ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่พร้อมกระเป๋าสุดวิเศษ[Yaoi](มีอีบุ๊ก)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่2 เกิดใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 66


     

    "ห๊าา"

    เสียงอุทานของคนที่ยืนมุ่งดูส่งเสียงออกมาและมีเสียงพูดคุยตามมาจนเป็นเสียงงึมงำไปหมด

    "ผู้ตายมีของอะไรติดตัวบ้าง"

    "ไม่มีกระเป๋าอะไรเลยครับ...เดี๋ยวครับ ผมเจอแล้วครับ กระเป๋าเงิน มีบัตรด้วยครับ"

    "โอเค เอามาด้วย ไว้ติดต่อกับญาติผู้ตาย"

    กริฟฟินไม่สนใจคำพูดของคนอื่นเขาสนใจเพียงทีมกู้ภัยที่ตรวจร่างของเขา และประโยคที่บอกว่าไม่มีกระเป๋าอะไรเลย แล้วกระเป๋าเงินอะไรนั้นมาได้ไง เขามีกระเป๋าผ้าที่พึ่งซื้อมาใบเดียว แต่ที่กู้ภัยเจอมันไม่ใช่ใบนั้น ยิ่งทำให้เขาตกใจมาก จะไม่มีได้ไงก็เขานำมันมาด้วย

    'เนี่ย ยังถืออยู่เลย'

    วิญญาณหนุ่มคิดตามที่ได้ยินมา แต่ก็ต้องตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าร่างวิญญาณของเขายังถือกระเป๋าของเขาอยู่เลย และเขามั่นใจว่าไม่มีใครหยิบมันไปแน่ เพราะเขาก็อยู่ข้างร่างกายตัวเองตลอดเวลาไม่มีใครจับตัวอะไร นอกจากป้าที่มาดูเขาคนแรก ส่วนคนอื่นทำเพียงมุงดู ไหนจะกระเป๋าปริศนานั่นอีก อยู่ๆ ก็มาอยู่ในตัวเขาได้ไง

    เขามองร่างกายของเขาที่ถูกนำขึ้นรถไป และรถพยาบาลก็ค่อยๆ หายไปจากสายตา ผู้คนที่เคยมุงดูก็หายไปแล้ว มีเพียงเขาที่ยังยืนอยู่ที่เดิมและไม่มีใครเห็น

     

    วืดดดดด

    ไม่นานเขาก็รู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลที่ดูร่างโปร่งแสงของเขาให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ และสติก็ดับวูบไปอีกครั้ง

     

    “มาแล้วสินะ เป็นอย่างไรบ้างหนุ่มน้อย”

    ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายดังขึ้นข้างหน้าเขา เขากะพริบตาปรับโฟกัสมองไปรอบๆ เขาเห็นบรรยากาศรอบตัวก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่บนฟ้า รอบตัวเขามีแต่ก้อนเมฆปุยๆ เป็นก้อน แม้แต่สิ่งที่เขานั่งและเหยียบอยู่ก็เป็นก้อนเมฆ เขาเงยมองชายวัยกลางคนชุดขาวทั้งตัวข้างหน้า ชายชุดขาวฉีกยิ้มให้เขาอย่างใจดี

    “ไม่ต้องตกใจ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ปล่อยตัวตามสบาย”

    “คือ ที่นี่ที่ไหนหรอครับ ผมตายแล้วไม่ใช่หรอครับ”

    “ใช่เรื่องนั้น ข้าเองก็มีส่วนผิดด้วย คือว่ามัน…”

    “มาแล้วๆ ข้ามาแล้วๆ”

    เขาที่กำลังจะฟังผู้ชายข้างหน้าเขากำลังจะอธิบายบางอย่าง แต่เสียงใสของผู้หญิงก็ดังขึ้นมาขัดซะก่อน เขามองตามไปหาต้นเสียงก็เจอกับผู้หญิงผมยาวชุดขาวเหมือนกับผู้ชายข้างหน้าเขากำลังลอยตัวเข้ามา ใช่ ลอยตัวมา เขายกมือขึ้นมาขยี้ตาอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าเขามองไม่ผิด แต่สิ่งที่ได้ก็คือเขามองไม่ผิดจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นลอยเข้ามา แล้วเดินมานั่งข้างผู้ชายตรงหน้าเขาช้าๆ อย่างเรียบร้อย จึงทำให้สามารถสำรวจใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ และเขาก็ต้องเบิกตากว้างว่าผู้หญิงตรงหน้าคือคนเดียวกับคุณป้าที่แทนตัวเองว่ายายที่ขายกระเป๋าที่วางอยู่ในมือของเขาตอนนี้

    “คุณ คุณคือคุณป้าที่ขายกระเป๋าให้ผม”

    “แหม่ ป้าเป้ออะไร ข้าน่ะเป็นยายแล้ว ไม่ต้องยอข้าหรอก”

    กริฟฟินอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเอง เมื่อผู้หญิงคนนั้นยังแทนตัวเองว่ายายต่อแม้เขาจะแก้ให้แล้ว

    “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ผมงงไปหมดแล้ว”

    “เฮ้ออ เรื่องมันยาวนะหนุ่มน้อย”

    “ยาวเยอวอะไรกัน เจ้าผิดก็บอกความผิดไปตามตรงสิ”

    เขามองชายหญิงเถียงกันไปมาตรงหน้า พวกเขาเหมือนเป็นคู่สามีภรรยากันเลย

    “ก็ได้ๆ หนุ่มน้อย มันเป็นความผิดพลาดของข้าเอง ข้าตัดเส้นชีวิตของเจ้าผิด ทำให้เจ้าตายก่อนหมดอายุขัย เป็นความผิดของข้าเอง ยกโทษให้ชายแก่คนนี้ด้วยนะหนุ่มน้อย”

    “คือผม…ไม่”

    “ใช่ไม่ต้องไปยกโทษให้เขา โกรธเขาไปเยอะๆ”

    “โถ่ อย่าซ้ำเติมกันเลย”

    ชายชุดขาวทำท่ารู้สึกผิดมากๆ ทำให้เขาเองก็รู้สึกสงสารท่านลุงชุดขาวด้วย เขากำลังจะบอกไปว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรเขา ถึงยังไงเขาก็ไม่มีห่วงอะไร ถึงจะไม่ได้มีชีวิตต่อแล้วก็ไม่เป็นไร

    “ไม่ต้องเศร้าหรอกครับ ผมไม่โกรธอะไรคุณหรอกครับ ผมโอเคดี สบายมาก”

    “จะสบายได้ไง เจ้าตายแล้วนะ เจ้ายังไม่ได้ใช้ชีวิตเลย ที่ข้าให้กระเป๋าใบนั้นไปก็เพื่อให้เจ้าได้ใช้ชีวิตดีๆ สักที แต่นี่อะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ต้องมาตายโดยที่ยังไม่ถึงเวลาแบบนี้”

    ดูเหมือนคุณป้าคนขายกระเป๋าให้เธอจะไม่ยอมง่ายๆ และสิ่งที่เธอพูดบอกก็ทำให้รู้ว่ากระเป๋านี้คุณป้าตั้งใจให้เขา ความวิเศษของมันก็เพื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตดีๆ เหมือนคนอื่นๆ

    “ผมขอบคุณมากจริงๆ ครับ แต่ผมยืนยันคำเดิมว่าไม่โกรธอะไร”

    เขาพูดพร้อมส่งยิ้มไปให้ชายหญิงตรงหน้า เรียกรอยยิ้มจากทั้งคู่ได้

    “ช่างจิตใจดียิ่งนัก ไม่ผิดที่ข้าเอ็นดูเจ้า”

    “ช่างจิตใจประเสริฐนัก"

    ชายหญิงชุดขาวพูดออกมาพร้อมกัน เรียกรอยยิ้มจากกริฟฟินให้กว้างขึ้นเป็นเชิงขอบคุณสำหรับคำชม

    “จะรับผิดชอบยังไง ข้าไม่ยอมนะ ถ้าให้เจ้าหนูไปเร่ร่อนไปมาจนหมดอายุขัย”

    ชายหนุ่มที่ไม่โกรธหรือเอาความอะไร แต่ไม่ใช่กับคุณป้าที่ยังเรียกร้องให้อยู่

    “ได้ๆ ข้าจะให้เจ้าหนูไปเกิดใหม่ที่อีกโลกหนึ่ง”

    “ครับ!? …เกิดใหม่!? …อีกโลก!?”

    กริฟฟินอุทานออกมาทวนคำที่เขาพึ่งได้ยิน

    “ใช่ หนุ่มน้อย ไปเกิดใหม่ ข้าจะให้เจ้าได้ไปใช้ชีวิตที่นั่นจนกว่าจะหมดอายุขัยเจ้าจริงๆ ตกลงไหม”

    ชายชุดขาวพูดบอกแต่ประโยคหลังรู้สึกว่าชายชุดขาวไม่ได้พูดกับเขา แต่หันไปหาคุณป้าแทนด้วยคำของโลกมนุษย์ที่หญิงสาวชอบลงไปบ่อยๆ

    “ไม่โอเค มันยังน้อยไป เจ้าควรจะให้อะไรเจ้าหนูติดตัวไปด้วย”

    “ก็ได้ๆ งั้นข้าให้เจ้าเอากระเป๋าใบนั้นไปด้วย”

    ชายหนุ่มก้มมองกระเป๋าใบที่อยู่ในมือ เขาทบทวนดู ก็ถือว่าโอเคมากๆ ถ้าให้เขาเอากระเป๋าไปได้

    “ไม่นับ ยังไงข้าจะให้เจ้าหนูเอากระเป๋าไปด้วยอยู่แล้วเพราะมันเป็นของเขาแล้ว”

    “ถ้างั้นข้าจะให้เจ้าหนูขอพรมาข้อหนึ่งก็ได้…สองก็ได้….โอเคๆ สามข้อ มากสุดแล้วนะ”

    กริฟฟินที่มองสองคนตรงหน้าคุยกันเรื่องเขา โดยมีคุณป้าคอยกดดันคุณลุงชุดขาวตลอด

    “เอ้าเจ้าหนู ขอมาได้เลย”

    “แต่ว่าผมไม่….”

    เขาที่จะเอ่ยปฏิเสธแต่พอเห็นสายตาจากคุณป้าที่มองมาก็ทำให้เขากลืนคำปฏิเสธลงไปในคอ

    “งั้นผมขอให้สามารถจดจำสิ่งที่อ่าน ฟังหรือพบเห็นได้ขึ้นใจไม่มีลืมครับ”

    ชายหนุ่มคิดว่าพรข้อนี้จะมีประโยชน์กับเขามากในหลายๆ เรื่อง เพราะเขาไม่รู้ว่าโลกใหม่ที่จะไปมันเป็นอย่างไร

    “อืม เรียบร้อย”

    เขามองคุณลุงชุดขาวที่ยกมือขึ้นแล้วโบกผ่านอากาศไปหนึ่งที โดยไม่ต้องคิดอะไร ก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาว่าทำไมให้ง่ายจัง

    “ผมขอถามได้ไหมครับว่าเมื่อไปเกิดใหม่จะเป็นทารกหรือว่าโตแล้วครับ”

    เขาถามออกไป เขาเคยอ่านนิยายแนวเกิดใหม่มาบ้างตามที่เพื่อนผู้หญิงในที่ทำงานแนะนำมา บางเรื่องเกิดใหม่เป็นทารกจึงทำให้เหมือนกลายเป็นทารกมหัศจรรย์ บางเรื่องก็ไปเกิดในร่างคนอื่นก็ต้องพยายามรักษาความลับไม่ให้แตกว่าไม่ใช่เจ้าของร่าง

    “เรื่องนั้น เจ้าเลือกเองก็ได้ ข้าจะทำให้”

    “นับเป็นคำขอไหมครับ”

    กริฟฟินถามออกไป เรียกรอยยิ้มและมือของคุณป้าชูนิ้วโป้งให้เขา

    “เจ้าหนู เจ้าเองก็ฉลาดไม่เบา ข้าเชื่อว่าชีวิตใหม่ของเจ้าต้องดีมากแน่ๆ ข้าให้เลยไม่นับเป็นพรละกัน”

    “ขอบคุณครับงั้นผมขอไปเกิดใหม่ในร่างที่อายุประมาณสิบปีครับ”

    “ไม่เด็กไปรึ แต่ก็ได้ …พรึบ”

    ชายหนุ่มที่ขอพรมองลุงชุดขาวที่รับคำแล้วยกมือขึ้นมาโบกอีกครั้ง

    “เหลืออีกสองข้อเจ้าหนู เจ้าจะขออะไรดี”

    “จริงๆ แค่นี้ก็พอแล้วนะครับ ผมไม่รู้จะขออะไรอีก”

    “ก็ขอสิ่งที่โลกที่จะไปเกิดมีกันปกติ แต่ให้ขอให้ดีมากขึ้น ว่าไงตาแก่ โลกนั้นเป็นยังไง”

    “โลกนั้นรึ ก็มีพวกพลังพิเศษปกครองโลก ใช่ หนุ่มน้อย ขอพลังพิเศษมาสิ ข้าจะดลให้เจ้า”

    “พลังพิเศษหรอครับ…”

    เขานึกพลังพิเศษตามที่ชายชุดขาวบอกมา เขาเคยดูหนังมาและชอบอยู่หนึ่งพลังซึ่งก็คือพลังเกี่ยวกับธาตุและพืช

    ‘ดีๆ จะได้ทำเกษตรได้ง่ายๆ’

    กริฟฟินคิดในใจถึงประโยชน์ของพลังพิเศษที่เขาอยากได้ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคนสองคนข้างหน้าเขาได้

    “ฮ่าๆๆๆ /หึหึหึ”

    เขามองสองคนตรงหน้าที่กำลังหัวเราะ คุณป้ายกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากไว้ ส่วนชายชุดขาวหัวเราะอย่างเต็มปากเต็มคำมาก เขาจึงส่งหน้าบูดบึ้งออกไปทันที ทำไมต้องหัวเราะเขาด้วย จะว่าไปเขาก็พึ่งจะสังเกตว่าชุดที่ทั้งคู่ใส่เป็นชุดคล้ายกับคนจีนโบราณที่เห็นในซีรี่ย์บ่อยๆ เลย

    “สรุปเจ้าอยากได้พลังอะไรหนุ่มน้อย”

    “ผมอยากได้พลังเกี่ยวกับธาตุ แล้วก็เกี่ยวกับพืชครับ ผมเลือกอันไหนดี"

    “เจ้าคงหมายถึง พลังธาตุกับพฤกษาสินะ เจ้าต้องการอันไหนล่ะข้าจะดลให้”

    “จะเลือกทำไม เจ้าก็ให้เจ้าหนูไปสองอย่างเลย...ทำไม....มองข้าทำไม แค่นี้ทำไม่ได้รึ”

    คุณป้าพูดขึ้นมาทำให้ชายที่จะให้พรเขาหันไปจ้องเธอ แต่เธอก็ไม่กลัวและยังพูดท้าทายเขาด้วย

    “ได้อยู่แล้ว ข้าทำได้ทุกอย่าง เจ้าหนูถือว่าเจ้าโชคดี ข้าจะให้เจ้าทั้งสองพลัง จงใช้ให้ดี”

    “ขอบคุณครับ”

    “มานี่มาเจ้าหนู”

    กริฟฟินลุกเดินไปหาคุณป้าที่เรียกเขาไปหา เขานั่งลงข้างล่างข้างๆ คุณป้า

    “ไปเกิดใหม่ครั้งนี้ จงใช้ชีวิตให้มีความสุขนะรู้ไหม สิ่งที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ใช้กระเป๋าใบนี้อย่างมีสติ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำได้”

    “ขอบคุณครับ ผมจะมีสติอยู่ตลอดและใช้ชีวิตให้มีความสุขครับ”

    ชายหนุ่มที่ถูกลูบผมไปมาซุกหน้าไปกับหน้าขาของคุณป้าที่กำลังลูบผมของเขา เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งมา มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน จนไม่อยากจะออกห่างไปเลย

    “พรข้อสามของเจ้า ข้าจะมอบให้เลย ข้าจะให้เจ้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สง่าสมชายชาตรี ทุกคนต่างสยบต่อเจ้า”

    “ขอบคุณครับ แต่ผมฟังแล้วแปลกๆ ไงไม่รู้”

    “ข้าเชื่อว่าเจ้าจัดการได้ โชคดีนะหนุ่มน้อย”

    “โชคดีเจ้าหนู”

    ชายหนุ่มยังไม่ได้จะเอ่ยบอกลา ชายชุดขาวก็ยกมือขึ้นมาโบก จนร่างของเขาค่อยหายไป เขาจึงส่งรอยยิ้มให้พวกเขา

     

     

     

     

     

     

     

    ณ ซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งในหมู่บ้านค้ายิ่ง แห่งเมืองยี่

    ร่างของเด็กชายอายุประมาณสิบขวบนอนสลบอยู่ที่พื้น ร่างกายเปื้อนไปด้วยฝุ่นและดิน ใบหน้าเองก็เปรอะเปื้อนด้วยคราบดินและโคน เสื้อไม่ได้เก่าหรือขาดหลุดรุ้ยแต่ก็เปื้อนไปด้วยฝุ่นและดินจนบดบังความสวยงามดังเดิมของชุด ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินผ่านไม่สนใจร่างของเด็กที่นอนสลบอยู่ เพราะคิดว่าเป็นเพียงคนไร้บ้านที่อาศัยหลับนอนที่ตรอกนั้น

    “อืมม อื้อ”

    เสียงครางในลำคอบ่งบอกว่าร่างกายที่หลับใหลไปนานได้ตื่นขึ้นแล้ว ร่างเล็กค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ดวงตาที่ปิดไปนานเริ่มขยับ เปลือกตากะพริบขึ้นลงไปมาพร้อมศีรษะที่มองไปรอบๆ เด็กชายลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น หันมองบริเวณรอบๆ

    “ที่ไหนเนี่ย”

    เด็กชายที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเศษฝุ่นและดิน มองรอบๆ เขามองเห็นเพียงกำแพงข้างหน้าและข้างหลัง มีกองของซากอะไรสักอย่างอยู่ข้างๆ ที่เขานั่งอยู่ ดูดีๆ แล้วก็เป็นเหมือนกองของที่พังแล้วพวกโต๊ะเก้าอี้ต่างๆ เขานั่งอยู่ที่เดิมอยู่นานไม่ขยับตัวไปไหน เพราะในสมองเขากำลังประมวลผลต่างๆ เขามองสำรวจร่างกายของตัวเอง แขนขาขนาดเล็กลงเหมือนของเด็ก เสื้อผ้าที่ยาวและใส่ทับกันหลายๆ ชั้น ดูจากเสื้อผ้าแล้วเหมือนกับเขามาเกิดใหม่ที่โลกจีนโบราณเลย ที่เอวของเขามีบางอย่างแขวนอยู่ เขาจึงหยิบมาดู มันเป็นกระเป๋าผ้ารูปร่างเหมือนกระสอบใบเล็กๆ มีเชือกรูดเปิดปิด ขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ มีลวดลายเป็นดอกไม้ปักอยู่สิบดอกหลากหลายสีสัน จึงคิดว่ามันเป็นกระเป๋าวิเศษที่ติดตัวเขามาด้วยนั่นเอง

    “นี่มาเกิดใหม่ได้จริงๆ ด้วย สุดยอดเลยแฮะ”

    เด็กชายยิ้มออกมา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นออกจากร่างกาย เศษฝุ่นที่ถูกปัดฟุ้งกระจายออกมาเป็นจำนวนมากจนเขาต้องร้องอุทาน

    “ว๊าว ฝุ่นเยอะจัง นี่นอนหลับตรงนี้มากี่วันเนี่ย”

    เขายังพยายามปัดฝุ่นออกจากร่างกาย แต่เหมือนว่าพอเขาขยับร่างกายไปทางไหนฝุ่นก็ร่วงออกมาตลอด เป็นเหมือนว่าเขามีเอฟเฟคเป็นฝุ่นติดตัวอยู่ตลอดเวลา

    เด็กชายเดินออกจากตรอกไปตามทางที่เขาเห็นมีคนเดินผ่านไปมาหน้าตรอกที่เขาอยู่ เขาเดินไปเรื่อยๆ โดยใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะร่างกายไม่อำนวย ขาที่สั้นๆ ทำให้จะเดินหรือวิ่งลำบากแถมยังเหนื่อยมากกว่าเดิมด้วย

    “ว๊า คนเยอะจัง”

    เมื่อเดินออกมาถึงหน้าตรอกแล้วก็พบกับผู้คนคับคั่งเดินเบียดเสียดกันไปมา สองข้างทางมีแผงขายของอยู่เต็มทั้งถนน ดูเหมือนว่าเขาจะมาโผล่ที่ตลาด เด็กชายสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วออกเดินไปในฝูงชน

    เขารู้สึกได้ถึงข้อเสียของการมาเกิดเป็นเด็กแล้ว เมื่อต้องเดินผ่านฝูงชนไปมา บางคนที่เห็นเขาก็มีเบี่ยงหลบให้เขาบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสงสารเขาที่เป็นเด็กหรือรังเกียจเขา เพราะบางคนก่อนจะหลบก็ทำหน้าเหมือนว่าเขาเหยียบขี้หมามางั้นแหละ เขาเดินฝ่าฝูงชนมาสักระยะก็รู้สึกเหนื่อยมากเหมือนวิ่งมาราธอนมาหนึ่งชั่วโมงเต็ม เขาจึงหลบออกมาข้างทาง แล้วนั่งลงข้างร้านขายของร้านหนึ่งที่พอดีช่องว่างให้เด็กตัวเล็กๆ แบบเขานั่งลงไปได้

    เด็กชายที่กำลังย่อกายนั่งลงแต่เนื่องด้วยชุดที่เขาใส่ช่างรุ่มร่ามเสียเหลือเกิน ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าที่เขาเคยใส่ตอนโลกเก่าเลย ก่อนจะนั่งลงจึงต้องยกชุดตัวนอกที่เป็นเหมือนกระโปรงขึ้นแล้วแผ่ไปข้างหน้าก่อนจะนั่งลง จนเป็นเหมือนว่าข้างหน้าเขามีผ้าปูอยู่ เขานั่งพักไปเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าที่เหนื่อยจากการเดินฝ่าฝูงชน เขานั่งไปเรื่อยๆ นั่งฟังแม่ค้าข้างๆ พูดเรียกลูกค้าและขายของไปด้วย จนเขารับรู้ถึงวิธีการพูดของโลกนี้ ซึ่งเหมือนกับหนังจีนโบราณที่ใช้พูดกัน ซึ่งตัวเขามีสกิลเทพจึงสามารถเรียนรู้และพูดได้อย่างรวดเร็ว

     

    กริ้ง…

    เสียงของเหรียญตกกระทบพื้นดังขึ้นข้างหน้า เขาหันไปมองตามเสียงก็พบเหรียญสีทองแดงขนาดเท่าเหรียญบาทเมื่อโลกเก่าของเขา ตกอยู่ที่บริเวณชุดของเขาที่อยู่ข้างหน้าเขา

    “เดี๋ยวก่อน ท่านลุงทำเงินหล่น”

    เด็กชายเอ่ยเรียกและทำท่าจะลุกขึ้น โดยเก็บเหรียญนั้นมาถือไว้ในมือ แต่พอเขารีบที่จะลุกขึ้นยืนจึงทำให้เขาทับชุดของตัวเองอีกชั้นข้างในจนหน้าทิ่มลงไปกับพื้น จนเหมือนว่าเขาทำท่าคำนับขอบคุณไปไม่รู้ตัว

    “โอ๊ยยย เจ็บๆ ซวยอะไรแบบนี้”

    เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้งพร้อมจับไปที่หน้าผากของตัวเองที่โขกไปกับพื้นเต็มๆ

    กริ้ง…

    เขานั่งลูบหน้าผากไปไม่นาน เหรียญอีกอันก็หล่นมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหรียญที่ตกลงมาแตกต่างกับเหรียญเมื่อครู่ เพราะเป็นสีเงินและขนาดใหญ่กว่า

    “เดี๋ยวสิ ข้าไม่ใช่ขอทานนะ”

    เด็กชายโวยวายออกมาเมื่อจับใจความเรื่องราวของเหรียญที่ตกลงมาตรงหน้าของเขาได้แล้ว เขาลุกขึ้นยืนได้สำเร็จและทำท่าจะเดินตามคนที่พึ่งโยนเงินมาให้เขาไป แต่ก็มีเสียงผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยทักเขาขึ้นมาก่อน

    “อย่าตามไปเลย เขาให้เจ้าแล้วเจ้าก็รับไปเถอะ อย่าไปขัดน้ำใจใครเลยมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้”

    “แต่ว่าพี่สาว…ข้าไม่ใช่ขอทาน”

    เด็กชายมองคนที่พูดกับเขา จึงเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่ขายของอยู่ข้างๆ ที่ที่เขานั่งพัก ใบหน้าของหญิงสาวดูยังอายุไม่เยอะมาก เขาจึงเรียกอีกฝ่ายว่าพี่สาว และสามารถเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากหญิงสาวได้

    “ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ท่าทางของเจ้า ก็ต้องมีคนเข้าใจผิดกันบ้าง อย่าไปโกรธพวกเขาเลย”

    “ได้ ข้าจะไม่โกรธ”

    เด็กชายพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย แล้วเดินเข้าไปหาหญิงสาวมากขึ้น พร้อมมองเหรียญสองเหรียญในมือ เขาจึงคิดขึ้นมาได้ว่าหญิงสาวดูเป็นมิตรกับเขา งั้นเขาจะลองให้หญิงสาวสอนเขาเรื่องเหรียญที่อยู่ในมือ

     

     

     

    *************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×