คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่9 มหกรรมซื้อของเขาบ้าน
โม่ฟินใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเดินทางมายังตัวเมืองยี่ เมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้นก็เริ่มมีผู้คนสัญจรมากขึ้น จึงต้องเปลี่ยนเป็นเดินด้วยตัวเองแทน เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามีพลัง เขาเดินตรงเข้าเมืองทันที ตลอดทางที่เดินก็มีสายตาที่มองมาทางเขาบ้าง คงเพราะไม่คุ้นหน้าเขา และท่าทางที่ดูสง่างามของเด็กชายไม่เหมือนกับคนธรรมดา แต่เด็กชายไม่สนใจ เพราะเขาแค่มาทำธุระ เสร็จเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
โม่ฟินเดินไปยังเป้าหมายที่เขาต้องการ ที่แรกก็คือร้านเครื่องไม้ เป็นร้านที่ชายของใช้ที่ทำจากไม้ ซึ่งอยากได้อุปกรณ์ที่ใช้ในการตักน้ำ เขาเดินตรงเข้าไปในร้านทันที ในร้านมีของต่างๆ ที่ทำจากไม้เยอะมาก ทั้งตู้ เตียง โต๊ะเก้าอี้ ของใช้ต่างๆ
“หาอะไรรึหนุ่มน้อย”
“ข้ากำลังหาที่ตักน้ำ ท่านมีขายหรือไม่ขอรับ”
“มีๆ ตามข้ามาทางนี้”
เด็กชายเดินตามชายสูงอายุคนหนึ่งที่ออกมาหาเขา ดูเหมือนว่าทั้งร้านมีชายสูงอายุอยู่คนเดียว
“ตรงนี้ มีหลายแบบเจ้าเลือกเลย”
โม่ฟินพยักหน้าแล้วเลือกที่ตักน้ำ เขาหยิบจับดูเอาที่เหมาะกับมือเขาที่สุด แต่ส่วนใหญ่จะมีเป็นแบบสี่เหลี่ยมแล้วมีด้ามจับต่อออกมา ในโลกเก่าเขาก็เคยพบเห็นอยู่บ้าง แต่ไม่เคยใช้ เลือกมาสองแบบคือแบบสี่เหลี่ยมมีด้ามจับและแบบกลมมีด้ามจับ
“สองชิ้นนี้ราคาเท่าไรขอรับ”
"ชิ้นละ30เหรียญทองแดง"
“ข้าเอาสองชิ้นนี้ นี่6Oเหรียญทองแดงขอรับ”
“ขอบใจมากเจ้าหนู อยากได้อะไรอีกหรือไม่”
โม่ฟินหยิบเงินจากกระเป๋าเงินจากอกเสื้อออกมาส่งให้ผู้อาวุโสข้างหน้าเขา มองรอบๆ ร้านสำรวจสิ่งของต่างๆ ที่ทำจากไม้หาสิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม แต่เมื่อไม่ได้คิดมาก่อนจึงไม่รู้จะซื้ออะไรอีก จึงเดินดูรอบๆ อะไรที่น่าสนใจหรืออาจจะได้ใช้เขาก็ซื้อมา
“ของพวกนี้ ท่านทำเองทั้งหมดเลยหรือขอรับ”
“ใช่ ข้าทำเองทั้งหมด”
“ฝีมือประณีตมากเลยขอรับ”
“ขอบใจมาก เจ้ามาคนเดียวรึ”
“อ๋อ ข้าแยกมาซื้อของกับท่านปู่ของข้า”
เด็กชายที่ถูกถามเรื่องการเดินทางคนเดียวต้องโกหกออกไปอีกครั้ง และยังคงเรื่องที่แต่งขึ้นมาให้เหมือนเดิม วันข้างหน้าหากเขาจำใครไม่ได้ว่าเคยเจอกันมาก่อนความจะไม่แตก
“งั้นรึ แล้วเจ้าจะไปซื้ออะไรต่อ”
“ข้าจะไปซื้อเมล็ดพันธุ์พืช ท่านรู้หรือไม่ว่าร้านขายต้นไม้อยู่แถวไหนขอรับ”
“ข้าพอรู้จักร้านขายต้นไม้ดีๆ ถัดไปอีกสองซอย เจ้าจะเห็นร้านที่มีต้นไม้วางอยู่ข้างหน้า”
“ขอบคุณท่านมาก ข้าลาขอรับ”
โม่ฟินเดินออกมาจากร้านพร้อมที่ตักน้ำสองอันและของอื่นๆ นิดหน่อย เขาเดินไปเรื่อยๆ เมื่อไม่เห็นคนก็ตั้งจิตเก็บทั้งสองชิ้นเข้าไปในกระเป๋า ออกเดินต่อโดยไม่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปจนถึงหน้าซอยที่สอง ตามที่ช่างไม้ได้บอกมา มองเข้าไปในซอยก็เจอร้านที่มีต้นไม้ทำอยู่หน้าร้านจริงๆ จึงเดินไปหาร้านต้นไม้ทันที
เด็กชายเดินไปหยุดหน้าร้าน มองต้นไม้ที่วางอยู่หน้าร้าน ร้านขายต้นไม้นี้เหมือนๆ กับโลกก่อน จะมีต้นอ่อนของต้นไม้หลายอย่างว่างให้คนได้เลือกซื้อ จะแตกต่างก็ตรงที่ไม่มีชื่อต้นไม้บอกว่าคือต้นอะไร เด็กชายเดินสำรวจร้านดูต้นไม้ไปเรื่อยๆ และใช้ความรู้เกี่ยวกับพืชที่มีดูว่าเป็นต้นอะไรไปด้วย
“ยินดีต้อนรับคุณชาย เลือกดูได้ตามใจชอบได้เลย สนใจต้นไหนบอกข้าได้”
โม่ฟินเดินได้ไม่นานเจ้าของร้านเดินมาต้อนรับเขา และเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม
“มีเมล็ดพันธุ์หรือไม่ขอรับ”
“มีๆ ทางนี้”
เจ้าของร้านเดินนำโม่ฟินไปยังโซนที่มีเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ วางไว้
“ขายอย่างไรหรือขอรับ”
“ขีดละ 1 เหรียญทองแดง”
โม่ฟินคิดตามที่เจ้าของร้านพูด มองไปที่ตาชั่งของร้าน ขีดเดียวน้อยมากเลย ถึงบางชนิดจะเล็กมากก็ตาม
“ท่านมีเมล็ดผักกี่ชนิดขอรับ”
“มี50ชนิด คุณชายน้อย”
“ข้าเอาทั้งหมดอย่างละ2ขีดขอรับ”
“โอ้ ได้เลยๆ”
“ตรงนี้ คือเมล็ดอะไรหรือขอรับ”
“เป็นเมล็ดพันธุ์ผลไม้ ต้นที่ต้องใช้เมล็ดในการปลูก”
“ขายเหมือนกันหรือไม่”
“เหมือนกัน”
“ข้าเอาอย่างละ5ขีด”
โม่ฟินสั่งเมล็ดพันธุ์ผลไม้มากกว่าเมล็ดผัก เพราะจากที่เขาดูเมล็ดผลไม้มีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดหนึ่งก็คงเกือบกรัมแล้ว
“ท่านช่วยเขียนระบุให้ข้าด้วยแต่ละอย่างคือเมล็ดอะไร ได้ไหมขอรับ”
“ได้แน่นอน คุณชาย ร้านข้ามีการคัดแยกอย่างดีให้ลูกค้าอยู่แล้ว”
โม่ฟินส่งยิ้มให้เจ้าของร้านแล้วขอตัวดูต้นไม้ต่อ เดินดูต้นไม้ไปก็ดูเจ้าของร้านสั่งลูกน้องให้จัดของให้เขา เขาดูการคัดแยกเมล็ดพันธุ์ตามที่เจ้าของร้านการันตีมา ดูเหมือนจะเป็นร้านที่เป็นมืออาชีพ ลูกน้องตักเมล็ดพันธุ์แต่ละอย่างชั่งแล้วบรรจงใส่ห่อกระดาษเขียนชื่อเมล็ดพันธุ์ชัดเจน
"เถ้าแก่ ท่านมีบริการจัดส่งหรือไม่ขอรับ"
"มีๆ คุณชายน้อยต้องการให้จัดส่งที่ไหน"
"เดี๋ยวข้าเขียนที่อยู่ให้ ข้าต้องการต้นกล้าไม้ทุกอย่างที่ท่านมี อย่างละหนึ่งต้น"
"ทุกอย่างเลยรึ"
"ใช่ ท่านขายหรือไม่"
"ขายๆ ข้าจะจัดส่งให้เลย คุณชายโปรดบอกที่อยู่มา"
โม่ฟินเมื่อแจ้งสิ่งที่ต้องการเรียบร้อยก็เดินไปนั่งคุยกับเจ้าของร้านเรื่องจำนวนของและเงินที่จะจ่าย
เมื่อคุยเสร็จจึงทราบว่าร้านนี้มีต้นกล้าไม้100กว่าชนิดเลย แต่โม่ฟินก็ยังยืนยันคำเดิม เขาให้เจ้าของร้านคิดเงินค่าพืชพันธุ์ทั้งหมดและค่าจัดส่งด้วย
การที่ให้ทางร้านจัดส่งไปที่บ้านเขาก็เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามีกระเป๋าวิเศษ แค่การที่เด็กสิบขวบมีเงินมาซื้อของมากมายก็เด่นเกินไปแล้ว เขาไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายเข้ามาหาตัว
เมื่อเสร็จธุระที่ร้านต้นไม้แล้วโม่ฟินก็ไปที่ตลาดต่อ เพราะเขาจะไปหาซื้อเสบียงอีกหลายๆ อย่าง เขาสามารถซื้ออาหารปรุงสำเร็จแล้วได้โดยง่ายไม่มีใครสังเกตสิ่งผิดปกติอะไรได้ แต่พอมาถึงร้านขายของสดเช่นเนื้อหมูกับผักผลไม้ เขาคิดไม่ตกว่าจะซื้อเท่าไรดี
"ข้าอยากได้เนื้อส่วนที่ดีที่สุดขอรับ"
"โอ้คุณชายน้อย ชิ้นนี้เลยดีที่สุดแล้ว"
โม่ฟินพูดคุยกับคนขายหมู เขาอยากได้เนื้อที่ดีที่สุดไม่เกี่ยงเรื่องราคาหรือจำนวน เพราะเขาเอาไปทำเพิ่มเองได้
"มีส่วนอื่นอีกหรือไม่ขอรับ"
"มีๆ"
"ข้าเอาทั้งหมดเลย"
เด็กชายซื้อของด้วยความไหลลื่น ดีที่เจ้าของร้านไม่ถามอะไรมากหรือเซ้าซี้ที่เขาเป็นเด็ก และดีที่ร้านหันเป็นชิ้นๆ ไว้แล้ว จึงไม่ต้องกำหนดน้ำหนักแค่เลือกชิ้นได้เลย
“ท่านมีเนื้อไก่ขายหรือไม่"
“ไม่มีคุณชายน้อย ท่านต้องไปดูร้านข้างๆ”
“ขอบคุณท่านมาก”
โม่ฟินถือห่อกระดาษขนาดใหญ่ที่มีเนื้อชั้นดีหลายส่วนอยู่ข้างในและเนื้อไก่ที่ซื้อมาอีก เขาหาพื้นที่เงียบไม่มีคนแล้วเก็บเนื้อสัตว์สองชนิดเข้ากระเป๋าไปทันที เขาเดินต่อไปยังอีกร้านถัดๆ ไป ร้านขายผัก เขาเลือกผักที่พอรู้ว่าทำอาหารอะไรได้บ้าง เพราะยังไงก็เอาไปเพาะปลูกต่อไม่ได้เอาไว้แค่ทำอาหารกินอย่างเดียว
เลือกร้านที่มีการทำไว้เป็นกำไว้ เขาจึงเลือกซื้อได้ง่าย และก็เหมาะกับเด็กดี สามารถตบตาได้ด้วยว่าเขาเป็นเด็กซื้อขายยังไม่เป็น
โม่ฟินซื้อผักเสร็จก็เก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินหาร้านผลไม้ต่อที่ไม่รู้ว่ามีไหม เดินออกมาเรื่อยๆ ก็เจอกับร้านขายผักร้านเล็กๆ ริมข้างทาง ไม่เหมือนกับร้านที่มาประจำ เป็นเหมือนร้านที่มาชั่วคราว เป็นยายคนหนึ่งมานั่งขายผัก แต่ไม่มีคนแวะซื้อหรือแม้แต่จะมองด้วยซ้ำ เขาที่เห็นก็รู้สึกปวดใจมาก คนเมืองมักไม่สนใจคนที่ต่ำต้อยกว่า
"ท่านยาย ข้าจะซื้อผักขอรับ"
"โอ้คุณชายน้อย เลือกได้เลยๆ "
"ผักท่านยายสดมากเลย ข้าเอาหมดเลยขอรับ"
เด็กชายเดินมานั่งลงที่ข้างหน้าร้านที่ยายขายผัก เป็นเพียงผ้าปูกับพื้นแล้วนั่งขาย แถมผักของยายก็คุณภาพดีไม่แพ้ร้านอื่นๆ ด้วย
"เอาหมดเลยรึ หนุ่มน้อยจะนำไปทำอะไร"
"ข้าจะเอาไปทำอาหารขอรับ ที่บ้านข้ามีคนเยอะ"
"แล้วมาซื้อร้านของยายจะดีรึหนุ่มน้อย"
"ดีสิ ข้าเอาหมดเลยท่านยายห่อให้ข้าด้วยนะขอรับ"
"ได้ๆ"
โม่ฟินนั่งคุยกับคุณยายต่อเรื่อยๆ ระหว่างรอให้ยายห่อผักให้ ส่วนเขาก็ช่วยคิดราคาให้คุณยายด้วย
"ทั้งหมด50เหรียญทองแดงท่านยาย แต่ข้าไม่มีทองแดงแล้ว ข้าให้ท่านยาย1เหรียญเงินไปละกันขอรับ"
"โอ้ ไม่ดีๆ เอาไว้มาให้ข้าวันหลังก็ได้"
"ไม่ดีๆ ถ้าแบบนี้ข้าโกงท่านล่ะขอรับ ท่านจะทำอย่างไร"
"ข้าเชื่อใจคุณชายน้อย ท่านเป็นคนดีมีสัจจะน่นอน"
"ขอบคุณที่ชมข้าท่านยาย แต่เอาแบบที่ข้าบอกดีกว่า ท่านยายรับไปเถอะ ถ้าวันไหนเรามีโอกาสเจอกันอีก ท่านยายค่อยนำเงินทอนมาให้ข้าก็ได้ขอรับ"
เด็กชายยัดเงินเหรียญเงินหนึ่งเหรียญไปให้กับท่านยายพร้อมรอยยิ้ม
"ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เลย"
โม่ฟินยิ้มรับคำชมแล้วพูดคุยสอบถามความเป็นอยู่ของท่านยายต่อ ก็รู้ว่าท่านยายมีบ้านอยู่นอกเมืองไกลกว่าบ้านเขาไปอีกหลายกิโลเมตร ยายอาศัยรถม้าของพ่อค้าเพื่อเข้ามาขายผักหารายได้ในเมือง พอขายของเสร็จก็จะไปรอรถม้าที่พามาที่ท้ายตลาดเพื่อกลับบ้าน
"ท่านยายเดินทางปลอดภัยนะขอรับ ข้าขอลา"
"โชคดีนะคุณชายน้อย"
เขาบอกลาคุณยายแล้วเดินหาร้านผลไม้ต่อ ระหว่างเดินก็อาศัยจังหวะคนไม่สังเกตเก็บผักที่ซื้อมาจากคุณยายลงกระเป๋า
"ข้าซื้ออย่างละ2ลูกได้หรือไม่ขอรับ"
"อย่างละ2ลูก เอาไปทำอะไรหรือคุณชายน้อย"
เจ้าของร้านผลไม้เอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย เพราะจำนวนที่เด็กชายซื้อจะว่าน้อยก็น้อยจะว่ามากก็มาก เพราะมีผลไม้หลายชนิด
"ข้าเพียงอยากกิน ท่านขายให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ"
"ได้ๆ คุณชายน้อยเอาอะไรบ้าง"
"ข้าเอาทุกอย่างเลย อย่างละ2ลูกขอรับ"
"แตงโม2ลูกด้วยหรือไม่"
"เอ่อ แตงโมลูกใหญ่ ข้าเอาลูกเดียว"
โม่ฟินเมื่อเห็นแตงโมลูกใหญ่จึงลดจำนวนลง ตอนนี้ที่หน้าร้านมีลูกค้าเพียงไม่กี่คน และทุกคนก็มองมาที่เขาอย่างสนใจ ก็เขาไม่อยากถือเยอะนี่นา เขาต้องถือออกมาจากร้านสักระยะถึงจะเก็บลงกระเป๋าได้
เขาจ่ายค่าผลไม้เสร็จก็เดินหอบผลไม้ไปหาที่เงียบปลอดคนเพื่อเก็บของ ปฏิเสธอยู่นานไม่ให้เจ้าของร้านเดินไปส่งเพราะเขาอ้างว่ามีรถม้าครอบครัวอยู่ไม่ไกล จนเขาต้องแสดงความเป็นลูกผู้ชายว่าเขาถือไหว จะถือเอง จึงถูกปล่อยตัวออกมาได้
เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองโมงกว่าโม่ฟินก็ซื้อของที่ต้องการเสร็จ เขาแวะซื้อเครื่องครัวหลังจากที่ซื้อผลไม้เสร็จ และตอนนี้ก็กำลังเดินเลือกซื้อหนังสืออยู่ในร้านหนังสือร้านเดิมที่เคยมา
โม่ฟินเลือกหนังสือเยอะขึ้นกว่าครั้งก่อน ทั้งหนังสือให้ความรู้ต่างๆ เช่นกฎหมาย การฝึกศิลปะการต่อสู้ บทกวี ภูมิศาสตร์ที่บอกว่าโลกนี้มีเมืองอะไรบ้าง เขาต้องหาข้อมูลเรื่องโลกที่เขาอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาออกเดินทางช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ และหนังสือสำคัญอย่างสุดท้ายก็คือหนังสือการทำอาหาร เขาจะอ่านสะสมไว้เป็นความรู้เพื่อเอาตัวรอดในการใช้ชีวิตเมื่อต้องอยู่กับคนหมู่มาก เพราะเขาจะเก็บความลับเรื่องกระเป๋าวิเศษของเขาไปจนตาย
หลังจากซื้อของเสร็จ เด็กชายก็เดินออกนอกเมืองมาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน กว่าจะเดินผ่านบ้านผู้คนหมด ตะวันก็เกือบจะลับฟ้าแล้ว แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะถ้ามืดเร็วเขาก็สามารถใช้พลังได้โดยไม่ต้องกลัวใครเห็น แต่เขาก็ห่วงต้นไม้ของเขาที่ให้ร้านไปส่งไว้ที่หน้าบ้านเหมือนกัน
เมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว โม่ฟินก็ลอยตัวขึ้นเหนือมวลต้นไม้ที่อยู่ข้างถนนที่ใช้กลับบ้าน เขาใช้พลังลมพัดพาร่างกายให้เหาะลอยไปบนอากาศตรงกลับบ้าน
ถ้าเปรียบเทียบระยะทางแล้วบ้านของเขาอยู่ในโซนป่าไม้ของเมืองไกลจากตัวเมืองปริมาณ10กิโลเมตร ถ้าใช้การเดินจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ถ้ารถม้าก็เกือบชั่วโมง แต่การเหาะไปบนอากาศใช้เวลาน้อยกว่ามาก ไม่ต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางใดๆ ไม่ต้องลดความเร็วพุ่งตรงไปข้างหน้า
เด็กชายจึงใช้เวลามาถึงบ้านโดยไม่นาน พอมาถึงบ้านก็เห็นกองต้นไม้ตั้งอยู่หน้าบ้านจำนวนมาก เขาลงพื้นอย่างนิ่มนวลเดินเข้าไปดูกล้าไม้ที่ซื้อมา ส่งพลังเปิดประตูหินออก แล้วขนต้นไม้เข้าไปในบ้านระหว่างขนเขาก็นับจำนวนไปด้วยว่าครบตามที่สั่งไหม
เมื่อขนต้นไม้เสร็จก็ส่งพลังพฤกษาเพื่อไม่ให้ต้นไม้ตาย เก็บเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาลงกระเป๋าสุดที่รักแล้วเดินเข้าบ้าน เดินไปในห้องครัวนึกถึงเครื่องครัวที่ซื้อมาแล้วดึงออกมาจากกระเป๋า จัดเรียงของที่ออกมาจนหมด ห้องครัวตอนนี้ก็ดูเป็นห้องครัวมากขึ้นแล้วเมื่อมีอุปกรณ์ครบครัน
โม่ฟินรู้สึกเหนียวตัวจึงลงไปอาบน้ำในบ่อหลังบ้าน ระหว่างที่อาบก็ปลดปล่อยพลังพฤกษาออกมาด้วยแล้วส่งน้ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังพฤกษาไปรดน้ำต้นไม้รอบๆ บ้าน ตอนนี้มืดมากแล้วทำให้เขามองไม่เห็นว่าภูเขาหลังบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ที่พอมองเห็นก็คือรอบๆ เขตพื้นที่บ้าน ทุ่งหญ้าแห้งๆ ข้างบ้านตอนนี้กลับมาเขียวไม่เหมือนวันแรกที่มาแล้ว รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนเขาจะลงต้นไม้ที่ซื้อมาให้เต็มพื้นที่เลยทั้งพื้นที่ในรั้วและนอกรั้ว ยังไงก็คงไม่มีใครผ่านแถมนี้มากมายอยู่แล้ว
เด็กชายนั่งแช่น้ำเป็นชั่วโมงแล้วขึ้นมาแต่งตัว กินมื้อเย็น นำหนังสือที่ซื้อมาออกมาจัดวางไว้ในห้องอย่างเป็นระเบียบ เขานับจำนวนหนังสือที่เขาซื้อมาได้15เล่มแล้ว ต่อจากนี้ไปอีกหลายปี เขาคงต้องพึ่งแต่ความรู้ในหนังสือพวกนี้ เพราะต่อจากนี้จนกว่าเขาจะตัวโตเท่ากับโลกก่อนเขาจะไม่ออกจากบ้านไปไหน คงใช้เวลานานพอตัว แต่ยังไงก็ไม่ว่างนั่งให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เขาหาอะไรต่อมิอะไรทำได้อย่างแน่นอน
***************************
ความคิดเห็น