คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
แสงสว่างเจิดจ้าสาดพุ่งสู่นัยน์ตาให้เลือนพร่า..
ชายร่างสูงทรุดลงชันเข่าบนพื้นอุ่นท่ามกลางสายลมแรงเย็นเยือก เขายกท่อนแขนทอดเงาบังดวงตาที่ปิดแน่น...ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ม่านตาสีดำสนิทเหลือบลอดเงามัว ก่อนจะฉายประกายมุ่งร้ายทันทีที่แยกแยะภาพได้จากพื้นหลังอันว่างเปล่า
“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าทำลายมันจนไม่เหลืออะไรแล้วแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ?!”
เค้นเสียงตะโกนสุดแรงด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนที่ความปวดร้าวจะแล่นจากกลางอกไล่ริ้วทั่วร่างจนกล้ามเนื้อสั่นกระตุก แผ่นหลังกว้างที่เคยยืดทระนงบิดเบี้ยวยามที่ล้มลงนอนราบไปกับพื้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดรุมเร้าเจียนตาย บังคับความคิดวุ่นวายให้หยุดลงโดยพลัน และไม่อาจนึกรู้สิ่งใดได้อีก
เพราะเพียงหายใจก็ลำบากยากเย็น
“เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดสิ่งใดออกมา...” น้ำเสียงแหบพร่าฟังดูแผ่วเบาคล้ายดังแว่วจากที่ไกล เจ้าของเสียงผละลุกยืนจากเก้าอี้บุหนัง แล้วก้าวเดินด้วยท่าทางไม่เร่งร้อน
บุรุษในชุดขาวตลอดร่างหัวเราะเบาๆก่อนหยุดยืนนิ่ง ก้มหน้ามองพักหนึ่งแล้วจึงย่อตัวลงนั่ง ทอดสายตาลึกลับ พิศมองเหม่ออยู่นาน
“ข้ากับเจ้า ใครกันแน่ที่เป็นผู้ทำลาย?”
ชายผู้มีเรือนผมสีดำสนิทรวบมัดด้านหลังตัดกับเสื้อแขนยาวสีขาวปลอดหัวเราะลั่นเหยียดเยาะชะตา จับจ้องอีกคนที่สวมเสื้อผ้าเก่าโทรมขาดวิ่นดังหมายคาดคั้นให้ตอบรับคำถาม...แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอนุสติของคนตรงหน้าขาดสะบั้นไปนานแล้ว กระนั้นก็ยังหวังให้คนคนนี้ฝืนการลิขิตจากตนได้อีกสักครั้งครา
ชายชุดขาวนิ่งเงียบ ไม่กล่าวอะไรอีก
ดวงตาสีเทาสุกสว่างเพ่งมองเสี้ยวหน้าคมคายที่ฝืนเคร่งอยู่เสมอ หากบัดนี้กลับผ่อนคลาย...ราวกับได้หลุดพ้นแล้วซึ่งพันธนาการที่เหนี่ยวรั้งไว้ตลอดมา
ในความเงียบงัน บัดนี้ไม่ได้มีเพียงแสงขาวและฉากรอบตัวที่เวิ้งว้างอีกต่อไป...ความมืดกลับแผ่คืบคลานจากด้านหลัง ไหลปรกลงอาบจากฟากฟ้ายังพื้นดิน ความว่างเปล่าสีดำเข้าโอบล้อมร่างของชายชุดขาวทีละน้อย จนจรดปลายผมของผู้สิ้นสติ...แล้วไม่อาจแผ่ขยายต่ออีก - แบ่งแยกทุกอย่างเป็นสองส่วน สีขาว และสีดำ
เสียงลมหายใจสงบลงพลัน
ใบหน้าเรียวปรกเส้นผมยาวยิ้มกว้าง...เอนกายลงนอนราบไปด้านหลัง - ดำรงในฟากแห่งความมืดดำของตน และไม่ก้าวล่วงไปยังอีกฝั่งที่สว่างว่างเปล่าเจิดจ้าชวนแสบตา
ร่างกายสูงโปร่งในชุดสีขาวสว่างแผ่รัศมีเรืองรอง ไอสีทองพวยพุ่งจากปากของเขา ลอยสูงสู่ฟากฟ้าแล้วระเบิดออกเป็นประกายทั่วทิศ ร่วงหล่นอาบไล้พื้นผิวเรียบว่างไร้ซึ่งทุกสิ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะหมุนวนเร็วรี่
...ทั้งสีขาวและสีดำ ทั้งตัวเขาและชายอีกคน ทั้งพื้นหลังและตัวตน...หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
พลันภาพเหตุการณ์ทุกอย่างไล่เรียงลำดับ จากปัจจุบันสู่อดีต...ย้อนกลับ กำเนิด แล้วย้อนสู่ต้นกำเนิดที่เก่าแก่กว่า...พลังอำนาจลึกลับแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ผลักดันให้ห้วงเวลาไหลย้อนคืน...ตราบจนสิ้นสุดยังจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ทุกความปรารถนาที่หล่อเลี้ยงกาลเวลาจะได้รับโอกาสใหม่อีกครั้ง...หากเจตจำนงสุดท้ายของชายชุดขาวเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีพลังเหนืออื่นใด
ครานี้ จะไม่มีวันปล่อยให้มีโอกาสผิดพลาดอีก จะขอแก้ไข ชดเชยทุกอย่างที่ผิดเพี้ยนมาตั้งแต่แรก
ผิดพลาดมามาก เศร้าเสียใจมาเนิ่นนาน
จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น - ไม่มีอีกแล้ว
...ข้าขอสัญญา...
Y
เสียงคลื่นซัดซาดซ่ายังหินผาสูงชัน
ชายหนุ่มลืมตาตื่นจากความฝันช้าๆด้วยอาการสะลึมสะลือ ลำแขนแกร่งยันตนจากนอนเป็นนั่ง ก่อนจะหันมาสำรวจสิ่งรอบตัว นึกสงสัยว่านี่คือสถานที่แห่งใด
แสงดาวส่องจรัสเหนือน่านฟ้า เรือสีขาวระหงลำใหญ่แล่นเอื่อยผ่านหน้าผาชันไป สายตาคมกริบมองตามด้วยความสงสัย ทว่าสภาพแวดล้อมก็ตัดปริศนาทุกอย่างไปหมด ที่นี่ย่อมเป็นเมืองท่า และแน่นอนว่าเขาคงอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก
ดาบเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างตัว จึงเกิดความฉงนขึ้นมาอีกครั้งก่อนลองสำรวจร่างกายตน...ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆแม้แต่น้อย คาดว่านี่คงเป็นอาวุธประจำตัว และเขาก็มีสิทธิ์จะชักดาบออกมาป้องกันตนเองได้เสมอ
ชายหนุ่มค่อยดึงดาบใหญ่ออกเล็กน้อยจากแผ่นหนังที่พันทบกัน ไล้ปลายนิ้วไปตามคมโลหะ พลันแสงไฟขาวจากยอดเสากระโดงของนาวาใหญ่ในทะเลสาดส่องสะท้อน เผยให้เห็นว่าดาบเล่มนี้มีสีฟ้าหม่น ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งของที่บุคคลธรรมดาพึงจะมี
ภาพของการฆ่าฟันผุดขึ้นจากอากาศ เสียงศาสตรากระทบกันดังกึกก้อง โลหิตสาดกระเซ็นต้องผิวหน้าในจินตนาการ ตัวเขาในภาพนั้นเปล่งวาจาด้วยภาษาแปลกหู และแสงสว่างสีทองก็เปล่งวาบ...มืดมน...หยุดความคิดเพียงเท่านั้น
สายตามองหารายละเอียดหยุดอยู่ที่อักขระบริเวณสันข้างของโกร่งบาง...ฟินน์...เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะแกะความออกมาได้ ชายหนุ่มเพียรเค้นความทรงจำที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด...อันคำว่า ‘ฟินน์’ หมายถึงผู้วิเศษทางตอนเหนือของผืนทวีป พลันจิตก็ประหวัดไปถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณระหว่างพันธมิตรแห่งมนุษย์และชาวปีศาจ
ทันใดบางสิ่งก็ปรากฏขึ้นในความคิด...มันคือภาพของโลกที่ตกอยู่ในความยากแค้นแสนสาหัสภายหลังสงครามศักดิ์สิทธิ์ กับภาพของโลกอันสงบสุขหลังสงครามเดียวกัน และภาพของโลกหลังสงครามใหญ่ครั้งนั้นอีกหลายภาพ...ซ้อนทับดังเงาสะท้อนที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่า ภาพเหล่านั้นเป็นเพียงความคิดพร่ำเพ้อ หรือความจริงที่ได้ประสบมากันแน่
แต่หากเป็นความจริงแล้ว เหตุใดจึงมีความจริงอยู่มากมายนักเล่า?
นึกย้อนไปขณะที่กำลังนอนหลับ ย้อนไปในความฝัน...ความฝันที่สว่างเจิดจ้าจนไม่อาจเห็นสิ่งใดได้เลย
...
“งานประลองดาบแห่งเอสพราเดล?”
ชายหนุ่มร่างหนาที่สะพายดาบใหญ่เงยหน้ามองตัวหนังสือสีขาวบนแผ่นป้ายไม้มหึมาด้านนอกสนามประลองประจำเมือง เมื่อมั่นใจว่าอ่านไม่ผิดแน่ จึงตรวจสอบทรัพย์สมบัติตนเอง...พบว่ามีเหรียญทองอยู่หนึ่งเหรียญถ้วน...มันมีค่าโขอยู่ แต่หากมีทุนเพียงนี้คงไม่พอยังชีพในอนาคต ความรู้ก็เหมือนจะมี แต่มีอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ จึงไม่อาจเป็นหลักประกันการงานได้เช่นกัน
ก้มลงมองเหรียญทองในมือแน่วแน่ เก็บมันลงกระเป๋า สายตามุ่งหาสถานที่รับสมัครผู้ร่วมงานประลอง ด้วยอาวุธดีๆยืนยันว่าคงมีฝีมือทางนี้อยู่มิใช่ย่อย เขาก้าวเท้าเชื่องช้าลงบนแผ่นปูถนนสีขาวสะอาด พิจารณาลักษณะทางสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของนครแห่งนี้ ระหว่างเดินสวนผู้คนมากมายไปยังโต๊ะรับสมัครบริเวณประตูทางเข้าสนามประลองแห่งเอสพราเดล
บ้านเรือนธรรมดาที่เรียงรายอยู่สองฟากของถนนสร้างด้วยอิฐ ทรงสี่เหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้อง ส่วนอาคารสูงรวมถึงสนามประลองก่อด้วยวัสดุคล้ายหินสีเหลืองนวล สิ่งก่อสร้างหรูหราในเอสพราเดลนิยมใช้โครงสร้างโค้งค้ำยันเพดาน ประดับประดาด้วยภาพแกะสลักขนาดใหญ่บนแผ่นไม้คร่ำคร่าอันมีนัยเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา...ไม่มีสิ่งใดแปลกจากขนบนี้ นอกจากไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของสถานที่ปลูกไว้เพื่อความรื่นรมย์เท่านั้น
“ลงชื่อร่วมงานประลองดาบทางนี้ค่ะ” หญิงสาวผิวขาวจัดสวมแว่นสายตามองตรงมายังเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ใบหน้านวลตาของหล่อนดูคุ้นอย่างน่าประหลาด...ทว่าเขานึกไม่ออก จำต้องตัดความคิดออกไปไม่ให้กังวล
มือขวาหยาบกร้านหยิบปากกาขนนกขึ้นจรดหมึก ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ข้าไม่รู้ว่าควรจะเขียนลงไปอย่างไรดี”
สตรีอีกฝั่งของโต๊ะยิ้มรับตามมารยาทด้วยแววตาราวล่วงรู้ทุกสิ่ง “จะเป็นนามจริงหรือนามแฝงก็ได้ทั้งนั้นค่ะ”
ชายหนุ่มนึกนิ่ง...ปลายปากกาจารึกนาม ‘ฟินเดรอน’ ลงบนแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว รับบัตรเข้าร่วมการประลองมา แล้วเร่งเดินออกไปขณะครุ่นคิดถึงนามที่เขียนไปเมื่อครู่
เหตุใดจึงเลือกใช้นามนั้น? และความหมายของมันคืออะไร?
...แม้แต่ผู้คิดยังไม่อาจตอบได้ จึงไม่มีประโยชน์จะกังวลอีกต่อไป
ชายหนุ่มเดินเรื่อยไร้จุดหมาย จนหยุดยืนข้างลานน้ำพุกลางตลาดอันประดับด้วยรูปสลักหินสีดำเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง รายล้อมด้วยพุ่มดอกไม้สีส้มและแดง ละอองน้ำกระเซ็นถูกเสื้อผ้าเก่าโทรมของเขา สูดหายใจเข้าลึก ผ่อนคลายจากความสับสนและเคร่งเครียดชั่วขณะหนึ่ง ยืนเหม่อมองแผ่นน้ำที่ฐานน้ำพุกระเพื่อมจากการกระทบกับสายน้ำเบื้องบน
ความเย็นจากหยดน้ำทำให้หวนนึกถึงบางสิ่ง...เลือดแดงฉานหลั่งไหลจากร่างของเอลฟ์ตนหนึ่งในชุดนายทัพสีน้ำเงิน เปรอะชุดคลุมสีเงินยวงบนกายเขา และคำพูดสุดท้ายสั้นๆของนายทัพเอลฟ์ผู้นั้น ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่เข้าใจความหมาย แม้พอจะเดาได้ว่าคงเกี่ยวกับการจัดการอนาคตบางอย่าง
ฉุกคิดขึ้นมาได้...แล้วเขาไปเกี่ยวกับนายทัพผู้นั้นได้อย่างไรอีกเล่า...ไม่ต้องสงสัยว่าภาพนี้เป็นความจริงหรือไม่ ความแน่ชัดและรายละเอียดแปลกตาต่างจากภาพลบเลือนของสภาวะโลกหลังสงครามที่นึกได้ ฉะนั้นจึงน่าจะเป็นจริง แต่ทั้งนี้ก็ไม่เข้าใจว่าตนไปเกี่ยวพันกับมรณกรรมของนายทัพชาวเอลฟ์ไปได้อย่างไร
หลุบตาลงถอนใจ เงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าอันมืดมิด...สงบความสับสนด้วยภาพอันเป็นนิรันดรของจันทราครึ่งดวง กับลำแสงนวลตาแม้ยามทิวา
พลันแสงเจิดจรัสไร้ที่มาก็สว่างวาบ ม่านตาสีดำสนิทส่องสะท้อนเงาระริกไหวของอักษรหลากหลายภาษา ชายหนุ่มเบิกตากว้างตื่นตะลึง ความทรงจำนองเลือดที่เคยนึกได้บังเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวหมุนวนรอบตัว เร่งความเร็วขึ้นจนมองเห็นเพียงเค้าโครงความเป็นมนุษย์ในฉากเหล่านั้น จนกระทั่งแสงสีขาวแล่นเข้ากลืนทั่วบริเวณ
และทุกสิ่งก็ถูกครอบงำด้วยความมืดมน...
Y
ความคิดเห็น