คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่6 ค้นหาพลัง
โม่ฟินเดินเข้าไปในบ้าน มันเป็นบ้านที่มีเพียงอาคารเดียว เสาทำจากไม้ กำแพงทำจากอิฐและปูน หลังคาเป็นกระเบื้องแบบเก่าๆ ที่พื้นมีการเทปูนฉาบเรียบและขัดมันเขาเคยเห็นเหมือนที่โลกก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าโลกนี้เรียกการทำแบบนี้ว่าอะไร แต่ดูรวมๆ แล้วก็คงทนดี
เขาเปิดประตูบ้านที่ทำจากไม้เป็นบานเลื่อนซ้ายขวาเข้าไป ข้างในมีเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ว่างอยู่ พวกโต๊ะ เก้าอี้ บ้านนี้แบ่งเป็นห้องๆ อีกที รวมแล้วมีสามห้อง ซ้าย กลาง ขวา โดยใช้ไม้ทำเป็นกำแพงกั้น ตอนนี้เขายืนอยู่ห้องกลาง ซ้ายขวาเป็นอีกสองห้อง มีกำแพงและประตูปิดมิดชิด
เขาเลือกเดินไปทางซ้ายก่อน เขาเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับเตียงไม้มีฟูกเก่าๆ ปูไว้ และมีโต๊ะเครื่องแป้งด้วย เพราะว่าเป็นโต๊ะที่มีกระจกติดอยู่เขาจึงคิดว่ามันคือโต๊ะเครื่องแป้ง เด็กชายเดินเข้าไปส่องกระจกที่มีฝุ่นเกาะอยู่แต่ก็พอดูออกว่าเป็นกระจกทองเหลือง
“สมัยนี้คงยังไม่มีกระจกเงาสินะ แต่ไม่เป็นไรใช้ได้”
เด็กชายละสายตาไปยังของใช้ในบ้านอีกชิ้นที่เขาสนใจมากๆ ก็คือตู้เสื้อผ้า มันเป็นตู้ไม้เก่าๆ ฝุ่นเกาะ เขาเปิดประตูตู้ออกมาเพื่อดูสภาพข้างใน เขาเห็นผ้าพับไว้จำนวนสองผืนเขาเดาว่าคงเป็นผ้าห่ม ส่วนอย่างอื่นไม่มีเลย มีเพียงราวแขวนติดไว้ นอกจากผ้าสองผืนก็มีเพียงฝุ่นแต่ไม่เยอะเท่าภายนอก แปลว่าตู้นี้กันฝุ่นได้ระดับหนึ่ง
เขาเดินออกจากห้องนอน ไปยังอีกห้องที่อยู่ตรงข้าม เปิดเข้าไปก็เจอกับกำแพงดินสูงประมาณไหล่เขา เป็นเหมือนโต๊ะต่างระดับขึ้นมาจากพื้น เขาเดาว่าห้องนี้คงเป็นห้องครัว ข้างๆ มีที่สำหรับจุดไฟอยู่ด้วย เป็นเตาไฟทำจากดินมีช่องให้ใส่ฟืนเข้าไป แต่อุปกรณ์ทำอาหารไม่มีเลย แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะเขาไม่จำเป็นต้องทำอาหารก็ได้
เด็กชายเดินออกมาจากห้องครัว แล้วมองสำรวจภาพรวมของบ้านอีกครั้ง บ้านนี้มีของใช้ครบมากเลย แม้แต่โต๊ะที่อยู่ห้องตรงกลางก็ยังสภาพดีอยู่ เพียงแค่มีฝุ่นเกาะ เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมเจ้าของเก่าไม่นำไปด้วย หรือว่าเอาไปไม่หมด แต่ทำไมไม่มาขนทีหลัง หรือขายพร้อมกับบ้านด้วยเลย
“ช่างเหอะ มีบ้านดีๆ แบบนี้ก็ดีแล้ว คิดเยอะก็ปวดหัว ทำความสะอาดดีกว่า แต่…ทำยังไงล่ะ”
โม่ฟินที่คิดจะทำความสะอาด แต่เขาไม่เห็นไม้กวาดสักอันเลย ไม่ปัดฝุ่นหรือผ้าก็ไม่มี ที่ยากกว่าก็คือไม่มีน้ำ เพราะเขาไม่เจอห้องน้ำเลย เขาที่นึกได้จึงออกไปข้างนอกบ้าน เขาเดินลัดเลาะไปยังหลังบ้านและเจอเข้ากับตุ่มดินเผาสองใบสูงเกือบหนึ่งเมตร ใหญ่พอสำหรับเก็บน้ำได้ ตุ่มสองใบมีฝาปิดอยู่จึงทำให้ไม่รู้ว่ามีน้ำไหม เขาเดินไปใกล้แล้วเปิดฝาตุ่มดูทันที
“ว่างเปล่า ไม่แปลกใจเลย คงต้องหาตาน้ำให้เจอแล้วขุดบ่อน้ำไว้ใช้”
เมื่อได้วิธีการหาน้ำใช้แล้ว เหลือแต่ว่าเขาจะทำได้ไหม
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เอาวะ กินอิ่มก่อนค่อยลุยงาน”
โม่ฟินที่เริ่มหิวแล้วพูดกับตัวเอง แล้วนึกถึงของกินที่ซื้อในกระเป๋าสุดที่รักออกมากิน เขานั่งลงที่ข้างตุ่มน้ำกินของที่เอาออกมาแต่สายตาก็สำรวจหลังบ้านไปด้วย หลังบ้านของเขาเป็นพื้นที่โล่งกว้าง มีหญ้าขึ้นบ้างแต่ตายแล้วทั้งหมด ดินเองก็แห้งแตก มีต้นไม้ขึ้นอยู่สี่ห้าต้น แต่ก็ยืนต้นตายไปแล้ว ที่แห่งนี้คงขาดน้ำมานานมากๆ ฝนคงไม่ตกมานาน แต่เขาก็ไม่แปลกใจ ต้นไม้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ฝนตกได้ แต่พืชส่วนใหญ่ก็ทนแล้งไม่ได้ตายไปซะก่อน ฝนจึงเกิดขึ้นได้ยากกว่าเดิม แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกเหมือนเคย เขามีพลังเทพนะ แค่ต้องหาวิธีใช้มัน
เด็กชายกินน้ำเข้าไปจนดับกระหายได้ แล้วเก็บกระบอกน้ำลงกระเป๋าสุดที่รัก ปัดมือไล่เศษอาหารที่ติดมือออก แล้วเอาหนังสือเกี่ยวกับพลังพิเศษออกมา เขานั่งอ่านหนังสือด้วยความรวดเร็ว หนังสือเป็นหนังสือชั้นดีเหมือนกับหนังสือเกี่ยวกับพืช มันบรรยายให้เข้าใจง่ายและจัดหมวดหมู่ชัดเจน และสิ่งที่ดีที่สุดก็คงเป็นวิธีการควบคุมพลัง
อ่านหนังสือไปในหัวเขาก็คิดว่าทำไมถึงมีหนังสือแบบนี้ ในเมื่อคนที่มีพลังพิเศษมักจะเกิดและโตในวังหลวง ชาวบ้านธรรมดาจะไม่มีพลัง แล้วหนังสือแบบนี้ทำไว้ให้ใครอ่าน หรือคนธรรมดาสามารถฝึกพลังได้
“โลกนี้ช่างมีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเยอะจัง หรือคนในวังมีเมียลับๆ เลยมีลูกลับๆ นอกวัง ฮ่าๆๆๆ ช่างเขาเหอะ”
เด็กชายอ่านหนังสือจนจบใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เขากางหน้าหนังสือที่สอนให้ค้นหาและควบคุมพลังไว้ข้างหน้า แล้วนั่งขัดสมาธิทำสมาธิมองหาจุดที่เป็นจุดกำเนิดของพลังในร่างกายตามที่หนังสือบอก เขาใช้ความรู้ที่พึ่งเรียนรู้และความรู้จากหนังโลกก่อนที่เคยดูควบคู่กันไป การมีสติสมาธิเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการใช้พลัง
โม่ฟินนั่งสมาธิหาจุดกำเนิดพลังประมาณครึ่งชั่วโมงเขาก็เจอกลุ่มของพลังสองจุดในร่างกาย มันอยู่ช่วงประมาณสะดือของเขา เขาเห็นพลังสองจุดนั้นแล้ว มันแตกต่างกันที่สี จุดหนึ่งสีเขียว อีกจุดหนึ่งสีขาว เขาเพ่งจิตเข้าไปดูทันทีลองเข้าไปสัมผัสรับความรู้สึก เข้าไปใช้งาน บังคับให้มันแผ่ขยายออก เรียกพลังออกมาที่ฝ่ามือข้างขวาที่แบออก เขายังหลับตาทำสมาธิเหมือนเดิม เขาใช้สัมผัสอื่นแทนการมองเห็น ใช้สมาธิและจินตนาการเข้าช่วย คิดว่าให้พลังธาตุบังเกิดที่ฝ่ามือ เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นอาบที่มือก็ทำให้รู้ว่าพลังมาอยู่ที่มือตามที่คิด จึงข้ามขั้นไปเข้าการใช้พลังเลย เรียกลมและดินมาใช้ คิดจินตนาการให้เกิดพายุดินเล็กๆ บนฝ่ามือของเขาโดยที่ยังหลับตาอยู่ เวลาผ่านไปสองนาทีเขารู้สึกถึงความอุ่นวาบที่ฝ่ามืออยู่ตลอดแต่ยังไม่หยุดควบคุมพลัง จนรู้สึกถึงแรงลมที่พัดอยู่ใกล้ตัวมากๆ จนทำให้ผมปลิวไปมาจึงลืมตาขึ้นแล้วก้มมองที่ฝ่ามือตัวเอง
เด็กชายยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่ามีพายุหมุนดินเกิดขึ้นที่ฝ่ามือของเขาจริงๆ เขาพอจับจุดการใช้พลังได้แล้ว แค่เพียงมีสมาธิและจินตนาการ เพราะมันไม่ใช่พลังเวทหรืออาคมอะไร มันเป็นพลังในร่างกายที่ติดตัวมาแต่เกิดจึงควบคุมง่ายกว่าขอเพียงมีสติและสมาธิ
“อย่างนี้ต้องลองของใหญ่”
เด็กชายคิดที่จะลองสิ่งที่เหนือกว่า และจำเป็นมากตอนนี้ ซึ่งก็คือการหาน้ำที่อยู่ใต้ดิน เขาเรียกสัมผัสพลังน้ำมาไว้ที่ฝ่ามือแล้วเดินไปรอบๆ พื้นที่ของเขา เดินวนเป็นวงกลมจากนอกเข้าใน เดินเกือบจะครบแล้ว แต่ก็ยังไม่สัมผัสถึงน้ำเลย จนเกือบจะถอดใจแล้ว แต่พอเข้าเดินมาจนถึงเกือบตรงกลางก็รู้สึกถึงน้ำที่อยู่ข้างใต้ฝ่าเท้าแล้ว แต่เป็นสัมผัสที่เบาบางมาก จึงเดินตามสัมผัสของน้ำไปเรื่อยๆ จนสัมผัสเริ่มเข้มข้นขึ้นและเข้มที่สุด นั่นก็คือตรงกลางของพื้นที่ว่างหลังบ้านพอดี
“เจอแล้วๆ เจอๆๆ แล้วๆๆ”
เด็กน้อยดีใจเผลอเต้นอีกเหมือนเคย ดูเหมือนเขาจะชินกับการเป็นเด็กอีกครั้ง เพียงดีใจนิดหน่อยก็ยิ้ม เจออะไรขัดใจหน่อยก็หน้าบึ้ง ดีใจมากก็กระโดดโลดเต้นไปมาเหมือนเจอขุมทรัพย์ เต้นจนพอใจก็หยุดลงพร้อมสัมผัสฝ่ามือลงไปกับผิวดิน รู้สึกถึงน้ำที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปมากๆ แต่ถ้าขุดขึ้นมาตอนนี้จะต้องมีบ่อพักด้วย ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือขุดบ่อ
“ขุดบ่อทำยังไงล่ะ ไม่รู้วิธีซะด้วย ลองใช้วิธีตัวเองก่อนแล้วกัน”
โม่ฟินที่ไม่รู้วิธีขุดบ่อ ถึงแม้จะเคยดูวิดีโอมาบ้างที่เกี่ยวกับคนสองคนขุดดินเพื่อทำบ้านบ้างทำสระบ้าง แต่เขาไม่รู้ว่าดินตอนนี้กับที่โลกเก่าเหมือนกันไหม
“เอาวะ ลองขุดดู ถ้าพังก็เริ่มใหม่”
เมื่อพูดให้กำลังใจตัวเองเสร็จ แต่ในใจเขาก็คิดว่ามันก็ไม่ได้ยากอะไรแค่ต้องลองลงมือทำดูก่อนถึงจะรู้ว่ามันยากหรือง่าย
เด็กชายใช้พลังธาตุอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้ธาตุดิน จะขุดดินโดยการควบคุมมวลดินให้ลอยขึ้นมาจนเกิดเป็นหลุมไปทีละนิด เด็กชายนั่งลงขัดสมาธิแล้วยื่นมือไปข้างหน้า นึกจินตนาการการใช้พลังคาบคุมดินที่อยู่ตรงหน้าให้ลอยขึ้น แต่……ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้นเลย
“อ้าว ทำไมไม่ขยับเลยอ่ะ”
โม่ฟินก้มมองดินอีกครั้ง เขาลองใช้มือขุดดินดูก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มือ
“ดินแข็งมากนี่เอง งั้น…ต้องทำให้ดินแตกออกจากกันก่อน แต่ทำยังไง”
เขานั่งนึกว่าเขาจะทำอย่างไรให้ดินแตกออกจากกัน นั่งนึกไปเรื่อยๆ จนเกือบห้านาที เขาก็นึกขึ้นได้
“แผ่นดินไหว”
เขานึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหว การที่เปลือกโลกไหวสะเทือนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของดิน ทั้งเกิดแผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม วิธีนี้ต้องได้ผลแน่ๆ อย่างแรกก็คือบังคับให้ดินเกิดการเคลื่อนไหวไปมาทำให้มวลดินแยกออกจากกันเพื่อให้สามารถขุดขึ้นมาได้เมื่อดินแตกออกจากกันพอให้ยกขึ้นมาได้
“เอาว่ะ คิดได้ก็ต้องลองเลยดีกว่า”
ร่างเล็กเปลี่ยนท่าจากขัดสมาธิมาเป็นชันเข่าหนึ่งข้างลงพื้นแล้วทาบฝ่ามือลงไปที่ดินทั้งสองข้าง หลับตาแล้วคิดให้ดินข้างล่างที่สัมผัสได้สั่นไหวไปมา แล้วเพ่งสมาธิจดจ่อไปที่ดินใต้ฝ่ามือ แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย คราวนี้จึงเร่งพลังที่อยู่ที่จุดกำเนิดให้มากขึ้น ดึงออกมาใช้ให้มากที่สุด
ครืด ครืด
เสียงของแผ่นดินใต้ฝ่ามือของเด็กชายเริ่มขยับตัว ทำให้ลืมตาขึ้นมาดู แล้วยิ้มกว้างออกมาเมื่อรู้สึกว่าพื้นดินข้างใต้กำลังสั่นไหวไปมาเบาๆ สายตามองไปรอบๆ ดูว่าพลังครอบคลุมถึงไหนบ้าง ก็เห็นว่าต้นไม้ที่ใกล้รั้วบ้านยังอยู่ดี ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เพราะกิ่งและใบไม้ไม่มีการขยับ จึงเร่งพลังเต็มที่เพื่อให้ดินแตกตัวกันมากที่สุด
เด็กชายยิ้มแป้นเมื่อแผ่นดินใต้เท้าเคลื่อนไหวแรงขึ้นตามที่หวังไว้ มันเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้นจนในที่สุดก็มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เด็กชายที่รู้สึกถึงสิ่งแปลกๆ จึงมองรอบๆ แต่สิ่งที่แปลกไม่ได้เกิดรอบๆ มันเกิดข้างใต้จุดศูนย์กลางของการสั่นไหวซึ่งก็คือที่ที่เขาอยู่ เด็กชายหยุดการใช้พลัง แล้วลุกขึ้นยืน เมื่อยืนขึ้นเต็มตัวสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตรงจุดที่เขายืน แผ่นดินได้มีการยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว เขาตกใจอย่างมากหลับตาลงเมื่อรู้สึกว่าร่างกายกำลังตกลงไปตามดินที่ยุบลงไป เด็กชายหลับตาปี๋รอรับแรงกระแทก แต่จนแล้วจนเล่าร่างกายกลับไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกเลย
โม่ฟินค่อยๆ ลืมตาขึ้นปรากฏว่าตอนนี้ร่างกายเขาลอยขึ้นมาเหนือพื้นประมาณสองเมตร เขารับรู้ถึงสัมผัสที่อยู่ที่หลังและก้น นั่นก็คือสายลมกำลังโอบอุ้มตัวเขาอยู่ ดูเหมือนว่าพลังของเขาถูกฝังอยู่ในจิตสำนึกด้วยแม้ตอนที่ไม่รู้ตัวพลังก็สามารถทำงานด้วยตัวมันเองได้ แต่แบบนี้ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกให้ควรมีสติตลอดเวลาถ้าดันเผลอขาดสติจนพลังทำร้ายคนอื่นเข้า เขาจะเดือดร้อนใหญ่
“สุดยอด เหาะได้ด้วย”
เด็กชายเรียกสติกลับมาแล้วควบคุมพลังลมแทนจนสามารถลอยตัวได้ต่อ เขายืนอยู่ในอากาศโดยควบคุมลมไว้ที่ฝ่าเท้า มองไปยังพื้นดินข้างล่าง ที่เกิดเป็นหลุมยุบลงไปลึกประมาณเมตรกว่าๆ ขนาดของหลุมกินพื้นที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามเมตร
“ต่อเว๊ย ลุยงานให้เสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว”
เด็กชายเรียกพลังฮึกเหิมในใจแล้วลุยงานขุดบ่อน้ำให้เสร็จ ทำงานต่อโดยที่ร่างกายยังลอยอยู่เหนือพื้น มีความคิดว่าการจะควบคุมพลังได้ดีที่สุดก็คือการฝึกใช้งานจนคล่อง มันจะได้ทั้งสมาธิ การฝึกฝน ความอดทนของร่างกาย และพลังที่เพิ่มขึ้นตามการใช้งานที่มากขึ้น
ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าในการควบคุมเอาดินขึ้นมาจนหมด จนเห็นเป็นบ่อชัดเจน การใช้พลังครั้งนี้ทำให้เขาสามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของดินได้คล่อง เด็กชายค่อยๆ ลงมาที่พื้นแล้วหยิบน้ำจากกระเป๋าขึ้นมากินอย่างกระหาย แดดร้อนๆ ตอนบ่ายๆ ทำให้เริ่มเพลียเพราะร่างกายขาดน้ำ แต่เหลือเพียงงานสุดท้ายแล้ว เมื่อกินน้ำเสร็จก็ลุยงานต่อ เขาลงไปที่ก้นบ่อวางมือข้างขวาสัมผัสลงไป เขาสัมผัสถึงน้ำที่อยู่ใต้ดิน ค่อยๆ ดึงมันให้เคลื่อนที่ขึ้นมาตามช่องว่างระหว่างอนุภาคดิน ถึงจะเล็กมากๆ แต่เมื่อน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ มันจะทำให้ดินที่ไม่ได้สัมผัสน้ำมานานนิ่มขึ้นและดูดซับน้ำเข้าไปเยอะจนน้ำสามารถเคลื่อนผ่านขึ้นมาได้ดี
โม่ฟินเร่งพลังดึงน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ จนรู้สึกถึงความชื้นที่ฝ่ามือ ความรู้สึกเย็นๆ ของดินที่อุ้มน้ำไว้ เขายังไม่หยุดใช้พลังจนกว่าจะได้เห็นน้ำค่อยๆ ผุดขึ้นมา และรอไม่นานสิ่งที่พยายามมาตลอดก็สำเร็จ น้ำค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละน้อยๆ เด็กชายดีใจมากยิ้มกว้างออกมา มองดูผลงานของตัวเอง ตอนนี้น้ำกำลังผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละรูสองรู จนระดับน้ำค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนท่วมมิดฝ่ามือของเขา จึงหยุดใช้พลัง ยืนขึ้นมองดูว่าเมื่อหยุดใช้พลังแล้วน้ำหยุดไหลหรือไม่ แต่ระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทำให้เขายิ้มไม่หุบเมื่อน้ำไม่หยุดไหลและยังขึ้นมาเรื่อยๆ จนท่วมถึงข้อเท้าแล้ว
โม่ฟินใช้พลังลมบังคับตัวลอยขึ้นจากพื้นไปนั่งลงที่ปากบ่อ หยิบน้ำขึ้นมากินพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังไม่หมดไป นั่งมองน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มระดับอย่างช้าๆ อย่างมีความสุข จนเวลาผ่านไปนานน้ำก็ขึ้นมาเลยครึ่งบ่อแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในบ้านหยิบเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องตรงกลางออกมานั่งอยู่ที่ชายหลังบ้าน เขาตั้งเก้าอี้นั่งลงในหลังคาบ้าน นั่งมองน้ำที่ค่อยไหลขึ้นมาอย่างช้าๆ นั่งมองไปสักพักก็เห็นว่าระดับน้ำขึ้นอยากกว่าแรกๆ อาจจะเป็นเพราะปากบ่อที่กว้างกว่าก้นบ่อด้วยและเนื่องจากมวลดินรอบๆ มีการดูดซึมของน้ำเข้าไป เพราะว่าดินรอบๆ บ่อเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเนื่องจากความชื้นที่เพิ่มขึ้นเด็กชายนั่งมองผลการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยของเขาอย่างมีความสุข
จนเมื่อน้ำเต็มบ่อและเริ่มท่วมไปทั่วบริเวณ ก็ใช้พลังสัมผัสไปที่ก้นบ่อ เขาใช้พลังควบคุมดินและน้ำ ปรับเปลี่ยนให้เหลือตาน้ำที่ผุดขึ้นมาเพียงจุดเดียว โดยเลือกจุดที่ใหญ่ที่สุดไว้ ส่วนที่เหลือก็ใช้ดินอุดรูปิดไว้ ตอนนี้น้ำในสระขุนมากๆ เพราะว่ามีดินผสมอยู่เป็นจำนวนมากต้องรอให้ดินตกตะกอนไปที่ก้นบ่อก่อน จึงจะสามารถนำมาใช้อุปโภคได้ แต่ตอนนี้ก็สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้ เช่นรดน้ำต้นไม้
เด็กชายยังไม่ได้ขยับตัวลงจากเก้าอี้ แต่เพียงนั่งขัดสมาธิหลังตรงแล้วใช้พลังควบคุมมวลน้ำในบ่อให้ลอยขึ้นมา ยื่นมือไปข้างหน้าแล้วบังคับควบคุมน้ำตามจินตนาการ ให้น้ำลอยขึ้นมาเป็นก้อนกลมๆ ลืมตามองดูก็เห็นว่ามันได้ผล มีก้อนน้ำขนาดประมาณกำปั้นของเขาลอยขึ้นมาจริงๆ จึงใส่พลังไปเพิ่มให้มวลน้ำลอยขึ้นมารวมกับก้อนที่ลอยขึ้นมา จนมันขยายใหญ่ขึ้นจนใหญ่กว่าตัวเขาซะอีก ค่อยๆ บังคับให้มันเคลื่อนที่ลอยไปในอากาศ ตรงไปยังเป้าหมายที่เขาคิดไว้ ซึ่งก็คือต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลออกไปตรงรั้ว
******************************
ความคิดเห็น