คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่3 แลกเงิน
“พี่สาว ข้าขอรบกวนพี่สาวสักหน่อยได้หรือไม่”
“เรื่องอะไรล่ะ ถ้าข้าช่วยได้จะช่วย”
หญิงสาวรู้สึกเอ็นดูในตัวเด็กชายที่กำลังยืนสนทนากับเธอ เธอเห็นตั้งแต่เด็กชายเดินเบียดออกมาจากฝูงชนแล้วมานั่งพักที่ข้างร้านของเธอแล้ว ถึงเนื้อตัวจะดูมอมแมมแต่ก็สามารถดึงดูดสายตาจากเธอไปได้
“คือข้า อยากรู้ว่าเหรียญพวกนี้มีค่ามากแค่ไหนหรือขอรับ”
เด็กชายไม่พูดเปล่ายังแบมือแสดงเหรียญสองเหรียญในมือให้หญิงสาวดูด้วย
“เจ้าไม่รู้ค่าเงินรึ”
เด็กชายที่ได้ยินคำถามก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบไป
“ได้ งั้นข้าจะบอกให้ เจ้าจำให้ดีนะ”
“ขอบคุณพี่สาว”
เขาพูดพร้อมพยักหน้ารัวๆ ว่าเขาจะตั้งใจมากๆ หญิงสาวที่เห็นก็เริ่มอธิบายทันที พร้อมกับนำเงินแบบอื่นที่เธอมีมาให้เขาดูเพิ่มด้วย
“เหรียญนี้เรียกว่าเหรียญทองแดง มีค่าน้อยสุด 100 เหรียญทองแดง จะมีค่าเท่ากับ 1เหรียญเงินอันนี้ แล้ว100 เหรียญเงิน จะมีค่าเท่ากับ1 เหรียญทอง และ100 เหรียญทอง จะมีค่าเท่ากับ 1 ทองแท่ง ซึ่งเหรียญทองกับทองแท่งข้าไม่มีให้เจ้าดูหรอกนะ เพราะมันเยอะมากๆ และยังมีพวกตั๋วเงินตามค่าเงินด้วย แต่คนที่มีตั๋วเงินก็จะเป็นพวกคนรวยๆ หรือคนในวังหลวง”
“ข้าเข้าใจแล้ว อัตราส่วนค่าเงิน100ต่อ1ถูกหรือไม่พี่สาว”
“ใช่แล้ว เจ้าเก่งมาก มีเงินอีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า ก็คือเจ้านี่ ก้อนเงินและมีอีกอย่างคือก้อนทองแต่ข้าไม่มีให้เจ้าดูเหมือนกัน 1ก้อนเงินจะมีค่าเท่ากับ50เหรียญเงิน และ1 ก้อนทองจะมีค่าเท่ากับ50เหรียญทอง แต่ที่นี่จะไม่นิยมใช้กัน เพราะจะถือว่าเป็นเงินเถื่อน เพราะว่าเงินที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้จะมีเพียงที่เป็นเหรียญเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งที่ทางการหลอมขึ้นมาและตีตราไว้”
หญิงสาวหยิบก้อนเงินที่มีขนาดเท่ากับฝาขวดน้ำขึ้นมาให้เด็กชายดูแล้วอธิบายให้ฟังต่ออย่างฉะฉาน
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แล้วถ้าเจอก้อนเงินที่ใหญ่มากๆ ค่าเงินมันจะมีค่าเท่าไรหรือพี่สาว”
“ก็มีค่าเพียง50เหรียญเงินเท่านั้น”
“เพราะว่าเป็นเงินเถื่อนสินะขอรับ”
“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”
“แล้วถ้าข้านำมันไปขายให้ทางการ ข้าจะได้เงินเพิ่มหรือไม่”
“ได้ๆ ทางการจะให้เงินเจ้าตามจำนวนเหรียญเงินที่สามารถหลอมออกมาได้ แต่จะหักเอาไว้3ส่วน”
“อ๋ออย่างนี้นี่เอง ขอบคุณพี่สาวมาก”
“ไม่เป็นไรๆ เจ้าเองก็เก่งมาก บอกครั้งเดียวก็สามารถจำได้ ข้าจึงไม่ลำบากอะไร”
เด็กชายส่งยิ้มให้พี่สาวแล้วมองเงินในมือตัวเองแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่สาว แล้วถ้าข้าต้องการแลกเงินจะต้องไปที่ไหนหรือขอรับ”
“แลกเงินรึ ถ้าต้องการแลกเยอะก็ต้องไปที่โรงประมูลพยัคฆ์ ที่นั่นรับแลกเงิน อีกที่ก็คือของทางการ ซึ่งเจ้าต้องเข้าไปในเมืองหลวง”
“เมืองหลวง”
“ใช่ ตรงนั้นไง”
หญิงสาวพูดพร้อมชี้ไปทางที่มีหลังคาตำหนักสูงตระหง่านในวังหลวงที่สามารถมองเห็นจากไกลๆ ได้
“โห๊ ไกลมากเลย”
“ใช่เด็กน้อยไกลมากๆ ดังนั้นข้าแนะนำให้เจ้าไปที่โรงประมูลพยัคฆ์ดีกว่า มันไม่ไกลจากที่นี่มาก เดินไปตามทางนี้เจ้าก็จะเจอ”
“ขอบคุณพี่สาวมาก"
เขาพูดขอบคุณพี่สาวที่ช่วยบอกสิ่งที่เขาอยากรู้อย่างละเอียด เด็กชายหยิบกระเป๋าที่ข้างเอวขึ้นมาแล้วเปิดใส่เงินที่เขาได้มาลงไป เขาคิดจะใช้อิทธิฤทธิ์ของมัน หาเงินเพื่อให้เขามีชีวิตสบายขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร เพราะเขาไม่ได้ขโมยเงินใครพวกเขาให้เขาเอง
“กระเป๋าสวยดีนะเด็กน้อย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“อ๋อ กระเป๋าใบนี้ คือมันเป็น…เป็นมรดกตกทอดมาในตระกูลข้า บรรพบุรุษข้าทำขึ้นมาเองแล้วส่งต่อให้รุ่นหลาน”
“อย่างนี้เอง จะว่าไปคุยกันมาตั้งนานข้ายังไม่รู้ชื่อแซ่ของเจ้าเลยนะ”
“เอ่อ ข้าชื่อ กริฟฟิน”
“ห้ะอะไรนะ อีกทีสิ”
เด็กชายที่เริ่มรับรู้แล้วชื่อของเขามันแปลกไปสำหรับคนในโลกนี่ ดูเหมือนจะต้องเป็นชื่อจีนแซ่จีน เขาจึงคิดชื่อจีนของตัวเองขึ้นมาโดยอ้างอิงจากหนังจีนหลายเรื่องที่เคยดู
“ข้าชื่อ เยว่ โม่ฟิน ขอรับ”
“เยว่โม่ฟิน แปลกๆ แต่ไม่เป็นไร ข้าชื่อ เอ้อ หนี่ฟางนะ"
“พี่สาวเอ้อ”
“ใช่ แล้วเจ้ามาคนเดียวรึ หรือว่าเป็นเด็กกำพร้า”
“เอ่อ ไม่ใช่ๆ ข้ามาตามหาท่านปู่ของข้าที่เมืองนี้ อยู่ไม่ไกลแล้ว ข้าแค่พักเหนื่อย”
เด็กชายส่ายหน้าไปมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดบอกไปก่อน เพราะเป็นคำถามที่เขาไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ แต่พยายามตอบตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเพื่อให้มีมูลมากขึ้น
“งั้นรึ งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ”
“ขอบคุณพี่สาว ข้าไปก่อนนะขอรับ”
เด็กชายกล่าวขอบคุณและบอกลา แล้วเดินออกมา คราวนี้เขาเลือกเดินผ่านหน้าร้านค้าแทน เพราะช่วงกลางถนนคนจะเยอะมากจนเดินลำบาก แต่หน้าร้านค้าจะคนน้อยกว่า และอาศัยว่าเขาตัวเล็กจึงเดินผ่านมาได้ง่าย เด็กชายเดินมาไม่ไกลก็ออกมาพ้นเขตตลาดแล้ว เขาเดินไปหยุดตรงที่ลับตาคนแล้วเปิดกระเป๋าวิเศษนึกจำนวนเหรียญเงินสิบเหรียญแล้วล้วงมือลงไปหยิบ เมื่อนำมือขึ้นมาก็มีเหรียญออกมา เขาจึงรู้ว่ากระเป๋ายังทำงานได้ดีเหมือนเดิม เขาเดินกลับไปทางเดิมมาหยุดที่หัวตลาด ตอนเดินออกมาเขาเห็นร้านขายกระเป๋ากับของอื่นๆ อยู่ริมสุดของเขตตลาด เขาคิดไว้แล้วว่าจะซื้อกระเป๋าสักใบ เพื่อเอาไว้ใส่เงินที่เขาเอาออกมาจากกระเป๋าวิเศษ
เด็กชายเดินมาหยุดยืนที่หน้าร้านขายกระเป๋า พร้อมมองดูกระเป๋าขนาดต่างๆ มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่
“พี่สาว กระเป๋าใบนี้เท่าไรหรือขอรับ”
เด็กน้อยชี้ไปที่กระเป๋าใบหนึ่งขนาดกลางของกระเป๋าที่วางอยู่ทั้งหมด แต่ยังคงใหญ่กว่ากระเป๋าที่แขวนอยู่ที่เอวเขา
“10เหรียญทองแดงจ้ะหนุ่มน้อย”
“ข้าเอาหนึ่งใบ นี่เงินของข้า”
เขาพูดพร้อมวางเงินที่หยิบออกมาจากกระเป๋าวิเศษมา10เหรียญทองแดงไว้บนโต๊ะที่วางกระเป๋าอยู่
“เจ้าสามารถเลือกลายได้เลย”
คนขายบอกให้เขาเลือกลายกระเป๋าได้ ส่วนเธอก็หยิบเงินที่โม่ฟินวางขึ้นมาทีละเหรียญ เนื่องจากเด็กชายมีส่วนสูงเพียง100เซนติเมตรนิดๆ จึงทำให้การเลือกลายกระเป๋าทุลักทุเลพอสมควร แต่ก็เลือกมาได้ใบที่ต้องการได้
“ขอบคุณพี่สาว”
เขายิ้มกว้างเมื่อได้กระเป๋าตามที่ต้องการมาแล้ว เขาออกเดินกลับไปในที่ลับตาคนอีกครั้ง เขาเปิดกระเป๋าใหม่ออกกว้างๆ วางตั้งไว้กับพื้น เขามองซ้ายมองขวาอีกครั้ง แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าวิเศษหยิบเงินขึ้นมาครั้งละ10เหรียญใส่ในกระเป๋าที่พึ่งซื้อมาจนเต็ม นับรวมๆ กันแล้ว เขาใส่เหรียญไป100เหรียญเงิน เขาจะนำไปแลกเหรียญทองหนึ่งเหรียญ
‘น้อยจังเนอะ’
เด็กน้อยพูดกับตัวเองในใจ ว่าเงินที่เขาจะแลกได้ทำไมน้อยจัง
“เออใช่ เรามีกระเป๋าวิเศษพลังก๊อบปี้นิ เดี๋ยวแลกออกมาเป็น 1เหรียญทองแล้วค่อยเอามาใหม่อีกที ฮ่าๆๆๆ เรานี่ฉลาดจริงๆ”
เด็กชายที่นึกขึ้นได้ว่ามีของวิเศษติดตัวนี่นา ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินทองอีก
“ต่อไป ข้าจะเรียกเจ้าว่า สุดที่รัก แล้วกัน จุ๊บ”
เด็กน้อยตัวเล็กหยิบกระเป๋าวิเศษลายดอกไม้สุดสวยขึ้นมาตั้งชื่อให้พร้อมมอบจุมพิตไปหนึ่งที
เขาหยิบกระเป๋าที่ใส่เหรียญร้อยเหรียญขึ้นมาแนบอก แล้วออกเดินหาโรงประมูลพยัคฆ์อะไรนั่นทันที
“หนักเหมือนกันนะเนี่ย”
เมื่อแบกกระเป๋าที่มีเหรียญจำนวนมากเดินไปตามทางเรื่อยๆ เพื่อหาโรงประมูลพยัคฆ์ เด็กชายที่ถือกระเป๋าเงินอย่างโจ่งแจ้งก็เริ่มบ่นออกมา เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีใครคิดว่าเด็กตัวเล็กๆ ที่มอมแมมทั้งตัวแบบเขาจะมีเงินเยอะ แถมกระเป๋าที่เขาซื้อมาก็ไม่ได้ดูสวยเด่นอะไร
"อยู่ไหนน้าาา หายากจัง"
เดินไปบ่นไปเพราะเขายังไม่เจอที่หมายของเขาเลย แต่ดีที่ตรงถนนเส้นที่เขาเดินอยู่ผู้คนไม่ได้เยอะมาก เขาจึงเดินไปแบบสบายๆ
"อ๊าาา เจอแล้ว"
เด็กชายร้องออกมาเมื่อเจอป้ายที่เขียนว่าโรงประมูลพยัคฆ์จึงรีบวิ่งตรงเข้าไปเลย โดยไม่สนว่าทำไมเขาอ่านตัวหนังสือบนป้ายนั้นออกได้ไง
เขาวิ่งไปหยุดที่ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้า ที่แต่งตัวดูดีนั่งก้มหน้าเขียนอะไรอยู่ เขาจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนงานของโรงประมูล
"สวัสดีหนุ่มน้อย เจ้ามาทำอะไร"
ชายคนนั้นเมื่อรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา จึงเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเอ่ยถาม เพราะสถานที่นี้ไม่ใช่ที่ที่เด็กน้อยจะมาเดินเล่น
"ข้ามาแลกเงิน ที่นี่รับแลกใช่หรือไม่ขอรับ"
"ใช่ที่นี่รับแลก แต่เจ้ามีมากแค่ไหนรึ"
"มีเท่านี้"
เด็กชายวางกระเป๋าใส่เงินลงบนโต๊ะที่ชายคนนั้นอยู่ เสียงของเหรียญในกระเป๋ากระทบกัน บ่งบอกถึงจำนวนเงินในกระเป๋าได้
ชายคนนั้นเมื่อเห็นก็ดูตกใจพอสมควร พร้อมมองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังยิ้มแป้นสลับกับถุงเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ
"เด็กน้อย เจ้าตามข้ามา"
ชายคนนั้นหยิบถุงเงินใส่มือโม่ฟินแล้วพาเขาเดินเข้ามาข้างใน พาเดินขึ้นไปชั้นสองแล้วเปิดประตูบานหนึ่งให้เขาเข้าไปนั่งรอ เด็กชายนั่งรอตามที่บอก แต่เขาก็มองสำรวจห้องที่อยู่ไปด้วย
'สมแล้วที่เป็นโรงประมูล ดูหรูหราดี การตกแต่งก็ใช้ได้'
ความคิดของเด็กชายดังขึ้นในใจ คิดว่าเขาน่าจะอยู่ในห้องรับรองของทางโรงประมูลแต่คงจะไม่ใช่ห้องที่ดีที่สุด แต่ก็ถือว่าโอเคมากๆ แล้ว
นั่งรอไม่นาน ประตูก็เปิดเข้ามา ชายคนเดิมที่สั่งให้เขารอเดินเข้ามา พร้อมกับชายอีกคนที่ดูสูงอายุ เพราะผมของเขาแซมไปด้วยผมสีขาวและหนวดกับเคราของเขาก็เป็นสีขาวด้วย
"เด็กคนนี้ขอรับ เถ้าแก่"
"อืม เจ้าออกไปได้"
เด็กชายนั่งมองบทสนทนาของชายอาวุโสที่ถูกเรียกว่าเถ้าแก่กับคนที่พาเขาเข้ามา เมื่อคุยกันเสร็จ ชายชราก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา ดวงตาคู่เล็กสำรวจท่าทีของคนที่นั่งตรงข้าม เขาดูสุขุม สุภาพไม่มีท่าทีเย่อยิ่งใส่เขา หรือทำท่ารังเกียจหรือดูถูกเขา
“สวัสดีเด็กน้อย”
“คารวะผู้อาวุโส”
“เจ้าเป็นลูกหลานใครงั้นรึ”
“ท่านถามข้าทำไมหรือขอรับ”
“ข้าแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า จากที่ข้าทราบมาให้กระเป๋าของเจ้ามีเงินอยู่มากทีเดียว”
“เงินนี่เป็นเงินที่ข้าเก็บออมไว้ ข้าเองก็ไม่ทราบว่ามันมีค่าขนาดไหน แต่คุณปู่ของข้าบอกว่าเก็บไว้แบบนี้ไม่ดีให้นำมาแลกเป็นทองดีกว่า จะได้เก็บรักษาง่ายๆ”
“ถือว่าปู่ของเจ้ามีหัวคิดหลักแหลมมาก มันก็จริงถ้าเปลี่ยนเป็นทองจะเก็บได้ง่ายกว่า แต่ถ้าเก็บไม่ดี มันก็จะเป็นเงินจำนวนมากเช่นกัน”
“ข้าเชื่อว่าข้าเก็บรักษาได้ขอรับ”
เด็กชายไม่ย่อท้อ เขายังพูดคุยกับชายชราเพื่อให้ได้แลกเงิน เพราะเขาต้องทำมันไปเพิ่มจำนวนในกระเป๋าต่ออีกนะ ถ้าไม่มีต้นแบบแล้วจะทำได้เพิ่มได้ไง
“ข้าเชื่อเจ้า ข้าเพียงเตือนด้วยความหวังดี ข้าชื่อ หลง หวันอิน แล้วเจ้าล่ะเด็กน้อยชื่ออะไร”
“ข้าชื่อเยว่โมฟิน”
“เป็นชื่อที่แปลก แถมแซ่เยว่ข้าไม่เคยได้ยิน”
'จะไม่แปลกได้ไงเขาคิดขึ้นมาเองสดๆ เลยนะ'
เสียงเล็กดังขึ้นในใจ
“ผู้อาวุโสไม่ต้องสนใจชื่อข้าหรอก ถึงแปลกแต่ข้าชอบ”
“ฮ่าๆๆ ได้ๆ ข้าไม่สนใจชื่อเจ้าก็ได้ งั้นเรามาคุยธุระของเขากันดีกว่า”
“ข้านำเหรียญเงินมาแลกเป็นเหรียญทองขอรับ”
เด็กชายพูดพร้อมหยิบกระเป๋าที่ใส่เงินขึ้นมาว่างบนโต๊ะ ผู้อาวุโสที่เห็นก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาถือเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักเขาก็ทำท่าเบะปาก เชิงบอกว่าหนักเหมือนกันนะ เด็กชายที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมากับท่าทางของเขา ผู้อาวุโสจึงดีใจที่หยอกล้อเด็กชายได้สำเร็จ
ผู้อาวุโส เปิดกระเป๋าออกแล้วค่อยๆ เทเหรียญลงบนโต๊ะ เมื่อเทหมดแล้วเขาก็จัดรูปร่างของกระเป๋าให้เข้ารูปแบนเหมือนเดิมแล้ววางไว้ข้างๆ กองเหรียญ
“ต้องนับก่อน”
เขาพยักหน้ารับแล้วทำการนับเหรียญโดยจัดเป็นกอง กองละ10เหรียญ ชายสูงวัยตอนแรกเขาเพียงนับแล้วกองไว้ดังเดิม แต่พอเห็นวิธีการนับแล้วจัดเรียงของเด็กหนุ่มก็ยิ้มออกมา เขาคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา แม้ภายนอกจะดูเป็นเด็กตัวเล็กขาดสารอาหาร เสื้อผ้าหน้าผมดูมอมแมม แต่การพูดการจาและสีหน้าที่ใช้ในการสนทนากับผู้อื่นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไหนจะไหวพริบต่างๆ ที่แสดงออกมา สามารถที่จะสนทนาหลีกเลี่ยงคำถามของเขาได้ ถือว่าเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง ถ้าเป็นเด็กคนอื่นในวัยเดียวกันคงกลัวเขาหมดแล้ว แต่เด็กหนุ่มคุยกับเขาอย่างฉะฉานไม่มีแม้แต่ความกลัวคนแปลกหน้าสักนิด แถมการนับเหรียญที่แปลกใหม่นี่อีก แค่สามารถนับจำนวนได้เขาก็แปลกใจมากแล้ว
“เจ้าทำสิ่งใดรึ”
“ข้านับแล้วจัดเรียงเป็นแถวไว้เพื่อความเรียบร้อย แต่ถ้าผู้อาวุโสไม่มั่นใจท่านสามารถนับใหม่ได้”
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็สนใจการนับของเจ้าจึงมองอยู่ตลอด ทั้งหมดมี100เหรียญใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้าต้องการเพียงเหรียญทอง1เหรียญเท่านั้นขอรับ”
“การแลกเงินเจ้าต้องจ่ายค่าแลกเงินเป็นจำนวน1ส่วน เจ้าต้องการแลก100เหรียญเงินเป็นเหรียญทองเจ้าต้องจ่ายให้ข้า1เหรียญเงิน”
ผู้อาวุโสบอกวิธีการแลกเงินให้โม่ฟินฟัง การหัก1ส่วนของการแลกเงินเป็นเรื่องที่ทางการเป็นคนตั้งกฎขึ้นมา เพื่อให้คนที่ไม่อยากโดนหักจะได้ไปแลกเงินที่ทางการ และร้านที่มีการแลกเงินต้องนำเงินที่หักมา1ส่วนจาก2ส่วน (50%) ส่งให้ทางการด้วย เป็นสิ่งที่ร้านทุกร้านที่รับแลกเงินจะต้องปฏิบัติตาม ไม่งั้นจะไม่สามารถเปิดให้แลกเงินได้
“จริงหรือ ข้าไม่ได้เตรียมเงินมาด้วย ถ้างั้นคงต้องเป็นโอกาสหน้า”
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเจ้าข้าจะเป็นคิดค่าแลกเงินแล้วกัน ดูจากความตั้งใจของเจ้า”
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสมากขอรับ”
“ไม่เป็นไร เพียงครั้งหน้า เมื่อเจ้าเก็บออมได้อีกเจ้ามาทำการแลกเงินที่โรงประมูลของข้าก็พอ”
“ได้ วันข้างหน้าข้าจะมาอีกแน่นอนขอรับ”
“ดีมาก”
เด็กชายยิ้มไม่หุบวันนี้เขาช่างโชคดีหลายเรื่อง ได้เงินฟรีๆ ไม่เสียค่าแลกเงินอีก แต่ก็ดีแล้วเขาจะผูกมิตรกับโรงประมูลนี้ไว้ เพราะวันข้างหน้าเขาจะมาเอาทองแท่งแน่ๆ แต่ต้องทิ้งช่วงไปนานหน่อย ไม่งั้นพวกเขาจะสงสัยว่าเขานำเงินมาจากไหนเยอะแยะ
โม่ฟินเดินตัวปลิวออกมาจากโรงประมูล ก่อนที่จะออกมาเขาก็ได้เหรียญทองที่เขาต้องการมาด้วยและได้ของเพิ่มมาก็คือบัตรสมาชิกของโรงประมูล ตอนที่เขาเห็นครั้งแรกเขาก็งงๆ ว่าเอามาให้เขาทำไม แต่ก็ได้รู้ว่ามันเป็นบัตรที่มีค่าและมีประโยชน์มาก หลักๆ คือสามารถเข้าออกโรงประมูลได้ตลอดเพียงแค่แสดงบัตร เขาขอบคุณผู้อาวุโสอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินยิ้มอย่างมีความสุขออกมา
เมื่อเดินออกมาไม่นานก็คิดได้ว่าเขายังไม่รู้ว่าราคาของกินของใช้เป็นแบบไหน ค่าครองชีพถูกหรือแพง เขาจะได้รู้ว่าควรใช้เงินอย่างไร แต่จากที่เขาไปซื้อกระเป๋าใส่เงินมามันก็ราคา10เหรียญทองแดงแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือแพง เขาจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม และที่ที่จะเรียนรู้ได้ก็คือ…ตลาดนั่นเอง
*************************************
ความคิดเห็น