แสงสีทองสุกปลั่งกำลังเรืองรองไปทั่วท้องฟ้าในยามรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ เสียงนกเจื้อยแจ้วร้องประสานขับขานกันในยามเช้า เพื่อปลุกเร้าผู้ที่กำลังหลับไหลให้ตื่นขึ้นมาพบกับเช้าที่แสนจะสดใส ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ที่แสนจะโอ่อ่า ถูกประดับไปด้วยเครื่องเรือนหรูหรา ทว่าบนเตียงที่ราวกับแท่นบรรทมขนาดใหญ่กลับมีร่างอรชรของหญิงสาววัย 18 ปี คนหนึ่งนอนทอดกายอยู่ ดูเหมือนแสงอาทิตย์ในยามเช้าที่สาดแสงเข้ามาจากบานหน้าต่างจะไม่สามารถเป็นอุปสรรคต่อการนอนของเธอได้ ร่างนั้นยังคงหลับไม่ได้สติต่อไป แม้ว่าแสงสุริย์ฉายจะทอดสัมผัสดวงตาและใบหน้าอันงดงามของเธอ
“ตื่นได้แล้วเพคะ องค์หญิง” เสียงแหลมสูงที่คุ้นเคยดังเตือนขี้นมาราวกับเสียงของนาฬิกาปลุก ร่างเล็กส่งเสียงครางออกมาจากลำคอเบาๆ ขณะที่เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆปรือขึ้นช้าๆด้วยท่าทีงัวเงีย
“ขอนอนต่ออีกสักหน่อยไม่ได้หรือคะ” คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศอันแสนสบายในยามเช้าอู้อี้ตอบกลับมา ฟุบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่หมายจะหลบเลี่ยงไม่ให้แสงแดดส่องเข้ามาให้เธอรู้สึกเคืองตาได้
“องค์หญิงลืมไปแล้วหรือคะว่าวันนี้พระบิดาและมารดาขององค์หญิงมีนัดสำคัญกับกษัตรย์… พระบิดาของเจ้าชายมาเวอริคนะเพคะ” นาเดีย ผู้รับใช้คนสนิทกล่าวขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง เดินไปเปิดผ้าม่านออก ยิ่งทำให้ลำแสงร้อนผ่าวทอดตกเข้ามาในห้องของเธอเข้าไปใหญ่
“นั่นมันเรื่องของท่านพ่อกับท่านแม่นี่คะ ไม่เห็นจะเกี่ยวด้วยสักหน่อย” ถึงแม้ว่าปากของเธอจะขยับ แต่ตาของเธอย้งไม่แม้แต่จะปรือเปิดขึ้นเลยสักนิด คิร่า องค์หญิงผู้งดงามสบถลมหายใจออกมาเบาๆ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างจนมิดศีรษะ เพื่อไม่ให้อีกฝ่าวมารบเร้าเธอได้อีก
“แล้วองค์หญิงไม่สงสัยบ้างหรือคะว่าเจ้าชายมาเวอริคเสด็จมาที่ปราสาทแห่งนี้ด้วยเหตุผลอะไร” นาเดียถามเสียงมีเลศนัย ไม่ต้องมองก็รู้ว่าดวงตาจะต้องเป็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้นมากแค่ไหน ผิดกับเธอที่ไม่คิดจะสนใจ และไม่อยากให้เจ้าชายนั่นมาที่นี่เสียด้วยซ้ำ
“ก็คงจะมาเที่ยวเล่นแหละมััง” คิร่าครางตอบกลับมา ยังคงขู้ตัวอยู่แต่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างนึกขี้คร้าน วันนี้เป็นวันหยุดที่เธอไม่ต้องเรียนมารยาทการเป็นเจ้าหญิงแท้ๆ ยังจะมีคนมารบกวนการพักผ่อนของเธออีกอย่างนั้นหรือ
“คุณสมบัติของการเป็นเจ้าหญิงคืออะไรคะ” ว่าแล้วผู้รับใช้ก็ยกอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมา เลิกผ้าห่มออกเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่เอาแต่นอนขี้เกียจอยู่บนเตียง
“ต้องไม่ขี้เกียจ รู้อยู่หรอกน่า” คิร่าว่าพลางยันกายลุกขึ้นอย่างหัวเสีย ท่าทางสลึมสลือของเธอเรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคน ผู้ที่คอยดูแลเอาใจใส่เธอมาตั้งแต่ยังเป็นแบเบาะ เจ้าหญิงองค์น้อยเดินหายลับเข้าไปภายในหัองน้ำ หลังจากที่ได้ทำการปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออก เธอก็ค่อยๆหย่อนกายลงแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำหรูหราขนาดใหญ่ ที่ถูกจัดเตรียมน้ำอุ่นชวนสบายกายเอาไว้ให้เธออาบ จากผู้รับใช้คนสนิท การมีชีวิตเป็นเจ้าหญิงมันก็สบายอย่างนี้เองเนี่ยแหละ ไม่ต้องทำอะไร เพราะมีข้ารับใช้ที่พร้อมจะปรนนิบัติทุกอย่างให้เธออยู่ทุกเมื่อ
เป็นเวลากว่าหลายนาทีที่คิราอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำ เธอได้แต่นั่งชิวถ่วงเวลาอยู่อย่างนั้น เพราะไม่อยากจะไปพบหน้ากับมาเวอริค ชายที่เอาแต่ชวนเธอคุยเรื่องไร้สาระอยู่ร่ำไปเวลาที่พบหน้ากัน เธอถึงไม่อยากจะไปร่วมเสวยพระกายาหารร่วมกับท่านพ่อและท่านแม่ แต่ดูเหมือนว่าท่านทั้งสองจะชอบพอในตัวมาเวอริคอยู่มาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นมีดีอะไร ทำไมถึงได้เป็นที่ประทับใจของท่านพ่อหนักหนา จนถึงขั้นว่าถูกเชิญให้มาเป็นแขกคนสำคัญในงานเลี้ยงน้ำชาของราชวงศ์ด้วยอีกต่างหาก
“เสร็จหรือยังเพคะ องค์หญิง” ไม่นานนาเดียก็ส่งเสียงร้องถามเธอขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้เธอเกิดความตื่นตัวขึ้นมาเสียหน่อย “หากเสด็จไปร่วมเสวยพระกายาหารช้า จะถูกตำหนิเอาได้นะเพคะ”
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ...” คิร่าตะโกนตอบกลับไป เธอเบ้ปากมองบนด้วยความเอือมละอา รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตการเป็นเจ้าหญิงที่ต้องรักษาทั้งภาพลักษณ์ มารยาท และการวางตัวนี่เสียจริงๆ
หลังจากที่เธอได้ทำการอาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้วนั้น นาเดียก็เข้ามาช่วยเธอแต่งตัวตามหน้าที่อย่างเคย น่าแปลกนักที่วันนี้ผู้รับใช้เลือกชุดที่ดูสวยสง่ากว่าเคยให้เธอสวมใส่ อีกทั้งก็ยังแต่งหน้าทำผมให้เธอพร้อมสรรพ คล้ายกับว่าต้องการจะให้เธอแต่งตัวไปเข้าร่วมงานเนื่องในโอกาสพิเศษยังไงอย่างงั้น
“ทำไมต้องแต่งอะไรขนาดนี้ด้วย ปกติก็ไม่เห็นจะต้องแต่งแบบนี้เลย” เธอเอี้ยวตัวกลับไปถามคนทางด้านหลัง ก่อนเบือนหน้ากลับมามองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ปกติเธอมักจะชอบใส่ชุดเดรสธรรมดาๆ ปล่อยผมหรือมัดรวบหางม้า ซึ่งนาเดียก็รู้ดีว่าเธอชอบแต่งตัวบ้านๆแบบนั้นมากกว่า มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่
“แหม..ก็กษัตริย์และราชินีแห่งอาณาจักรแบรนท์ลีย์จะเสด็จมาทั้งทีเลยนะเพคะ” หญิงรับใช้ว่าไป มือก็จัดแต่งทรงผมให้เธอไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดีแปลกๆ
“หวังว่าจะมากันเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้นนะ” คิร่าลอบพึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ชอบความสันโดษ ไม่ชอบการเข้าสังคมกับราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ยิ่งเป็นผู้ปกครองเมืองแล้วด้วยล่ะก็…ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่อยากพบปะด้วยมากขึ้นไปใหญ่ นี่เป็นเหตุผลยังไงล่ะว่าทำไมเธอถึงไม่อยากจะไปเข้าร่วมรับประทานอาหารเช้ากับท่านพ่อและท่านแม่ มันคงเป็นมื้ออาหารที่น่าเบื่อมากแน่ๆเลย
คิร่าค่อยๆเดินทอดกายเข้าไปยังห้องอาหารสุดอลังการและหรูหรา ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งปีกตะวันออกของตัวปราสาท ห้องนี้ก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีโต๊ะไม้ขัดมันขนาดใหญ่ตั้งทอดตัวยาวอยู่กลางห้อง บนโต๊ะเต็มไปด้วยบรรดาชุดอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม ถ้อย ซ้อม หรือมีด ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ตามรูปแบบการจัดโต๊ะอาหารอย่างเป็นทางการ ตามแบบฉบับสากล ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะต้องคุ้นชินกับการจัดโต๊ะอาหารในรูปแบบนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฏข้อสำคัญที่เจ้าหญิงจะต้องฝึกหัดมารยาทการทานอาหารในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน
เมื่อคิร่าเดินเข้าไปถึง ก็พบเข้าก้บชายรูปร่างกำยำสองคนนั่งคอยท่าอยู่ คนหนึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และนั่นคือพ่อของเธอเอง ส่วนอีกคนนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ คงจะเป็นกษัตริย์แห่งเมืองแบรนท์ลีย์ ถัดมานั้นก็เป็นผู้หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งนั่งสำรวมกิริยาอยู่ตรงนั้น ราชินีแครอลลีน่า ภริยาของพระองค์ และมีชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ วันนี้เขาสวมใส่ชุดสูทสุดเนี๊ยบมาที่นี่ องค์ชายมาเวอริค… ทางฝั่งขวามือ แม่ของเธอกำลังนั่งจิบชาอยู่ในที่ของตัวเองด้วยท่าทีนิ่งสงบ น่าแปลกนักที่วันนี้ขาดใครคนหนึ่งที่ไม่ได้มาเข้าร่วมรับประทานอาหารด้วย ทั้งๆที่ปกติแล้วน้องสาวของเธอก็ไม่เคยพลาด
“อ๊ะ เธอมาแล้วครับ” เสียงใสของชายหนุ่มวัย 19 ปี ที่มีหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรจุติลงมากจากสวรรค์ จนสาวๆภายในเมืองต่างก็พากันหมายปองและปรารถนาที่จะได้ครอบครองทักขึ้น เมื่อเขาบังเอิญหันไปเห็นว่ากำลังมีเจ้าหญิงแสนสวยที่เขาเฝ้ารอว่าจะได้พบปรากฏตัวขึ้นมาที่หน้าธรณีประตู สายตาทุกคู่ต่างพากันจ้องมองมาที่เธอด้วยความสนอกสนใจ เวลาผ่านไปได้ครู่เดียว ทั้งกษัตริย์แบรนท์ลีย์และองค์ราชินีแครอลลีน่าต่างก็พากันลุกขึ้นมาทักทายเธอ
“โอ้ว ดูสิ เจ้าหญิงน้อยของฉัน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตเป็นสาวซะแล้ว” หญิงร่างสง่ายิ้มพร้อมกับที่เหวี่ยงแขนกอดเธอแบบหลวมๆ ขณะที่เอาแก้มแนบแก้มสลับซ้ายขวา ตามมารยาทการทักทายของชนชั้นสูงของชาวตะวันตก
“อรุณสวัสดิ์เพคะ องค์ราชินี” คิร่าคลี่ยิ้มสดใสส่งไปให้อีกฝ่าย พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกอึดอัดที่กำลังท่วมท้นอยู่ภายในอกเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าของตนเอง
“โอ้ย” แครอลลีน่าเผยเสียงหัวเราะด้วยท่าทีเป็นกันเอง “องค์ราชินีอะไรกัน เรียกว่าท่านแม่สิจ๊ะ อีกหน่อยเราก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จริงไหม”
ท่ามกลางความรื่นรมย์ของอีกฝ่าย หญิงสาวได้แต่ยืนฉงนอยู่ตรงนั้นด้วยความไม่เข้าใจ สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมองค์ราชินีแห่งเมืองแบรนท์ลีย์ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น ยังไม่ทันที่เธอจะได้หาคำตอบ หรือพูดไถ่ถามสิ่งอื่นใดมากไปกว่านั้น ชายชาตินกรบที่มีรูปร่างค่อนข้างน่ากลัวก็ปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปไม่ไกลนัก ทำให้เธอต้องรีบหันไปกล่าวทักทายผู้เป็นราชันต่อจากนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากจนเกินไป
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท” ร่างเล็กรีบย่อตัวลงในท่าถอนสายบัวเพื่อแสดงความเคารพต่อหน้าของกษัตริย์แบรนท์ลีย์ ตามธรรมเนียมที่ผู้น้อยจะต้องแสดงความเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่า “หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ ที่ทำให้พวกท่านต้องรอ..”
คิร่าก้มหน้ารับความผิดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงแม้ว่าเธอจะตั้งใจให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ก็เถอะ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอย่างที่พวกเขาคิด
“แหม่ เด็กหนอเด็ก ราชินีพึ่งจะพูดไปอยู่หยกๆ” เขาบอกด้วยท่าทีเป็นมิตร นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความรักใคร่เอ็นดูในตัวเธออยู่ไม่น้อย “ไม่ต้องเรียกพวกเราซะห่างเหินขนาดนั้นก็ได้ เจ้าหญิง และเราก็ไม่ได้รู้สึกถือโทษโกรธเคืองอะไรเลย ออกจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ฉันจะได้มีเวลาคุยโวกับตาแก่งี่เง่านั่นไง ใช่มั้ย เชส!”
ไบรซ์ ชื่อนี้ที่พ่อของเธอมักจะใช้เรียกเขาอยู่เป็นประจำหันไปโบกไม้โบกมือให้สหายคนสนิทอย่างพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงอภิรมย์ใจ พ่อกับเขามักจะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกไปสู้รบด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันจนสามารถตายแทนกันเลยก็ว่าได้
แล้วในที่สุดทุกคนก็ได้กลับเข้าสู่ที่นั่งประจำของตัวเอง คิร่ายังคงรู้สึกสับสนอยู่ไมน้อยกับคำพูดที่แปลกไปขององค์ราชินี นางให้เธอเรียกนางว่าแม่อย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องอะไรที่ตลกสิ้นดี เจ้าหญิงผู้ต้อยต่ำอย่างเธอเนี่ยนะจะไปมีสิทธิ์เรียกนางว่าท่านแม่ ถ้าไม่ติดว่าท่านพ่อสนิทกับตระกูลของอีกฝ่าย เธอคงถูกบั่นหัวไปเสียบประจานที่หน้าเมืองแล้วกระมัง
“แล้วกาเบรียลล่าล่ะคะ” เธอหันไปกระซิบถามผู้เป็นมารดาที่นั่งอยู่ข้างกาย เป็นเรื่องแปลกมากจริงๆที่น้องสาวบุญธรรมของเธอไม่มาร่วมรับประทานอาหารด้วยในวันนี้ มันจะไม่ดูเสียมารยาทไปหน่อยหรือ
“กาเบรียลบอกว่าปวดหัว ไม่สบายนิดหน่อย แม่ส่งให้คนไปดูแล้ว ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอก” ดาร์เลเน่ผู้เป็นมารดาโน้มตัวมาใกล้พร้อมตอบกลับมาเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทพูดเสียงดังจนเกินไป เพื่อให้สมกับฐานะองค์ราชินีของตนเอง
“เอ…จะว่าไปแล้วเจ้าหญิงก็ดูสง่างามเสียจริงๆ แถมยังมีมารยาทเหมาะแก่การเป็นราชินีในอนาคตอีกต่างหาก สมแล้วที่มาเวอริคเลือกที่จะร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย” แครอลลีน่าเอ่ยทั้งรอยยิ้มปลื้มใจที่ประดับอยู่เต็มใบหน้า ท่าทางดูภาคภูมิไม่น้อยกับสิ่งที่ตนกำลังพาดพิงถึง
“หมายความว่ายังไงหรือคะ…ท่านแม่” คิร่ารับถือวิสาสะพลั้งถามออกไป กล้ำกลืนพูดคำสุดท้ายของประโยคอย่างที่เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะเต็มปากนัก
“อ้าว ดาร์นี่ ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คิร่ารู้อีกหรือ” ฝ่ายนั้นย้อนถามพร้อมแววความประหลาดใจระคนเหลือเชื่อ
“ยังเลยเพคะ ท่านพี่ ข้าว่าจะบอกเรื่องนี้ให้คิร่าได้รู้ในวันนี้” ดาร์นี่ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามของราชินีดารเลเน่ ก้มหน้าน้อมรับคำกล่าวนั้นของพี่สาวด้วยสีหน้านิ่งสงบ คราวนี้คิร่าเริ่มมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาได้บ้างแล้ว
“มีเรื่องอะไรกันหรือคะ” เป็นอีกครั้งที่เธอพลั้งปากถามออกไปอย่างไม่สำรวมวาจา นั่นก็เป็นเพราะความอยากรู้นั่นแหละที่ทำให้เธอต้องมีกิริยาอาการแบบนั้น เธอมองหน้าพ่อกับแม่สลับไปมาอย่างคาดเค้นคำตอบ ทำไมทุกคนถึงจะต้องมีความลับแต่กับเธอด้วยกันนะ
“คือว่า—” ผู้เป็นมารดากำลังจะอ้าปากหมายพูดอธิบายให้บุตรสาวเข้าใจ ทว่ากลับถูกผู้เป็นพระสวามีพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อนว่า
“ไม่ ข้าพูดเอง…”
ทุกคนต่างพากันนั่งเงียบ รอฟังถ้อยแถลงขององค์จักรพรรดิอย่างตั้งใจ รวมไปถึงคิร่าที่ยืดตัวขึ้นตั้งตรง จ้องมองไปที่ผู้เป็นพระบิดาของตนอย่างรอคำตอบ
“คิร่า…อีกไม่กี่เดือนลูกก็จะอายุครบ 19 ปีแล้ว และในไม่ช้าลูกก็จะต้องขึ้นครองราชย์ในฐานะราชินี ลูกจำเป็นจะต้องมีคู่ครองที่เหมาะสม”
“กับใครคะ” หญิงสาวถามทันควัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวาจาทำนองนั้นของท่านพ่อต้องการจะสื่ออะไร ท่านพ่อกำลังต้องการให้เธอแต่งงาน…กับใครสักคนที่พวกท่านเป็นผู้เลือกให้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอภาวนาต่อพระเจ้าที่ประทับอยู่บนสรวงสวรรค์ ขออย่าให้ชายคนนั้นเป็นมาเวอริคทีเถิด กับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เขา
“เราทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่า…ลูกคู่ควรที่จะแต่งงานกับมาเวอริค”
แล้วในที่สุดสิ่งที่เธอไม่ปรารถนาให้มันเกิดขึ้นก็กลับกลายเป็นความจริงอ้นแสนโหดร้าย ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น คิร่าแทบจะกลั้นเสียงสะอื้นที่แล่นขึ้นมากระจุกอยู่ในลำคอของตัวเองเอาไว้แทบไม่อยู่ เธอได้แต่นั่งน้ำตาคลอหน่วย อ้าปากค้าง พลันกลอกตาไปมองชายผู้นั้นที่กำลังส่งยิ้มปรีดามาให้ นั่นก็หมายความว่า…ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอแล้ว เราคงจะไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนผู้เหินห่าง อย่างที่เธอพึงพอใจจะให้มันเป็น
“ลูกคิดว่า…มันเร็วเกินไป” เธอฝืนใจข่มน้ำตาพูดแย้งเยือนออกไปอย่างจริงใจ ที่แท้แล้วการที่นาเดียต้องการให้เธอแต่งตัวสวยๆมาแบบนี้ก็เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะเลยอย่างนั้นหรือ “และลูกก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นราชินีปกครองอาณาจักรด้วย”
“คิร่า” ดาร์เลเน่ทักขึ้น วางฝ่ามือบางลงบ่นไหล่ข้างหนึ่งของเธอคล้ายกับต้องการจะปลอบโยน “แม่รู้ว่าลูกยังไม่พร้อม แต่มันก็เป็นหน้าที่มาโดยสายเลือด และลูกก็มีเวลาเตรียมตัวอีกตั้งหลายเดือนแหนะ เราไม่ได้จะให้ลูกเข้าร่วมพิธีอภิเษกภายในวันสองวันนี้สักหน่อย”
“ก็จริงอย่างที่ดาร์นี่พูดแหละจ่ะ เรามีเวลาเตรียมตัวกันอีกตั้งหลายเดือน เมื่อถึงตอนนั้นหนูก็คงจะอยากแต่งงานเองนั่นแหละ” แครอลลีน่ารีบหนุนหลังน้องสาวของตนทันใด ท่าทางยิ้มแย้มของนางทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจนอยากเสียมารยาทเดินออกไปจากห้องอาหารนี้เสียจริงๆ
“เลื่อนออกไปอีกสักสองหรือสามปีไม่ได้หรือคะ” เธอเกริ่นขึ้นมาอย่างมีหวัง เธอหวังว่าท่านทั้งสองจะเห็นด้วย เธอยังไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานที่ไม่ได้รับความเต็มใจจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เป็นตัวของเธอเองที่ไม่ได้ตกลงปลงใจที่จะร่วมชีวิตกับชายผู้นั้น
“คิร่า” เอ็มมานูเอลกล่าวขึ้น ดูเหมือนเขาจะพยายามทำสถานการณ์ทุกอย่างให้เป็นปกติมากที่สุด “ลูกก็รู้ว่าพ่อกับแม่แก่ลงมากขึ้นทุกวัน และเราไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะจบลงเมื่อใด ความหวังเดียวของอาณาจักรเราก็มีเพียงแค่ลูกเท่านั้น ลูกเป็นรัชทายาทผู้สืบสายเลือดโดยตรงของอาณาจักรอาทาเดลเฟีย”
“ลูกรู้ว่ามันเป็นหน้าที่” เสียงสั่นเครือเปี่ยมท้นไปด้วยแรงสะอื้นเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “แต่ลูกคิดว่าการเป็นราชินีที่ดีได้ไม่จำเป็นจะต้องแต่งงาน หรือมีคู่ครองไม่ใช่หรือคะ”
“ฝ่าบาท กระผมคิดว่า…ถ้าหากเจ้าหญิงคิร่ายังไม่พร้อม เราก็น่าจะเลื่อนพิธีอภิเษกออกไปก่อนนะครับ” จู่ๆมาเวอริคก็เอ่ยวาจาชี้แนะขึ้นมาหลังจากที่นั่งเงียบไปนาน ดวงตาเขม็งเกลียวของกษัตริย์แบรนท์ลีย์และราชินีแครอลลีน่าต่างตวัดมองเขาอย่างปรามๆในถ้อยคำถนอมน้ำใจนั้น ยังไม่ทันที่ฝ่ายใดฝ่ายหนี่งจะได้เอ่ยแถลงถ้อยคำใดๆมากไปกว่านั้น เสียงประตูไมัโอ๊กขัดมันบานใหญ่ก็ดังกังวาลขึ้นเมื่อมันถูกเปิดผางออก เรียกความสนใจของทุกคนให้ต้องหันไปมอง บัดนี้กำลังมีชายในชุดเกราะมาดอารักขาวิ่งองอาจเข้ามาหาด้วยสีหน้าแตกตื่น ส่งผลให้เอ็มมานูเอลต้องผุนผันลุกขึ้นยืนทันใด
...
ฝากนิยายแฟนตาซีเรื่องนี้กันด้วยนะคะ เป็นครั้งแรกกับการแต่งนิยายแนวนี้ ยังไงทุกคนก็สามารถคอมเม้นท์เพื่อเป็นกำลังใจ รวมถึงคอมเม้นท์เพื่อติชมได้นะคะ ไรท์จะได้นำไปปรับปรุงนิยายให้ดียิ่งขึ้นค่ะ^^
ความคิดเห็น