' มาให้ท่านกันหรือ"

                    ทว่าอิซาคกลับตอบโดยไร้แววพิรุธ ไร้แววแห่งการโป้ปด "ทหารที่ส่งต่อมาบอกข้าว่าคนที่ส่งมันมาให้นั้น ดักรอเขาที่ชายป่านอกเมืองแวร์ฟาเรน บอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน มีจดหมายประทับตราปราสาทกลาง...พอคนของข้าเห็นตรานั้นก็เลยเชื่อ และนำมันมาที่นี่" นายทหารหนุ่มหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย มอบให้อาเดลได้ดู ม่านตาสีดำหลุบลงพิศ...มันเป็นตราประทับของปราสาทกลางแวร์ฟาเรน ครบทุกรายละเอียด จนไม่น่าจะเป็นของปลอม

                    แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า?

                    "ท่านพอจะทราบไหมว่าคนคนนั้นคือใคร"

                    "ข้าลองถามแล้ว แต่ทหารของข้าบอกว่าไม่รู้จักชื่อ จำได้แต่รูปร่างหน้าตา" อิซาคชี้แจงอย่างละเอียด คิ้วสีเข้มมุ่นเกร็ง ราวกับเขาก็เห็นว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกพิกลอยู่เหมือนกัน "เห็นว่าเป็นคนตัวสูง ผิวขาวมาก ผมสีทอง ตาสีฟ้า...ใส่เครื่องแบบตำรวจ ท่าทางเย็นชาจนน่ากลัว"

                    "ท่านแน่ใจหรือ?"

                    "...คนของข้าบอกว่าอย่างนั้น" นายทหารหนุ่มย้ำคำ

                    ความสงสัยของอาเดลพุ่งทะยานถึงขีดสุด แต่แล้วคำตอบที่ได้ก็พลิกกลับเสียจนรู้สึกไม่ต่างกับยามแผ่นดินจะทลาย...คนอย่างที่อิซาคบอกไม่น่าจะมีมากมายนัก ไม่น่าจะมีเกินหนึ่งคน...มันเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก ฟอร์เซน เองเกล รองผู้บัญชาการตำรวจแวร์ฟาเรน คนที่เขาพบตอนไปที่สำนักงานกลางเมื่อสองวันก่อน...เขาไม่อยากจะเชื่อ!

                    ถ้าอิซาคไม่ได้โกหก มันก็ต้องเป็นความจริง...แต่ถ้า...

                    "ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะตรวจดูให้แล้วกันนะขอรับ" แพทย์หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า โยนก้อนกระดาษที่ถูกขยำทิ้งลงกับพื้น ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง

                    "ข้าขอบคุณท่านหมอมากที่ช่วยจัดการงานนี้ให้ นับเป็นพระคุณอย่างสูงจริงๆ" อิซาคค้อมหลังลงเล็กน้อย ใบหน้าคมคายนั้นดูเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "ในเดรฮามีแต่ท่านที่รู้เรื่องคดีคำสาปกุหลาบดีที่สุด ส่วนในแวร์ฟาเรนก็มีแพทย์ที่ชำนาญด้านนี้อยู่แค่ท่านเดียว...ซึ่งแพทย์ท่านนั้นก็กำลังชันสูตรศพแรกอยู่ รับเพิ่มอีกไม่ได้...ไม่ว่าคนที่ส่งศพนี้มาจะเป็นใคร ข้าว่าเขาคงเข้าใจดีจึงตัดสินใจส่งมาที่นี่"

                    "ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ไม่เป็นไร" อาเดลตอบด้วยรอยยิ้ม...รอยยิ้มตามแบบฉบับที่ผุดพรายเพียงเพื่อปิดบังบางอย่าง ยิ้มไม่ถึงดวงตา "ข้าจะรีบตรวจดู แล้วส่งผลไปให้ท่านเคลฟให้เร็วที่สุดขอรับ"

                    แต่สิ่งที่เขาจะส่งไปนั้น...ไม่หรอก เขาไม่มีทางส่งไปแต่รายงานการชันสูตรเป็นแน่...สิ่งที่น่าสงสัยนั้นมีมากเกินไป ทั้งสิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ก็มีอยู่อีกมากเช่นกัน

                    คำของอิซาคขัดกันในตนเอง ขัดกันจนน่าขัน...ไม่มีใครในแวร์ฟาเรนที่จะไม่รู้จัก ฟอร์เซน เองเกล คนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกี่ยวข้องกับวงการตำรวจทหาร...สิ่งที่นายทหารผู้นี้ก่อให้เกิดในจิตใจของแพทย์หนุ่ม จึงไม่ใช่คำตอบหรือความเชื่อถือ หากเป็นความสงสัยที่ทบทวี และเริ่มเบนมามุ่งตรงที่อิซาคมากขึ้น...อาเดลแน่ใจแล้วว่านอกจากเคลฟที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ยังมีอิซาค วาฟเฟนชมิดท์ด้วยอีกคนหนึ่ง แต่ความหวาดระแวงก็ทำให้เขานึกไปอีกทาง ว่าอิซาคอาจจงใจให้เขาสงสัยในตนเองก็เป็นได้

                    ...ทว่าเพื่ออะไร? อิซาค วาฟเฟนชมิดท์ จะได้ประโยชน์อะไร ถ้าหากอาเดลสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้? ...มันยังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไรก็จริงอยู่ แต่เป็นข้อสันนิษฐานที่จะตัดทิ้งไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้อเท็จจริงที่ประจักษ์กับตนเป็นไปในทางนี้เสียแล้ว

                    ข้อมูลมากมายเริ่มอัดแน่นในสมอง ความคิดเฉียบคมเริ่มเสียดแทงกันเองจนปวดศีรษะ อาเดลอยากจะกรีดร้องกับสิ่งที่เขาเริ่มประมวลออกมาได้ ทว่าสิ่งเดียวที่ทำได้คือการกลืนน้ำลายตนเองลงคอ แล้วสวมถุงมือทั้งสองข้าง ก่อนจะหยิบมีดทรงยาวเล่มเดิมขึ้นมา มีดนั้นยังคงคมกริบไม่ต่างกับทุกคราที่เขาเข้ามาในห้องนี้ โลหะบางเฉียบส่องประกายแสงแดดจากบานหน้าต่างเล็กจ้อย ดูน่าสะพรึงขวัญ หากก็เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียว

                    มือเรียวบรรจงจรดมีดลงไป กรีดผ่านเถากุหลาบแห้งเหือด ก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นมือของศพนั้น และเห็นว่ามีอะไรบางอย่างกำลังส่องสะท้อนกับแสง

                    อาเดลวางมีด หยิบคีมเล็กคีบสิ่งนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางลงกับผ้าขาวบนโต๊ะสูงข้างเคียง

                    ดวงตาหลังแว่นมองนิ่ง เขาไม่ตกตะลึง ไม่นึกสงสัยอะไรอีกแล้ว ด้วยสิ่งที่รับรู้มีมากเกินไปจนความคิดด้านชา

                    สิ่งที่เคยอยู่ในมือของผู้เสียชีวิต คือเส้นผมสีทองปอยหนึ่ง มันเป็นสีทองอร่ามงดงามยิ่งนัก

                    และเป็นสีทองอร่ามตา...ที่คุ้นเคย

     

    ที่ถนนเอเดลไวส์กลางเมืองเดรฮา รถม้าคลุมผ้าสีเขียวหม่นติดตรากองทัพคันหนึ่งแล่นออกมาจากด้านข้างของสถานพยาบาลผู้ต่อต้านอย่างเชื่องช้า อาชาสีน้ำตาลแข็งแกร่งทะยานรวดเร็วจนคนเดินผ่านต้องเหลียวหลัง ด้วยไม่ได้เห็นภาพของพาหนะทหารออกมาในเมืองนานเต็มที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เคยเห็นรถทหารคันใดข้องเกี่ยวกับสถานพยาบาลแห่งนี้มาก่อนเลย

    สถานพยาบาลผู้ต่อต้าน ไม่ได้ตั้งชื่อเปล่า แต่เกิดขึ้นเพราะเหล่าแพทย์พยาบาลที่นั่นแยกตัวออกมาจากระบบเดิมที่สถานพยาบาลทุกแห่งต้องมีภาคศาสนาเข้าควบคุม...ผู้ที่เห็นปัญหาและเริ่มเรียกร้องเป็นคนแรกคืออาเดล ไวส์มันน์ เพราะเขาเห็นว่าระบบเก่านั้นดำเนินการเชื่องช้า และที่แย่ที่สุดคือมันเลือกปฏิบัติให้การรักษาเฉพาะแต่ผู้เคร่งครัดในความเชื่ออย่างเดียวกัน ซ้ำพิธีบางอย่างที่นักบวชจัดขึ้นยังทำร้ายผู้ป่วยโดยไม่ตั้งใจ แทนที่คนป่วยจะได้หาย กลับทรุดลงและอาจตาย เนื่องจากพิธีกรรมเหล่านั้นขัดขวางการรักษาอย่างต่อเนื่อง

    กระนั้น...สถานพยาบาลแห่งนี้ก็ยังเป็นเพียงสถานพยาบาลผู้ต่อต้าน ไม่ใช่ผู้นอกรีต และนักบวชจะเข้ามาประกอบพิธีได้ก่อต่อเมื่อผู้ป่วยหนักได้เสียชีวิตลงแล้วเท่านั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามกิจการของกองทัพใดๆเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะผู้บริหารสถานพยาบาลต้องการให้เป็นสถานที่เป็นกลางที่สุด ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะยากจนหรือมั่งมี ทุกคนสามารถเข้ามาพึ่งพิงได้โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นใคร ทุกคนสามารถเชื่อมั่น ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่อันปลอดภัย และผู้ให้การรักษาจะไม่มีวันหลอกลวงคนป่วยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป็นอันขาด

    ทว่าภาพรถทหารที่เพิ่งเคลื่อนออกไปนั้นทำให้อาจนึกสงสัย ว่าตกลงแล้วสถานพยาบาลผู้ต่อต้านเป็นเช่นที่กล่าวมานั้นจริง...หรือเป็นเพียงอุดมการณ์เลื่อนลอยที่ประกาศเพื่อสร้างศรัทธาใหม่บางอย่างเท่านั้น

    ในรถม้าที่คลุมผ้าสนิท ร่างสูงสง่าของอิซาคนั่งที่เบาะกว้างด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลายังคงดูดุดันอย่างเคย นัยน์ตาสีน้ำตาลคมกริบจับจ้องที่คนนั่งตรงข้าม มันหรี่ลงจนเริ่มทอแววเย็นชาคาดคั้น ว่าความจริงคือสิ่งใด

    ชายที่นั่งตรงข้ามอิซาค วาฟเฟนชมิดท์ สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวหม่นตลอดร่างเช่นเดียวกัน ทว่าร่างของเขาผอมบางนัก ผอมจนไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนี้จะเป็นทหารไปได้ ทำให้เครื่องแบบที่เสริมให้อิซาคดูงามสง่าส่งผลในทางตรงข้ามกับเขา ชายผู้นี้มีผิวขาวจัด เส้นผมตัดสั้นเกรียนพอเห็นว่ามีสีเทาเข้มคล้ายขี้เถ้าแม้อายุของเขาน่าจะยังไม่เกินสามสิบปี ดวงตาเรียวเล็กที่มองตอบมาอย่างกึ่งๆจะท้าทายนั้นเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย ริมฝีปากบางแตกแห้งของเขาเหยียดรอยยิ้มแปลกประหลาด ทั้งยังมีนัยชัดเจนว่ากำลังจะหลอกลวงอะไรบางอย่าง ซึ่งอิซาคไม่ทันสังเกตเรื่องหลังนี้เลยแม้แต่น้อย

    ความเงียบปกคลุมอยู่นาน ได้ยินแต่เสียงเกือกม้าและล้อรถเคลื่อนบนพื้นถนนด้านนอก หากทหารร่างผอมก็ยังนั่งอย่างนั้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับกำลังจับได้ว่าอิซาคกำลังหวาดระแวง...นายทหารหนุ่มบอกอาเดลไปตามที่ได้ยินลูกน้องพูดผ่าน เขาตั้งใจมั่นว่าจะต้องทำให้แพทย์หนุ่มสงสัยตนเป็นเบื้องต้น และก็ย่อมทำสิ่งใดไม่ได้ เนื่องจากอิซาคยังมีตำแหน่งสูง อาเดลย่อมรู้ดีว่าไม่ควรเรียกร้องต่อสู้อะไรกับทหารอย่างเขา นี่ไม่ใช่ทางวิหารที่มีแต่ศรัทธาเป็นเครื่องมือหลัก แต่ชายหนุ่มมีทั้งอาวุธและกำลัง และสิ่งเหล่านี้เป็นอาชีพ เป็นชีวิต เป็นเรื่องที่เขาถนัดที่สุด หากอาเดลคิดจะต่อรองหรือบอกเรื่องนี้ออกไป แพทย์หนุ่มย่อมตระหนัก ว่าชีวิตของตนจะอยู่ในอันตราย

    ทว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนประกอบ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของอิซาคไม่ใช่การข่มขู่...เขาต้องการให้อาเดลมุ่งความสงสัยมาที่ตนจริงๆ เพราะหากดวงตาของแพทย์หนุ่มจับจ้องมาที่เขา ย่อมไม่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปยังแวร์ฟาเรน...นายทหารหนุ่มคาดหมายว่าอาเดลจะต้องสืบค้นต่อเนื่องด้วยตนเอง และต้องเป็นที่เดรฮาเท่านั้น

    เพราะฆาตกรตัวจริงในคดีคำสาปกุหลาบ...อยู่ที่นี่

    "ข้าต้องขอบใจ" นายทหารหนุ่มกล่าวเคร่งขรึม "ความช่วยเหลือของเจ้าทำให้งานนี้ง่ายลงมาก"

    "แต่มันจะง่ายกว่า...ถ้าท่านไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันนะขอรับ" ทหารร่างผอมย้อนยียวน แล้วก็เงียบไป ดวงตาท้าทายคู่นั้นจ้องตอบอิซาค เพลิงแห่งความไม่พอใจระอุในอก แต่ด้วยยศตำแหน่งแล้วจะแสดงมันออกมาไม่ได้...เขายังต้องการสิ่งที่สูงกว่านี้ จะลดตัวลงมาแปดเปื้อนด้วยเรื่องไร้สาระย่อมไม่สมควร "ในเมื่อท่านก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว หากมีคนรู้ว่าท่านไปเกี่ยวข้องขึ้นมาจะลำบากนะขอรับ"

    "แล้วใครมันจะรู้ขึ้นมาได้ หือ? วัลเดอมาร์" นัยน์ตาสีน้ำตาลแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก เรียวปากคลี่ยิ้ม "มีคนรู้เรื่องนี้อยู่ไม่กี่คน และข้าก็รู้จักหมดทั้งนั้น...มันจะมีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ"

    "ข้าไม่ได้หมายถึงคนที่ท่านเรียกใช้ อย่างข้า หรือท่านหมออาเดล" วัลเดอมาร์พูดช้าชัด ท่าทางไร้ความเคารพถูกความจริงจังเข้าแทนที่ แววตาเคร่งเครียด "...ข้าหมายถึงคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ต่างหาก"

    เสียงรถม้าแล่นไปเข้าแทรกบทสนทนาอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรเพิ่มเติม ด้วยนึกกริ่งเกรงขึ้นมาไม่ต่างกัน - หากผู้ที่สร้างเรื่องคดีคำสาปกุหลาบจงใจใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องต่อรองอะไรบางอย่างแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะปลอดภัยไปถึงเมื่อไร

    ความหวาดกลัวแล่นสะท้านทั่วสันหลัง อิซาคเพ่งมองพื้นรถ นัยน์ตาเกร็งกร้าว เขากัดฟันแน่น...นายทหารหนุ่มคิดว่าถ้าเรื่องนี้เริ่มบานปลาย ด้วยเหตุที่ว่าผู้ก่อเรื่องจงใจให้เป็นเช่นนั้น เขาจะต้องต่อสู้ ต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี และถึงจะพ่ายแพ้ เขาจะไม่แพ้เปล่า จะต้องลากให้ผู้ที่คิดจัดการกับเขาต้องตายตกไปตามกัน...แม้เขาจะไม่เชื่อว่าคนคนนั้นจะกล้าทำอะไรในยามนี้ก็ตาม

    "แต่ท่านวาฟเฟนชมิดท์ ความจริงแล้วข้ายังสงสัย..." วัลเดอมาร์เปรยขึ้นขัดความคิด ชายร่างผอมเหลือบตามองเพดาน เสียงนั้นเรียกให้อิซาคต้องเงยหน้าขึ้นตาม "ท่านผู้นั้น..." ละนามไว้ในฐานที่เข้าใจ "จะทำเรื่องเหล่านี้ไปเพื่ออะไร"

    ความจริงเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน... อิซาคยอมรับกับตนเอง ...สิ่งที่เขารู้มาแปลกประหลาดเป็นอันมาก หากพูดไปตอนนี้ไม่ว่าใครก็ต้องใส่ความว่าบ้า ทั้งคำของนายทหารหนุ่มจะกลายเป็นคำเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ซึ่งเขาไม่มีวันยอม ชายหนุ่มจึงพยายามหาหลักฐานทุกวิถีทางสนับสนุนความคิดของตนก่อนที่เวลาแห่งการเปิดเผยความจริงทั้งหมดจะมาถึง...ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

    อิซาคไม่ต้องการเข้าใจ สิ่งเดียวที่สำคัญคือผลของการกระทำเท่านั้น...และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องจัดการ!

    "ช้าก่อน ข้าขอถามเจ้า วัลเดอมาร์" อิซาคไม่ตอบคำถาม หากสวนกลับด้วยข้อสงสัยที่เริ่มผุดขึ้นในห้วงคิด

    ชายร่างผอมมองตอบอย่างงุนงง คิ้วจางเลิกสูง

    "ที่แวร์ฟาเรน...เจ้านำศพนั้นออกมาได้อย่างไรหรือ"

    ปฏิกิริยาของอาเดลที่เหมือนไม่ไว้ใจเขาทำให้ฉุกคิดขึ้นมา - ข่าวจากคนของเขาทำให้รู้ว่าเมื่อวานนี้เคลฟแห่งแวร์ฟาเรนได้เผากุหลาบกินคนที่ป่าต้องห้าม และไม่มีเรื่องราวของผู้เสียชีวิตใดถูกแย้มพรายออกมาเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อตรวจสอบลงลึก เขาจึงทราบว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น...เป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของนายตำรวจหนุ่มคนนั้น ที่จงใจปิดบังเรื่องนี้ ทำให้อิซาคเริ่มสงสัยว่าเคลฟน่าจะมีส่วนรู้เห็น ทั้งที่ข้อมูลที่เขาประจักษ์แก่ตนเองไม่ได้เป็นไปในทางนั้นเลยสักนิด...และเมื่อนึกย้อนถึงท่าทางของแพทย์หนุ่มเมื่อครู่ ก็ยิ่งสงสัยว่าข้อเท็จจริงบางประการมีอะไรที่เขาไม่รู้แน่ชัด มีอะไรที่ขัดแย้งกันอยู่หรือเปล่า

    และสิ่งเดียวที่เขาคิดได้ ก็คือเรื่องที่วัลเดอมาร์นำร่างของตำรวจผู้เสียชีวิตมาที่นี่ได้นั่นเอง...หากเรื่องที่อิซาครู้ต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลกัน และทุกอย่างเป็นความจริง ก็มีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่ยังคงคลุมเครือ เพราะถ้าเคลฟเผาเพื่ออำพรางหลักฐานจริง เหตุใดวัลเดอมาร์จึงนำหลักฐานนั้นออกมาได้...ไม่ต้องพูดถึงตรารับรองจากปราสาทกลางซึ่งอยู่ในความควบคุมของเคลฟ ว่าวัลเดอมาร์ได้มันมาอย่างไร...

    ทว่า คำตอบที่ได้ กลับทำให้อิซาคเย็นวาบราวกับถูกแท่งน้ำแข็งแหลมแทงทั่วร่าง ทันใด นายทหารหนุ่มก็เริ่มตระหนักว่าตนนั้นประมาท...เขาประมาทเกินไปที่ใช้คนตรงหน้าให้ทำงานนี้ ประมาทเกินไปที่จะไว้ใจใครสักคนเพียงเพราะความสามารถของเขาเป็นที่เลื่องลือ โดยลืมพิจารณาลักษณะอื่นใด

    วัลเดอมาร์ ทหารร่างผอมตรงหน้าขยับยิ้ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหยียดเยาะ ราวกับว่าเขากำลังถือไพ่เหนือกว่า ม่านตาสีน้ำตาลนั้นมองตรงมายังผู้บังคับบัญชาอย่างท้าทาย ปราศจากแววเกรงกลัว มันดูมีอำนาจลึกลับบางอย่างสาดทอออกมารุนแรง อำนาจลึกลับที่ทำให้อิซาค วาฟเฟนชมิดท์คนนี้ต้องนึกหวาดหวั่น หวาดระแวง ไม่ไว้ใจ

    "ก็ข้าเป็นพ่อมดของท่านอย่างไรเล่า..."

    ...อำนาจลึกลับ ที่พลิกผันให้นายทหารหนุ่มกลายเป็นเพียงอีกเบี้ยหมากในกำมือ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×