ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่พร้อมกระเป๋าสุดวิเศษ[Yaoi](มีอีบุ๊ก)

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่5 ซื้อบ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 66


     

    โม่ฟินหลังจากออกมาจากร้านหนังสือ เขาก็เข้าไปถามคนที่เดินผ่านไปมาว่าที่เมืองนี้มีสถานที่พักพิงคนไร้บ้านไหม ปรากฏว่าไม่มี แต่เขาก็ถามต่อว่าแล้วคนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยจะไปอยู่ไหนกัน จึงรู้ว่า

    “ที่นี่เป็นเมืองที่ใกล้เมืองหลวงที่สุด ทางการจะไม่ให้คนไร้บ้านมากระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง คนไร้บ้านจึงจะอยู่หมูบ้านที่อยู่เมืองที่ไกลจากเมืองหลวง”

    พอฟังเสร็จเขารู้สึกตกใจนิดหน่อย ทำไมโลกนี้มีการจัดการแบบนี้ แล้วคนไร้บ้านพวกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจึงมีความคิดสักวันหนึ่งเขาจะไปที่นั่นแล้วช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ มันไม่ใช่ภารกิจอะไร แต่เป็นเพียงสิ่งที่เขารู้สึกว่าจะต้องทำมัน อาจจะเป็นเพราะเคยเป็นคนที่พ่อแม่ไม่ต้องการมาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกของการไม่เป็นที่ต้องการ

    โม่ฟินจึงตัดสินใจจะหาบ้านอยู่ โดยไปที่กรมที่ดิน เขาเดินไปตามทางที่สอบถามมาจากคนที่เดินผ่านไปมาเหมือนเดิม ข้อดีของการที่เขาอยู่ที่นี่ก็คือมันเป็นเมืองที่เจริญ ทุกอย่างจะอยู่ใกล้กันหมดและหาง่าย มีครบทุกหน่วยงานที่ต้องการ และจากการใช้ชีวิตมาหนึ่งวันกว่าๆ ก็ได้รู้อีกว่าที่นี่เป็นเมืองของคนที่มีเงินทองมากมาย วิธีที่ทำเงินได้มากก็คือการขายของที่เป็นที่ต้องการ เพราะไม่ว่าจะแพงแค่ไหนคนมีเงินพวกนี้ก็พร้อมจะซื้อ เช่นโรงประมูลของหายากที่มีให้เห็นตลอดทาง

    เด็กชายมาถึงกรมที่ดินแล้ว แต่เขายังไม่แน่ใจว่าแผนที่เตรียมมาจะได้ผลไหม เขาเดินเข้าไปในตัวอาคารที่มีคนไม่เยอะมาก มีแต่คนมองมาที่โม่ฟินที่เดินเข้าไปข้างใน แต่ไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจหรือไม่พอใจอย่างใด มีแต่สีหน้าสงสัยว่าเขาเป็นใครมาทำอะไรที่นั่น

    “ยินดีต้อนรับคุณชายน้อย มีอะไรให้ช่วยหรือไม่”

    เด็กชายหันไปมองทางชายคนหนึ่งที่เอ่ยทักเขา เขาจึงเดินเข้าไปหาชายคนนั้นด้วยท่าทีสบายๆ แต่ดูสูงศักดิ์จนคนรอบๆ ก็คิดเหมือนกันว่าโม่ฟินน่าจะเป็นลูกของเศรษฐีไม่ก็ขุนนางสักคนที่อยู่ในเมืองนี้

    “ข้าต้องการมาติดต่อซื้อที่ดิน ไม่ทราบว่าต้องติดต่อผู้ใดหรือขอรับ”

    โม่ฟินแจ้งเจตจำนงของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งแรงดูมีพลัง ไม่ใช่การพูดจาหยอกล้อหรือหว่านล้อมเมื่อตอนใช้ซื้อของหรือสอบถามข้อมูลใคร ชายคนนั้นเมื่อได้ฟังก็รู้สึกถึงความเป็นชนชั้นสูงจากเด็กชายตัวน้อยที่เขากำลังพูดคุยอยู่

    “เชิญทางนี้”

    เขาเดินตามชายคนนั้นไปยังห้องรับรอง แล้วไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ที่ดูมีอายุเดินเข้ามาในห้องพูดคุยกับเขา

    “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการสิ่งใดหรือ”

    “คารวะผู้อาวุโสขอรับ ตัวข้าอยากได้ที่ดินที่เงียบสงบมีรั้วรอบขอบชิด เพื่อใช้เป็นบ้านพักผ่อน ท่านพ่อของข้าจะซื้อให้ข้า วันนี้ท่านไม่ว่างจึงให้ข้ามาจัดการด้วยตนเอง”

    “งั้นหรือ แต่คุณชายทราบหรือไม่ว่าการซื้อที่ดินจะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว”

    โม่ฟินหัวเราะในใจ ในที่สุดก็เจอคนลองเชิงเขาแล้ว แต่อย่าคิดว่าเขาตามไม่ทัน คนฉลาดๆ อย่างเขาจะทำอะไรก็ต้องเตรียมตัวมาอยู่แล้ว เด็กชายหยิบกระเป๋าเงินที่ใส่เหรียญทองไว้จำนวนมากออกมาจากในเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะให้ผู้อาวุโสที่เขาคุยอยู่เห็น

    “ข้าเพียงต้องการพื้นที่เล็กๆ สงบๆ เงินเท่านี้คงพอใช่หรือไม่ขอรับ”

    ปากกระเป๋าเงินที่อ้าออกให้เห็นเหรียญทองจำนวนมากอยู่ข้างใน ชายที่เห็นก็อึ้งนิดหน่อยแล้วปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มส่งมาให้โม่ฟิน

    “พอแน่นอน เรามีที่อยู่หลายแห่ง คุณชายเลือกดูได้”

    เด็กชานหยิบโฉนดที่ดินที่วางอยู่บนโต๊ะประมาณห้าฉบับขึ้นมาอ่านรายละเอียดทีละอัน ชายอาวุโสที่เห็นว่าเขาสามารถหยิบไปอ่านเองก็ได้ก็อึ้งอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าเด็กอายุเท่านี้จะสามารถอ่านหนังสือได้ แต่เด็กชายไม่สนใจอาการของชายอาวุโสยังคงอ่านรายละเอียดเพื่อหาที่ดินที่เขาต้องการต่อไป จนเจอเข้ากับที่ดินพื้นหนึ่งจำนวนไม่กี่ไร่แต่ราคากลับถูกมากไม่ตรงกับพื้นที่ที่เขียนบอกไว้ ไหนจะมีบ้านหลังเล็กๆ อยู่ด้วย แถมพื้นที่หลังบ้านก็ติดภูเขาด้วย แต่ทำไมถึงราคาถูกกว่าพื้นที่อื่นๆ

    “ทำไมที่ดินอันนี้ถึงราคาถูกกว่าพื้นที่อื่นๆ”

    “อย่างนี้ พื้นที่ตรงนั้นถึงจะห่างไกลจากตัวเมืองไม่มากนักแต่พื้นที่นั้นกลับแห้งแล้งมากและอากาศร้อนกว่าพื้นที่อื่นๆ ใกล้เคียง แม้จะติดภูเขาแต่ว่าภูเขาก็เป็นเพียงภูเขาดินแห้งแล้งพืชพันธุ์ต่างยืนต้นตายไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ได้เลย ข้าว่าคุณชายเลือกที่อื่นเถิด ฉบับนี้ข้าจะเอาไปเก็บ”

    “ไม่ต้อง ข้าเอาอันนี้”

    “จริงหรือ”

    “ใช่ ข้าซื้อที่ดินผืนนี้เอง”

    “แต่ว่า”

    “ไม่ต้องแต่ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าก็อยากจะขายมันถึงได้เอามาให้ข้าเลือกด้วย งั้นข้าจะซื้อที่อันนี้ ท่านก็แค่ทำให้ข้า ได้หรือไม่”

    เด็กขายเปลี่ยนทั้งน้ำเสียงและสรรพนามการคุยให้ดูน่าเกรงขามขึ้น จนคนที่ได้ยินยังรู้สึกเสียวสันหลัง เหมือนกับว่าเขาเจอพวกที่มีพลังพิเศษเลย แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือในใจของโม่ฟินกำลังดีใจที่ได้ที่ที่อยากได้ เขาสามารถทดลองใช้พลังของเขาเปลี่ยนแปลงพื้นที่ตรงนั้นได้ และมันห่างไกลผู้คนจะไม่มีใครรู้แน่นอนว่าเขาทำอะไร

    ไม่นานชายอาวุโสที่เป็นคนทำเรื่องซื้อขายที่ให้เด็กชายก็กลับเข้าห้องมาอีกครั้งพร้อมหนังสือสัญญาซื้อขายในมือ เขารับมาตรวจสอบความเรียบร้อย และดูราคาที่เขียนว่า200เหรียญทอง อาจจะดูแพงแต่พื้นที่ทั้งหมดมีสี่ไร่แถมยังมีพื้นที่ภูเขาข้างหลังมาด้วย มันก็ถือว่าคุ้มมากๆ แล้ว และเทียบกับที่อื่นก็ถือว่าถูกกว่ามาก

    “ภูเขาข้างหลังที่อยู่ในโฉนดข้าสามารถใช้งานได้หรือไม่ขอรับ”

    “สามารถใช้งานได้ เพียงท่านไม่สร้างสิ่งปลูกสร้างเกินเขตพื้นที่ก็พอ”

    “อืม โฉนดนี้ท่านต้องเก็บไว้หรือไม่ ข้าจะนำกลับไปให้ท่านพ่อของข้าเซ็น”

    “ไม่เก็บ ข้าเพียงทำบันทึกการซื้อขายเท่านั้น ไม่ทราบว่าชื่อของท่านพ่อของคุณชายน้อยมีนามว่าอะไร”

    “เยว่ โมฟิน”

    “เขียนแบบนี้ถูกหรือไม่”

    “ใช่ถูกแล้ว”

    โม่ฟินต้องตอบว่าใช่ไป เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าเขียนอย่างไร เขายังไม่ได้ศึกษาตำราที่ซื้อมาเลยนะ แต่จากที่ดูชายอาวุโสเขียนเขาก็อ่านออกมาเป็นชื่อของเขาจริงๆ งั้นเขาก็ใช้เขียนแบบนี้ไปตลอดเลยแล้วกัน

    “ท่านนับเงินเถิด”

    เด็กชายพูดบอกชายอาวุโสให้นับเงินจากในถุงเงิน โดยเขาจะนั่งดูเฉยๆ ชายอาวุโสที่ได้ยินจึงรีบนับตามคำบอกของเด็กชาย เขาเองก็อยากทำเรื่องซื้อขายให้เสร็จเร็วๆ เช่นกัน เพราะคุณชายน้อยคนนี้ช่างมีบรรยากาศที่แพร่ออกมาน่าเกรงขามยิ่งนัก

    “มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย20เหรียญเงิน ข้านำไป201เหรียญทองแล้วจะนำเงินทอนมาให้”

    “ไม่เป็นไร มีเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่ขอรับ ข้าไปได้หรือยัง”

    “เชิญคุณชายน้อยกลับได้เลย ขอบพระคุณคุณชายกับท่านพ่ออย่างสูง”

    โม่ฟินพยักหน้าส่งให้ชายอาวุโส แล้วขยับตัวลงจากเก้าอี้สูง กระโดดเล็กน้อยลงไปยืนกลับพื้น

    ‘เก้าอี้นี่ก็จะสูงไปไหน รอข้าโตก่อนเถอะ’

    เด็กชายคุยกับตัวเองในใจ บ่นเรื่องความสูงของเก้าอี้ที่ทำให้เขาต้องออกแรงเพิ่ม จึงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาให้คนที่มองสีหน้านั้นเสียวสันหลังไปตามๆ กัน เขายังคงมาดคุณชายเดินออกไปจากกรมที่ดินท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หันมามอง แต่เด็กชายก็ไม่ได้สนใจใคร เดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน จนเมื่อเด็กชายรับตาไป เสียงถอนหายใจของใครหลายๆ คนก็ดังออกมา

     

     

    โม่ฟินเดินออกมาจนไกลกรมที่ดินมากแล้วก็แวบเข้าไปในตรอกที่รับตาคนเหมือนเดิม เขาหยิบโฉนดที่ดินออกมาดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    “เย้ๆ เย้ๆ สำเร็จ”

    แล้วก็เหมือนครั้งก่อนเด็กน้อยดีใจเต้นแร้งเต้นกาไปมา ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุข เขายกมือขึ้นมานวดแก้มแล้วขมับตัวเองไป

    “เฮ้อ เกร็งหน้าไปหมด การเป็นเด็กนี่ทำธุรกิจยากเย็นชะมัด เมื่อไรจะโตเร็วๆ นะ คิดผิดหรือคิดถูกที่เลือกเป็นเด็กว่ะเนี่ย”

    “ตรงนี้อยู่ไกลเลย ไปหารถม้าดีกว่า”

    โม่ฟินอ่านโฉนดจึงรู้ว่าที่ที่ซื้อมาอยู่นอกเมืองออกไปนิดหน่อย แต่ขาระดับเขาที่สั้นจนเดินเพียงไม่กี่ร้อยเมตรยังเหนื่อย นับประสาอะไรกับเดินหลายกิโลเมตร เขาได้นอนหอบตายอยู่ข้างถนนแน่ ดังนั้นทางเลือกที่สบายก็คือการจ้างรถม้า เพราะเขาอยู่ที่นี่มาเกือบสองวันเขาพอเห็นว่ามีรถม้าวิ่งไปมาอยู่ เขาแค่ต้องสอบถามจากชาวบ้านแล้วไปที่มีรถจ้างพวกนี้

    เด็กชายออกเดินทางหารถม้ามาใช้ในการเดินทางทันที ซึ่งระหว่างทาง เขาก็เดินหาซื้อเสบียงและน้ำเพิ่มโดยเขาจะเลือกซื้อทุกอย่างที่อยากได้และมีขายในตลาดทันที เท่านี้เขาก็จะไม่มีปัญหากับการอยู่คนเดียวในพื้นที่ห่างไกลผู้คนแล้ว

    “พี่สาวๆ ตรงที่เขาเช่ารถม้ากันอยู่ตรงไหนหรือขอรับ”

    โม่ฟินเอ่ยถามคนขายของร้านสุดท้ายที่เขามาซื้อเสบียง

    “คุณชายจะเดินทางงั้นหรือ มีที่เช่ารถรับจ้างอยู่ตรงท้ายตลาด”

    “อ๋อ ท้ายตลาด ขอบคุณพี่สาว ขอให้ขายดีๆ ขอรับ”

    เด็กน้อยส่งยิ้มหวานไปให้เมื่อเขาได้ข้อมูลที่ต้องการมาแล้ว โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นกระแทกใจคนที่เขาเรียกว่าพี่สาวจนนิ่งอึ้งไปหลายนาที

    เขาเดินไปยังท้ายตลาดอย่างสบายอารมณ์ การที่เขาเปลี่ยนรูปโฉมให้ดูดีขึ้นไม่มอมแมมเหมือนวันก่อนทำให้เป็นที่จับจ้องของผู้คนหลายคน บางคนก็ตะลึงบางคนก็เหมือนเคลิ้มหลงใหลบางคนก็เอ็นดู มากหน่อยก็คือเข้ามาคุยกับเขา ซึ่งเขาไม่ชอบเลย ขอใช้ชีวิตสงบๆ ได้ไหม เขานั้นไม่ชินกับการมีคนมาทัก ส่วนมากเขาเองมากกว่าที่ต้องเดินไปทักทายคนอื่นๆ ถึงจะคุยกับเขา อาจเพราะอยู่บ้านเด็กกำพร้าที่มีคนไม่เยอะมาก่อนก็ได้ ในบ้านเด็กกำพร้าเด็กรุ่นเดียวกันก็ไม่ค่อยมี ได้ไปโรงเรียนก็ไม่ค่อยมีเพื่อน ส่วนใหญ่คบไว้ก็เพราะเขามีประโยชน์เท่านั้น จึงทำให้เขาถนัดการเข้าหาคนอื่นมากกว่าคนอื่นเข้าหา หรือเลือกได้ก็ขออยู่คนเดียวดีกว่า

    ในที่สุดโม่ฟินก็ตามหารถม้ารับจ้างได้สำเร็จ พอไปถึงเขาก็บอกจุดหมายปลายทางทันทีพร้อมสอบถามราคา อธิบายอยู่นานกว่าจะเข้าใจกัน เพราะตัวเขาไม่รู้ว่าที่นั่นเรียกอะไร จึงพยายามบอกลักษณะของที่ดินแทน

    “มันมีบ้านหลังหนึ่งไม่ใหญ่มาก เป็นที่ภูเขา เป็นที่โล่ง แห้งแล้งๆ”

    “แห้งแล้งๆ อ๋อ ที่อยู่นอกเมืองใช่หรือไม่เจ้าหนู”

    “ใช่ๆ อยู่นอกเมืองไปนิดหน่อย ท่านลุงรู้จักหรือไม่”

    “ข้าพอรู้อยู่ มันมีบ้านร้างติดภูเขา ตรงนั้นมันแห้งแล้งมากจึงไม่มีคนอยู่ ส่วนใหญ่เขาจะย้ายหนีกันหมด เจ้าจะไปทำอะไรรึ”

    “ข้าซื้อที่ตรงนั้นไว้ ข้าอยากจะไปดู”

    “เออๆ ได้ๆ ข้าจะพาไป ราคา1เหรียญเงินนะเจ้าหนู ขึ้นมาเลย”

    โม่ฟินปีนขึ้นรถม้าอย่างทุลักทุเล เพราะเป็นรถม้าจ้างจึงไม่ได้สบายมีบันไดให้เดินขึ้น ลุงเจ้าของรถม้าเมื่อเห็นเด็กน้อยพยายามปีนจึงมาช่วยอุ้มขึ้นให้ เขาจึงพูดขอบคุณไป เมื่อเตรียมรถดูม้าเสร็จไม่นานรถก็ออกเดินทาง เด็กชายนั่งอยู่ในรถม้าไม่มีอะไรทำเขาจึงหยิบตำราหนังสือที่เกี่ยวกับพืชพันธุ์มาอ่านข้ามเวลา เนื่องด้วยมีพรวิเศษเขาจึงอ่านเพียงแปปเดียวข้อมูลของหน้าหนังสือก็ถูกบันทึกลงในหัว หนังสือที่เขาซื้อมาเป็นหนังสือชั้นดีราคาแพง จึงมีรูปวาดประกอบด้วยทั้งรูปร่างเมล็ด ต้นอ่อน ต้นโตเต็มที่ ดอกและผล มีการแยกหมวดหมู่พืชออกเป็นแต่ละประเภทอย่างดี มีทั้งพืชไม้ดอก พืชสวน พืชไร่ พืชสมุนไพรต่างๆ เขาคิดว่าคุ้มมากที่ซื้อมาอ่าน ทำให้เขารู้เกี่ยวกับพืชผลในโลกนี่มากขึ้นเยอะเลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็คล้ายกับโลกก่อนของเขา เพียงมีบางชนิดเขาไม่รู้จัก พอได้อ่านหนังสือก็จดจำได้แล้ว

    เด็กชายนั่งคิดถึงเรื่องราวเกือบสองวันที่อยู่บนโลกนี้ เขาคิดว่าโลกนี้มีหลายอย่างเหมือนกับโลกเก่าของเขาเลย จะแตกต่างเพียงไม่กี่เรื่อง อย่างเช่นตัวหนังสือ แต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะสามารถอ่านมันออกอย่างง่ายดาย เรื่องการพูด ก็ไม่ยากเขามีประสบการณ์การดูซีรี่ย์มาก่อน ส่วนรูปประโยคกับคำก็เหมือนเดิม มีบางคำที่คนโลกนี้ยังไม่รู้จักอย่างเช่นพวกคำทับศัพท์อังกฤษ เรื่องเงินกับค่าเงิน ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเขามีใช้ไม่จำกัดและเรียนรู้ค่าเงินมาแล้ว ส่วนอีกเรื่องที่เขาอยากรู้แต่ยังไม่ได้เรียนรู้ก็คือเรื่องพลังวิเศษ แต่ว่าเขามีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ก็ไม่น่าห่วงอะไร เรื่องอื่นๆ ที่ยังไม่รู้ก็สามารถเรียนรู้ได้ผ่านหนังสือที่เขาซื้อมา รอโตอีกหน่อยค่อยมาเจอโลกกว้างอีกครั้งคงไม่เป็นไร

    เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงรถม้าก็หยุดลง เด็กชายเก็บหนังสือลงกระเป๋า แล้วเปิดม่านออกไปดู

    “ถึงแล้วหรือท่านลุง”

    “ถึงแล้วเจ้าหนู เจ้าอยู่กับใคร ให้ข้ารอหรือไม่”

    “ไม่ต้องขอรับ ข้านัดกับท่านปู่ของข้าที่นี่เดี๋ยวก็คงมา แต่ว่านี้กี่โมงหรือขอรับ”

    “หือ กี่โมงคืออะไรรึ”

    “อ๋อ หมายถึงเวลาตอนนี้เท่าไรขอรับ”

    “อ๋อๆ เจ้านี้พูดงง ตอนนี้รึ ยามอู่แล้ว”

    ลุงคนขับรถม้าเงยมองท้องฟ้าดูเวลาแล้วเอ่ยบอกเขา เขาจึงมองตามบ้างก็เห็นว่าพระอาทิตย์เกือบจะอยู่ตรงกลางแล้ว คงใกล้เที่ยงแล้วแน่ๆ สงสัยเขาต้องรีบอ่านหนังสือที่มีเวลาบอกซะแล้ว ไม่งั้นคงคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ถึงแม้จะเคยดูมาจากหนังจีนบ้างก็ตาม

    “ขอบคุณท่านลุงมาก นี่เงิน1เหรียญ ข้าลาขอรับ”

    โม่ฟินให้เงินค่ารถม้าแล้วกระโดดลงจากรถมาไป เขาเดินเข้าไปใกล้ที่ที่เขาซื้อมา แล้วสำรวจสิ่งต่างๆ เลย เขาที่มองสำรวจพื้นที่อยู่นั้นถูกจ้องมองด้วยลุงคนขับรถม้า แต่เมื่อลุงคนขับเห็นว่าเด็กชายไม่มีท่าทีตื่นกลัวอะไร ก็เคลื่อนตัวออกไป

    ชายหนุ่มในร่างเด็กชายสำรวจรอบพื้นที่ของเขาก็เห็นว่าที่ของเขาข้างหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลัง แต่ไม่ค่อยมีสีเขียวของต้นไม้เท่าไร ส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาลของต้นไม่ที่กำลังยืนต้นตายมากกว่า ส่วนข้างบ้านก็เป็นทุ่งหญ้าสูงแห้งเหี่ยว พื้นที่ของเขามีรั้วกั้นอยู่ที่บ่งบอกอาณาเขต แต่รั้วเป็นเพียงรั้วไม้ใกล้จะพังเต็มที่แล้ว แบบนี้ไม่นานคงพัง เขาจึงคิดจะสร้างกำแพงดินที่แข็งแรงใหม่โดยใช้พลังการควบคุมธาตุของเขา ถ้าเขาไม่เข้าใจผิดธาตุหลักเช่น ดินน้ำลมไฟ ธาตุพวกนี้เป็นองค์ประกอบหลักๆ ของธรรมชาติ ถ้าเขาควบคุมพลังได้ดีมากพอเขาก็จะสามารถควบคุมธรรมชาติได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตตอนนี้ขอแค่เพียงควบคุมสี่ธาตุหลักให้ได้ก่อนก็ภูมิใจแล้ว ไหนจะพลังพฤกษาที่เขามีอีก ถ้าเขาฝึกใช้ได้คล่องแล้วละก็

    “ข้าสามารถครองโลกได้เลยนะเนี่ย ว๊าวววว”

    “แต่ไม่เอาหรอก คนเยอะปัญหาก็เยอะ ขอใช้ชีวิตสโลไลฟ์ต่อไปดีกว่า ไม่รู้จะตายอีกเมื่อไรด้วย”

     

     

     

    **************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×