คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เอสพราเดล
ตอนที่ 1: เอสพราเดล
สองเท้าเดินช้า สูดกลิ่นอายแห่งทุ่งหญ้าและท้องทะเลที่คลอตามสายลมพัดโชย เคล้าเสียงคลื่นซัดซ่า กับเสียงล้อเกวียนกระทบพื้นดินดังกรอกแกรกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
แม้ไม่อาจระบุเวลาจากฟากฟ้า แต่จากการสัญจรของผู้คนที่ยังบางตากับสินค้าระหว่างขนส่งทำให้อนุมานได้ว่าเป็นเวลา ‘ก่อนเช้าตรู่’ เหตุเพราะบ้านเรือนส่วนใหญ่ยังดับไฟสนิท และตะเกียงสีขาวเรียงรายตามถนนรอยเกวียนก็จุดเพียงเสาเว้นเสา ที่สำคัญคือหน้าตาของผู้เดินทางไปมาไม่สู้จะตื่นเต็มตากันนัก จึงยังไม่มีใครเริ่มบทสนทนาจริงจังให้ลองลอบฟังได้เลย
ชายร่างหนาในชุดลำลองเก่าโทรมหยุดยืนนิ่งหน้าประตูเมือง ทักทายทหารรักษาการณ์เป็นครั้งแรกของวันและของชีวิต...ด้วยสำเนียงแปลกหูที่แม้แต่เจ้าของเสียงก็ไม่เคยได้ยิน “เอ้อ มิทราบว่านี่คือนครเอสพราเดล...ใช่ไหมขอรับ”
บุรุษผมสีฟางปรกหน้า ตาสีหม่น ท่าทางขึงขังในชุดเกราะโซ่หุ้มหนังพยักหน้าหนักแน่น ตามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรที่พรายพอให้สังเกตทัน เขายกมือเชิงห้ามชายแปลกหน้าเดินต่อ พลันเรียกทหารรักษาการณ์อีกนายมาแทนที่ แสดงบัตรประจำตัวว่าหมดภาระเฝ้ายาม แล้วจึงตบไหล่ชายผมดำท่าทางซอมซ่ออย่างผ้าขี้ริ้วห่อทองทีสองทีสุดแรง
“ท่านเป็นนักเดินทางต่างถิ่นหรืออย่างไร แล้วชุดคร่ำคร่าปานนั้นมันจะใช้ห่มได้อีกสักกี่วันกันหือ...” ทหารหนุ่มผมฟางเอ่ยถาม สำเนียงลงท้ายคล้ายกระเซ้า เขานำผ้าแถบสีเข้มขึ้นคาดปอยผมชุ่มเหงื่อให้พ้นหน้าผาก เผยว่าดวงตาข้างขวาถูกผ้าหนังอ่อนคาดบังแนบศีรษะ พลันก็สังเกตเห็นด้ามดาบใหญ่ผิดขนบเบื้องหลังบุรุษต่างเมือง
แววตาเคร่งเครียด คิ้วสีจางกระตุกเล็กน้อย “ท่านชื่ออะไร?”
ผู้ได้รับความปรารถนาดีที่เดินเคียงไปกับทหารรักษาการณ์มองตอบอย่างงุนงงกับน้ำเสียงที่ห้วนแล้งกะทันหัน “ข้า...” ประหวัดถึงการจารึกนามลงบนแผ่นกระดาษครั้งร่วมสมัครประลองดาบในความฝัน “...ชื่อฟินเดรอน”
เพียงได้ยินนาม ทหารตาเดียวก็มองนิ่งครุ่นคิด ก่อนลอบถอนใจโล่งอก พานักเดินทางสำเนียงแปลกหูเดินลึกไปในตัวเมืองซึ่งเริ่มพลุกพล่าน สักพักจึงหันมาถาม “แล้วท่านสะพายดาบแปลกตานั่นเพื่อร่วมการประลองดาบวันนี้หรือ” ปริภาษารื่นหู จบประโยคด้วยรอยยิ้มสดชื่น กับแววตาแกมล้อพราวระริก
“ช-ใช่ขอรับ...” ฟินเดรอนหยุดชะงัก มุ่นคิ้วสงสัย อ้าปากค้างไปชั่วขณะก่อนหันมาตอบด้วยเสียงสั่นๆ “แต่วันนี้ที่เอสพราเดลมีการประลองดาบจริงๆหรือ”
“ถามอะไรประหลาด!” ชายตาเดียวหัวเราะพรืดเบาๆ “ข้าบอกไปอย่างนั้นก็ต้องจริงอยู่แล้วสิ หรือมีบางอย่างติดค้างในใจท่านที่เอสพราเดลจัดงานประลองดาบวันนี้...ท่านไม่พร้อม ไม่รู้ว่าจะลงชื่อที่ไหน ไม่มีที่ไป หรืออย่างไร...แต่ข้าว่าเรื่องพื้นๆอย่างนั้นไม่น่าใช่เหตุอยู่แล้วล่ะนะ”
นิ่งกับคำถามไร้ประเด็นพร้อมประมวลผล แล้วจึงเปรย “ข้ามีความรู้สึกเหมือนกับ...เอ่อ ช่างเถิดขอรับ คงไม่มีอะไร ข้าคงสับสนไปเอง” ฟินเดรอนยิ้มจางยืนยันคำตน “แล้วก็ อ้อ! ขอความกรุณา...”
“เรียกข้าว่า ทาลีส แล้วกัน” ทหารหนุ่มเดาคำถาม แล้วยิ้มเห็นใจ “ในเมื่อท่านเพียงสับสนและเห็นว่าเป็นเช่นนั้นก็คงจริง แล้วท่านจะไปที่อัฒจันทร์ของเมืองตอนนี้เลยหรือเปล่า ท่านรู้จักทางไปไหม”
ดวงตาสีดำสนิทของฟินเดรอนหลุบลอบมองถุงมือหนังสีน้ำตาลที่มือซ้าย สลับกับมือขวาที่ว่างเปล่า...ภาพทางเดินไปยังสนามประลองชัดเจนราวตาเห็น ทั้งที่เขาไม่เคยมาเยือนที่เอสพราเดลมาก่อนเลย ด้วยความทรงจำที่ประดุจถูกลบจนสิ้น
แปลกจริงเชียว... “ข้าคิดว่าข้ารู้”
Y
สองสหายเดินเรื่อยมาด้วยกันโดยการนำทางของคนต่างถิ่น จนมาถึงสนามประลองประจำเมือง สนามกีฬาโบราณสร้างด้วยหินสีเหลืองนวล ใช้สำหรับการแข่งขันด้านพละกำลัง
แต่เดิมสนามประลองนี้ใช้เป็นสถานที่ชมการลงทัณฑ์นักโทษยุคก่อนการปกครองของปรินซ์นิโคลัส...ผู้ลงความเห็นว่ากฎหมายเก่านั้นป่าเถื่อน และการลงโทษชนิดนี้ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากปลูกฝังความโหดร้าย จึงสั่งยกเลิกเสีย แต่ครั้นผ่านไปหลายปี ท่านกลับจัดงานประลองศาสตราขึ้นทดแทน ด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักสมควรคือ ทำให้พลเมืองได้เรียนรู้วิชาการต่อสู้ขั้นสูงจากต่างถิ่น และที่สำคัญที่สุด เป็นสถานที่สำหรับคัดเลือกนักต่อสู้เอกในสังกัดของท่านเอง
...คำบรรยายจากทหารประจำเมืองเอสพราเดลให้ความกระจ่างเกินจำเป็น กระนั้นก็ทำให้ผู้มาเยือนได้รู้ว่าตนเดินตามภาพในสมองอย่างไร้สติตลอดทาง
หญิงสาวผมขาวผิวซีดที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้ฟินเดรอนจำนึกย้อนความ จนมั่นใจว่าสิ่งที่คล้ายเคยเห็นไม่ใช่แบบนี้ สตรีหลังโต๊ะมีผมสีอะไรไม่ชัดเจน แต่ไม่ใช่สีขาวเป็นแน่
ดวงหน้างดงามเจิดจ้าหันมาราวล่วงรู้ สีหน้าแปรตระหนกเมื่อสบตา ก่อนคลี่เรียวปากสีชมพูเป็นรอยยิ้มรื่นเย็น...ดูน่าสะพรึงกลัวมิใช่น้อย
“ลงชื่อร่วมงานประลองดาบทางนี้” เสียงหวานโทนทุ้มเฉียบห้วนไร้คำลงท้าย ใบหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตากลับคาดคั้นอย่างไม่ทราบเจตนา...เนิ่นนาน...จนความไม่ปกติผลักให้ทาลีสกุมมือขวาเพื่อนร่วมทางบีบมั่น สื่อว่าเขายังสนับสนุนอยู่
ฟินเดรอนสูดลมหายใจลึก ขยับดาบที่สะพายเล็กน้อยเรียกขวัญแก่ตน เดินเดี่ยวสู่โต๊ะรับสมัคร เพียรเลี่ยงสายตา จรดปากกาเขียนชื่อด้วยลายมืออ่านยาก พลันพลิกหันหลังให้กับสตรีประหลาด โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอสนทนาเพิ่มอีก
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงนุ่มนวลดังขึ้นอีกครั้ง สั่งนักดาบจำยืนนิ่ง “ฟิน...เดรอน ข้าขอดูดาบท่านหน่อยได้ไหม”
ภาพไม่คุ้นตาวาบในห้วงคิด เขาขมวดคิ้ว ก่อนหันกลับไป “ข้าไม่ใช่นักดาบมีชื่อเสียงขนาดที่จะมีใครรู้จักหรือต้องการยลดาบของข้าสักครั้ง ดาบข้าแปลกจากคนเมืองนี้ก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้แตกต่างจากดาบของเฮลิโกแลนด์ เช่นนี้จึงไม่ใช่อาวุธที่โดดเด่นจนใครที่พบเห็นต้องเรียกถาม” มองสาวรุ่นผมขาวเรียบเฉย “ดังนั้น ข้าคิดว่าท่านต้องมีเจตนาอื่นเป็นแน่”
หากสตรีผู้นั้นกลับตีหน้าซื่อ... “ไม่เลย ข้าเพียงเห็นโลหะเป็นสีอมฟ้าแปลกตา จึงอยากเห็นว่าโลหะเช่นนี้จะมีรูปทรงเช่นไรเมื่อตีเป็นดาบ”
ขยับรอยยิ้มเย็นเยียบ “ข้ารับรองว่าท่านจะได้เห็นมันแน่ๆ” ฟินเดรอนยิ่งแน่ใจว่าเจตนาของเธอไม่ได้มีเพียงคำอ้าง “...ในสนามประลอง หรือหากมีใครต้องการให้ข้าปลิดศีรษะเขาจากตัวในยามนี้”
...ภาพเหตุการณ์ไหววูบพาดผ่านกาลปัจจุบัน...
ทุกสิ่งรอบตัวหมุนวนเร็วรี่ เขาเดินดุ่มสู่กลางลานประลอง สองแขนฟาดดาบใหญ่ไปเบื้องหน้า โลหิตสาดพุ่งจากลำคอของบุรุษสูงศักดิ์ สตรีผมขาวรีบวิ่งเข้ามาด้วยตื่นตกใจกับการประหารซึ่งหน้า ทว่าเมื่อเขาจะชักดาบกลับคืน ปลายดาบก็กลับกรีดผ่านร่างผิวขาวจัด ลำแขนข้างขวาของเธอร่วงหล่นสู่พื้นโชกเลือด เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนหันหน้ามามองผู้เพิ่งทำร้ายตน...ทั้งน้ำตา
เสียงหวานกรีดตะโกนก้อง ‘เจ้า...จงใช้ชีวิตทุกขณะอย่างรอบคอบ อย่าได้กระทำการเช่นนี้อีกเลย...ข้าขอร้อง!’
...พลันลำแสงสีขาววาบทั่วบริเวณ....ความมืดปกคลุมอีกครั้ง...
...
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าความคิดของตนเป็นไปในทางน่าหวาดหวั่นหลังประกาศเงื่อนไขเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เขามองหน้าผู้ปรารถนาจะยลใบดาบด้วยความกังวล...ความกังวลที่ซ่อนใต้หน้ากากไร้อารมณ์
ทว่าสีหน้าของหญิงสาวแปลกออกไป แทนที่จะดูใคร่รู้ใสซื่อดังเดิม กลับกำมือแน่น ดวงตาสีน้ำเงินสดวาวโรจน์ด้วยความโกรธไร้ที่มา จับจ้องใบหน้าผู้เพิ่งสมัครร่วมประลองราวประสงค์จะสังหารเสียตอนนี้...แต่พักเดียวก็ถอนหายใจสุดแรง หลับตาก้มหน้าส่ายศีรษะเบาๆสองสามหน ก่อนเงยขึ้นกลับมองฟินเดรอนด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจสื่อสิ่งใด
“เรียบร้อยแล้ว กรุณารับบัตรยืนยันการสมัคร แล้วพบกันอีกครั้งที่นี่ก่อนเวลาประตูหน้าเปิดหนึ่งชั่วโมงนะ”
ฟินเดรอนยื่นมือไปรับบัตรมาช้าๆอย่างหวาดระแวง ก่อนชวนเพื่อนผละเดินรวดเร็ว หลีกจากบริเวณโต๊ะรับสมัครที่ลานประลองออกไปก่อนหยุดที่ลานน้ำพุรูปสลักหินสีดำ ชายหนุ่มยืนนิ่งปล่อยให้ละอองน้ำกระเซ็นถูกเสื้อผ้าเก่าโทรม ยืนก้มหน้ามองแผ่นน้ำที่ฐานน้ำพุ สงบความคิดที่วุ่นวาย...อันไม่ทราบสาเหตุ
ทหารหนุ่มยังรั้งมือขวาของชายต่างถิ่นไว้ ม่านตาสีฟ้าหม่นเพียงข้างเดียวทอประกายสงสัย แต่ดูมีนัยแห่งความเข้าใจบางอย่างแฝงปน
“ฟินเดรอน ท่านว่าผู้หญิงคนนั้นดูแปลกๆไหม” ทาลีสกระซิบเกริ่นเคร่งเครียด “อยู่ๆก็ขอดูดาบท่านนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่พอท่านกล่าวเป็นเชิงไม่ให้แล้วกลับโกรธมากอย่างกับจะฆ่าท่านเสียให้ได้...”
“ข้าไม่รู้เลย” ฟินเดรอนพูดลอยๆคล้ายคุยกับตัวเอง “แต่มัน...เหมือนข้าได้ทำบาปบางอย่างกับเธอไว้” เหมือนเคยเจอเธอมาก่อนหน้านี้แต่จำไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ไม่คิดว่าท่านเคยเจอเธอในกาลอดีตหรอก” ทาลีสเอ่ย น้ำเสียงคลายลง พยายามทำใจให้สบายหมายช่วยไขปัญหา “แต่ถ้าเป็นกาลอนาคต...หากสงสัยสิ่งใดไว้พบกันคราวหน้าค่อยลองถามดูก็ได้นี่”
ชายผมดำยืนนิ่ง แล้วจึงตัดสินใจหันกลับมามองเพื่อนด้วยรอยยิ้มแหยๆ นัยว่าปลงกับความงุนงงในชีวิต “นั่นสินะขอรับ”
ทั้งสองมองหน้ากัน...ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป...สิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้คือปฏิเสธความสงสัยในความคิด ฉาบไว้ด้วยท่าทางรื่นเริงไร้กังวล
ทว่า...ความมึนตึงทั้งมวลสิ้นสุดลงทันใด ยามทหารในชุดเกราะโซ่หุ้มหนังป้องปากหาว “ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าจะขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน...ท่านจะพักกับข้าไปพลางก็ได้นะ พอดีข้าอยู่ที่ห้องคนเดียว เพียงแต่อาจไกลจากใจกลางเมืองไปหน่อยเท่านั้น”
ครุ่นคิดพักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอรบกวนท่านต่ออีกล่ะ” ฟินเดรอนหัวเราะแล้วยิ้มเก้อ...
ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับเมืองนี้หมดสิ้นไปแล้ว หากเตร็ดเตร่แต่ผู้เดียวคงไปไหนไม่ถูกเป็นแน่ จึงจำอาศัยมิตรแปลกหน้า ผู้กล้าเสนอที่พักให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน...อีกสักระยะก็แล้วกัน
Y
หอพักอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองนัก และไม่ได้ห่างจุดสำคัญของเอสพราเดลมากมายอย่างคำบอก เพราะแม้จะเป็นเมืองใหญ่ ประตูที่ทาลีสเฝ้าก็เป็นจุดที่ใกล้ปราสาทกลางที่สุด สถานที่แห่งนี้จึงสะดวกสำหรับพำนักเพื่อเดินทางสู่ใจกลางเมือง แต่เพราะอยู่ใกล้ประตูฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ หากจะเดินทางสู่ตัวเมืองฝั่งเหนือย่อมใช้เวลานานพอควร
ร่างสูงนอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง เคียงข้างเจ้าของห้องซึ่งหลับสนิทไปแล้ว ทอดสายตายังหน้าต่างทั้งสอง มองดวงดาวหมองหม่นบนฟากฟ้า...ภาพที่ผุดขึ้นมาเมื่อครู่คล้ายกับภาพเลือนรางของเมืองเอสพราเดลก่อนหน้านั้น ทว่า ไม่อาจย้อนความทรงจำไกลกว่ายามเช้าตรู่ จึงไม่รู้ว่าภาพเช่นนี้มีอีกหรือไม่ และมีผลอันใดต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดบ้าง
จังหวะการหายใจของคนข้างตัวช้า และสงบ แต่ความสับสนของฟินเดรอนกลับทะยานสูง ด้วยสงสัยว่าอาการชอบกลของหญิงสาวอาจเกี่ยวข้องกับภาพที่เห็น ภาพการประลองนองเลือด และม่านตาสีเทาหลังหมวกเกราะบุบเบี้ยวของบุรุษท่าทางสูงศักดิ์ผู้กำลังสิ้นชีวิต ภาพสตรีผมขาวคนเดิมวิ่งเข้าประคองชายผู้นั้นทั้งน้ำตา วาจาชวนฉงน และดวงตาสีน้ำเงินสด...
ดวงตาสีน้ำเงินสด...ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง?
พลันมือหนักก็คว้าจับไหล่ซ้าย!
ชายผมดำสะดุ้งเล็กน้อยกับการขัดความคิด หันมองทาลีสด้วยสงสัย ทว่าใบหน้าเนือยๆเจือรอยยิ้มข้างตัวกลับสะกดจินตนาการทั้งมวล ราวมีบางสิ่งเจิดจรัสภายในร่างสูงโปร่งนั้น ม่านตาซ้ายสีฟ้าหม่นมิได้หม่นหมองดุจเมฆฝนเฉกยามเช้าตรู่
“ท่าน...?” เอ่ยถามเพราะงงกับการตื่นกะทันหัน
“ข้าขอถามสักนิด นอกจากเพื่อเงินแล้ว ท่านร่วมการประลองดาบเพื่ออะไรอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า” ทาลีสเร่งถาม ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วไม่มีวันรู้ว่าเพิ่งตื่นนอน
ฟินเดรอนมองนิ่ง “ไม่มีอื่นหรอก ข้าไม่รู้กระทั่งว่างานประลองดาบเป็นงานสรรหาบุคลากรของปรินซ์นิโคลัสด้วยซ้ำ”
ชายตาเดียวประมวลผลพักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ทหารยามแห่งเอสพราเดลยิ้มนิดๆก่อนหลับตาลงอีกครั้ง “ว่าแต่...แม้จะจำอดีตไม่ได้ แต่ท่านดูนาฬิกาเป็นใช่ไหม”
ฟินเดรอนรีบลุกขึ้นนั่ง ลากสายตาหานาฬิกา
“ห้องนี้ไม่มีนาฬิกาหรอกท่าน” ทาลีสหัวเราะ “ข้าแค่จะบอกว่า ท่านจะออกไปเดินชมเมืองเองแถวนี้ก่อนย่อมได้ เอาเงินข้าบนโต๊ะข้างเตียงไปด้วย สักเก้าโมงค่อยกลับมาปลุกข้าแล้วกัน”
ฟินเดรอนรับคำแล้วเดินไปยังโต๊ะยาวที่วางดาบไว้ ยกขึ้นสะพายหลัง โดยไม่แตะต้องทรัพย์ของทหารยาม แต่ครั้นก้าวยังประตูห้อง มือจะปลดกลอน ก็จำต้องหันมาถาม
“แล้วประตู...”
“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องล็อกอะไรทั้งนั้น แม้จะหลับข้าก็พอรู้ตัวอยู่น่ะ” ทาลีสยืนยัน “ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ต้องลงกลอนอะไร”
ชายหนุ่มนึกเป็นห่วง แต่เมื่อถามซ้ำคำตอบก็ยังคงเดิม และเจ้าของห้องก็ไม่กระตือรือร้น ทำให้เขาไม่รู้ว่าตนจะกระตือรือร้นไปทำไม จึงเดินก้าวออกไป หันมาลอบมองร่างทาลีสที่นอนแผ่นิ่งอยู่ครึ่งเตียงอย่างกังวล
แต่...พิจารณาไปมา ก็มั่นใจว่าทหารยามคนนี้คงไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอันตรายเป็นแน่ ด้วยหากหลงเข้ามาในห้องแล้วคงสยดสยองกับดาบสามเล่มและสองคันธนู พร้อมลูกธนูสภาพเก่าโทรมหลากสีที่กองสุมกันอยู่ข้างเตียง ซึ่งอาวุธแต่ละอย่างล้วนปรากฏร่องรอยแห่งการใช้งานอย่างสมบุกสมบัน โดยเฉพาะดาบคู่ทั้งสอง...ที่คราบเลือดบนใบดาบยังไม่แห้งสนิทดี เพราะเจ้าของไม่มีเวลามาเช็ด
ฟินเดรอนยืนเหม่อหน้าห้อง กะพริบตาสองสามครั้งกับคราบแดงๆดำๆที่เพิ่งสังเกตเห็น...ก่อนพิถีพิถันปิดประตูลงเงียบๆ
Y
ใจกลางเมืองเอสพราเดลเป็นย่านค้าขาย เป็นที่ตั้งของตลาดใหญ่ ประกอบกับวันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์...ความพลุกพล่านของผู้คนที่ปกติมากอยู่แล้ว จึงยิ่งมากจนแทบไม่เหลือทางให้แทรกเดิน
สองข้างทางเรียงรายด้วยห้องแถวสองชั้นหน้ากว้าง ประดับประดาป้ายร้านหลากสี สินค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าบริโภคจัดเรียบร้อยหลังตู้กระจกและบนชั้นวาง ผลไม้สดนานาชนิดบ้างก็วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะใหญ่ บ้างก็เรียงในลังไม้อ่อน ส่วนผลไม้แห้งอยู่ในกระจาด ถุงผ้าขนาดใหญ่ และในห่อผ้าขนาดพกพา
ร้านขายลูกกวาดจัดวางแสงสีให้บรรยากาศสนุกสนาน ลูกกวาดสีพื้นมากมายบรรจุเต็มโถแก้วด้านในร้าน อมยิ้มรูปร่างแปลกตาบรรจงจัดบนแถบไม้ให้เด็กๆหยิบถึง ลูกอมเคี้ยวหนึบห่อกระดาษสีในถุงโปร่งบางผูกเชือกสีหวานโดดเด่นบนเสาแขวนทรงต้นสน ด้านหน้าร้านนำเสนอขนมรายการพิเศษประจำเทศกาล อันมีอุปกรณ์สำคัญคือหม้อน้ำตาลเคี่ยวและแอปเปิ้ลสีแดงเสียบไม้เรียงเป็นแถบ พร้อมตัวอย่างผลแอปเปิ้ลสดชุบน้ำตาลอุ่นเหลวที่แห้งเป็นเกล็ดวูบวาบมันวาว
ร้านขายขนมอบประดับตกแต่งด้วยไม้สีเข้มตัดกับผ้าสีอ่อนหวาน ป้ายโทนดำเย็บจีบระบายสีขาวชมพู ทั่วทั้งร้านเต็มไปด้วยตะเกียงสีดำและเทียนสีขาวส่งแสงสว่างนวลตาเข้ากับบรรยากาศที่ทั้งเคร่งขรึมและอ่อนหวาน ตู้กระจกหน้าร้านละลานตาไปด้วยเค้กครีม ขนมพุดดิ้ง และผลไม้กับครีมสด ถัดไปบนชั้นไม้มีขนมปังหอมกรุ่น พาย ทาร์ต และขนมอบร้อนๆจากเตา สำหรับของหวานแนะนำของวันคือเค้กผลไม้หนานุ่มที่อัดแน่นไปด้วยเมล็ดถั่วและผลไม้แห้ง ฉาบแยมแอปริคอทรสอมเปรี้ยว หั่นเป็นชิ้นราดด้วยครีมสดด้านบน
เผลอแวบเดียว...ลำแขนแข็งแกร่งก็หอบขนมไว้เต็มพิกัด
ชายร่างสูงงับทาร์ตบลูเบอร์รี่คาปากเคี้ยวตุ้ยๆ แขนขวาหอบเค้กครีมสามกล่องด้วยท่าทีหวงแหนเยี่ยงชีวิต มือขวาหิ้วถุงผลไม้กับขนมปังพะรุงพะรัง ส่วนมือซ้ายเหน็บกล่องใหญ่จากร้านลูกกวาดไว้กับสีข้างราวกับกำลังขนส่งพัสดุสำคัญให้กับแขกบ้านแขกเมือง เขาเคลื่อนที่ช้าเอื่อย พยายามลัดเลาะหาหนทางที่ไม่เบียดเสียดนัก
เดินเรื่อยผ่านร้านค้า เพ่งจิตแน่วแน่ในรสขนม บำเพ็ญตบะแก่กล้าไม่ให้ปรายตาหาร้านรวง ด้วยเกรงว่าทรัพย์จะระเหิดหายไปจากกระเป๋าอีก ...และไม่นานนัก ชายหนุ่มผู้ไร้สมาธิมองทางโดยสิ้นเชิง ก็หมดความอดทนในการรับรู้สิ่งอื่น ตัดสินใจนั่งนิ่งที่ขอบน้ำพุกลางตลาด
ดวงตาไม่รับรู้สิ่งใด โสตสัมผัสไร้สรรพเสียง สมองว่างเปล่า ยุติการคิดเรื่อยเปื่อยตามวิสัย...ปล่อยให้จมูกและปลายลิ้นสัมผัสความละมุนละไมของขนมปังอบเชยร้อนๆอันหอมกรุ่น
จัตุรัสกลางย่านร้านค้าจำแนกเขตด้วยพื้นอิฐสีจางเป็นกรอบนอก ถัดมาเป็นแนวคันดินโค้งที่จัดไว้ปลูกต้นไม้ ก่ออิฐกั้นประณีตคล้ายเสี้ยววงเดือน ล้อมรอบน้ำพุโดยเว้นทางเดินผ่าวงกลมสองแนวตั้งฉาก ด้วยบรรยากาศนิ่งสงบและร่มรื่น ลานน้ำพุนี้จึงเป็นแหล่งพักพิงของเหล่าผู้เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และอีกสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัวและคู่รัก
แม้เวลาจะผันผ่าน
หากบุรุษผมดำร่างหนานามฟินเดรอนยังคงมุ่งมั่นกับการแทะผลแอปเปิ้ลชุบน้ำตาลข้น กลิ่นหอมหวานและรสเนียนลิ้นให้ความรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า กลางทางเดินเบื้องหน้าปรากฏร่างคุ้นตา แต่สติของเขามีไม่มากพอจะสังเกตเห็น เสียงโหวกเหวกของคนผู้นั้นไม่ได้ซ่อนเร้นสาร แต่สติของเขาก็ไม่มากพอจะจับใจความ
ภาพรอบตัวเป็นเช่นไรไม่นำพา...ทว่าสำเนียงสะดุดหูที่ได้ยินทำให้ฟินเดรอนผู้ดำดิ่งกับอมยิ้มน้ำตาลข้นต้องออกจากภวังค์หวานฉ่ำมาเหลือบมอง
กลางลานที่ปูด้วยแผ่นหินสีเทาจาง ผู้คนมากมายเคลื่อนไหวเร่งรีบ
แต่ภาพที่ปรากฏกลับสะดุดตา...ดังถูกขับเน้นด้วยรัศมีอันเปล่งประกาย
ชายร่างสูงในชุดคลุมสีหม่นกำข้อมือของหญิงสาวผมขาวแน่น ฟินเดรอนมองไม่เห็นใบหน้าหรือเครื่องแต่งกายอื่นใดของบุรุษผู้นั้น เว้นเพียงแผ่นหลังกว้าง กับเส้นผมสีดำยาวที่โผล่พ้นชายหมวกคลุม ส่วนหญิงสาวคือผู้ที่เอ่ยปากขอดูใบดาบเมื่อเช้า ร่างบอบบางในชุดคลุมกันลมสีน้ำตาลอ่อนขืนเกร็ง เพียรปลดลำแขนจากการถูกตรึง ขณะเดียวกันก็มองตอบชายผู้นั้นอย่างโกรธขึ้งและ...คุกคาม
สตรีผู้นั้นพึมพำด้วยน้ำเสียงคล้ายตะคอก ทว่าปฏิกิริยาของคู่สนทนากลับเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ จุดประกายให้ดวงตากลมโตสีน้ำเงินสดหรี่เกร็ง ผิวเนื้อกระตุกจากแรงโทสะที่เริ่มปะทุ เธอกระชากคอเสื้อของร่างสูงกว่าลงมาครู่หนึ่ง กระซิบบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนผละออกเบือนหน้าหนี
พลันบุรุษชุดคลุมสีเทาเบี่ยงขวา ผละเดินตรงไปด้านหน้า ไม่นานก็ถูกฝูงชนกลืนหาย ทว่าหญิงสาวผิวขาวซีดกลับคงยืนนิ่ง...ชายผมดำที่นั่งอยู่ริมน้ำพุจึงลอบมองอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเหตุนั้นมาจากสิ่งใด หรือควรทำเช่นไร เพราะนั่นไม่ใช่กิจธุระของตน
ร่างบอบบางพลันหลุบตามองพื้นอย่างเศร้าสร้อย ขบริมฝีปากแน่น หรี่ตาเล็กน้อยพลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินตรงสู่บ่อน้ำพุ...นั่งลงข้างชายหนุ่มผู้มีก้านอมยิ้มคาปาก
ฟินเดรอนเริ่มประหม่า ตื่นเต้นแปลกๆ แต่ยังรวบรวมความกล้าหันไปมองหญิงสาวทางขวา ด้วยหวังสายตาสื่อความสักหน่อย หากใบหน้างดงามกลับมองตรงไปในฝูงชน ราวไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ
ชายหนุ่มมองนิ่งไม่วางตา เสียงน้ำพุกระเซ็นซ่าแว่วดังไม่ขาดสาย
สายลมพัดแผ่วเบาผ่านลานโล่งกว้าง...แทนวาจาระหว่างคนทั้งสอง
Y
“อ้าว กลับมาแล้วหรือท่านฟินเดรอน?” ผู้ดูแลหอพักทหารยามฝั่งหรดีทักขึ้นทันทีที่เจ้าของชื่อก้าวผ่านประตูสู่โถงกลางอาคาร ชายผมสีเทาตามอายุนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้ เขายิ้มทักทายผู้อ่อนวัยกว่า ก่อนละสายตาสู่นาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม หน้าปัดเหนือลูกตุ้มสีทองแกว่งไกวบอกเวลาแปดนาฬิกาสี่สิบนาที
“แล้วนี่...” ม่านตาสีเทาจ้องถุงขนมพะรุงพะรังเขม็ง
อากัปนิ่งอึ้งของชายวัยกลางคนกดดันให้ลูกค้าขนมหวานรายใหญ่หัวเราะแหะๆ “พอดีข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้ เลยเผลอซื้อมาเยอะไปหน่อยน่ะขอรับ” ชายหนุ่มก้มลงบรรจงค้นถุงผ้าบางสีดำปักตราร้านสีชมพูเข้มอยู่พักหนึ่ง วางกล่องที่เตรียมไว้บนสองมืออย่างทะนุถนอม ก่อนยื่นให้เหนือเคาน์เตอร์พลางค้อมศีรษะลงน้อยๆ...อีกฝ่ายจึงจำลุกจากเก้าอี้ไม้ที่มีเสื้อคลุมสีหม่นพาดอยู่ พลันเอื้อมมือมารับอย่างงงๆ
“เค้กกล่องนี้ข้าซื้อมาฝากท่าน...ขอบคุณมากนะขอรับ” ฟินเดรอนพูดรัวเร็ว ยิ้มเจิดจ้าสองสามวินาที ก่อนรีบผละวิ่งหนีขึ้นบันไดหอพักไปส่งเสียงฝีเท้าดังตึงๆๆโดยไม่อธิบายอะไรเลย ทิ้งให้ชายวัยกลางคนมองตามด้วยสมองว่างเปล่า ถือกล่องเค้กสีชมพูเข้มสดสวยอ้าปากค้างนิ่งงัน...ลืมทุกสิ่งที่กำลังจะบอกไปในทันที
แสงตะเกียงส่องสว่างทางเดินมืดสลัว ทอร่างบุรุษหนุ่มเป็นเงายาวบนพื้นบันไดไม้เก่า ฟินเดรอนนึกสงสัยว่าตนจะวิ่งหนีมาทำไม ภาพบางอย่างวาบขึ้นจริงอยู่ แต่ความทรงจำอันมืดมิดมิอาจไขสิ่งใดให้กระจ่าง เพียงพาสองขาให้ก้าวเดินสู่หน้าประตูห้อง
ยืนนิ่งหน้าประตูไม้ มือขวาขยับลูกบิดเชื่องช้า ผลักบานประตูให้เปิดเข้า
สายตามองลอดผ่านช่องว่างที่กว้างขึ้นทีละน้อย
หน้าต่างบานเดิมเปิดกว้าง ม่านสีเข้มพลิ้วไหวตามแรงลมพัดพา แสงจากจันทร์ครึ่งดวงที่ลอยเด่นทำให้เห็นว่าสภาพในห้องยังเป็นเช่นเดิม ทว่าขาดสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่ง
ทาลีสหายไป
ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงกว้าง ประคองถุงขนมวางบนโต๊ะ จ้องมองรอยยับของผ้าปูสีอ่อนด้วยกังวลใจ...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
นอกจากระงับความสงสัย แล้วอดทนรอคอยเท่านั้น
Y
++++++
น-ในที่สุดก็จบตอน เฮือกกก
(ช่วงท้ายแปลกๆไปหน่อย ไว้รีไรท์ทีหลัง แต่เนื้อหาไม่ต่างจากเดิมแน่ๆ ฉะนั้นใครอ่านอันนี้แล้วเห็นว่าแก้ไขตอนอีก ไม่ต้องเข้ามาอ่านนะครับท่าน)
*แก้ไข เจ้าชายนิโคลัส>>ปรินซ์นิโคลัส เพื่อป้องกันการสับสนกับเจ้าชาย ที่เป็นทายาทกษัตริย์
(หมายถึง Prince ที่ปกครอง Principality)
ความคิดเห็น