คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่4 กระเป๋าวิเศษ
ใช่...ตลาด ที่ที่คนเยอะที่สุดและส่งผลเสียกับขาสั้นๆ มือสั้นๆ ของเขามากที่สุด ก่อนจะเดินเข้าตลาด โม่ฟินเข้ามุมลับอีกครั้งแล้วหยิบเงินมาใส่ในกระเป๋าเงินที่ว่างแล้ว โดยเขาหยิบออกมาทุกเหรียญ โดยเหรียญทองแดงจะมากกว่าเหรียญอื่น ส่วนเหรียญทองก็หยิบออกมาเพียงเหรียญเดียว
แล้วก็ออกเดินทางสู่ตลาดสุดแสนทรมาน แต่ดูเหมือนคนจะน้อยลงกว่าตอนที่เขามาแรกๆ เขาเลือกเดินชิดริมร้านค้าเช่นเดิม เพื่อสำรวจของต่างๆ ประกอบกับราคา และหาของที่น่าสนใจด้วย จนเขาเจอเข้ากับร้านขายซาลาเปา ท้องของเขาก็ร้องประท้วงออกมาทันที เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปที่ร้านซาลาเปาเพื่อหาเสบียงยังชีพ
“พี่สาว ซาลาเปาขายอย่างไรหรือขอรับ”
เด็กชายที่ยืนพ้นโต๊ะขึ้นมาเพียงไหล่เอ่ยถามราคาซาลาเปาพร้อมทำหน้าที่ดูน่ารักๆ มากที่สุด คนขายจะได้เป็นมิตรกับเขา
“ลูกละ5เหรียญทองแดงหนุ่มน้อย มีไส้หมู ไส้ผัก รับกี่ลูกดี”
โม่ฟินที่ได้ยินราคาก็คำนวณได้ว่าดูเหมือนค่าครองชีพด้านอาหารจะถูกกว่าของใช้ เพราะซาลาเปาตรงหน้าเขาก็ลูกไม่เล็ก ใหญ่กว่ามือเขาตอนนี้อีกด้วย
“ข้าเอาอย่างละหนึ่งลูก”
แม่ค้าซาลาเปาที่ยิ้มแย้มเป็นมิตร รีบหยิบซาลาเปาตามที่เด็กชายสั่งใส่กระดาษแล้วห่อส่งให้โม่ฟินทันที เขาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าเงินสิบเหรียญทองแดงส่งให้แม่ค้าที่ยังยิ้มให้เขาอยู่ทันทีด้วย เขารับซาลาเปามาถือด้วยรอยยิ้ม เพราะในหัวเขาตอนนี้คิดอะไรบางอย่างได้
โม่ฟินเดินเข้ามาในตรอก เข้าไปนั่งลงในที่ลับตาคนอีกครั้ง เขาหยิบสุดที่รักข้างเอวขึ้นมา แล้วอ้ากระเป๋าออกกว้างๆ ให้พอที่จะใส่ซาลาเปาเข้าไปได้ ใช่แล้ว เขาจะลองดูว่าซาลาเปาจะสามารถทำเพิ่มได้ไหม เขาเอาซาลาเปาออกมาหนึ่งลูก ความร้อนและกลิ่นของมันทำให้เขาท้องร้องอีกครั้ง แต่เขายังกินไม่ได้ เขาต้องทำภารกิจพิสูจน์ก่อน
เขาใส่ซาลาเปาหนึ่งลูกเข้าไปในกระเป๋าแล้วนำมือที่ว่างเปล่าออกมา เขานับถอยหลัง5วินาที แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบซาลาเปาออกมา ลูกแรกยังคงเดิมเหมือนที่เขาใส่ไปทุกอย่าง แต่มันยังไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้ เขาอยากรู้ว่ากระเป๋าจะทำเพิ่มได้ไหมแล้วทำเพิ่มขึ้นมาจะเหมือนเดิมไหม โม่ฟินล้วงมือเข้าไปอีกครั้งพร้อมนึกถึงซาลาเปาและความรู้สึกที่มือที่เขาสัมผัสได้ก็ทำให้เขาฉีกยิ้มออกมาแก้มปริ เขานำมือที่มีซาลาเปาอยู่ออกมา เขาแทบจะร้องดีใจแต่ก็ต้องกัดปากไว้ ถึงจะดีใจแค่ไหนก็ตาม มือเล็กค่อยๆ วางซาลาเปาลงในห่อที่ตอนนี้มีสามลูกแล้วลงบนพื้น แล้วเดินถอยห่างมาสองก้าวมองสำรวจซ้ายขวาไม่เจอใคร
“เย้ เย้ เย้ๆๆ”
โม่ฟินร้องดีใจออกมาเสียงเบาพร้อมเต้นไปมาด้วยความดีใจสายตามองไปที่ซาลาเปาสามลูก บนพื้นอย่างภูมิใจ อ้าปากร้องเหมือนตะโกนแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย เด็กน้อยเต้นวนจนหนำใจก็กลับมานั่งที่เดิม เก็บซาลาเปาอีกไส้ที่ยังไม่เคยเก็บลงกระเป๋าไป แล้วกินสองลูกที่ทำเพิ่มแล้วอย่างมีความสุข
“อ่า อร่อยมากเลย โชคดีจริงๆ ได้ของดีมากอีกแล้ว”
เด็กชายนั่งกินซาลาเปาไปยิ้มไปอย่างมีความสุข ซาลาเปาที่เขาซื้อมาอร่อยมาก แป้งดีนิ่มอร่อยไส้ก็ให้เยอะ ไส้หมูมีผักปนด้วยแต่ก็เข้ากันจนลงตัว เขาคิดว่าใส่ผักก็คงแนวนี้แค่ไม่มีหมู แต่เขาคิดว่าคงอร่อยมากเช่นกัน เมื่อกินซาลาเปาสองลูกใหญ่จนหมดก็รู้สึกอิ่มมาก เพราะร่างกายเด็กสิบขวบคงรับได้ต่อมื้อไม่เกินนี้
เมื่ออิ่มแล้วก็เดินสำรวจตลาดต่อจนเดินทั่วไปทั้งตลาดและได้ของกินมาหลายอย่างที่สามารถเก็บไว้เป็นเสบียงได้ เขาสามารถเอาความรู้นำมาประมวลสรุปได้ตามที่เขาสันนิษฐานไว้จริงๆ ก็คือค่าครองชีพด้านอาหารจะถูกกว่าด้านของใช้ เช่นกระเป๋า เครื่องประดับและเสื้อผ้า แต่พวกงานฝีมือเกี่ยวกับไม้เขายังไม่เจอแต่เขาว่าราคาก็คงสูง
“คืนนี้นอนโรงเตี๊ยมละกัน”
โม่ฟินเดินสำรวจตลาดจนแดดเริ่มหมดก็รู้ว่าเย็นแล้ว เขาจึงต้องหาที่พักแรม และเขาก็เลือกโรงเตี๊ยมที่ขนาดไม่ใหญ่มากไว้ เขาสังเกตการตบแต่งและจำนวนคนเข้าใช้ ก็เลือกโรงเตี๊ยมนี้ที่ไม่เก่ามากและมีคนใช้บริการหลักสิบคน เขาเดินเข้าไปหาพนักงานต้อนรับที่อยู่ตรงที่น่าจะเป็นโต๊ะไม้ยาวรับลูกค้า เขาคิดเรื่องที่จะอ้างไว้แล้ว ก็ไม่พ้นคุณปู่ที่ไม่มีตัวตนของเขา
"ข้ามาเช่าห้องขอรับ"
“คุณชายต้องการเช่าห้องงั้นหรือ”
“ใช่ ข้าต้องการพักหนึ่งคืน”
“ไม่ทราบว่ากี่ท่าน”
เด็กชายที่ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อสนทนากับเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งและรู้ว่าเขาสุภาพไม่เหยียดลูกค้า จากการที่เรียกเขาว่าคุณชายทั้งที่เขาเนื้อตัวมอมแมมจนจะเหมือนคนไร้บ้านอยู่แล้ว แต่น้ำเสียงที่ใช้คุยกับเขาก็ไม่ได้มีความไม่พอใจแต่อย่างใด และก็ถูกปรับลงให้เหมาะกับเด็กแบบเขา
“ข้ามารอท่านปู่ที่นี่ ท่านปู่บอกให้ข้ามาพักที่โรงเตี๊ยมชื่อนี้ท่านเคยมาพักที่นี่แล้วบอกข้าว่าดี”
“งั้นหรือ ได้ พักหนึ่งคืนตามข้ามาเลย”
เด็กชายเดินตามเขาไปยังห้องพักห้องหนึ่ง
“มีน้ำให้อาบหรือไม่ขอรับ หรือว่าคิดเงินเพิ่ม”
“มีให้ เป็นบริการอยู่แล้วไม่คิดเงินเพิ่ม ข้าจะให้คนนำมาให้นะคุณชาย”
“ขอบคุณพี่ชายมาก”
“ไม่เป็นไร”
เสี่ยวเอ้อยังพูดจากับเขาสุภาพเหมือนเดิม เขาจึงคิดว่าคนที่นี่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเขาในยามวิกาลแน่ๆ จึงเบาใจได้ โม่ฟินขึ้นไปนอนรอน้ำอาบบนที่นอน จนเกือบจะเผลอหลับไปก็ได้ยินเสียงขออนุญาตจากหน้าห้องว่าเอาน้ำอาบมาให้ เขาจึงรีบปลุกร่างกายตัวเองอนุญาตให้เข้ามาได้
เด็กชายมองเสี่ยวเอ้อสองคนนำอ้างน้ำขนาดไม่ใหญ่มากเข้ามา เขาลองสังเกตดูก็รู้ว่ามันขนาดพอๆ กับตัวเขาเลย
‘ที่นี่ใส่ใจลูกค้าจริงๆ’
“คุณชายจะให้ข้าช่วยหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งที่ดูมีอายุน่าจะสี่สิบกว่าๆ เอ่ยถามเขาที่ยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เตียงนอน
“ไม่เป็นไร ข้าอาบเองได้”
“มีเรื่องอันใดเรียกได้ตลอดนะคุณชาย”
เสี่ยวเอ้อทั้งสองคนพูดขึ้นก่อนจะเดินออกไป โม่ฟินลุกขึ้นหาวหวอดๆ ไปที่ถังอาบน้ำ เขาค่อยๆ ถอดชุดออกทีละชิ้นและจดจำเข้าไปในหัวด้วย และจากพรที่ได้มาจึงทำให้เขาจำได้ไม่ลืมอีกว่าโลกนี่แต่งกายอย่างไร
พรึบ พรึบ
เด็กชายสะบัดชุดไปมา พอเขาสะบัดแต่ละครั้งก็จะมีฝุ่นฟุ้งออกมาทุกครั้ง
“ใส่ไปก่อนละกันพรุ่งนี้ค่อยไปซื้อใหม่”
โม่ฟินสะบัดชุดเสร็จแล้วก็ตากไว้บนราวไม้ เขาพาตัวเองลงไปแช่น้ำในถัง ทำความสะอาดทั้งผมและร่างกาย เด็กชายขัดใจนิดหน่อยที่ไม่มียาสระผมให้ เขาจึงใช้แค่น้ำล้างทำความสะอาดผม ส่วนที่ตัวทางโรงเตี๊ยมไม่มีสบู่เช่นกัน แต่มีใยสำหรับขัดตัวให้ ร่างกายเขาจึงสะอาดได้มากขึ้นกว่าการอาบน้ำเฉยๆ
โม่ฟินใช้เวลาในการอาบน้ำนานพอสมควร เขาขัดจนผิวที่ดูหมองคล้ำมอมแมมกลับมาขาวใสสะอาดดังเดิมที่ควรเป็น เขานั่งเล่นอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เขาจึงหาอะไรทำทดลองไปเรื่อยๆ เช่น เขาทดสอบดูว่ากระเป๋าสุดที่รักมันสามารถจะอ้ากว้างได้แค่ไหนเพราะรูปทรงของมันไม่ต่างไปจากเมื่อตอนอยู่โลกก่อนที่เคยเป็นสี่เหลี่ยม แต่ตอนนี้มีลักษณะเหมือนถุงเฉียนคุณในหนังจีนที่เขาเคยดู เขาอ้าปากกระเป๋าออกแล้วกะระยะดู ได้ค่าประมาณออกมาคือเกือบ20เซนติเมตรได้ มันสามารถพอที่จะใส่หนังสือหรือสมุดลงไปได้ แต่ของที่ใหญ่กว่านั้นคงต้องขอบาย แต่ถึงยังไงเขาก็มีเงินมากพอที่จะซื้อของที่เขาใส่ลงไปไม่ได้อยู่ดี
“คนมันรวยนี่เนอะ”
โม่ฟินนอนคุยกับตัวเองอยู่บนเตียง พรุ่งนี้เขามีแผนว่าจะไปทำอะไรหลายๆ อย่างเลย แต่สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดก็คงเป็นบ้านสักหลังที่ให้เขาอยู่อาศัยไปได้หลายๆ ปี จนกว่าเขาจะโตมากกว่านี้ แต่ติดปัญหาเดียวคือเขาเป็นเด็ก จะมีคนบ้าบอที่ไหนขายบ้านให้เด็กแบบเขาถึงจะมีเงินมากมายแค่ไหนก็ตาม จะหาคนช่วยแต่ตอนนี้เขาก็ไม่รู้จักใครเลย ถึงจะรู้แต่เขาก็ไม่กล้าไปขอให้ช่วย คงต้องรอดูว่าพรุ่งนี้เขาจะมีโชคอยู่มากน้อยแค่ไหน
หรือไม่งั้นเขาจะอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยเมื่อโลกก่อน ซึ่งก็คือบ้านเด็กกำพร้าแต่ที่นี่คงเป็นที่พักพิงของคนไร้บ้าน แค่มีที่ซุกหัวนอนก็พอ จนกว่าจะตัวโตกว่านี้ คงประมาณสองปีสามปี แต่ไม่เป็นไรถือว่าทำบุญด้วย ถ้าเขาต้องไปอยู่ที่พักพิงคนไร้บ้านจริงๆ เขาจะไปทำให้ที่นั่นดีขึ้นด้วย
ยามเช้ามาเยือน แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างที่มีเพียงผ้าม่านบางๆ กั้นไว้ โม่ฟินค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วมองสำรวจรอบๆ ดูเหมือนเขาจะอยู่ที่เดิม ร่างกายอยู่ดี สุดที่รักอยู่ดี ไม่มีข้าวของอะไรเคลื่อนย้าย เมื่อคืนคงไม่มีใครเข้ามาในห้องของเขาแน่นอน เขาลุกเดินไปยังประตูห้อง เขาค่อยๆ เปิดออกแล้วมองสำรวจข้างนอกโดนยื่นหัวออกไปมอง
“คุณชายน้อยตื่นแล้วหรือ รับน้ำล้างหน้าหรือไม่”
โม่ฟินได้ยินเสียงทักขึ้นจึงหันไปดูก็เจอกับเสี่ยวเอ้อคนเดิมที่พาเขามาห้อง เขาถามเรื่องน้ำล้างหน้า เด็กชายที่ยังสะลึมสะลืออยู่จึงพยักหน้าตอบไป เรียกรอยยิ้มจากเสี่ยวเอ้อได้
“รอสักครู่นะขอรับ”
เสี่ยวเอ้อพูดแล้วเดินจากไป ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็เดินเอาน้ำมาให้เขาล้างหน้า โม่ฟินเอ่ยขอบคุณแล้วไปล้างหน้าล้างตา เขาจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย สำรวจในห้องว่าไม่ลืมอะไรไว้หรือมีอะไรเสียหาย เขาเดินไปข้างล่างเพื่อไปแจ้งออก เสี่ยวเอ้อคนเดิมยังบริการเขาดีเหมือนเดิม แถมยังเอ่ยชมว่าเขาทำความสะอาดร่างกายแล้วดูดีขึ้น เขาจึงทำตัวเป็นเด็กให้น่ารักสมวัยด้วยการเอ่ยขอบคุณแล้วยิ้มไปให้
เขาเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม เดินไปหาร้านขายเสื้อผ้า ที่ชื่อว่าแพรพรรณชั้นดี ครั้งแรกที่เขาเห็นป้ายร้านนี้ก็ตลกนิดหน่อยที่เขียนตรงดีมาก แต่พอเขานึกขึ้นมาได้ว่าเขาอ่านตัวหนังสือบนป้ายเข้าใจ เขาก็ตกใจปนดีใจออกมา เขามองเห็นว่าป้ายร้านเขียนด้วยตัวหนังสือที่เขาไม่เคยเห็น แต่ทำไมเขาสามารถอ่านมันออกได้ล่ะ หรือว่ามันเป็นอีกหนึ่งในพรเทพที่เขาขอมา
ดังนั้นเมื่อรับรู้ถึงสิ่งนี้ของตัวเอง เป้าหมายที่สองที่เขาจะไปก็คือร้านขายหนังสือ เขาจะใช้พรเทพที่สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้ขึ้นใจเพียงอ่าน ดู ฟัง แค่ครั้งเดียวให้เกิดประโยชน์
โม่ฟินเดินเข้าไปในร้านแพรพรรณเพื่อซื้อเสื้อผ้า เขาเดินเข้าไปเพียงไม่นานก็มีพนักงานออกต้อนรับ
“คุณชายน้อยอยากได้ชุดหรือผ้าแบบไหนหรือ”
“สวัสดีพี่สาว ข้าอยากได้ชุดขนาดข้าสองชุด ไม่ทราบว่าพี่สาวมีหรือไม่”
“มีแน่นอน คุณชายรูปงามเชิญตามมาทางนี้”
โม่ฟินรู้สึกเขินนิดที่ที่โดนชมอีกแล้ว สงสัยเขาต้องทำอะไรสักอย่างกับใบหน้านี้แล้ว การที่เขามีใบหน้าที่เด่นเกินไปจะไม่ดีต่อการใช้ชีวิตในอนาคต เขาเก็บความคิดเรื่องหน้าตาเข้าไปในมุมหนึ่งของสมองก่อน ตอนนี้เขาซื้อเสื้อผ้าใส่ก่อนดีกว่า เขาเดินตามพนักงานสาวของร้านไปจนเจอกับชุดไซต์เขาทั้งชายและหญิงวางอยู่
“คุณชายต้องการสีและลวดลายแบบไหนเป็นพิเศษหรือไม่ ร้านของเรามีให้เลือกมากมาย”
“เอาสีเข้มสองชุด สีน้ำเงินกับสีดำ”
“ได้”
โม่ฟินส่งยิ้มให้กับพนักงานสาวที่กำลังจัดชุดให้เขา เขารู้สึกดีที่เธอไม่ถามอะไรให้มากความ เขามองดูคุณภาพของผ้าของร้านก็ได้ว่าร้านนี้เป็นร้านขนาดกลาง เนื้อผ้ามีหลายแบบผ้าเนื้อหยาบมากๆ จนถึงผ้าเนื้อดี ลวดลายและสีสันก็ถือว่าโอเค
“พี่สาว ข้าเอาชุดนี้อีกหนึ่งตัว มีห้องให้ข้าเปลี่ยนชุดหรือไม่”
“เชิญคุณชายทางนี้”
โม่ฟินเดินตามพนักงานสาวไปจนถึงห้องเปลี่ยนชุด แล้วก็ลงมือเปลี่ยนชุดที่เขาเลือกมา ชุดที่เขาเลือกมาเป็นสีน้ำตาล ถึงแม้จะมีเสื้อตัวนอกคล้ายกระโปรงเหมือนกันแต่ข้างในก็เป็นกางเกง เขาเปลี่ยนทรงผมเป็นมัดผมครึ่งหัวด้วยเพื่อให้ดูเป็นเด็กผู้ชายมากขึ้น เพราะตอนนี้เขายังเด็กผู้คนยังแยกไม่ออกว่าเขาเป็นหญิงหรือชายกันแน่
เขาเดินออกมาจ่ายเงินค่าเสื้อผ้า พนักงานสาวที่เห็นรูปโฉมใหม่ของโม่ฟินก็ยังเอ่ยชมเหมือนเดิมว่าเขาดูดีมากๆ พร้อมรอยยิ้ม เขาจ่ายค่าชุดไปทั้งหมดสามตัวในราคา5เหรียญเงินกับอีก20เหรียญทองแดง ถือว่าแพงอยู่พอตัว แต่เนื้อผ้าก็นุ่มลื่นเป็นผ้าเนื้อดีขึ้นมา แต่เขาไม่กังวลเรื่องเงิน เขาจะนำเสื้อผ้ามาฟาร์มด้วยและเก็บรักษาไว้ในสุดที่รัก เขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าไปอีกสองสามปี
“จะใส่ได้ไหมนะ”
โม่ฟินหยิบห่อผ้าออกมาจากร้านแล้วหาที่ลับตาคน เขานำชุดที่ซื้อมาออกดู มันใหญ่มากไม่รู้จะใส่เข้าไปในกระเป๋าวิเศษได้ไหม คงต้องม้วนให้เป็นทรงกระบอกเล็กๆ ที่สุดแล้วใส่ไปในกระเป๋าวิเศษได้ พอม้วนเสื้อหนึ่งตัวเสร็จแล้วกำลังลองยัดดู
“เข้าเถอะนะ สำเร็จเถอะนะ เฮ้ยยย เกิดอะไรขึ้นอ่ะ”
เด็กชายที่กำลังจะยัดเสื้อลงกระเป๋า เขาขยับเสื้อเข้าไปใกล้ปากกระเป๋าเรื่อยๆ ขณะที่ใจและปากกำลังภาวนาให้สำเร็จและพอเสื้อถูกปากกระเป๋า ทันใดนั้นเสื้อก็หายแว๊บจากมือของเขาไป เรียกอาการตกใจจากเขาจนร้องออกมาเสียงดัง โม่ฟินมองมือตนเองที่ว่างเปล่าสลับกับกระเป๋าสุดที่รักที่ว่างอยู่
“หรือว่า…..”
เด็กชายมีความคิดเข้ามาในหัว เขาเคยดูซีรี่ย์จีนเกี่ยวกับกำลังภายในมา มันจะมีกระเป๋าที่เรียกว่าถุงเฉียนคุณที่สามารถใส่สิ่งของเขาไปได้ด้วยกำลังภายในและนำออกมาได้เพียงนึกถึง โม่ฟินที่คิดได้ดังนั้นเขาจึงคิดจะลองบ้าง เขาตั้งสมาธิแล้วนึกถึงเสื้อที่ถือเมื่อกี้
พรึบ
“ออกมาจริงๆ ด้วย”
โม่ฟินพูดออกมาอย่างดีใจ เสื้อตัวที่เขาจะใส่ลงในกระเป๋าออกมาตามความคิดเขาจริงๆ ด้วย ตลอดที่ผ่านมาเขาใช้การล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วค่อยคิดมาตลอด จึงไม่เคยทดลองแบบนี้ นี่อาจเป็นเพราะว่าเขาคิดในใจว่าอยากใส่มันลงไปมันเลยแว๊บเข้าไปในกระเป๋าให้
“ลองอีกที”
เขาวางเสื้อที่เรียกออกมาไว้ แล้วเรียกออกมาใหม่อีกที
พรึบ
“ว๊าวววว สุดยอดเล๊ยยยยย”
เขาร้องด้วยความดีใจอย่างนี้เขาสามารถจะใส่ทุกอย่างที่อยากได้ลงในกระเป๋าได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงขนาดแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบสุดที่รักของเขาใบนี้ก็เปรียบเหมือนถุงมิติในหนังแต่ต่างที่กระเป๋าเขานั้นมีสกิลพิเศษด้วย
ภารกิจแรกผ่านไปอย่างสมบูรณ์ไม่มีใครสังเกตอะไรผิดปกติหรือปฏิบัติไม่ดีกับเขา ทุกอย่างจึงผ่านไปอย่างราบรื่น เป้าหมายที่สองก็คือร้านขายหนังสือ เขาตรงเข้าไปในร้านด้วยคราบของคุณชายคนหนึ่ง ตอนที่เขาเดินผ่านพนักงานที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน ที่เพียงมองมาแต่ก็ไม่ได้สนใจหรือออกมาไล่แต่อย่างใด เขาจึงเดินสำรวจหาหนังสือที่เขาต้องการทันที เขาหยิบหนังสือที่เขาต้องการมาถือไว้ เช่นหนังสือหัดเขียนตัวอักษร หนังสือเกี่ยวกับมารยาทการพูด หนังสือประวัติศาสตร์บ้านเมือง หนังสือพันธุ์พืช หนังสือเกี่ยวกับพลังพิเศษ จากที่เขาเดินดูหาหนังสือที่เขาอยากจะเรียนรู้ต่างๆ เขาก็เห็นว่าร้านหนังสือแห่งนี้มีหนังสือหลากหลายมากมาย
เด็กชายเดินหอบหนังสือที่เล่มหนาพอตัวไปยังที่คิดเงินแต่ด้วยความสูงของโต๊ะคิดเงิน เขาจึงวางหนังสือทีละเล่มขึ้นไปบนที่คิดเงิน โดยมีพนักงานคอยช่วย พอวางครบหมดแล้ว เขาก็ถอยหลังมาสองก้าวเพื่อมองหน้าคนขายได้ชัดๆ เพราะเขาต้องการของอย่างอื่นอีก
“มีสมุดกับพู่กันขายหรือไม่ขอรับ”
“มีแน่นอนคุณชาย สมุดจดมี3ขนาดเล็กกลางใหญ่ พู่กันพร้อมหมึกราคา1เหรียญเงิน”
“ข้าเอาสมุดอย่างละเล่ม พู่กันกับหมึก1ชุด”
เขาพูดสั่งสิ่งที่ต้องการด้วยท่าทีเป็นมิตร
“ได้แล้ว ทั้งหมด20เหรียญเงิน”
เมื่อได้ยินราคาก็นำเงินที่ยังมีอยู่ในกระเป๋าเงินส่งให้คนขายทันทีแบบไม่อิดออด แล้วรับของที่ถูกห่ออย่างดีมาถือไว้แล้วเดินออกจากร้านไป แล้วทำแบบเดิมหาที่ลับตาคนแล้วเก็บของลงในกระเป๋าสุดที่รักทั้งหมด
**********************
ความคิดเห็น