คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องเล่าของชายผู้เสียสติ
first version: 27092009
prior version: 02052010
present version: 31032011
1: เรื่องเล่าของชายผู้เสียสติ
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังจากหน้าร้านเหล้า ถ้อยคำหยาบคายฟังไม่ได้ศัพท์ ความวุ่นวายและเสียงแก้วแตกที่ดังต่อเนื่องราวกับคลื่นที่ซัดสาด ทำให้ผู้คนที่เดินอยู่นอกร้านได้แต่เหลือบมอง ก่อนจะรีบวิ่งหนีไป
ชายร่างกำยำที่เป็นเหมือนคนดูแลความปลอดภัยลากร่างผ่ายผอมสกปรกของชายคนหนึ่งออกจากร้าน โยนลงกลางถนน เขาตะคอกลั่นใส่ชายผมรุงรังที่ยกมือขอความเมตตาปลกๆ เตะเข้าที่สีข้างเต็มแรงสองสามที แล้วชี้นิ้วตะเพิดไล่ให้รีบไปจากหน้าร้านตน หน้าตาโกรธเกรี้ยวถมึงทึงระคนรำคาญ
ไม่ถึงสองวัน ไอ้บ้านั่นมันก็มาอีกแล้ว...
คนดูแลกัดฟันพึมพำขณะเดินย่ำกลับไปในร้าน ดวงตาโกรธเกรี้ยวกราดเพ่งมองชายเสียสติร่างผอมโกรกเดินโซเซกลางถนนห่างออกไป เขาถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนเข้าไปบ่นกับเจ้าของร้านวัยกลางคนที่ยืนจ้องเขม็งผ่านแว่นกลม
“ท่านรู้ไหม มันเป็นใคร ทำไมถึงมาก่อกวนร้านท่านได้ทุกวัน” ชายร่างยักษ์แค่นเสียง ฝ่ามือหนักตบป้าบที่เคาน์เตอร์ไม้จนสั่นไหว ลำแขนเกร็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ราวกับถ้าเขาต้องเจอชายผมรุงรังนั่นอีกครั้ง ก็คงบีบคอมันตายเสียตรงนี้
ท่าทางของคนดูแลทำให้หัวใจของชายเจ้าของร้านหล่นวูบ ดวงตาสีเทาเลิกกว้าง ก่อนชะโงกมองสภาพลูกค้าทั้งในและนอกร้านที่ยังคงตื่นตระหนก
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร มันก็เป็นแต่คนบ้า” เขาถอนหายใจ ส่ายศีรษะช้าๆ “ที่มันพร่ำพูดข้ายังไม่เห็นสาระเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่หวังจะรู้อะไรมากกว่านี้หรอก”
นัยน์ตาดุดันของคนดูแลกลอกมองเพดาน นึกค้นความจริงจากคำพูดไม่ปะติดปะต่อของคนบ้านั้น พลันขมวดคิ้วเคร่งเครียด “มันบอกว่ามีแม่มดอยู่ในป่า...แม่มดสาวสวยเหมือนนางฟ้าอะไรของมันสักอย่าง แล้วก็พูดถึงกุหลาบ คำสาป...”
“เจ้าอย่าไปใส่ใจคำของมันเลย เบรนน์” เจ้าของร้านตัดบท ยิ้มแห้งแล้ง “แม่มดหรือคำสาปอะไรมีจริงเสียที่ไหน ถ้าเจ้าเชื่อคำคนบ้า ระวังจะบ้าตามมันเข้าสักวัน”
เบรนน์ยืนนิ่ง เพ่งมองกำแพงหลังเคาน์เตอร์ ราวกับจะใช้สายตาเจาะทะลุแผ่นไม้เสียให้ได้
...แม้เขาจะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรชวนงมงายอย่างนั้น แต่คนดูแลกลับรู้สึกว่ามีความจริงสักอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดของไอ้บ้านั่น อย่างน้อยเวลาพูดถึงนางแม่มดสวยหยาดฟ้าในป่านอกเมือง เขาก็แทบจะเห็นภาพเธอร่ายรำอยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นข้าว่าข้าคงบ้า”
ชายร่างยักษ์พูดรัวเร็ว เขาเดินย่ำหนักไปหยิบตะเกียงหลังร้านออกมาดวงหนึ่ง ตวัดผืนผ้าคลุมร่างตนจนมิดชิด จุดไฟตะเกียงให้สว่าง แล้วเดินมุ่งออกจากร้านที่เริ่มมีลูกค้า
“เบรนน์ เจ้าจะไปไหนน่ะ!”
คนดูแลหยุดยืนครุ่นคิด แล้วเบือนหน้ากลับมามองช่องประตูว่างเปล่า สบตากับเจ้าของร้านผ่านแสงไฟสลัว
“ข้าจะไปดูว่าไอ้บ้านั่นพูดจริงไหม” ชายร่างยักษ์ยกตะเกียงขึ้นสูง ส่องแสงกระทบพื้นถนนทอดยาว เปลวไฟวูบไหวส่องสะท้อนในดวงตาสงบนิ่ง “ถ้าไม่มีนางแม่มด พรุ่งนี้มันมาอีกข้าจะจับมันเผาไฟเสียตรงนี้ แต่ถ้ามีนางแม่มดในป่า...”
เบรนน์กำหมัดแน่น
“ข้าจะฆ่านางแม่มดนั่นเสีย แล้วแบกศพนางกลับมาให้ไอ้บ้านั่นดู”
มีนางแม่มดอยู่ในป่า
นางเป็นหญิงสาวสะคราญ เส้นผมยาวสลวยงามอร่ามตาดุจทองคำเนื้อดี ดวงตามรกตลึกล้ำสะกดทุกผู้มองให้ลุ่มหลง ริมฝีปากอิ่มเอิบดุจกลีบกุหลาบสีชมพูอ่อนหวาน แพขนตางามงอนที่ปิดพริ้มยามหลับใหลแนบนวลแก้มดูเจิดจ้า ไม่ต่างอะไรกับกุหลาบคริสตัลกลางแสงตะวัน
ข้า? ข้าเป็นเพียงนักดนตรีพเนจรผู้มีบุญวาสนาได้ยลโฉมนางเพียงชั่วยาม...ข้าได้เห็นเรือนกายอันงดงามของนางยามลงแหวกว่ายในลำธาร ทรวดทรงอ่อนช้อยแบบบางดังนางสวรรค์ยิ่งทำให้ข้าใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตอนนั้นข้าซ่อนกายหลังพุ่มกุหลาบหนาอยู่นาน ดวงตาเหม่อลอย พร่ำเพ้อนึกจินตนาการถึงแต่เพียงนาง ว่าช่างเหมือนตำนานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางหงส์ฟ้า ที่ลงแหวกว่ายในสายน้ำ ครั้นสวมอาภรณ์ก็กลายร่างคืนแล้วโบยบินสู่ฟ้าไกล...
แต่ชะตาข้านั้นอาภัพนัก ท่านเอ๋ย ข้าได้ชื่นชมนางเพียงชั่วยามเท่านั้น จากนั้น...ข้าถูกขังในห้องใต้ดินที่ทั้งมืดและอับชื้น โดยมีนางให้น้ำและอาหารเพียงวันละมื้อแต่เพียงเศษ นางผู้โฉมเฉลาป้อนยากลิ่นประหลาดให้ข้าทุกค่ำคืน - ยาที่ทำให้ข้าสูญเสียตัวตนโดยสิ้นเชิง ร้อนผ่าวดังไฟ และหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทุกราตรี
วันหนึ่งๆข้าได้ยินเพียงคำพร่ำพรรณนาถึงคนรักของนาง ข้าไม่รู้หรอกว่าคนรักของนางเป็นใคร ท่านเอ๋ย มันเจ็บปวดเสียจริงที่นางมีคนรักแล้ว ส่วนข้ากลับถูกขังอยู่แต่ในห้องอย่างนี้…
จนมาวันหนึ่ง ข้ารู้สึกสุขสบายอย่างประหลาด ราวกับล่องลอยในความฝัน ทุกอย่างที่ข้าคิดได้สมปรารถนา ทุกสิ่งที่ข้าต้องการปรากฏตรงหน้า แม้ข้าจะยังอยู่ในห้องมืดมิด มันกลับไม่ได้มืดสนิทและเปล่าเปลี่ยวดังเก่า
ในวันนั้น นางแม่มดอัปสรสวรรค์ยื่นมือให้แก่ข้า นางมอบรอยยิ้มสว่างไสวที่จุดเทียนแห่งความหวังของข้าให้ลุกโชนอีกครา...ข้าแทบสิ้นสติไปแล้ว ทว่าลมหายใจของนางที่อยู่ใกล้เพียงคืบกลับทำลายทุกความไม่มั่นใจของข้าไปสิ้น
...โลกนี้ไม่มีสิ่งใดจริงแท้กว่านางอีกแล้ว...
และข้าจะไม่ดำรงชีวิตเพื่อใครอื่นใด เว้นเพียงนาง...นางแม่มดอัปสรสวรรค์ ยอดรักของข้า...
ชายป่าโปร่งนอกเขตเมืองแวร์ฟาเรน บัดนี้เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากคำบอกเล่าของผู้แจ้งความซึ่งเป็นคนสวนคนหนึ่งที่ขนผักผ่านเส้นทางนี้ ความว่า ปกติแล้วเกวียนของเขาจะผ่านมาที่นี่ทุกเช้าใกล้รุ่ง สภาพทั่วไปของชายป่าที่เคยเห็นนั้นมีแต่พงหญ้ารกครึ้มเบียดเสียดแน่นขนัดจนมองแทบไม่เห็นพื้นดิน แต่เช้านี้ มันเปลี่ยนไป...
กุหลาบดอกหนึ่งบานสะพรั่งเหนือก้านแข็งสีเขียวสดที่พุ่งตรงออกมาจากผืนหญ้าปรกน้ำค้าง
ความแปลกประหลาดที่เห็นนั้นดึงดูดให้คนสวนสั่งหยุดเกวียน เขาลงเดินเหยียบบนใบหญ้าที่ลู่ลง แหวกผ่านจนถึงใจกลางที่ปรากฏดอกกุหลาบสีแดงฉานราวกับเลือด...พลันก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติกับอะไรบางอย่างที่ทอดกายนิ่งอยู่ใต้พรมหญ้า แนบชิดกับผืนดิน
เขาเห็น...เห็น...เถากุหลาบงดงามเกี่ยวรัดพันรอบร่างของชายคนหนึ่ง หนามแหลมทิ่มแทงผิวกายจนเนื้อตัวดูซีดขาวไร้สีเลือด กิ่งก้านอ่อนช้อยมัดแน่นราวจะพันธนาการและสังหารในคราวเดียว มันพันไปทั่วร่าง หลอมรวมแนบติดกายของชายคนนั้น จนแยกไม่ออกว่ารอยต่อระหว่างผิวเนื้อและกุหลาบนั้นอยู่ที่ใด...ครั้นเพ่งมองใบหน้าของผู้เคราะห์ร้ายก็เห็นจุดกำเนิดของดอกกุหลาบที่เห็นในตอนแรก...ดวงตาเบิกโพลงซีดขาวนั้นมีก้านกุหลาบสีเขียวสดงอกแทรกจนลูกตาปริเยิ้ม ของเหลวหนืดที่ไหลซึมตามรอยแตกทีละน้อย ทั้งร่างกายและใบหน้าบิดเบี้ยว แข็งเกร็ง จนคนสวนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสของชายคนนี้ก่อนตาย...
คนสวนคนนั้นยืนนิ่ง เหงื่อกาฬไหลอาบท่วมกาย หน้าซีด ตัวสั่น...ก่อนจะร้องลั่น แล้ววิ่งสุดกำลังไปบอกเรื่องที่เห็นกับทหารยามหน้าประตูเมืองในทันที
...ดังนั้น ตอนนี้สถานที่เกิดเหตุจึงรายล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนอกจากจะต้องสำรวจเก็บหลักฐานแล้ว ยังต้องคอยกั้นผู้คนที่สนใจใคร่รู้กับคำพร่ำเพ้อของชายเสียสติคนนั้นไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในเขตชายป่า แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นร่างผู้เสียชีวิตจากสายตาของชาวเมืองได้ทั้งหมด เสียงพูดคุยที่ทั้งสงสัยปนตื่นตระหนกจึงล้วนเป็นไปในทางเดียวกัน
คำกล่าวที่ว่ามีนางแม่มดชั่วร้ายในป่าของชายเสียสตินั้นน่าจะเป็นจริงเสียแล้ว เถากุหลาบย่อมไม่อาจทำร้ายคน ดังนั้นนี่จึงไม่น่าจะเป็นการตายด้วยอุบัติเหตุธรรมชาติ ทว่าก็ไม่มีมนุษย์คนใดจะก่อคดีฆาตกรรมได้พิสดารเพียงนี้...ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยเถากุหลาบ
“ขอข้าดูหน่อยเถิดขอรับ ข้าขอร้อง!”
ชายวัยกลางคนร่างผอมหน้าตากังวลร้องบอกเจ้าหน้าที่ไม่ให้กันตนออกไป เขาขืนกายสู้แรงตำรวจหนุ่มอยู่พักใหญ่จนเริ่มอ่อนแรง ชายเจ้าของร้านเหล้าเซถอยหลังสองสามก้าวอย่างเหนื่อยอ่อน พลางขยับแว่นกลมให้แนบสันจมูก หรี่ตามุ่นคิ้วเพ่งไปยังร่างไร้วิญญาณของเหยื่อสังหารอย่างหวั่นวิตก
หวังว่ามันคงไม่ใช่...
“เดี๋ยวก่อน…นั่นมันเบรนน์ คนดูแลร้านข้านี่!!” เจ้าของร้านเบิกตาโพลงตะโกนลั่น ทั่วร่างสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว - เมื่อคืนชายร่างยักษ์บอกว่าจะเข้าป่าไปหานางแม่มด แล้วเขาก็ไม่กลับมาจนรุ่งเช้า…
ชายวัยกลางคนคอแห้งผาก ทันทีที่มองเห็นดวงตาที่ปริแตกด้วยกิ่งกุหลาบ
“เมื่อวานเบรนน์บอกว่าจะเข้าไปในป่า เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ ถือตะเกียงมาด้วยดวงหนึ่ง” เจ้าของร้านกระโจนยื้อเสื้อของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง รีบพูดรัวเร็วหมายให้ทุกคนได้ยิน ปลายนิ้วสั่นเทาเริ่มขาวซีดจนเห็นได้ชัดบนผืนผ้าสีดำ
“นั่นไง ตะเกียงดวงนั้น! ตะเกียงของร้านข้า...” ชายวัยกลางคนหอบเบาๆ พลันรวบรวมเรี่ยวแรงตะโกน “เมื่อคืนวานเบรนน์มันบอกว่า มันจะเข้าป่าไปตามหานางแม่มด!”
สรรพเสียงเงียบไปชั่วขณะ สักพักเสียงโจษจันก็ดังขรมด้วยคำพาดพิงถึงสิ่งเร้นลับ
และทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็สังเกตเห็นว่า ตำรวจนายหนึ่ง...กำลังจ้องมองตน
ตำรวจหนุ่มผู้นั้นเป็นคนร่างสูง...อาจสูงใกล้เคียงกับเบรนน์...หรืออาจสูงกว่า...ทว่าเขาผอมซูบซีดไม่ต่างจากศพไร้สีเลือด ผิวสีขาวจัดและเส้นผมบลอนด์จางเกือบขาวทำให้ใบหน้านิ่งสงบของเขาดูซีดเซียวกว่าความเป็นจริง ดวงตาสีฟ้าลึกโหลกราดสำรวจจากศีรษะจรดปลายเท้าช้าๆ ก่อนจะย่างเท้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แปรเปลี่ยน แววตาเย็นยะเยือกทำให้ผู้ถูกจับจ้องแทบขนลุกชัน
เจ้าของร้านยืนตัวแข็งทื่อเงยหน้ามอง ลมหายใจถี่กระชั้นด้วยความกลัว
“ข้าต้องขออภัยด้วย” ตำรวจผู้นั้นเปิดปีกหมวกสีดำพลางค้อมศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบและยานคางราวกับเป็นเสียงพูดของธารน้ำแข็ง “ท่านอาจรู้สึกไม่สะดวกใจเลยสักนิดที่คนของท่านต้องเสียชีวิต แต่เราไม่สามารถปล่อยให้ท่านเข้าไปในที่เกิดเหตุได้ เพราะมันอาจจะรบกวนเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน...”
คำพูดเว้นช่วงไปด้วยเจตนาให้ชายวัยกลางคนตอบกลับหรือซักถาม แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบรับ ขากรรไกรของเขาดูเหมือนจะถูกความกลัวแช่แข็งไปเสียแล้ว หากเมื่อถูกสายตาเรียบเฉยที่แฝงแววคุกคามของนายตำรวจตรงหน้า ก็ทำให้เจ้าของร้านเหล้าจำต้องเอ่ยออกมา
“ข-ข้าแค่อยากรู้ข-ขอรับ...ว-ว่าเบรนน์มันไปเจออะไรมา” ภาพการตายที่โหดร้ายทารุณที่สุดจำนวนมากปรากฏในห้วงคิดของชายวัยกลางคน “เบรนน์มันอยู่กับข้ามานานหลายปีแล้ว ถึงภายนอกจะดูน่ากลัว แต่มันก็เป็นคนดี...พอคิดว่ามันเพิ่งตายไปเมื่อคืนแล้ว...” ทุกถ้อยคำที่อยากจะกล่าวล้วนจุกแน่นในลำคอ
“ความสูญเสียย่อมเป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่แล้วขอรับ” ตำรวจร่างสูงพึมพำเนิบนาบ เสียงแหบต่ำ “...ข้าขอขอบคุณท่านสำหรับความร่วมมือต่อคดีนี้ด้วย ท่านอาจต้องอยู่ในความดูแลของเราสักพัก รอสักครู่นะขอรับ ข้าจะเชิญท่านเคลฟมา”
ตำรวจหนุ่มผู้นั้นหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้ชายวัยกลางคนยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ในความคิด เขารู้สึกเหมือนเวลาของตนหยุดเดินไปชั่วขณะ...จนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงผิวออกคล้ำเดินฝ่าผู้คนเข้ามาหา
เขาคือ ‘ท่านเคลฟ’
บุรุษผู้นี้ต่างกับนายตำรวจคนก่อนมากนัก บรรยากาศรอบตัวที่เคยชวนให้หนาวยะเยือก แต่กับ ‘ท่านเคลฟ’ นั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าไว้วางใจ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายประดับหนวดเคราจางๆและบุคลิกผึ่งผายทำให้ทุกกิริยาดูสง่า หากก็ไม่ได้ดูสูงศักดิ์จนเอื้อมไม่ถึง รอยยิ้มจางๆและดวงตาสีเขียวแซมน้ำตาลของเขามีร่องรอยของความกังวลหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่ความอารีที่ฉายออกมานั้นเด่นชัดเหนืออื่นใด
หากภาพลักษณ์ของตำรวจคนก่อนเปรียบได้กับธารน้ำแข็ง ‘ท่านเคลฟ’ บุตรของท่านผู้ครองเมืองก็คงจะเป็นแสงแดดอันอบอุ่นอ่อนโยนที่ขับไล่ความกลัวและความไม่มั่นใจทุกอย่างออกไป
ชายวัยกลางคนรู้สึกปลอดโปร่งและปลอดภัย...ยามที่ท่านเคลฟเอ่ยขึ้น
“ท่านหมายความว่านี่คือเบรนน์ คนของท่าน...” ท่านเคลฟเริ่มซักทันที “แล้วเขาก็เข้าป่าเพื่อตามหานางแม่มด...ใช่นางแม่มดตามคำของคนเสียสติที่ชอบเข้าไปในร้านท่านหรือไม่”
ชายวัยกลางคนขยับแว่นสายตา แผ่นหลังสั่นเทาค้อมลงเล็กน้อย
“ใช่ขอรับท่านเคลฟ - เบรนน์มันเชื่อคำคนบ้า มันอยากรู้ว่าในป่านี้มีนางแม่มดจริงหรือเปล่า เมื่อคืนมันบอกว่า ถ้าไม่มีมันจะกลับมาฆ่าคนบ้า ถ้ามีมันจะฆ่านางแม่มดเสีย...แต่ข้าไม่เชื่อว่ามันจะฆ่านางแม่มดได้ลงหรอกขอรับ”
“ข้าพอเข้าใจ...” เคลฟบอก กวักมือส่งสัญญาณเรียกชายร่างผอมสูงคนเดิมให้นำตัวคนใครอีกคนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องมาพบ ขณะเดียวกัน เขาก็พาชายวัยกลางคนออกจากชุมนุมชน เดินมุ่งกลับเข้าเมืองด้วยกัน โดยมีตำรวจติดตามมาสามนาย
“เรื่องนี้ข้าเองก็ลองให้คนของข้าถามชายเสียสติคนนั้นดูแล้ว พอเรียบเรียงดูก็พอรู้ว่า คนบ้าที่ชอบไปที่ร้านท่านบ่อยๆ นั่นชื่ออัลไลน์ เขาเป็นนักดนตรีพเนจร มาจากเมืองเดรฮาโดยผ่านทางป่า ได้พบกับนางแม่มดในกระท่อมริมลำธาร และถูกขังเพื่อทดลองตัวยาบางอย่างที่นางปรุง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เสียสติ ถูกปล่อยออกมา...” ชายหนุ่มเว้นช่วงขณะเปิดประตูสำนักงาน หมายให้ชายวัยกลางคนที่กำลังตื่นตกใจได้จดจำรายละเอียด “ซึ่งในเรื่องนี้ ข้าว่า...ถ้านางแม่มดมีจริง นางคงปล่อยอัลไลน์ออกมาเอง เพราะเขาไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไรกับใคร”
...ชายเจ้าของร้านเหล้าอ้าปากค้าง…
เขานิ่งงันเมื่อยืนอยู่ในห้องทำงานของเคลฟในกองบัญชาการตำรวจประจำเมือง แม้เจ้าของห้องจะกล่าวเชิญให้นั่งลงก็ไม่อาจขยับ ทั่วร่างแข็งชา
ดวงตาสีเทาซีดเบิกมองใบหน้าซีดเซียวซูบตอบที่ปรกเส้นผมรุงรังของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มเลื่อนลอยและดวงตาที่ดูเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน ยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนไม่กล้าขยับ เพราะกลัวว่าตนจะเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น
“จ-เจ้า...”
“ข้าบอกแล้วไม่เชื่อ ในนั้นมีแม่มด...แม่มดสวยเหมือนนางฟ้า...”
ชายเสียสติที่มีนามว่าอัลไลน์พึมพำด้วยรอยยิ้มฝันเฟื่อง พลันก็เกร็งทั้งร่าง สั่นกระตุกอย่างรุนแรง ทว่าแถบผ้าที่มัดตัวติดกับเก้าอี้ก็ทำให้เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเค้นเสียงคำรามคล้ายจะสำรอกด้วยความโกรธแค้น “ยา...นางสาป...สาป!”
เจ้าหน้าที่สามนายที่เพิ่งก้าวเข้ามาปราดไปจับตัวอัลไลน์ไว้ก่อนที่เขาจะเผลอดิ้นขัดขืนรุนแรงจนล้มลงกับพื้น ชายวัยกลางคนยืนมองคนบ้านิ่ง...แล้วจึงสบตากับเคลฟอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าคมคายของเคลฟนั้นดูกังวล หากเจ้าของร้านเหล้าวัยกลางคนรู้สึกว่าเหงื่อของตนกำลังไหลอาบท่วมร่าง จนผิวเย็นเฉียบไปหมด
“แม่มดหรือคำสาปอะไรมีจริงเสียที่ไหน ถ้าเจ้าเชื่อคำคนบ้า ระวังจะบ้าตามมันเข้าสักวัน”
เขารู้สึกอยากถอนคำพูดตัวเองยิ่งนัก - บัดนี้มีแนวโน้มว่าแม่มดหรือคำสาปจะมีอยู่จริง หรือไม่เช่นนั้นทุกคนในโลกนี้คงเป็นคนบ้า
ความตระหนกเมื่อรับรู้ข่าวล่าอันโหดร้าย ไม่รุนแรงเท่ากับเรื่องที่ว่า คำพูดของชายเสียสติคนนั้น...อาจเป็นความจริงทั้งหมดก็ได้
ความคิดเห็น