ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Theory II : ว่าด้วยเหตุการณ์ก่อนเข้าเมือง
เหตุการณ์ในเวลานั้นเริ่มต้นจากบทสนทนาธรรมดาที่ไม่ค่อยจะธรรมดาซักเท่าใดนัก และจบลงอย่างรวดเร็วด้วยความน่าพิศวงอย่างเหลือเชื่อ
“สายัณสวัสดิ์เธา” บิดาของเภเรชูเอ่ยทักยามกลางวันแสก ๆ
“ราตรีสวัสดิ์ เอชู” เธาตอบแล้วโค้งหัวลงเล็กน้อยเหมือนพยักหน้า “ถ่อมาหาข้าถึงที่นี่มีอะไรอย่างนั้นรึ?”
เอชูทำเสียงหัวเราะในลำคอพลางดันตัวบุตรชายไปข้างหน้า “ข้าพาเจ้านี่มาหาเจ้าน่ะ”
ดวงตาของเธาเบิกขึ้นเล็กน้อย “ลูกชายเจ้ารึ?”
“ใช่”
“ขอบคุณสวรรค์จริง ๆ ที่หน้าเหมือนเจ้า”
แม้จะไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำด่า แต่ทั้งคู่ก็หัวเราะพร้อมกัน
“ว่าแต่เจ้าถ่อมาถึงนี่ คงไม่ใช่ให้ข้ามาชมโฉมของลูกชายเจ้าหรอกกระมัง” เธาพูดขึ้นหลังจากที่หยุดหัวเราะ สายตาของเขาเบือนมาที่ผมแวบหนึ่ง “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่พิศวาสพวกตัวผู้เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกของเจ้า”
“เรื่องนั้นข้ารู้หรอกน่า” เอชูตอบพลางตบบ่าลูกชายของตัวเอง “ข้าจะมาฝากเจ้านี่ให้เจ้าเลี้ยงแทนน่ะ”
เธายืนนิ่งมองดูเด็กชาย
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้”
----------------
เมื่อแรกเดิมทีเภเรชูยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เขาทราบแต่เพียงว่าต้องอยู่กับเพื่อนของพ่อที่ชื่อว่าเธาไปซักพัก จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย อีกทั้งยังไม่เข้าใจบทสนทนาข้างต้น ดังนั้นเด็กชายจึงได้มาอาศัยอยู่กับเธาด้วยประการฉะนี้
อย่างไรก็ดีหลังจากถูกย้ายสำมะโนครัวโดยไม่รู้ตัว เภเรชูพบว่าบ้านแห่งใหม่ของตนมีสภาพค่อนข้างดีกว่าพื้นถนนทั่วไปเพียงเล็กน้อย บ้าน(หรือกระท่อมในความเป็นจริง)ของเธานั้นไม่ต่างไปจากรังหนูมากนัก พื้นที่ภายในบ้านชั้นเดียวนั้นถูกแบ่งย่อยออกเป็น 6 ห้อง กว่าครึ่งถูกทิ้งร้าง มีขยะสกปรกทิ้งเกลื่อนไปทุกที่ เตาผิงที่สร้างเอาไว้ก็เต็มไปด้วยเขม่าและเศษไม้ที่กองสุมอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดเห็นจะเป็นเพื่อนร่วมโลกสี่ขาหางยาวกับเพื่อนตัวจิ๋วหกขาสีดำ
ในชีวิตของเภเรชู เขาไม่ได้กลัวเพื่อนสองตัวนี้แต่อย่างใด เขาเพียงแค่รังเกียจมันอย่างสุดแสนจะคณา มาตรแม้นว่าเมื่อได้พบเห็นที่ใด เด็กชายก็จะเริ่มมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนและตาลาย มือและเท้าจะมีอาการตอบสนองอย่างรวดเร็วกว่ปกติ หัวใจก็จะเต้นถี่รัวเหมือนกลองกระหน่ำ จนกว่าเพื่อนสองตัวนี้จะลาขาด เมื่อนั้นเด็กชายจึงค่อยกลับมาเป็นปกติได้
ว่ากันว่ามนุษย์มีวิธีกำจัดสิ่งที่ตนกลัวอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือการหนี วิธีการที่สองคือการกำจัด
น่าเสียดายที่ชีวิตพระเอกของเรานั้นออกจะรันทด จึงมีตัวเลือกที่ 3 โผล่มา คือการทนอยู่กับสหายรักสองตัวนั้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ในวันแรก ๆ เด็กชายเกือบจะเป็นบ้าไปเพราะโรคแขยงเพื่อนตัวน้อยทั้งสอง หากไม่ใช่บุรุษประหลาดที่มีนามว่าเธา
วิธีการของเธาคือการนำเปล (ที่ขุดได้จากที่ไหนซักแห่งในกองขยะนั้น) ไปผูกไว้ที่ต้นไม้นอกบ้าน จัดแจงทำมุ้งม่านกันยุงเฉพาะกิจ แล้วให้เด็กชายไปนอนที่นั่น โดยมีข้อกำหนดว่าเขาจะต้องเข้ามาทำความสะอาดบ้านทุกวันจนกว่าเอชูผู้เป็นบิดาจะกลับมา
แม้จะเป็นการใช้แรงงานเด็กโดยผิดหลักจริยธรรม แต่เภเรชูก็รับทำหน้าที่ด้วยความเต็มใจยิ่ง
หลังจากการลุยงาน บากบั่น พากเพียรอุตสาหะจนเจียนตาย สหายน้อย ๆ ผู้เป็นที่น่าชังของเภเรชูก็มีอันต้องจากลาไปอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก สร้างความเปรมปรีดาให้แก่เด็กชายยิ่ง
และในวันนั้นเองที่เธายัดเยียดให้เภเรชูเป็นลูกศิษย์
“ไอ้หนู เจ้าอยากมีอำนาจไหม?” นี่คือคำถามแรกของเขา
แน่นอน เด็กอายุ 9 ขวบไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าอะไรคืออำนาจ ดังนั้นเภเรชูจึงส่ายหน้า
“งั้นเจ้าอยากรวยไหม?”
เด็กชายส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจคำว่ารวย อีกทั้งไม่แน่ใจนักว่าเป็นเรื่องที่ดี หลังจากที่เอชูเคยสร้างวีกรรมไว้มากกับคำว่า “รวย” เด็กชายจึงรู้สึกเข็ดขยาด และไม่กล้าที่จะ “อยากรวย” อีก
“งั้นเจ้าอยากได้อะไรไหม?”
คราวนี้เภเรชูนิ่งคิด แต่เนื่องจากเขาเป็นเด็กดีพอ จึงเห็นว่าการที่เธาให้ที่พักกับอาหารนั้นเพียงพอแล้ว เด็กชายเกิดความเกรงใจ จึงส่ายหน้าอีกครา
พริบตานั้นเธาก็ตบะแตก “ไอ้หนูโว้ย งั้นเจ้าจงเป็นศิษย์ของข้าซะ” เขาตะโกนก้อง “ข้าจะทำให้เจ้าเป็นทรราชผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะต้องครองโลก มีนารีปรนเปรอวันละพันคน ข้าจะสอนเจ้า ฉะนั้นจงมาเป็นศิษย์ของข้าซะ”
คำที่เภเรชูไม่เข้าใจมีตั้งแต่ “เป็นศิษย์” “ทรราชผู้ยิ่งใหญ่” “ครองโลก” และ “นารีปรนเปรอ” แต่กระนั้นก็ตาม ในบรรดารากศัพท์ที่เด็กชายไม่เข้าใจ มีคำ ๆ หนึ่งที่ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ พองโตด้วยความดีใจ
“ท่านจะสอนข้าหรือ?”
เธาหยุดชะงัก “ใช่สิ” เขาบอก “ข้าจะสอนเจ้า”
“เหมือนพ่อเฒ่าทามาร์หรือ?”
พ่อเฒ่าทามาร์เป็นชายชราใจดีผู้สอนให้เด็กชายรู้จักอ่านเขียน ทั้งยังสอนสิ่งสำคัญ ๆ ให้เด็กชายเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรม จริยธรรม และที่สำคัญยิ่ง...วิถีการพิจารณาผู้คน ซึ่งมีตั้งแต่การสังเกตท่าทาง การแสดงออก รวมไปถึงการพิจารณาอารมณ์ในดวงตา และเภเรชูก็ใช้ความรู้ในข้อนี้ช่วยเหลือตัวเองมานักต่อนักแล้ว และ บุคคลแรกสุดที่เด็กชายใช้ความรู้ในข้อนี้คือบิดาของเขาเอง
“เออ”
ด้วยเหตุนี้เอง เภเรชูจึงได้เป็นลูกศิษย์ของเธา บทสนทนาจึงจบลงอย่างง่ายดาย
และก็ดังที่เห็น เธาเป็นบุรุษที่แปลกประหลาด
เด็กชายก็รับรู้ได้เช่นกัน ในสายตาของเภเรชู เขาสูงเกินกว่าคนปกติทั่วไปอย่างน้อยสองเท่า การแต่งกายนั้นก็ประหลาดกว่าผู้คนทั่วไปที่เคยได้พบเห็น ชุดของเธานั้นเป็นชุดคลุมสีดำที่ครั้งหนึ่งอาจจะเคยดูดี แต่ในเวลานี้มันสกปรกอย่างยิ่ง มีทั้งคราบ กลิ่น และสิ่งไม่พึงประสงค์ติดอยู่เต็มไปหมด ที่สำคัญคือชายผ้าที่ขาดวิ่นเป็นริ้ว ๆ แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจมากนัก
ครั้นเมื่อเภเรชูอาสารับไปซักและจัดการซ่อมแซม บุรุษประหลาดประจำเมืองยาเวก็ตอบว่า
“เสื้อขาดแล้วอย่างไร? กลิ่นเหม็นแล้วอย่างไร?” แล้วก็ไม่ยอมให้เอาไปซัก จนแล้วจนรอดเสื้อตัวเก่งของเธาจึงไม่ต่างอะไรจากผ้าขี้ริ้วที่สวมใส่ได้
ดังนั้นเภเรชูจึงเก็บคำถามไว้กับตัวแล้วตั้งหน้าตั้งตาดำรงชีวิตอย่างสมถะ เขาออกไปตกปลา ทำงานที่หมู่บ้านใกล้เมือง (เนื่องจากผู้คนแถวนั้นขาดประสบการณ์เกี่ยวกับงานบ้านอย่างแรง เภเรชูจึงได้รับการว่าจ้างเป็นอย่างดี) กลับมาก็ปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน จากนั้นก็ไปรดน้ำผัก พอนานวันเข้าจนเด็กชายพอจะมีฝีมือในการทำอาหาร ก็เลยได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย จะเรียกได้ว่าเป็นชีวิตอันสงบสุขสำหรับเด็กชายก็ไม่ผิดเท่าใดนัก หากจะย้อนไปเปรียบเทียบกับชีวิตก่อนหน้านี้
เป็นที่แน่นนอนว่าชีวิตของเธาก็สุขสบายขึ้นเช่นกัน
กระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังผอม มีรอยคล้ำใต้ดวงตา คอเอียงไม่สามารถตั้งให้ตรงซักทีได้ อีกทั้งไหล่ก็ลู่ลงอยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าลักษณะโดยรวมของชายผู้นี้ทำงานไม่ค่อยจะสัมพันธ์กับความสุขสบายที่ได้รับ
ความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งของเธาคือดวงตาของเขา มันต่างสีกัน แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะมีผู้สังเกตเนื่องจากว่าเธาใส่หมวกสุดรักใบหนึ่งปกปิดเอาไว้ มันเป็นหมวกปีกกว้างหน้าตาอัปลักษณ์ และดูหลงยุคอย่างกู่ไม่กลับ อย่างไรก็ดี หมวกใบนี้ถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่ยังอยู่ในสภาพครบสมบูรณ์มากที่สุด และถือเป็นของรักของหวงไม่กี่อย่างของเธา
“อย่ายุ่งกับหมวกข้า” นี่ถือเป็นคำกล่าวไม่กี่คำเมื่อเด็กชายพยายามขอดูหมวกใบนั้น
แต่เบื้องหลังหมวกปีกกว้างสีดำที่ปกปิด เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาต่างสีสันของเธา เภเรชูจะรู้สึกเหมือนกับตนเองได้เห็นอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ว่าเธาเป็นคนอย่างไรหรือมีนิสัยแบบไหน หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เภเรชูมั่นใจ นั่นคือความบริสุทธิ์ในดวงตาของเธา
คำสอนของพ่อเฒ่าทามาร์ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเด็กน้อย “จำเอาไว้เภเรชู หากผู้คนคิดไม่ซื่อ ดวงตาของเขาจะขุ่นมัวเหมือนน้ำที่ถูกปนเปื้อน แต่หากความคิดของเขาซื่อบริสุทธิ์ ดวงตาจะสุกใสราวกับดวงดาวทีเดียว”
ด้วยเหตุนี้ เด็กชายจึงเกิดความเชื่อว่าแม้อาจารย์ของตนนั้นจะประหลาดเช่นใด สวมเสื้อผ้าสกปรกแค่ไหน แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาก็คงจะเป็นคนดีอย่างแน่นอน
วันหนึ่งเมื่อแดดร่มลมตก เธาจึงบอกกับเภเรชูว่าตนเองจะเข้าเมืองไปทำธุระอะไรบางอย่าง
“งั้นหรือขอรับ” เด็กน้อยรับคำซื่อ ๆ
“ใช่ มันเป็นธุระที่สำคัญเอามาก ๆ” เธาบอกขณะสำรวจชายแขนเสื้อของตนที่ขาดเป็นริ้ว ๆ “ข้าจะพาเจ้าเข้าเมือง”
เภเรชูแหงนหน้ามองดูอาจารย์ของตนตาปริบ ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเธาเป็นคนที่สูงถึงขั้นสูงมาก การแหงนหน้ามองดูอยู่นานจึงทำให้เด็กน้อยปวดคอ เขาบอกไม่ได้ว่าเธานั้นสูงเท่าไหร่ อาจจะต้องต่อตัวเองซัก 3-4 คนเพื่อจะให้มีความสูงเท่ากับเธา แต่ก็นั่นละ ประเด็นความสูงของเธาดูจะไม่เกี่ยวข้องกับการที่เขาจะมาเป็นอาจารย์เท่าไหร่นัก
เภเรชูกระพริบตาปริบ ๆ กระนั้นเขาก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าอาจารย์ของตนสูงเทียบได้กับอะไร
เมืองยาเวเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก ประชากรก็น้อย แต่ก็อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ อย่างครบครัน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพระราชา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงมากคือโรงเรียนมนตรา
โรงเรียนมนตราดังกล่าวเป็นปราสาทหินสูงเทียบยอดหอสังเกตการณ์ประจำเมือง กินอาณาเขตกว้างขวางเกือบ 10 ไร่ เป็นสถาบันที่รวบรวมเอาบุคคลที่มีพรสวรรค์ทางมนตรามาฝึกสอน อีกทั้งยังมีประวัติความเป็นมาละม้ายคล้ายกับโรงเรียนพระราชา กล่วคือเดิมทีเดียวแล้วโรงเรียนมนตรานั้นไม่ได้ชื่อว่า ‘โรงเรียนมนตรา’ จริง ๆ หรอก แต่เนื่องจากชื่อจริง ๆ ของสถาบันแห่งนี้มีความยาวเหยียดไม่แพ้ชื่อจริง ๆ ของโรงเรียนพระราชา จึงถูกย่อให้เหลือแต่เพียงโรงเรียนมนตราเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม ชื่อเสียงของโรงเรียนทั้งสองหาได้เท่าเทียมกันไม่ เนื่องเพราะโรงเรียนมนตรายังมีคู่แข่งอีกหนึ่งคือวิทยาลัยเวทมนต์ ต่างจากโรงเรียนพระราชาที่มีเพียงแห่งเดียว อีกทั้งผู้ที่มาศึกษานั้นก็แตกต่างทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ แม้จะว่ากันตามจริงแล้วผู้ที่มาศึกษาที่โรงเรียนมนตรานั้นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ถ้าเทียบระหว่างกษัตริย์กับจอมมนตรา อย่างไรเสียกษัตริย์ก็ย่อมชนะอยู่วันยันค่ำ
ดังนั้น รัศมีของโรงเรียนพระราชาจึงกลบทับรัศมีของโรงเรียนมนตราไปอย่างสบาย ๆ
กระนั้นเภเรชูก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องข้างต้นนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง เด็กชายรู้แต่เพียงว่าเขาถูกล่ามโซ่ ทั้งมีตรวนที่คอซึ่งผูกโยงกับซ่เส้นหนาให้เธาฉุดกระชากลากดึง สิ่งแปลก ๆ นี้ทำให้เภเรชูอดนึกสังหรณ์ใจในสวัสดิภาพของตนเองไม่ได้ แต่เธาก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาแย้งแต่อย่างใด เขาจัดแจงรีบมัดปากของเด็กน้อยแล้วพาออกเดินทาง
“ทำตามที่ข้าบอก” เธาสั่งสบาย ๆ เหมือนกับจะไปเดินเล่นในเมือง “นี่เป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนเจ้า”
ดวงตาของเธายังคงบริสุทธิ์ แต่กระนั้นเภเรชูก็อดกังขาไม่ได้กับสิ่งที่เขาทำ
ทั้งสองเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองอย่างไม่รีบร้อนเท่าใดนัก เนื่องจากเด็กชายไม่ได้ถูกปิดตา เขาจึงมองเห็นสภาพอันวุ่นวายภายนอกกำแพงเมือง
ที่นอกกำแพงเมืองนั้นต่างเต็มไปด้วยชาวบ้านชาวช่องที่ดูไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก นับตั้งแต่ชาวนาที่สะพายดาบไว้ข้างตัว คนสวนที่ถือขวานแทนกรรไกรตัดหญ้า ช่างตีเหล็กที่เอาสันหนังสือตีดาบ แต่สำหรับเภเรชูแล้วดูเหมือนเรื่องเหล่านี้จะค่อนข้างปกติจนเกือบธรรมดาเสียด้วยซ้ำ เมื่อเด็กชายถูกลากผ่านบ้านที่ชานเรือนหักมาครึ่งซีก เขาก็พยายามยกมือทักทายชาวนาที่กำลังใช้ดาบเล่มโตโกนหนวด ส่งเสียงอู้อี้ทักทายพ่อครัวที่ใช้ไม้ตะพดทำกับข้าว
เธาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขาก้าวเดินยาว ๆ ตัดเลียบทุ่งนาที่ปลูกแต่วัชพืชอย่างไม่ใยดีพร้อมทั้งออกแรงลากเด็กชายไปอย่างสบาย ๆ มีชาวบ้านบริเวณนั้นปรายสายตามาไม่น้อย บ้างด้วยความสงสัย บ้างด้วยความประหลาดใจ ทั้งหมดต่างรู้ดีว่านี่คือบุรุษประหลาดหลุดโลกประจำเมืองยาเวกับเด็กชายแสนดีเภเรชู มีหลาย ๆ คนที่ทำท่าจะเข้ามาช่วยเด็กชายที่ถูกมัดต่างนักโทษ แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของเด็กชายดูไม่ค่อยจะทุกข์ร้อน ทั้งหมดก็ได้แต่ทำหน้าปุไม่รู้จะทำอย่างไร อย่างไรก็ดี สุดท้ายสายตาทุกคู่ก็ดูจะไม่อยู่ในความสนใจของบุรุษชุดดำอหังการแม้แต่นิดเดียว
ธุระที่ว่านั้นดูเหมือนอยู่นอกเมืองมากกว่าในเมือง ดังนั้นคำพูดของเธาที่ว่าจะเข้าเมืองจึงดูแปลก ๆ เขาพาเด็กชายเดินตัดผ่านเข้าไปถึงเกือบแถว ๆ ประตูเข้าเมือง จากนั้นก็ไปหยุดรอบนเนินหญ้าแถวนั้น ก่อนจะหันไปแก้ผ้าปิดปากให้กับเภเรชู
ทันทีที่ผ้าปิดปากถูกแกะออก เภเรชูก็มีคำถามทันที
“ท่านอาจารย์ นี่มันอะไรขอรับ?”
เธาเลิกคิ้ว “อะไร”
เภเรชูยกมือที่ถูกล่ามโซ่
“ก็โซ่ไง”
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าหมายถึงทำไมข้าต้องถูกล่ามโซ่ต่างหาก” เด็กชายส่งเสียง
เธาเหลือกตา มือข้างหนึ่งจับหมวกให้เข้าที่ อีกข้างหนึ่งแคะจมูก “ก็บทเรียนแรกของเจ้ายังไง” เขาบอกพลางดีดขี้มูกที่ติดนิ้วทิ้งไป “นี่เจ้าโง่หรือไม่ฉลาดกัน บอกไว้ก่อนนะ ข้าเบื่อไอ้พวกลูกศิษย์ที่ปัญญานิ่ม ฉะนั้นจงอย่าเป็นอย่างนั้น”
เธาถอนหายใจ แล้วเริ่มอธิบาย
“นี่เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง” เขากล่าวอย่างทรงภูมิ “ตลอดทางที่ข้าพาเจ้ามาทางนี้ เจ้าได้รู้อะไรบ้าง”
“ข้าไม่ชอบการถูกมัดขอรับ” เด็กชายตอบ
“แล้วเจ้าเห็นอะไรบ้าง”
“ข้าเห็นน้าซิลเนียทำนา พ่อเฒ่าชามัสโกนหนวด พี่ราเวนพยายามลับขวานโดนใช้สันหนังสือ แล้วยังมีพี่ราเนียกับลุงอิกนาส...”
เธายกมือทั้งสองข้างกุมหัว ท่าทางเหมือนกับแสลงใจที่ได้ฟังถ้อยคำของเด็กชาย สีหน้าของบุรุษประหลาดเต็มไปด้วยความปวดกบาลที่ลูกศิษย์ของตนใสซื่อจนบื้อตื้อ
“นี่ไอ้เจ้าลูกศิษย์บ้า เจ้ามัวเอาตาไปมองที่ไหนไม่ทราบ เจ้าไม่เห็นเลยหรือว่าคนพวกนั้นมันดูแปลก ๆ”
เภเรชูมีอันใบ้รับประทาน เขาเคยไปทำงานบ้านให้ผู้คนในละแวกนั้นไม่น้อยจนเห็นเรื่องเหล่านั้นจนชินตา อันที่จริงเขาอยากจะบอกว่าคนเหล่านั้นดูปกติกว่าท่านอาจารย์ของตนเสียอีก แต่เด็กชายมีลางสังหรณ์ว่าถ้าตนบอกไปตามความจริง อาจจะซวยซ้ำซ้อนถึงขั้นชอกช้ำระกำตัวได้ จึงตัดสินใจพูดว่า “ข้าก็เห็นพวกเขาปกติดีนี่ขอรับ”
อีกคราที่เธาทำสีหน้าปานโลกจะล่มสลาย เขาโคลงหัวไปมาสามรอบ แล้วจับหมวกปีกกว้างสีดำบิดไปทางซ้ายทางขวาอย่างละรอบ แล้วจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนโฉดฉีกยิ้ม “เจ้าคิดไปละกัน ตอนนี้ ข้ามีนัดสำคัญที่ต้องรอ ฉะนั้นจงอย่ารบกวนข้า” พูดจบ เธาก็จัดแจงเอาโซ่ไปผูกกับต้นไม้ใกล้ ๆ ยังไม่ทันเภเรชูจะเอ่ยปากประท้วง อาจารย์ของเด็กชายก็เดินออกไปนอกรัศมีการประท้วงเสียแล้ว
ไม่นานนักใครบางคนเดินตรงมาหาเธา เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาดูไม่ค่อยจะได้
“ว่าอย่างไรเธา ดูเหมือนงานสอนของเจ้าจะราบรื่นดีนะ”
“ก็ดีรากัส” เธาตอบเอื่อย ๆ พลางลุกขึ้นยืน “ไม่ใช่ตามที่ข้าคิดซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เลวนัก” แล้วบุรุษประหลาดก็เอนตัวมองหาใครบางคนที่น่าจะอยู่ทางด้านหลังรากัส “แล้วนักฆ่าคนล่าสุดที่เจ้าเพิ่งพามาจากเซเลเฟียล่ะ ไอ้หนุ่มหน้าขาว ๆ นั่นหายไปไหน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพามันให้มาฆ่าเจ้าชายนี่”
“ส่งเข้าไปในโรงเรียนพระราชาแล้ว” รากัสตอบห้วน ๆ พลางทรุดตัวลงนั่ง “แย่บรม”
“ตกหลุมรักกับเจ้าหญิงอีกรายหรือ”
“เปล่า”
“แสดงว่างานล้มเหลว”
รากัสพยักหน้า
“ถูกจับได้หรือ?”
“เปล่า”
“เป้าหมายรู้ตัว?”
“เปล่า”
“ถ้างั้นก็บอกข้ามาเสียที ข้าขี้เกียจเดาแล้ว”
รากัสถอนหายใจ “มันตกหลุมรัก”
คิ้วของเธาเลิกขึ้น “กับใคร”
“กับเจ้าชาย”
เธามองหน้าคู่สนทนาอยู่ชั่วครู่ ก่อนหลุดเสียงก๊ากออกมาดังลั่น
แต่รากัสไม่ขำ “ไม่ตลกนะโว้ย ค่าจ้างเด็ดหัวไอ้เจ้าชายนั่น 30,000 กีซเชียวนะ” เขาบอกแล้วถอนหายใจ “ตอนแรกข้านึกว่าถ้าเป็นผู้ชายด้วยกัน มันจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น นึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน เสือกไปตกหลุมรักกับเจ้าชายนั่นเสียอีก บ้าจริง ๆ เลย”
“นี่ล่ะที่เขาว่ากันว่าความรักไม่มีพรหมแดน” เธาพูดพลางหยิบขวดเหล้าขึ้นมา 2 ขวด แล้วส่งขวดหนึ่งให้กับรากัส “ธุรกิจของเจ้าก็แย่เลยสิ”
“เออสิ” รากัสกระดกขวดเหล้า “ไปรับจ้างนัดบอดกับเจ้าชายเจ้าหญิงยังจะง่ายกว่าส่งนักฆ่าไปทำงานให้เสร็จเสียอีก”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” เธากระดกขวดเหล้าของตนบ้าง “ว่าแต่เรื่องที่ข้าขอให้เจ้าทำเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่สำเร็จ”
ขวดที่ดื่มค้างอยู่ของเธาชะงัก
“หมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความตามนั้น”
เธาเขวี้ยงขวดเหล้ากระแทกพื้น “บัดซบ แล้วเจ้าจะให้ข้าพาเจ้านี่มาทำมะเขือเปาะหาสวรรค์วิมานอันใด”
“ข้าขอโทษ”
“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าให้ ‘โทษ’ เจ้า” พูดจบ เธาก็คว้าขวดเหล้าที่เพิ่งยื่นให้ฟาดลงบนหัวของรากัส ส่งผลให้ชายไม่ต่างวัยกับตนล้มลงไปกองในทันที
มิใยเด็กชายผู้อ่อนต่อโลกจะร้องทัก “ท่านอาจารย์ ท่านทำอะไร?”
“แล้วเจ้าเห็นข้าทำอะไรเล่า?”
“ท่านเพิ่งพาดหัวสหายของท่านด้วยขวดเหล้าของท่าน”
“เออ! แล้วเช่นนั้นเจ้าจะถามทำลิงอันใด”
อีกคราที่เภเรชูใบ้เงียบรับประทาน ครั้นแล้วเธาก็หันหลัง ทำท่าร่ำ ๆ ว่าจะจากไปอย่างไม่ใยดี
“เดี๋ยวก่อนท่านอาจารย์ ท่านยังไม่ได้แก้มัดข้า”
แต่เธากลับโบกมือ เหมือนจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก แล้วก็เดินหายลับไป ทิ้งให้เภเรชูยืนมองอย่างสับสนระหว่างโซ่ที่พันธนาการตัว กับทิศทางที่อาจารย์ของตนเพิ่งเดินหายลับไป
เด็กชายยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นตรงหน้า เท่าที่สมองของเด็กชายจะประมวลได้คืออาจารย์ของตนนัดเพื่อนไว้ที่เนินแห่งนี้ หลังจากมาถึงก็หยิบขวดเหล้าออกมาดื่มกัน ก่อนจะฟาดหัวเพื่อนล้มลงตรงหน้า แล้วก็เดินหายลับไป ถึงตอนนี้คำถามที่เขาอยากจะถามอาจารย์ของตนใจจะขาดคือ
นี่ท่านทำบ้าอะไรไม่ทราบ!?
----------------------
เฮ้อ...แก้เสร็จเสียที เพิ่งจะเห็นว่าพอก๊อปมาวางแล้วมีบางส่วนหายไป
อยากด่าวิจารณ์อย่างไรตามสบายนะขอรับ เอามาแปะไว้เสียที ประเดี๋ยวน้อง HD งอแงงแล้วจะยาว...
----------------------
เฮ้อ...แก้เสร็จเสียที เพิ่งจะเห็นว่าพอก๊อปมาวางแล้วมีบางส่วนหายไป
อยากด่าวิจารณ์อย่างไรตามสบายนะขอรับ เอามาแปะไว้เสียที ประเดี๋ยวน้อง HD งอแงงแล้วจะยาว...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น