คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 | โรคระบาด
“มีอะไร” เอ็มมานูเอลออกปากถามองครักษ์คนสนิทด้วยน้ำเสียงร้อนใจ การที่ทหารถือสิทธิ์วิ่งเข้ามาในระหว่างที่ราชวงศ์กำลังร่วมรับประทานอาหารกันอยู่นี้ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ
“ขอประทานอภัย ฝ่าบาท ตอนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่ด้านหนัารั้วกำแพงของพระราชวัง มีราษฎรจำนวนมากมาร้องเรียนทุกข์กันอยู่ในตอนนี้พะย่ะค่ะ” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวเสียงหอบเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่ต้องวิ่งมาเป็นระยะทางค่อนข้างไกล
“ยังไม่ถึงกำหนดการร้องเรียนทุกข์ของราษฏรเลยไม่ใช่หรือ” ผู้เป็นราชันท้วงถาม หากเขาจำไม่ผิดก็เกือบสี่วันถึงจะครบกำหนดการณ์ ที่กษัตริย์เฉกเขาจะให้ประชาชนสามารถเข้ามาร้องเรียนทุกข์ต่างๆได้ ในยามบ่ายวันศุกร์ของทุกๆสัปดาห์
“ฝ่าบาท กระหม่อมห้ามแล้ว แต่ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องร้องเรียนพระราชาเสียให้ได้พะย่ะค่ะ”
“โอ้ ไบรซ์ เห็นทีว่าข้าคงจะต้องเสียมารยาทลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารโดยพละการแล้วล่ะ” เอ็มมานูเอลเบือนหน้าไปพูดกับสหายคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจเป็นอันมาก กับการที่ทำให้อีกฝ่ายเหมือนถูกหยามเกียรติเช่นนี้
“เราเข้าใจเหตุผลดีเพคะ ฝ่าบาท” แครอลลีน่าน้อมรับอย่างถ่อมตัว ความจริงแล้วเหตุเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ในยามที่เราไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นก็ตาม
“ไปเถิด เชส ราษฏรของเจ้าสำคัญกว่าเสมอ” กษัตริย์แบรนท์ลีย์เผยยิ้มสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย ราวกับรู้ว่าสหายของเขากำลังนึกลังเลว่าควรจะเลือกอยู่สุขสำราญกับบุคคลสำคัญในราชวงศ์ต่อไป ตามมารยาทที่ควรจะมี หรือเลือกที่จะออกไปช่วยเหลือพสกนิกรของตนเอง
“ขอบพระทัยท่านทั้งสองมาก”
สิ้นประโยคอันแสนรีบร้อนนั้น ราชันแห่งอาณาจักรอาทาเดลเฟียก็รีบรุจเดินนำองครักษ์หนุ่มออกไป แต่เขากลับถูกขัดไว้เสียก่อนที่จะเดินพ้นเขตธรณีประตูของห้องอาหาร จากร่างของหญิงสาวที่ได้ทำการวิ่งตามเขามาด้วย
“ท่านพ่อคะ” เสียงเล็กร้องเรียกให้อีกฝ่ายหยุดรอ เธอรีบวิ่งตามผู้เป็นบิดาไปโดยเร็ว
“มีอะไร คิร่า” เอ็มมานูเอลเอี้ยวตัวกลับมาถาม ปลายเสียงสั่นเครือเล็กน้อยเนื่องจากความร้อนใจที่สุมตัวอยู่ภายในอก
“ลูกอยากไปด้วย”
“ไม่ได้ คิร่า ลูกจะต้องอยู่ในวัง นี่เป็นหน้าที่ของพระราชา”
“แล้วมันไม่ใช่หน้าที่ของว่าที่ราชินีหรือคะ ท่านพ่อเป็นคนบอกเองว่าต้องการจะให้ลูกขึ้นครองราชย์ต่อจากท่านพ่อ ก็ถือซะว่านี่เป็นการเรียนรู้การทำงานเบื้องต้น”
ทันทีที่ประโยคนั้นโพล่งออกไป คิร่าก็พึ่งจะตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนได้ทำการพูดออกไปนั้นมีมวลความจริงมากแค่ไหน ส่งผลให้ผู้เป็นบิดาถึงกับต้องก้มหน้าคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว พ่อก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ที่ลูกพูดก็มีเหตุผล”
นั่นเป็นเสมือนถ้อยวจีที่แฝงคำตอบรับอยู่นัยๆ เพียงเท่านี้คิร่าก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเธอได้รับแนุญาติให้ไปกับท่านพ่อแล้ว ทั้งสองรีบมุ่งหน้าไปยังท้องพระโลงของราชวัง ที่ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะใช้พิจารณาว่าความเกี่ยวกับทุกข์ที่ราษฏรได้นำมาร้องเรียน
“พระราชาเอ็มมานูเอล และเจ้าหญิงคิร่า เวโรนิก้า ลาน่า เจอมิลี่เสด็จแล้ว”
ข้าหลวงผู้หนึ่งขานขึ้นมาดังๆทันทีที่ราชวงศ์ทั้งสองได้ทำการเสด็จเข้ามาถึง ชาวบ้านที่เป็นตัวแทนจำนวนสี่ถึงห้าคนพากันค้อมตัวคำนับกษัตริย์ผู้ปกครองอราณาจักรตามมารยาทที่ตนพึงกระทำ
“คราวหลังไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะ บรูค” คิร่าแอบตำหนิผู้ที่ขานชื่อของเธอซะเป็นทางการ สำหรับเธอแล้วการที่จะเรียกชื่อเต็มยศแบบนั้นก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร นอกเสียจากทำให้ข้ารับใช้เปลืองน้ำลายไปเสียเปล่าๆ
“จงร้องเรียนเรื่องของพวกเจ้าต่อกษัตริย์แห่งอาทาเดลเฟีย ณ บัดนี้” เสียงกึกก้องดังกังวาลขึ้นทันทีที่องค์ราชันได้ทำการขึ้นประทับบนบัลลังก์อันงดงามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าหญิงองค์น้อยผู้เป็นบุตรีก็ได้ยืนเคียงอยู่ข้างๆ เพื่อสังเกตการณ์ทุกอย่างด้วยความตั้งอกต้งใจ
“ฝ่าบาท เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองของเรา” ชายวัยสี่สิบปะปลายร้องทุกข์ขึ้นมา สีหน้าท่าทางดูประหวั่นพรั่นพรึงกับข่าวที่ตนกำลังพูดถึงอยู่ไม่น้อย
“โรคระบาดหรือ” กษัตริย์เอ็มมานูเอลทวน เลิกคิ้วขึ้นเหมือนกับต้องการจะย้อนถาม จะเป็นไปได้อย่างไรที่ในอาณาจักรของเราจะมีโรคระบาดเกิดขึ้นมา หลังจากที่พวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างผาสุกมานานกว่าหลายศตวรรษ
“ฝ่าบาท ช่วงพักหลังๆมานี้มีคนในเมืองของเราตายมากขึ้นทุกวัน แต่ก็มีบางคนที่อาการแปลกไป”
“แปลกไป? ยังไงหรือ” คราวนี้คิร่าเป็นผู้ไต่สวนความเป็นมาบ้าง แอบลอบชำเลืองมองท่านพ่ออยู่หน่อยๆ ทว่าเขากลับส่งสายตาลึกล้ำสุดจะหยั่งถึงในยามนี้มาให้ ขณะกดศีรษะขานรับให้เธอเล็กน้อย ถ้าเช่นนั้นเธอก็จะขอตีความเอาเองละกันว่าท่านพ่อได้กล่าวอนุญาติให้เธอทำหน้าที่นี้แทนท่านโดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงแล้ว
“องค์หญิง พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่กระหม่อมสังเกตเห็นและสืบสาวราวเรื่องมา คนส่วนใหญ่มักจะมีอาการเหม่อลอยในยามตื่น สีผิวซีดจางลง และมักจะเดินละเมอในยามที่หลับไหล” หนนี้ชายอีกคนที่มีหน้าตาหมองคล้ำจากความเศร้าโศกเสียใจเป็นผู้กล่าวรายงาน ทุกคนต่างล้วนถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจ
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ มีใครเห็นเหตุการณ์บ้างหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขี้น” เธอยังคงซักถามต่อไป รู้สึกสงสัยนักว่าโรคประหลาดที่สามารถคร่าชีวิตของชาวเมืองไปได้นี้ สามารถทำให้คนเดินละเมอได้ด้วยอย่างนั้นหรือ
“มีผู้ติดเชื้อรายหนึ่งบอกก่อนที่จะสิ้นใจตายไว้ว่า…เขาเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอนตอนกลางดึกของคืนหนึ่ง แล้วชายคนนั้นก็ได้ทำการเข้ามาบีบคอเขาจนหมดสติไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกอ่อนแรง หน้าไร้สี เหมือนเลือดถูกดูดออกจากตัว มีอาการเป็นไข้ ตัวร้อนจัด และสีผมเปลี่ยนเหมือนกับคนแก่ลงเพียงช่วงข้ามคืน…”
“คงจะเป็นไข้ป่ากระมัง” เอ็มมานูเอลที่นั่งฟังอยู่นานกล่าวขึ้นด้วยเสียงกรั้วหัวเราะ ราวกับกำลังคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่น่าเสียเวลามานั่งฟัง
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้น ศพที่ตายดัวยโรคนี้มีลักษณะเดียวกันเกือบทุกศพ นั่นก็คือ มีเล็บยาวขี้น ขน ผม และเครายาวขึ้นกว่าเดิม ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ผิวหนังซีดลงแต่ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว อย่างนี้ยังเรียกว่าเป็นพิษไข้ป่าได้อีกหรือพะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อ ลูกคิดว่าเราควรจะออกไปพิสูจน์ทุกอย่างด้วยตัวเองนะคะ เผื่อเราจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมบ้างไง” คิร่ารีบเสนอความคิดเห็น รู้สึกกลัดกลุ้มใจแทนพวกราษฎรที่มาร้องเรียนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ป่านนี้ทุกคนคงจะกำลังตกอยู่ความประหวั่นกลัวกันไปเสียหมด คงจะเอาแต่หวาดระแวงกันจนไม่เป็นอันใช้ชีวิตแน่ๆ
“มันอันตรายสำหรับลูกเกินไป คิร่า” น้ำเสียงเป็นห่วงและหวงแหนชีวิตของบุตรสาวเอ่ยขึ้น ดังมาจากร่างของราชาผู้ปกครองแผ่นดินด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ “เราใหัทหารของเราไปสอดแนมเอาก็ได้ว่าเกิดอะไรขี้น”
“อย่าลืมสิคะท่านพ่อ ลูกโตแล้ว ลูกดูแลตัวเองได้ ท่านพ่อไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือคะ ที่ประชาชนของตัวเองกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวเช่นนี้” นั่นเป็นเสมือนคำยืนกรานที่ถูกเอ่ยออกไปจากปากขององค์หญิงอย่างหนักแน่น กล้าหาญ และไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด นั่นเป็นคุณสมบัติข้อสำคัญของการเป็นผู้ปกครองแผ่นดินที่ดีและน่าเกรงขาม ซึ่งเขาก็ชื่นชมในความอาจหาญของลูกสาวคนนี้มาโดยตลอด
“ถ้าลูกยืนกรานเช่นนั้น พ่อก็จะอนุญาติให้ลูกไป แต่ลูกจะต้องสัญญากับพ่อก่อนว่าจะต้องไม่แตะต้อง หรือลงไปเกลือกกลั้วกับศพของคนตายเด็ดขาด” เอ็มมานูเอลเอ่ยเสียงเน้นหนักในประโยคสุดท้าย ท่าทางขึงขังจริงจังของเขาทำเอาเธอนึกผวาจนไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง
“ลูกสัญญา” คิร่ารีบรับคำ รู้สึกตื่นเต้นอยู่โขที่จะได้ออกไปนอกวังในครั้งนี้ หาโอกาสได้ยากนักที่เธอจะได้ไปเยี่ยมเยียน รวมถึงไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของราษฎรในอาณาประเทศของตนเอง เพราะท่านพ่อมักจะห้ามไม่ให้เธอออกไปยังโลกภายนอกอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าเธอจะได้รับอันตรายจากผู้คนที่มักมีจิตใจโหดร้าย สำหรับเธอแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เหตุผลไร้สาระที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อพันธนาการเธอเอาไว้ให้อยู่แต่ในวัง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพ่อกลัวว่าเธอจะได้รับอันตรายจากมนุษย์ด้วยกันเอง หรือกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากอะไรกันแน่
เจ้าหญิงคิร่าได้ออกเดินทางไปพร้อมกับกลุ่มตัวแทนราษฎรที่ได้มาเข้าเฝ้าร้องเรียนเรื่องดังกล่าวภายในวัง โดยมีนายทหารมาคอยอารักขาความปลอดภัยให้กับเธออยู่สองนาย พวกเขาได้นำเธอไปยังสถานที่ที่ใกล้กับสุสาน ที่ซึ่งใช้เป็นสถานที่ตั้งของศพที่รอการชันสูตรว่าแท้จริงแล้วนั้นสาเหตุการตายเกิดจากอะไรกันแน่
“นี่น่ะหรือ ศพที่ตายด้วยโรคระบาดที่ว่านั่น” เจ้าหญิงคิร่าทักถามขึ้นทันทีที่มาถึงที่หมาย น่าใจหายอยู่ไม่น้อยกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น มีศพที่นอนนิ่งค้างเรียงรายกันอยู่ภายในโกดังเก่าๆ ที่พวกชาวบ้านได้แปรเปลี่ยนให้กลายมาเป็นสถานที่พำนักของศพที่ตายด้วยโรคระบาดปริศนานี้แทน หากให้ลองคำนวณจำนวนศพที่ตายจากโรคระบาดดังกล่าวด้วยสายตา ก็คงจะไม่ต่ำกว่า 20 รายที่นอนตายอยู่ที่นี่ ในขณะที่กลุ่มชาวบ้านในระแวกนั้นต่างพากันมามุงดูกันอย่างวุ่นวาน บางคนมาเพื่อสังเกตการณ์ แต่บางคนกลับมาเพื่อยลโฉมอันงดงามขององค์หญิงตัวน้อยที่พวกเขาไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นกันเสียเท่าไหร่นัก
“พะย่ะค่ะ องค์หญิง แต่อย่าเข้าไปใกล้เลยพะย่ะค่ะ เดี๋ยวองค์หญิงจะติดเชื้อเอาได้” ชายแก่คนหนึ่งที่เป็นคนดูแลโกดังแห่งนี้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหวาดหวั่น กระนั้นคิร่ากลับไม่สนใจคำกล่าวนั้น เธอเริ่มต้นก้าวขาเดินเข้าไปในโกดัง เพื่อทำการสำรวจและเก็บข้อมูลต่างๆเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาหาสาเหตุต่อไป
“องค์หญิง อย่าเข้าไปเลยพะย่ะค่ะ พระราชาได้ทรงมีพระกระแสรับสั่งต่อกระหม่อมไว้ว่า ห้ามให้องค์หญิงเข้าใกล้ศพเป็นอันขาด” องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยขี้นหมายจะห้ามปรามเธอไวั เมื่อเห็นว่าเธอมีทีท่าว่าจะเข้าไปใกล้ศพของชายชราคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ในโกดังทางด้านขวามือ ทว่าผู้เป็นองค์หญิงกลับไม่ยอมฟัง และเดินดิ่งไปที่ร่างไร้วิญญาณของศพด้วยความหมายมั่นตั้งใจ
“ถ้าเจ้าอยากจะโดนพ่อข้าสั่งบั่นหัวก็เชิญเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านได้เลย เพราะข้าก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือไม่ ไม่เหมือนกับข้าที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้ อย่างมากข้าก็อาจโดนกักบริเวณเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ไม่เหมือนกับเจ้า”
วาจาฉะฉานนั้นสร้างความประทับใจให้กับบรูค หนึ่งในทหารคนสนิทที่คอยรับใช้กษัตริย์แห่งอาทาเดลเฟียมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เขากำลังยืนกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองอยู่ที่หน้าประตูโกดัง เรึยกรอยยิ้มชอบใจให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าขององค์หญิงผู้สง่างาม ที่กำลังยืนก้มหน้าอยู่เหนือศพของหญิงสาวผู้หนึ่ง ขณะใช้ดวงตาอันเฉียบคมสำรวจมองรายละเอียดต่างๆบนเรือนร่างของสาวผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ ทำให้องครักษ์หนุ่มคนเมื่อครู่หน้าจ๋อยไปเลยทีเดียว
“พอจะมีถุงมือให้ข้าไหม” คิร่าส่งเสียงถามขึ้นมา ยังไม่ยอมละสายตาไปจากศพของหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียว ผ่านไปสักอึดใจหนึ่ง หญิงกลางคนวัย 40 ปีก็ได้ทำการวิ่งตรงดิ่งมาหา พร้อมกับถุงมือคู่หนึ่ง
“นี่เพคะ องค์หญิง” นางว่าพลางยื่นถุงมือคู่นั้นให้กับเธอ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความตื้นตันใจ
“ขอบคุณนะคะ คุณยาย” ฝ่ายเจ้าหญิงที่รับหน้าที่เป็นผู้สืบสาวคดีในครั้งนี้เอ่ยเพื่อแทนบุญคุณ ที่นางอุตส่าห์มีน้ำใจนำสิ่งที่เธอต้องการมาให้
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้เพคะ องค์หญิง” นางผู้นั้นกล่าวพลันย่อตัวลงให้การคำนับเธอเพื่อแสดงถึงความเคารพ ถึงอย่างไรคิร่าก็ทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มที่มุมปากไปให้ แล้วหันเหความสนใจทุกหยาดหยดมาที่ศพของหญิงสาวตรงหน้า คราวนี้เธอเริ่มต้นเดินสำรวจไปทีละศพอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยมีบลูค องครักษ์หนุ่มที่อาษามาคอยเป็นผู้ช่วยให้กับเธอ
การลงพื้นที่สำรวจด้วยตัวเองในครั้งนี้ทำให้เธอได้ล่วงรู้ว่า สิ่งที่ชายผู้นั้นได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับลักษณะของศพต่อหน้าพระราชานั้นเป็นความจริงทุกประการ ทุกศพล้วนแล้วแต่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือบางส่วนในร่างกายดูจะยาวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเล็บ ขน ผม หรือเคลา ส่วนผิวก็ดูซีดลง แต่ไม่ถึงกับเป็นสีเขียวตามธรรมชาติของศพที่ตายไปแล้ว และที่สำคัญก็คือไม่มีกลิ่นเน่าเหม็น แม้ว่าอายุการตายของศพจะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม นั่นยิ่งทำให้คิร่าเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า…สาเหตุการตายของคนเหล่านี้เกิดขึ้นจากโรคระบาด หรือเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่
คิร่าใช้เวลาหมดไปกับการเดินตรวจสอบสภาพของศพอยู่นาน น่าแปลกนักที่เธอพึ่งจะสังเกตเห็นรอยเขี้ยวบริเวณต้นคอของศพที่ได้ตายไปแล้ว เมื่อลองเดินตรวจดูสภาพศพของแต่ละคนซ้ำอีกครั้ง ก็ทำให้เธอพบว่ามีรอยนั่นอยู่บนร่างของเหยื่อทุกราย อีกทั้งก็ยังเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกันของร่างกายอีกต่างหาก นั่นก็คือที่ลำคอ
“องค์หญิง ท่านคิดว่าอย่างไรกับรอยกัดนี่หรือพะย่ะค่ะ” บรูคทักถามขึ้นมา เขากำลังใช้ดวงตาของตัวเองมองสำรวจรอยแผลนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ หมายจะหาเหตุผลความเป็นมาของรอยแผลนี่
“ไม่รู้สิ อาจเป็นรอยเขึ้ยวของสัตว์ก็ได้” คิร่าลอบพึมพำขึ้นมาอย่างจนปัญญา เธอนึกไม่ออกเลยว่ารอยเขี้ยวอันน่าสยดสยองนี่ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร หรือคนเหล่านี้จะถูกสัตว์ร้ายกัดเอา แล้วติดเชื้อโรคจนสิ้นใจตายอย่างนั้นกระมัง
“ดูเป็นสัตว์ที่มีระเบียบมากเลยนะพะย่ะค่ะ เป็นรอยกัดที่มีแบบแผนสุดๆ” บรูคส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างนึกขันในความคิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ของตัวเอง ทันทีที่ทั้งสองได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลและหลักฐานต่างๆจนครบถ้วน เพื่อใช้ส่งไปให้คณะสอบสวนของโรมาเนียตรวจสอบ เธอกับเขาก็พากันเดินออกมาจากโกดังพร้อมกัน
“ถ้าได้ข่าวคืบหน้ายังไง ทางเราจะส่งให้ทหารนำข่าวเรื่องนี้มาบอกให้ทุกคนได้รู้นะคะ” คิร่าแวะบอกผู้เป็นแกนนำในการสืบสวนเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ต้นด้วยความกระตือรือร้น รู้สึกสนุกดีแฮะที่ได้มาทำเรื่องน่าตื่นเต้นสยดสยองอะไรทำนองนี้ ชายผู้นั้นน้อมรับและกล่าวขอบคุณในพระคุณอันใหญ่ยิ่งที่องค์หญิงอย่างเธอได้อุตส่าห์สละเวลาส่วนตัว มาช่วยหาต้นตอของเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้อย่างไม่ถือตัว
สำหรับตอนนี้ไรท์ก็ขอมาต่อไว้เพียงเท่านี้ก่อน หากใครชื่นชอบก็สามารถกดติดตาม กดให้กำลังใจ หรือกดคอมเมนต์เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ไรท์มีกำลังใจในการเขียนต่อไป และหากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะคะ^^
ความคิดเห็น